ตลอดระยะเวลาหลายวันที่นั่งทำงานในห้องเดียวกับภคชนท์ฉัตรญาดาก็สังเกตท่าทางและใบหน้าของเขาอยู่ตลอด เธออยากจะเชื่อเหลือเกินว่าผู้ชายคนนี้คือผู้ชายคนเดียวกับคนที่เธอรู้จักเมื่อสิบปีก่อนแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มถามจากตรงไหน ในแต่ละวันงานยุ่งจนเธอไม่มีเวลาส่วนตัวคุยกับเขาเลยจนกระทั่งถึงวันหยุด
ฉัตรญาดาเช็กตารางออกตรวจของหมอภูวริษและเลือกที่จะไปใกล้เวลาเลิกงานของเขาในบ่ายวันเสาร์ซึ่งเขาออกตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวทำประวัติผู้ป่วยและนั่งรอตรวจอย่างไม่รีบร้อนเพราะคิดว่าถ้าตนเองได้ตรวจเป็นคนสุดท้ายก็จะมีโอกาสคุยกับคุณหมอได้มากขึ้นเมื่อถึงคิวตรวจพยาบาลก็เรียกเธอเข้าไปด้านในห้องตรวจ
“สวัสดีค่ะคุณหมอ” ฉัตรญาดากล่าวทักทายคุณหมอหนุ่ม
“อ้าว....คุณญาดามาได้ยังไงมี ธุระอะไรกับผมหรือเปล่า”
“ฉันมาหาหมอก็ต้องไม่สบายสิคะ”
“เป็นอะไรครับ เชิญนั่งก่อน”
“รู้สึกปวดต้นคอนิดหน่อยค่ะสงสัยจะก้มหน้าทำงานมากเกินไป”
“เพื่อนผมใช้งานหนักขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“เปล่าหรอกค่ะ ฉันไม่เคยทำงานนั่งโต๊ะก็เลยไม่ค่อยชินเท่าไหร่ค่ะ”
“ผมขออนุญาตตรวจนะครับ”
คุณหมอหนุ่มลุกขึ้นตรวจอาการของหญิงสาวไม่นานก็บอกกับเธอว่าอาการที่เธอเป็นอยู่เป็นอาการเริ่มต้นของออฟฟิศซินโดรมและแนะนำให้เธอขยับตัวและออกกำลังกายบริหารต้นคอระหว่างนั่งทำงานบ้าง
“ขอบคุณค่ะคุณ”
“หมอเดี๋ยวผมจะจัดยาทานให้นะครับถ้าหายปวดก็เลิกทานได้เลย แต่ต้องทานยาหลังอาหารทันที คุณอยากได้ครีมทาแก้ปวดไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันขอแค่ยาทานก็ได้” หญิงสาวรีบปฏิเสธเพราะอันที่จริงแล้วเธอไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยเพียงแต่อยากจะมาเจอเขาเท่านั้น
“วันนี้เป็นวันหยุดของคุณใช่ไหมญาดา”
“ค่ะ แต่หมอขยันจังเลยนะคะวันเสาร์ก็ยังมาตรวจ”
“ผมตรวจแค่ช่วงบ่ายวันเสาร์นะครับเบื่อๆ ไม่รู้จะไปไหนก็เลยรับขึ้นเวรที่โรงพยาบาลเพิ่ม กลับจากโรงพยาบาลแล้วคุณญาดามีธุระจะไปที่ไหนหรือเปล่า” ภูวริษมองนาฬิกาและเห็นว่ากำลังจะหมดเวลาออกตรวจของตนเอง
“ก็คงไปหาอะไรทานก่อนกลับคอนโดค่ะ”
“ถ้างั้นก็ดีเลย คุณญาดาหิวหรือยังครับ”
“ยังค่ะ คุณหมอถามทำไมคะ”
“ไปทานอะไรเป็นเพื่อนผมหน่อยดีมั้ยล่ะอีกประมาณ 15 นาทีผมก็จะเลิกงานแล้วก็คงพอดีกับที่คุณได้รับยา”
“ไม่รบกวนคุณหมอจนเกินไปใช่ไหมคะ มาให้ตรวจแล้วยังจะให้พาไปทานอาหารอีก”
