นิรณาพูดเบาๆ แล้วอุ้มแมวที่ทำหน้าไม่ค่อยพอใจออกไปนอนในกรงของตัวเอง เดินกลับมาอีกครั้งตั้งใจจะเรียกให้เขาลุกไปนอนพักที่ห้องของตัวเองสักงีบก่อนค่อยกลับบ้านของเขา แต่เธอกลับตัดใจเรียกเขาไม่ลง ท่าทางเหนื่อยล้าทำให้เธออดเป็นห่วงไม่ได้ ร่างบอบบางค่อยๆ นั่งลงบนพื้นข้างโซฟาที่คนร่างใหญ่นอนหลับตาอยู่ ริมฝีปากของเขาหยักสวยเผยอขึ้นเล็กน้อย กลิ่นน้ำหอมผสมกลิ่นเหงื่อจางๆ กลายเป็นกลิ่นเฉพาะตัวของเขาหลายต่อหลายคืนที่เธอมองเขาหลับผ่านจอมือถือ แค่เห็นเขาหลับเธอก็มีความสุข แต่คราวนี้เธอเห็นเขาหลับอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกอยากสัมผัสตัวเขาผุดขึ้นกลางอก เขาอยู่ตรงหน้าเธอจริงๆ ปลายนิ้วยื่นไปแตะหัวคิ้วของเขาเบาๆ หวังให้รอยยับย่นที่เคร่งเครียดนี้จางลงบ้าง เสียงลมหายใจผ่อนคลายทำให้เธอรู้ว่าเขายังหลับอยู่ ความอยากใกล้ชิดทำให้เธอยื่นริมฝีปากไปกดับริมฝีปากของเขาเบาๆ เธอรู้ว่ามันเบามากแต่ไม่คิดว่าเพียงริมฝีปากแตะกัน ดวงตาที่คิดว่าปิดสนิทอยู่ก็เปิดเปลือกตาขึ้น นิรณาตกใจผงะถอยหลังแต่มือข้างหนึ่งของเขากลับยื่นมาดึงแขนเธอไว้ก่อน เขาออกแรงเพียงนิดเดียว ร่างเล็กก็กลับมาใกล้เขาอีกครั้งและมืออีกข้างประคองท้ายทอยของเธ
“อันที่จริงก็มีปัญหานิดหน่อย” เขาสังเกตสีหน้าอีกฝ่าย “ผมมีปัญหาเรื่องการนอนหลับ นอนหลับไม่สนิทอะไรแบบนั้น”“ค่ะ” นิรณาพยักหน้ารับ“แล้ว...ปกติผมฟังไลฟ์สดของน้องนานาตอนนอนเสมอ ฟังแล้วก็ผล็อยหลับไปตลอด...”“คะ?” ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย“คือช่วงนี้น้องนานาไม่ได้ไลฟ์สด ผมก็เลยไม่ได้ฟังเสียงน้องนานา แล้วก็เลย...นอนไม่ค่อยหลับ...”มีเรื่องประหลาดแบบนี้ด้วยเหรอ...นิรณาคิดในใจแต่ก็ยิ้มน้อยๆให้เขา“ก็เพิ่งย้ายบ้านใหม่ แล้วก็ไม่อยากให้คนที่บ้านจับได้ว่านานาอยู่ที่ไหนเลยว่าจะให้อะไรลงตัวก่อนค่อยกลับมาไลฟ์สดขายของค่ะ” “ครับ” เขายิ้มเขิน “นอกจากแม่ละน้องสาวแล้ว ก็มีเลขาคนเก่าคนแก่ที่ทำงานตั้งแต่รุ่นพ่อผมที่เป็นผู้หญิงที่ผมสนิทด้วย ชีวิตที่ผ่านมาผมก็ยุ่งเรื่องเรียนจนจบปริญญาโท มารับช่วงต่อบริษัทของพ่อก็ไม่มีเวลาคบหาใครจริงจัง เวลาอยู่กับผู้หญิงก็ทำตัวไม่ค่อยถูกเหมือนกัน กลัวจะคิดว่าผมเป็นพวกโรคจิต” “ไม่หรอกค่ะ พี่พายุใจดี ถ้าพี่พายุไม่ยื่นมือช่วยเหลือ นานาคงลำบากกว่านี้แน่ๆ”ไม่ใช่แค่ที่ซุกหัวนอนเท่านั้น แต่เขายังให้คนมาช่วยจัดการเรื่องขนย้ายข้าวของ และจ่ายค่าเสียหายที่ลุงวินั
“คะ?” เธอเงยหน้าสบตากับผู้ชายตรงหน้า น้ำเสียงจริงจังของเขาทำให้เธอรู้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น“คือผมมีทาวน์โฮมอยู่หลังหนึ่ง เพิ่งรีโนเวทเสร็จอาจจะยังไม่เรียบร้อยเท่าไหร่แต่สามารถเข้าอยู่ได้ทันที คุณนานาพาน้องกะทิไปอยู่ที่นั้นได้ครับ ผมไม่คิดค่าเช่า เอาแค่ค่าน้ำกับค่าไฟฟ้าก็พอ”‘ถ้าจะไม่คิดเงินเลย เธอคงปฏิเสธแน่ๆ’“เอ่อ...ผมไม่ใช่คนโรคจิตนะครับ” จิรายุรีบร้อนอธิบาย “คุณนานาอยู่ห้องนี้ต่อไปก็ต้องถูกคุณลุงตามมารังควานอีก และสภาพห้องแบบนี้คุณก็นอนไม่ได้อยู่ดี เก็บข้าวของที่จำเป็นไปอยู่กับผม เอ๊ย บ้านที่ผมซื้อไว้ดีกว่าครับ คุณนานาพาน้องกะทิไปดูก่อนก็ได้ ถ้าไม่โอเค.ก็ค่อยหาที่อยู่ใหม่”“ทำไมคุณถึงช่วยฉันละคะ”“เอ่อ...เพราะผม..ผมเป็นFCน้องกะทิครับ”‘ถ้าบอกว่าเป็นFC คุณนานา ต้องคิดว่าเขาเป็นผู้ชายหื่นกามแน่ๆ’“FCน้องกะทิ” นิรณาทำตาโต “คุณ...เป็นใครกันแน่...”จิรายุหยิบนามบัตรของตัวเองส่งให้นิรณา “ผมจิรายุครับ เจ้าของบริษัทธันเดอร์กรุ๊ฟครับ”“จิรายุ...”นิรณาอ้าปากค้าง เธอคิดว่าเขาเป็นไรเดอร์ขับรถรับของให้เธออยู่ตั้งนาน ก็ใครจะไปรู้ว่าเจ้าของบริษัทจะมารับแซนด์วิชด้วยตัวเองแบบนี้!ไม่น่าเชื่อเลยว่
“มาถึงก็เรียกหาแมวเลยนะมึง!” เสียงชายวัยกลางคนพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด“ลุงเข้ามาห้องหนูได้ยังไง”“กูเข้าได้ก็แล้วกัน” เพราะงัดแงะจนเป็นนิสัย ซ้ำยังเคยติดคุกข้อหาลักทรัพย์มาก่อน เรื่องแค่นี้ไม่คณามือคนอย่าง ‘วินัย’สามีของ ‘ป้าอำพร’ ตัวต้นเหตุหลักที่ทำให้นีรณาพยายามหาทางออกจากบ้านมาใช้ชีวิตคนเดียวอย่างนี้ “แต่ลุงนัยจะมางัดห้องหนูแบบนี้ไม่ได้นะ” เธอกลัวแต่พยายามฝืนข่มกลั้นไม่แสดงให้อีกฝ่ายรู้ “นึกว่ากูอยากมานักหรือไง” วินัยหันมาตะคอกใส่ “ถ้ามึงส่งเงินให้ป้ามึง กูก็ไม่ต้องลำบากมาถึงที่นี่หรอก” “หนูก็โอนให้ทุกเดือน จะเอาอะไรอีก” นิรณากวาดตามองหาเจ้าแมวกะทิ “ให้แค่สี่ห้าพันมันจะไปพออะไร มึงมันเนรคุณ ป้าเลี้ยงมึงมาแต่พอมึงปีกกล้าขาแข็งก็ทอดทิ้ง ไม่ไปดูดำดูดี อ้อ!หรือว่าติดผู้ชายมีผัวแล้วสิ คงหาเลี้ยงผัวจนไม่มีเงินให้ป้ามึงแล้วสินะ” “พูดอะไรให้มันระวังปากหน่อยนะลุง” นิรณาเหลืออด “หนูโอนเงินให้ใช้ก็ดีแค่ไหนแล้ว เลี้ยงดูอะไรกัน ให้หนูอยู่เป็นขี้ข้า ใช้งานอย่างกับคนรับใช้ ใครจะไปทนอยู่” “เดี๋ยวนี้มึงกล้าขึ้นเสียงใส่กูเรอ
พนักงานต่างแปลกใจที่ท่านประธานใจดีแจกแซนด์วิชพนักงานติดต่อกันหลายวัน บางวันก็แจกสบู่สมุนไพร บางวันก็เป็นยาสีฟัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแซนด์วิช ซึ่งก็อร่อยถูกปากพนักงานจึงไม่มีใครกล้าวิจารณ์พูดอะไร ที่สำคัญคือฟรีทุกคนจึงเต็มใจรับ “บอสค่ะ จะให้สั่งแซนด์วิชของคุณนานาอีกไหมคะ” เจนขวัญเป็นเลขาหน้าห้องเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มนิด เธออายุมากกว่าเจ้านาย เป็นเลขาหน้าห้องตั้งแต่รุ่นพ่อของท่านประธานคนปัจจุบัน ตอนนี้ก็ยังรับตำแหน่งเดิมอยู่เพิ่มเติมคือเงินเดือนที่มากขึ้นและอายุที่มากขึ้นเช่นกัน “ถ้าผมสั่งอีกพนักงานจะบ่นอะไรไหมครับ” จิรายุพูดไปตามที่คิด สำหรับเขา เจนขวัญเป็นมากกว่าเลขา เป็นเหมือนที่ปรึกษาของเขาด้วย “ของฟรีไม่มีคนบ่นหรอกค่ะ” เจนขวัญหัวเราะเบาๆ “แต่บอสจะจีบแม่ค้าขายแซนด์วิชแบบนี้เหรอคะ” “เอ่อ...ดูชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอครับ” คราวนี้จิรายุยกมือขึ้นลูบท้ายทอยแก้เขิน เขาเป็นพวกบ้างาน หากเป็นเรื่องงานเขาตัดสินใจได้รวดเร็ว แต่เป็นเรื่องผู้หญิง เขาเกรงจะทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจ กลายเป็นดูเป็นกังวลไปเสียหมด “ค่ะ” เลขาพยักหน้ารับ เพราะเธ
แม่ส่ายหน้าไปมาแล้วเดินไปหาลูกชายที่ไม่ค่อยกลับบ้านนัก เดือนสองเดือนจะแวะมาบ้านสักหน แม้ว่าปกติจะคุยโทรศัพท์กันบ่อย แต่ก็ไม่เหมือนกับได้เจอกันจริงๆ ทว่าทั้งสามก็ต้องชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงกรนเบาๆ คนที่บ่นนอนไม่หลับเวลานนี้หลับสนิทอยู่บนโซฟาตัวยาวใหญ่ โดยมีโทรศัพท์มือถือที่ยังเปิดเสียงไลฟ์สดของแม่ค้าอยู่“ไหนบอกว่านอนไม่หลับ นั้นเสียงกรนไม่ใช่เรอะ”“ลูกคงเหนื่อยนะพ่อ ให้ลูกนอนไปก่อนเถอะ เดี๋ยวตื่นแล้วก็ขึ้นไปนอนที่ห้องเองนั้นแหละ” แม่พูดแต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ “ยัยอุ่นบอกแม่บ้านเอาผ้าห่มแพรมาให้ทีสิ หลับแบบนี้ไม่รู้จะตื่นตอนไหน เอาผ้าห่มให้พี่เราหน่อย”“ค่ะแม่” ไออุ่นรับคำสั่งจากแม่ พ่อที่ดูปากร้ายแต่ก็เป็นห่วงลูกชายอยู่ไม่น้อยจึงไม่คิดปลุกลูกชายให้มาคุยกัน พ่อกับแม่เดินกลับไปพักที่ห้องของตนเองไออุ่นมองดูพี่ชายที่หลับสบายจนไม่อยากปลุก เธอเรียกแม่บ้านให้ไปเอาผ้าห่มแพรมาให้พี่ชายที่ไม่รู้จะตื่นตอนไหน เมื่อได้ของที่สั่งแล้วเธอก็ค่อยๆ ห่มผ้าให้พี่ชาย มือเรียวเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเอง เสียงไลฟ์สดขายสินค้ายังดังอยู่ เสียงหวานใสส่งเสียงด้วยประโยคที่คุ้นเคย‘สนใจรับทักได้ค่ะ’คนเ
เธอเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงงในคำพูดของเขา แต่ดวงตาเป็นประกายที่ก้มมองทำให้เธอร้อนผ่าวทั่วใบหน้า “ขอบคุณที่ให้เราเป็นคนแรกของเธอ” จันทร์เจ้าทำหน้าไม่ถูก ได้แต่แสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้กับสิ่งที่ได้ยิน “เราอ่อนด้อยประสบการณ์จนนายก็ดูออกเหรอ” “ไม่ใช่อย่างนั้น” เขาหัวเราะเบาๆ พลิกตัวนอนตะแคงเพื่อจะได้เห็นใบหน้าของเธอชัดๆ “เราชอบเธอ” “ชอบเรา?” “อื้ม ชอบตั้งแต่ตอนเรียนม.ปลายแล้ว” เขายิ้มกริ่ม “อกหักตั้งแต่ยังไม่ได้บอกรัก” “ล้อเล่นน่า” “จริงๆ” เขาถอนหายใจ ใช้ปลายนิ้วเกี่ยวผมเส้นผมยาวสลวยของเธอเล่น “เธอเป็นรักแรกของเรา แต่ยังไม่ทันได้บอกรัก เธอก็ลาออกไปก่อน ไม่คิดว่าคืนนี้จะได้พบกันแบบนี้” ‘และก็จบลงบนเตียง’ จันทร์เจ้าไม่ได้พูดในสิ่งที่อยากพูด เธอไม่แน่ใจว่าเขาต้องการอะไร หรือแค่ติดค้างความรู้สึกในวันวานที่อยากทำให้มันเป็นจริงและจบลงไป เพื่อที่จะได้ไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน “จันทร์เจ้า” “หือ?” “เราจีบเธอนะ” “หา”
