“ไปด้วย!! ”
ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงห้วนๆนั่น ก็ทำให้ฉันได้สติแล้วล่ะสายตาจากพี่ยูมามองยังเจ้าของน้ำเสียงแข็งๆนี้ ที่ไม่รู้ว่ามายืนข้างฉันตั้งแต่เมื่อไร เห็นตอนแรกยังไม่ยอมลุกขึ้นยืนเลย แล้วไงมายืนข้างฉันได้เร็วขนาดนี้ ราเรซกับเพื่อนอีกสองคนยังเดินตามมาไม่ถึงเลย ทั้งที่ลุกขึ้นยืนก่อนซะด้วยซ้ำ “ไหนบอกไม่ไปไง ไอ้โต้ง” ราเรซถามขึ้น เมื่อเดินมาถึงตัวเพื่อน “กูเปลี่ยนใจแล้ว” โต้งตอบโดยที่ไม่หันหน้าไปมองราเรซ เพราะเขาเอาแต่จ้องหน้าฉันอยู่นี่แหละ ไม่รู้จะทำหน้านิ่งไปถึงไหน ฉันเดาใจเขาไม่ออก... ตึกๆ ๆ ๆ ตึกๆ ๆ ๆ แล้วทำไมฉันต้องรู้สึกกลัวเขาด้วยนะ ความรู้สึกเหมือนกับว่าฉันทำผิด ก็เลยกลัวเขาอย่างนั้นแหละ... นี่ก็จ้องอยู่ได้ ไหนจะสายตาเอาเรื่องนั่นอีก “จะไปด้วยเหรอ ไอ้น้อง บอกไว้ก่อนนะ งานนี้น่ะ มันงานแมนๆ ต้องการผู้ชายแมนๆ ไม่ใช่โดนแดดนิดๆ หน่อยๆ ก็วิ่งเข้าร่มนะ” พี่แมทเดินเข้ามาพูดแขวะโต้ง “ผมไม่แมนตรงไหน” โต้งล่ะสายตาจากฉันแล้วหันไปจ้องหน้าพี่แมทแทน “หุ่นมึงบอบบางมากอ่ะ น้อง!” พี่แมทยังแขวะต่อ “ลองชกกันหน่อยไหมล่ะ จะได้รู้” โต้งท้าทาย “ไอ้..” พี่แมทเตรียมจะพุ่งเข้าใส่โต้ง “ใจเย็นพี่” พี่ยูเดินเข้ามาขว้างห้ามไว้ก่อน “มึงนี่มัน.. ระวังตัวให้ดีเหอะ!” พี่แมทสะบัดแขนใส่อากาศอย่างหัวเสีย ก่อนจะเดินออกจากหอประชุมไป “ทำไมชอบมีเรื่องนัก ห๊ะ!” เมื่อลับตาพี่แมทแล้ว ฉันจึงหันมาบ่นโต้งทันที “นี่ ถ้าสนใจกันตั้งแต่แรก จะรู้...ว่าโต้งไม่ได้เริ่มก่อน” พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ร่างสูงก็เดินเฉียดฉันออกไปด้วยใบหน้าเรียบนิ่งเหมือนเดิม คำพูดเมื่อกี้ ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนเขาน้อยใจเลยนะ นี่เขาน้อยใจฉันเหรอ? แล้วน้อยใจเรื่องอะไร ฉันยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยเลย.. นี่แหละ คือเหตุผล ที่ฉันไม่อยากคบกับรุ่นน้อง เพราะฉันเอาใจใครไม่เป็น ตามอารมณ์เขาไม่ทันด้วย ฉันอยากจะมีแฟนเป็นรุ่นพี่มากกว่า เพราะชอบให้คนมาเอาใจมากว่าไปเอาใจเขา หลังจากประชุมเสร็จ ฉันกับบัวตองก็เดินมานั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนตัวเดิม พร้อมกับแวะซื้อขนมขบเคี้ยวติดไม้ติดมือมาด้วย “มิริน” ฉันเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน ที่ทำสีหน้าอึดอัดนิดหน่อย เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่กล้าพูด “มีอะไร” ฉันถามออกไปอย่างนึกรำคาญนิดๆ “แกกับเพื่อนน้องชายอ่ะ ยังไงกันเหรอ” ที่เงียบมาตลอดทางคงจะอึดอัดมากสินะเพื่อนฉัน ต่อมความอยากรู้เริ่มทำไงล่ะ “แกดูปากฉันนะบัวตอง” บัวตองพยักหน้าอย่างเข้าใจ พร้อมกับตั้งหน้าตั้งตาดูเต็มที “ไม่ มี อะ ไร” ฉันพูดช้าๆ ชัดๆ เน้นทุกคำ “แต่ฉันว่ามี” ยังไม่หยุดสงสัยอีก “มีอะไร” ถามเสร็จก็ยัดขนมเข้าปากอย่างไม่สนใจเพื่อน “ฉันว่า น้องคนนั้นชอบแกชัวร์” ฉันว่า.. ฉันจะส่งยัยเพื่อนตัวดีไปทำอาชีพหมอดูให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เดาซะแม่นเชียว ฉันมองหน้าบัวตองอย่างเซ็งๆ ที่ยัยนี้ เดาถูก “จริงเหรอ” บัวตองแสดงสีหน้าตื่นเต้นอย่างกับตัวเองถูกชอบซะเองอย่างงั้นแหละ “เขาเคยสารภาพรักกับฉัน เมื่อปีที่แล้ว แต่ฉันก็ปฏิเสธเขาไป” ฉันเล่าให้เพื่อนฟังอย่างไม่ปิดบัง “โฮ่.. แกใจร้ายอ่ะ” ไม่ว่าเปล่าค่ะ แถมยัยเพื่อนตัวดียังปาขนมใส่หัวฉันอีก “ก็ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรนิ” ฉันก็ปาขนมใส่คืนเหมือนกัน “เอาตรงๆนะ โต้งน่ะ ดูดีกว่าทุกคนที่เข้ามาจีบแกด้วยซ้ำ” “แล้วไงล่ะ หน้าตาดีอย่างเดียวมันใช่ได้เหรอ นิสัยสิ สำคัญ...” ฉันพูดให้เพื่อนคิดตาม จะได้ไม่ลุ่มหลงไปกับรูปร่างหน้าตาภายนอก “แล้วโต้งไม่ดีตรงไหน” ฉึก! ถามได้จี้จุดมาก ไม่ดีตรงไหนเหรอ ที่จริงเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เพียงแต่เขาเด็กกว่าฉัน อย่างที่บอกแหละ ฉันชอบที่จะให้คนเอาใจมากกว่าเอาใจเขา... เหมือนเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่ฉันชอบแบบนี้อ่ะ “เขาใจร้อน แล้วก็..เด็กไป” “ไร้สาระแก เหตุผลฟังไม่ขึ้น” แล้วบัวตองก็ขัดฉันจนได้ “อย่างกับแกนี่มีสาระงั้นแหละ จีบเองเลยไหม จะได้เลิกโวยฉันสักที ถ้าจะเสียดายขนาดนั้น” ฉันเลยแขวะเข้าให้อย่างขำๆ “ย่ะ! ถ้าเขาชอบฉันน่ะนะ” มีสักครั้งไหม ที่ยัยเพื่อนบ้านี่ มันจะยอมฉันบ้าง เถียงตลอด ไม่เคยอยู่ข้างฉันเลยสักครั้ง ไม่รู้ว่าฉันเป็นเพื่อนกับยัยนี่ได้ยังไง แต่ก็นะ.. เพราะแบบนี้แหละ บัวตองถึงดูจริงใจที่สุด เพราะเวลาที่ฉันเผลอทำอะไรที่ไม่เข้าท่า บัวตองก็จะคอยเตือนตลอด.. Rrrrrrrrrrrrrrrrr (061234XXXX) เบอร์ใครก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะคุ้นเลย ฉันนั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์อย่างหวาดระแวง ฉันไม่ค่อยอยากจะรับสายเบอร์แปลกสักเท่าไร เพราะเคยเจอพวกโรคจิตโทรมาก่อกวนชวนขนลุก “ทำไมไม่รับสายล่ะ” บัวตองนั่งมองหน้าฉันอย่าง งงๆ ก่อนจะเอ่ยปากถาม “เบอร์แปลกอ่ะ ไม่กล้ารับ” ฉันตอบเพื่อนไปตามตรง “มานี่” บัวตองแย่งโทรศัพท์ของฉันไปกดรับสายเอง “สวัสดีค่ะ” บัวตองกรอกเสียงพูดลงไป พร้อมกับกดปุ่มเปิดลำโพงให้ฉันได้ยินด้วย “น้องมิรินครับ นี่พี่เฟยเองนะ น้องมิรินอยู่ตรงไหน พี่มาถึงมหาลัยแล้วนะ” (พี่เฟย) “พี่เฟยเหรอคะ” สงสัยแม่ให้เบอร์โทรของฉันแน่ๆ เลย แม่นะแม่ “ครับ ตอนนี้พี่อยู่หน้ามหาลัย จะให้พี่ไปรับตรงไหนครับ” (พี่เฟย) “รออยู่ตรงนั้นแหละค่ะ เดี๋ยวมิรินออกไปหา” พูดจบฉันก็กดตัดสายทิ้งทันที “อยากมีผู้มารับบ้างจัง” บัวตองแซว “บัวตอง!!” ฉันเอ่ยชื่อเพื่อนอยากตื่นเต้นพร้อมกับรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์ เมื่อคิดอะไรออก “อย่ามามองหน้าฉันแบบนี้นะ มิริน” บัวตองผละตัวถอยหลังอย่างหวาดระแวง “ไปกับฉัน” “ฉันไม่ไป...” ฉันไม่สนใจคำคัดค้านของเพื่อน รีบฉุดมือบัวตองให้ลุกออกจากม้านั่งแล้วลากเพื่อนให้เดินตามฉันมายังหน้ามหาลัย ฉันเดินมาถึงหน้ามหาลัยก็เห็นนักศึกษาผู้หญิงหลายคนต่างก็ยืนมุงดูอะไรสักอย่าง และพอฉันเดินเข้ามาใกล้ๆ ก็ไขข้อข้องใจทันที พากันมุงดูรถของพวกสี่กุมารนี่เอง พึงจะขึ้นปีหนึ่งแท้ๆ ขับรถมาเรียนซะล่ะ เปิดตัวแรงจริงๆ กลุ่มน้องชายฉันเนี้ย โดยฉะเพราะเจ้าของรถหรูคันสีแดงนั่น ร้อนแรงเหมือนเจ้าของไม่มีผิดโต้งเลื่อนมือเข้ามาลูบไล้บริเวณต้นขาอ่อนพร้อมกับพยายามที่จะถอดกางเกงซับตัวนอกของฉัน โต้งย่อตัวลงคุกเข่าตรงหน้าเพื่อรั้งกางเกงซับสีดำให้หลุดพ้นขาเรียวขางาม ฉันกัดฟันแน่นพยายามไม่มองหน้าเขายามที่ใบหน้าคมจ้องมองส่วนนั้นที่มีเพียงแพนตี้ตัวจิ๋วปกปิดอยู่แทบจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะสายตาอันร้อนแรงนั้นจ้องมองซะจนแทบทะลุปรุโปร่งอยู่ล่ะ โต้งกลับมายืนเต็มความสูงอีกครั้งพร้อมกับรั้งมือบางของฉันไปกุมที่ตะขอกางเกงของเขาที่สวมใส่อยู่ ฉันถึงกับมือสั่นเล็กน้อย ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกก็ตาม แต่ฉันก็ประหม่าทุกครั้ง มันยังไม่ชินอยู่ดี และดูเหมือนว่าการกระทำของฉันเริ่มไม่ทันใจเขา โต้งจึงถอดกางเกงเองพร้อมกับชั้นในด้วย “คนบ้า!!” ฉันรีบยกมือขึ้นปิดหน้าแทบไม่ทัน “ทำอย่างกะไม่เคยเห็นไปได้” “มิรินไม่ได้หน้าด้านเหมือนโต้งนะ!!” ฉันแอบแขวะเขาซะเลย “มานี่ดิ” “ว๊าย!!!” ฉันถูกมือหนารั้งเอวให้ไปนอนทับตัวเขาบนเตียงนอน แล้วความรู้สึกร้อนวูบวาบก็แล่นไปทั่วใบหน้าและลำตัวเมื่อส่วนนั้นของเขาจ่ออยู่ที่ท้องน้อยของฉัน
หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ โต้งก็พาฉันมาที่คอนโดของเขาไม่ยอมไปส่งฉันที่บ้าน ซึ่งที่บ้านของฉันเองก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไรแล้วตอนนี้ ยิ่งทำให้เขาได้ใจเข้าไปใหญ่“ทำไมไม่ไปส่งมิรินที่บ้าน” ฉันเอ่ยถามขึ้นเมื่อโต้งเดินมาเปิดประตูให้ฉัน“กินข้าวเสร็จใหม่ๆ ก็ต้องออกกำลังกายให้อาหารมันย่อยก่อนสิ” โต้งส่งยิ้มแพรวพราวมาให้“ไม่อยากออกกำลังอ่ะ อยากนอนมากกว่า มิรินง่วง”“ได้นะ ทุกทีก็ให้นอนอยู่แล้วนิ” โต้งยกยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างมีเลสนัย ทำให้ฉันต้องก้าวขาออกจากตัวรถแล้วฟาดลงที่ต้นแขนเขาอย่างหมั่นเคี้ยว คนอะไรก็ไม่รู้ ทะลึ่งได้ตลอดเวลาจริงๆ โต้งยืนหัวเราะชอบใจที่ยั่วอารมณ์ทำให้ฉันโมโหได้ในจังหวะที่กำลังจะเดินไปที่ลิฟต์ ฉันก็เห็นน้องชายของตัวเองกำลังอุ้มสาวน้อยน่ารักคนหนึ่งเข้าไปในลิฟต์ก่อนโดยที่เขาไม่ทันเห็นฉันกับโต้งเลยสักนิด“ไอ้เรซ!!!” จู่ๆ โต้งก็ตะโกนเรียกราเรซเสียงดังลั่น แต่ว่าราเรซไม่ทันได้ยินเพราะประตูลิฟต์ปิดตัวลงก่อนโต้งรีบเดินไปกดปุ่มหน้าลิฟต์อย่างรวดเร็วจนฉันตกใจว่าเขาเป็นอะไรไปทำไมถึงได้ดูอารมณ์ร้อนขนาดนี้ แล้วสาวน้อยน่ารักที่ร
รถยนต์หรูจอดสนิทที่หน้าร้านกาแฟร้านหนึ่ง ซึ่งเป็นตึกคูหาสามชั้น ข้างๆ ตึกนั้นมีสนามฟุตบอลหญ้าเทียมอยู่หลายสนามซึ่งก็ใหญ่โตพอสมควร ฉันลงมายืนอยู่ข้างรถแล้วมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มาบ้านของโต้ง รู้สึกประหม่าจังแฮะ พ่อแม่ของเขาจะชอบฉันหรือเปล่านะ ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นอยู่ในใจ“ป่ะ เข้าบ้านกัน” โต้งเดินมาจับมือฉันแล้วเดินนำเข้าไปยังร้านกาแฟที่อยู่ชั้นล่างสุดของตึกคูหา“ม๊า” โต้งเอ่ยเรียกหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งกำลังเช็ดตู้กระจกอยู่“อ้าว โต้ง กลับมาตั้งแต่เมื่อไร” โต้งเดินเข้าไปสวมกอดแม่ของเขาพร้อมกับหอมแก้มเสียงดังฟอด เวลาอยู่กับแม่นี่ เป็นหมาน้อยเชียวนะ“สาวสวยคนนี้ คือมิรินใช่ไหม” แม่ของโต้งหันมามองฉัน“สวัสดีค่ะ” ฉันรีบยกมือไหว้ท่านทันที“สวยจังเลย มิน่าล่ะ ตาโต้งถึงได้ตามหวงนักหวงหนา ถึงขนาดโทรไปขู่ต้นหลิวให้ส่งบอดี้การ์ดไปค่อยดูแลให้เนะ!” แม่ของโต้งพูดไปด้วยยิ้มไปด้วย นี่แม่เขารู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ ฉันแอบส่งสายตาดุไปให้โต้ง แต่เขาก็ไม่สะทกสะท้านอะไรหรอกแถมยังยิ้มหวานกลับมาให้อีก โต้งยิ้มหวานเหมือนแ
“สวัสดีครับ ผมธนาธร บรรณาลักษณ์ หรือจะเรียกว่า โต้ง ก็ได้ครับ”“คุณธนาธร ยังเด็กอยู่เลยนะครับเนี้ย” มีเสียงหนึ่งจากผู้ร่วมประชุมเอ่ยขึ้น“จะไม่เด็กได้ไง มันยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ” พี่เฟยพูดแทรกขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์“จริงเหรอครับ แล้วแบบนี้ คุณจะทำงานได้เหรอ”“ผมยังเรียนไม่จบก็จริงครับ แต่ผมก็สามารถทำงานร่วมกับทุกคนได้ ซึ่งผมก็พิสูจน์ให้ได้เห็นแล้ว ในช่วงสามปีที่ผ่านมา” โต้งหันไปตอบคำถามจากผู้ร่วมประชุม“ยังไงก็...ช่วยเป็นคุณครูสอนวิชาให้ผมเพิ่มเติมหน่อยนะครับ ผมเชื่อว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ต่อให้ผมเรียนจบ ผมก็ยังต้องเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีกเยอะ เพราะในตำรากับชีวิตจริงมันต่างกัน จริงไหมครับ ท่านรองประธาน” โต้งพูดกับผู้ร่วมประชุมด้วยท่าทีสุภาพ และท้ายประโยคนั้นได้หันมาพูดกับแม่เฌอรีน พร้อมรอยยิ้มแม่เฌอรีนถึงกลับพูดไม่ออก ก่อนจะหันมามองหน้าฉันเชิงเป็นคำถามว่า ฉันรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า ฉันจึงส่ายหน้าตอบกลับแม่ไปตามความจริง“นี่มันอะไรกันค่ะ คุณพ่อ!!”เมื่อการประชุมจบลง แม่เฌอรีนรีบเดินมาหาคุณตาที่ห้