“ไม่หรอกผมอยากหาคุณทานข้าวด้วยน่ะ คุณคงไม่ว่าอะไรนะถ้าจะไปกับผมตามลำพังแค่สองคน”
“ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ ถ้างั้นฉันขอไปรับยาก่อนนะคะ เสร็จแล้วจะนั่งรอที่หน้าห้องค่ะ”
“ครับ”
ฉัตรญาดาไปรับยาและกลับมานั่งรอภูวริษที่หน้าห้องตรวจไม่นานเขาก็เดินมาออกมา
“ไปรถผมนะครับ”
“ฉันว่าเอารถไปคนละคันดีกว่าค่ะ ขากลับคุณหมอจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาส่ง เราจะไปทานร้านไหนกันดีคะ”
“ร้านเดิมดีไหมล่ะคุณจำทางได้หรือเปล่า”
“จำได้ค่ะ ถ้างั้นเจอกันที่ร้านนะคะ”
ฉัตรญาดาและภูวริษนั่งทานอาหารไปด้วยคุยกันไปด้วยอย่างไม่เร่งรีบเท่าไหร่
“คุณภูกับบอสรู้จักกันมานานแล้วเหรอคะ” หญิงสาวเริ่มเปิดคำถาม
“ใช่ผมกับเขาเรียนด้วยกันตั้งแต่มัธยมน่ะ”
“เหรอคะ ฉันนึกว่าบอสเรียนมัธยมที่ต่างประเทศเสียอีกนะคะ”
ภูวริษชะงักเล็กน้อยเพราะเผลอหลุดพูดประวัติของเพื่อนออกไป
“ก็เป็นช่วงมัธยมน่ะครับ คุณญาดาอยากรู้อะไรเกี่ยวกับเพื่อนของผมใช่ไหม” ภูวริษรู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังสืบอะไรบางอย่างจากเขา และเขาก็จะตามน้ำไปก่อน
“ฉันสงสัยอะไรบางอย่างค่ะ”
“อะไรเหรอบอกผมได้ไหม”
“บอสหน้าตาเหมือนผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันเคยรู้จัก”
“แล้วเขาใช่คนเดียวกันหรือเปล่าล่ะ”
“ฉันไม่กล้าถามหรอกค่ะ เพราะชื่อกับนามสกุลของเขาไม่เหมือนกัน อีกทั้งการศึกษาก็ไม่น่าจะเป็นไปได้” ฉัตรญาดามีสีหน้าเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด
“ถ้างั้นคุณยังสงสัยอะไรอีกล่ะ”
“ไม่รู้สิคะยิ่งได้อยู่ใกล้ได้ทำงานกับบอสมันก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกคิดถึงผู้ชายคนหนึ่งเอามากๆ”
“ผู้ชายคนนั้นคงเป็นคนสำคัญของคุณญาดาใช่ไหม เป็นคนรักเก่าใช่หรือเปล่าล่ะ”
“ไม่ใช่นะคะ คุณภูอย่าเพิ่งเข้าใจผิด”
“แล้วตอนนี้ผู้ชายคนนั้นอยู่ที่ไหนล่ะครับ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
“ให้ผมช่วยตามไหมบอกชื่อกับนามสกุลมาสิ พ่อผมเป็นตำรวจอาจจะพอมีเส้นสายสืบเรื่องนี้อยู่บ้าง”
“จริงเหรอคะ ถ้าคุณพ่อคุณภูเป็นตำรวจก็น่าจะพอรู้ใช่ไหมว่าหลังจากนักโทษถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำแล้วพวกเขาจะไปที่ไหนต่อ”
“แต่ละคนก็มีวิถีชีวิตต่างกันไปครับบางคนก็ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่บางคนก็กลับไปทำผิดอย่างเดิมว่าแต่คุณญาดาถามแบบนี้ทำไม”