ลิ้นร้อนของเขาทำให้ร่างเล็กสั่นสะท้าน ทั้งหวาดหวั่นและตื่นเต้นไปพร้อมกัน ผิวกายที่โผล่พ้นผ้าขนหนูเย้ายวนน่าลูบไล้ เขากดจูบหนักหน่วงขึ้นเมื่อคนใต้ร่างไร้การต่อต้าน มือกร้านลูบไล้ผิวกายอ่อนนุ่มแผ่วเบาแต่เรียกเสียงครางหวานในลำคอของหญิงสาว เธอหอบหายใจ มือเล็กเกาะไหล่ของเขาไว้อย่างไม่รู้ตัวทำให้ทรวงอกคู่สวยแนบชิดกับแผ่นอกกำยำ ฐานทัพถอนจูบแล้วสูดลมหายใจดวงตาเป็นประกายมองหญิงสาวที่กระสับกระส่ายอยู่เบื้องล่าง เขายันกายขึ้น สองขาคร่อมร่างของเธอไว้แล้วถอดเสื้อยืดออกเผยเรือนร่างเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ สายตามองไปที่ยอดตูมสีชมพูอ่อนที่สะท้อนขึ้นลงเพราะแรงหายใจของหญิงสาว เขายื่นปลายนิ้วไปลูบไล้บริเวณนั้นเบาๆ แต่ทำให้ร่างของเธอบิดเร่า เขาไม่ได้เร่งเร้า แต่เธอกลับต้องการเขาอย่างเหลือล้น ฐานทัพก้มหน้าลงจูบที่ซอกคอขาวผ่อง มือข้างหนึ่งกระตุกให้ผ้าขนหนูหลุดออกไปพ้นร่างเย้ายวนที่เวลานี้เปลือยเปล่าไร้สิ่งใดปกปิด แอร์ในห้องทำหน้าที่ของมันดีเยี่ยม แต่คนสองคนกำลังเร่าร้อนด้วยไฟเสน่หา ปลายนิ้วที่แตะต้องร่างกายกำยำยิ่งปลุกเร้าให้ชายหนุ่มเคลื่อนริมฝีปากครอบครองยอดอกสีชมพู ความเสียวซ่านที่ไม่เคยพานพบท
ดวงตาของเขาร้อนแรงจ้องมองอย่างเคร่งเครียดแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “...ได้ไหม?” จันทร์เจ้ายังมึนงงอยู่ได้แต่มองเขาด้วยสายตาที่สับสน จนกระทั่งเขาจับมือเธอที่วางอยู่บนอกของเขาขึ้นมาจูบกลางฝ่ามือแล้วเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “ถ้าเราทำมากกว่าจูบได้ไหม” หากเป็นคนอื่น เขาคงไม่เอ่ยถามแบบนี้ ภาษากายของเธอคือ Yes แต่เขาไม่มั่นใจ ฐานทัพยอมรับว่าเขากลัว...กลัวว่าหากล้ำเส้นไปแล้ว เธอจะหายไปไม่กลับมาอีก เธอคือรักแรกของเขา กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองรู้สึกในวันวานคืออะไร เธอก็หายไปจากชีวิตของเขาแล้ว “เราอยากได้คำตอบ” จันทร์เจ้าไม่เคยถูกใครถามแบบนี้ เธออาจเป็นเด็กเรียนดี ทำงานในห้องแล็ป แต่เรื่องความสัมพันธ์กับผู้คนนั้นบอกได้เลยว่าเธอสอบตก แต่พอรู้สึกได้ว่าเขากำลังจะปล่อยมือ เธอก็พยักหน้ารับเบาๆ การตอบรับที่ไร้เสียงแต่ทำให้หัวใจของฐานทัพเต้นรัวแรง เขายิ้มแล้วเอื้อมมือไปปลดเข็มขัดนิรภัยให้ จันทร์เจ้าก้มหน้างุดหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเองทั้งที่มันวางอยู่บนตักนานแล้ว ฐานทัพเอี้ยวตัวไปเบาะด้านหลังหยิบเป้ใบย่อมของตนแล้ว