“ถ้าคิดว่าทำให้ถอยได้ก็ลองดูสิ”“โต้ง อือออ”ใบหน้าคมโน้มลงมาซุกไซร์ซอกคอฉันทันทีพร้อมกับที่มือบางถูกมือหนาตรึงไว้กับเตียงนอนที่ข้างหัว ทำให้ฉันไม่สามารถขัดขืนเขาได้ ใจอยากจะต่อต้านเขาเหลือเกินแต่เรี่ยวแรงกลับมีไม่พอที่จะผลักไสเขาออกไป ร่างกายของฉันถูกมือหนาถอดเสื้อผ้าออกไปทีล่ะชิ้นจนไม่เหลือสิ่งใดปกปิด ทุกส่วนบนร่างกายถูกริมฝีปากหนาครอบครองและทิ้งร่องรอยความเป็นเจ้าของไว้ทุกที่ที่ริมฝีปากสัมผัส“คิดถึงโต้งหรือเปล่า หื้อ..” ริมฝีปากหนากระซิบถามพร้อมกับงับเข้ากับติ่งหูอย่างหยอกล้อ“คิดถึง..อืออออ” ฉันถึงกลับครางเสียงแผ่ว เมื่อช่วงล่างถูกนิ้วร้ายล่วงล้ำเข้าไปสร้างความปั่นป่วนอย่างวาบหวิว“อยากกลับมาหาโต้งไหม..อ่า..” ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารินรดอยู่บริเวณดอกบัวคู่งาม ชวนให้ขนกายรุกชันไปทั่วร่าง“อยากสิ... อ๊ะ!!” ช่วงล่างบิดเร่าตามจังหวะจากมือหนา“ยังรักโต้งอยู่ไหม..” ฉันเลือนสายตาขึ้นมาสบเข้ากับตาคมอย่างแน่วแน่“มิรินรักโต้ง...” โต้งยกยิ้มอย่างพอใจกับคำตอบที่ได้รับ“ขอกินหน่อยนะ” โต้งถอดนิ้วเรียวออกจากส่วนนั้นแล
“จริง ถ้าเธอไม่เชื่อ ถามไลลาดูก็ได้ เพราะตอนที่มิรินบอกกับฉันไลลาก็อยู่ด้วย”ผมหันไปมองหน้าแม่ไลลาที่ผมรักและเคารพท่านเหมือนแม่แท้ๆ ซึ่งเมื่อผมหันหน้าไปหาแม่ไลลา ท่านก็พยักหน้าให้เพื่อเป็นการยืนยันในสิ่งที่แม่เฌอรีนพูด ว่ามันคือเรื่องจริง“ทำไมครับ ทำไมมิรินถึงอยากไป” ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี และยังต้องการคำตอบที่มากกว่านี้ ผมยังไม่ปักใจเชื่อ“ฉันขอโทษนะ ที่ผิดคำพูดกับเธอ แต่มันคือความต้องการของมิริน ซึ่งฉันเองก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้ มิรินก็ดื้อดึงไม่ว่าจะทำอย่างไร มิรินก็ไม่ยอมไป แต่ครั้งนี้ มิรินเป็นคนขอไปเอง”“มันเป็นความต้องการของคุณน้าอยู่แล้วนี่ครับ คงจะสมใจแล้วล่ะซิ” ผมจ้องหน้าแม่เฌอรีนตาเขม็งด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ“ไอ้โต้ง ใจเย็น” ราเรซเดินเข้ามาจับไหล่ผมไว้ เมื่อผมเผลอก้าวเดินเข้าหาแม่เฌอรีนอย่างลืมตัว“งั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องรักษาคำพูดอีกต่อไป”“นั้นก็แล้วแต่เธอ” แม่เฌอรีนตอบกลับมาด้วยใบหน้าและท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านอะไร ท่านคงคิดว่า การที่ส่งมิรินไปไกลผมแบบนั้น คิดว่าผมจะตามไปไม่ได้ล่ะสิ“ผมขอบอก