“ก็ผู้ชายที่ฉันพูดถึงเขาเคยรับโทษอยู่ในเรือนจำค่ะ แต่ฉันติดต่อเขาไม่ได้เลย”
“ทำไมไม่ลองไปถามญาติของเขาดูล่ะครับ”
“เขาไม่มีญาติที่นี่เลยค่ะ ฉันมืดแปดด้านไปหมดไม่รู้จะไปตามเขาที่ไหน”
“ทำไมถึงอยากตามเขาล่ะ”
“ฉันรู้สึกผิดกับเขาค่ะอยากจะเจอเขาอีกครั้ง”
“เวลามันผ่านมานานหรือยังครับ”
“ผ่านมาเกือบสิบปีแล้วค่ะ”
“ผ่านมาตั้งสิบปีแล้วทำไมจู่ๆ คุณถึงอยากจะขอโทษเขาขึ้นมาล่ะ”
“เพราะฉันเห็นหน้าบอสค่ะมันเลยทำให้ฉันคิดถึงผู้ชายคนนั้นคิดถึงช่วงเวลาที่เราสองคนเคยสนุกกันในวัยมัธยมค่ะ”
“ดูท่าทางคุณก็สนิทกับผู้ชายคนนั้นดีนะแต่ทำไมบอกว่าไม่ใช่แฟนล่ะ”
“ก็เขาไม่ใช่แฟนของฉันนี่คะ เขาเป็นคนรักของพี่ฉัน”
“ถ้ายังงั้นคุณก็ลองไปถามพี่สาวคุณสิ”
“ถามไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะเพราะหลังจากที่เขารับโทษไปอยู่ในสถานพินิจพี่สาวฉันก็ไม่เคยสนใจเขาอีกเลย พี่สาวฉันเป็นผู้หญิงที่ใจร้ายมากๆ”
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ เธออาจจะมีเหตุจำเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เลยค่ะ ผู้ชายคนนั้นเขาเขียนจดหมายมาหาพี่สาวฉันแต่พี่สาวฉันไม่เคยคิดแม้แต่จะเปิดอ่าน”
“น่าสงสารเขานะครับ”
“ค่ะ ฉันสงสารเขามากๆ ก็เลยตอบจดหมายและให้กำลังใจเขาแต่ฉันก็รู้สึกผิดมากๆ”
“จะรู้สึกผิดทำไมล่ะครับคุณติดต่อเขา เขาก็คงรู้สึกดีที่อย่างน้อยก็ยังมีคนคิดถึงเขาอยู่”
“ใช่ค่ะแต่ตอนนั้นฉันเขียนจดหมายและไม่ได้บอกว่าเป็นตัวฉันที่เขียน คนที่อยู่ด้านในนั้นก็คงคิดว่าพี่สาวของฉันยังมีใจให้เขาอยู่และคงจะรอให้เขาออกมา แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลยค่ะ ขอโทษนะคะที่ฉันพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”
“ไม่หรอกคุณญาดาพูดกับผมได้ทุกเรื่องนะผมรู้เรื่องบางเรื่องถ้าเราเก็บไว้ในใจคนเดียวมันจะทำให้เราเครียด ระบายมาเถอะครับถือว่าผมเป็นเพื่อนคนหนึ่งก็แล้วกัน”
“แล้วคุณเขียนจดหมายหาเขานานไหมครับ”
“ฉันเขียนจดหมายติดต่อกับเขาตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่เขาอยู่ที่สถานพินิจแต่พอเขาย้ายเข้าไปในเรือนจำเขาก็ไม่เขียนจดหมายมาอีกเลยและฉันก็ไม่รู้ว่าเขาถูกย้ายไปที่ไหน ฉันเองก็เด็กเกินกว่าที่จะไปตามสืบแล้วตอนนั้นตัวเองก็ต้องตั้งใจเรียนมีหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงที่เขาเข้าไปอยู่ในเรือนจำ”
“น่าเห็นใจทั้งคุณและเขานะครับ”
“สำหรับตัวฉันไม่น่าเห็นใจอะไรหรอกค่ะเพราะฉันใช้ชีวิตได้ตามปกติ ฉันเป็นห่วงก็แต่เขาเท่านั้นไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างจะมีครอบครัวหรือยังจะมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือเปล่า เขาจะได้เรียนต่ออย่างที่เขาตั้งใจไว้หรือเปล่า ฉันไม่มีโอกาสรู้เรื่องเขาเลย” หญิงสาวพูดแล้วยิ่งเศร้า
ภูรวริษเห็นท่าทางของเธอแล้วก็รู้สึกเห็นใจและอยากจะบอกให้เธอรู้เหลือเกินว่าผู้ชายที่เธอกำลังพูดถึงและห่วงใยนั้นตอนนี้เขามีชีวิตที่สุขสบายดีแต่ก็ไม่กล้าจะพูดออกไปเขาต้องเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้กับภคชนท์ฟังก่อนจากนั้นก็ค่อยให้ภคชนท์เป็นคนตัดสินใจเองว่าจะบอกเรื่องนี้กับฉัตรญาดาหรือเปล่า
“คุยกับแม่แล้วใช่ไหมญาดา”“ค่ะญาดาบอกแม่แล้วแม่จะรีบกลับมาพรุ่งนี้ค่ะ แล้วบอสคุยกับพี่โอปอแล้วพี่เขาเป็นยังไงบ้างเขา”“ก็ยังร้องไห้อยู่คงกลัวจะติดคุกนั่นแหละ”“ญาดาขอไปคุยกับพี่ก่อนได้ไหม”“ได้สิผมนั่งรอตรงโน้นนะ”“ค่ะ”ฉัตรญาดาเดินไปหาพี่สาวที่นั่งร้องไห้อยู่ภายในลูกกรง“พี่โอปอเป็นยังไงบ้าง”“ญาดาเธอรู้มั้ยว่าผู้ชายที่เป็นเจ้านายเธอน่ะก็คือวีรวัชร์”“เขาบอกพี่โอปอแบบนั้นเหรอคะ”“ใช่เขาเพิ่งบอกพี่เมื่อกี้ ที่เขาเข้ามาในชีวิตพวกเราก็เพื่ออยากจะทำลายครอบครัวของเรา”“ญาดารู้ค่ะว่าเขาคือพี่วัชร์”“เธอรู้แต่ทำไมเธอไม่บอกพี่”“ก็เขาไม่ให้บอกนี่คะ”“แล้วเธอก็ทำตามเขาอย่างงั้นเหรอ”“ที่ญาดาทำตามที่เขาบอกก็เพราะญาดารู้สึกสงสารและเห็นใจที่เขาต้องมารับโทษแทนพี่”“เธอกำลังถูกเขาหลอกใช้ได้นะญาดาเขาเห็นเธอแค่เป็นทางผ่านเพื่อมาแก้แค้นพี่เท่านั้นแหละ”“ญาดาขอโทษ”“เธอรู้เหรอว่าเขาจะแก้แค้น”“ญาดารู้ค่ะว่าเขาจะแก้แค้นพี่เขาบอกญาดาแล้วและที่เขานัดออกมาเจอวันนี้ก็เพื่อจะบอกความจริงทุกอย่าง แต่เรื่องมันก็เกิดขึ้นมาเสียก่อน ญาดาขอโทษนะคะที่บอกพี่ช้าไปทำเลยให้พี่กับพี่อาร์ทต้องทะเลาะกัน”“พี่เพิ่งรู้นะว่า
“บอสคะญาดาว่าถ้าบอสจะคุยกับพี่โอปอ บอสน่าจะคุยกันตามลำพังนะไม่น่าจะต้องพาญาดามาด้วยเลย” หญิงสาวนั่งบ่นหลังจากเขาไปรับเธอที่คอนโดเพื่อมายังร้านอาหารที่นัดกับลดาภัสน์“ไว้ก็ผมบริสุทธิ์ใจนี่ ผมอยากให้ญาดารู้ว่าผมคุยอะไรกับพี่สาวคุณบ้างและเราจบกันจริงๆ”“แต่ญาดากลัวพี่โอปอโกรธ”“ผมรู้ว่าเขาจะต้องโกรธมาก แต่ถ้าเราไม่พูดตอนนี้เรื่องมันก็จะไปกันใหญ่ ญาดาคงไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นใช่ไหม”“ค่ะแต่บอสมั่นใจแล้วใช่ไหม”“มั่นใจเรื่องอะไรก็มั่นใจว่าเราจะคบกันจริงๆ บอสจะไม่นึกถึงอดีต”“ไม่หรอกญาดาเรื่องทุกอย่างมันจบไปแล้วแต่ที่ผมคิดจะแก้แค้นพี่สาวของญาดาก็เพราะคำพูดของเขาที่พูดกับผมวันนั้นมันทำให้ผมรู้สึกเจ็บ แต่ตอนนี้ญาดาก็ทำให้ความรู้สึกเจ็บของผมหายไปแล้วผมรู้มันฟังดูแปลกที่ผู้ชายคนหนึ่งจะคบกับน้องสาวของคนที่ทำลายชีวิตเขา แต่ผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลยญาดาอย่าคิดมากเลยนะ”ภคชนท์ขับรถใกล้จะถึงร้านที่นัดไว้แต่โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นมาเสียก่อน“ทำไมไม่รับสายล่ะคะ”“เดี๋ยวก็ถึงร้านแล้วผมว่าไปคุยกันที่ร้านดีกว่านะ” ชายหนุ่มไม่อยากคุยขณะขับรถแต่ดูเหมือนลดาภัสน์จะไม่ยอมง่ายๆ เธอยังคงกดโทรศัพท์มาหาเขาอีกห
ช่วงวันหยุดยาวลดาภัสน์ไม่ได้ติดต่อไปหาภคชนท์เลยเพราะสามีของเธอกลับมาที่บ้าน บรรยากาศระหว่างสามีภรรยายังคงมึนตึงกันอยู่เพราะคนกลางอย่างคุณสุชาดามารดาของหญิงสาวไปทำบุญกับเพื่อนที่ต่างจังหวัดหลายวันทำให้ลดาภัสน์และอรรถพลอยู่กันตามลำพังในบ้านลดาภัสน์ตัดสินใจได้แล้วว่าเธอจะหย่าขาดจากสามีและไปเริ่มต้นใหม่กับภคชนท์หญิงสาวมั่นใจว่าชายหนุ่มไม่รังเกียจที่เธอเป็นแม่หม้ายและเขาพร้อมที่จะคบหากับเธอ จากการที่เขาแสดงออกหลายหลายอย่างมันทำให้ลดาภัสน์รู้ว่าเขาเองไม่ได้คิดกับเธอแค่เพื่อนอีกต่อไปเพราะคงไม่มีผู้ชายคนไหนยอมเสียเวลา เสียเงินพาไปช้อปปิ้งโดยไม่หวังอะไรในตัวเธอ“จะเอาอย่างนี้จริงๆ เหรอโอปอ ทำไมไม่นึกถึงวันเก่าๆ ของเราว่าที่ผ่านเรามีความสุขกันมากแค่ไหน” อรรถพลพยายามยื้อเพราะเขาไม่อยากจะเสียเธอไป“คำว่าวันเก่าๆ มันก็คืออดีตค่ะอาร์ทแต่ปัจจุบันโอปอไม่มีความสุขเลย อาร์ทไม่มีเวลาให้โอปอเหมือนเคย”“ผมก็พยายามหาเวลาให้โอปอมากขึ้นแล้วนะ อดทนรออีกนิดไม่ได้เหรอ”“โอปอเบื่อกับคำนี้เหลือเกินแล้วนะ”“ที่คุณอยากจะเลิกกับผมเพราะคุณมีผู้ชายคนใหม่ใช่โอปอ อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะ ผมให้เพื่อนตามสืบมาแล้ว คุณไปกับผู้
เมื่อได้พูดความรู้สึกออกไปแล้วภคชนท์ก็รู้สึกสบายใจขึ้น ตลอดระยะเวลาที่อยู่ภูเก็ตเขากับฉัตรญาดาตกลงกันว่าจะลืมเรื่องทุกอย่างไปก่อนแล้วจะเที่ยวด้วยกันอย่างสนุก ส่วนปัญหาที่มันยังค้างคาอยู่ค่อยกลับมาจัดการที่กรุงเทพทีหลังบ่ายวันอาทิตย์หลังจากที่ตระเวนเที่ยวกันรอบเกาะแล้ว ฉัตรญาดากับภคชนท์ก็กลับมาที่โรงแรมทั้งสองทานอาหารเย็นด้วยกันและนั่งมองพระอาทิตย์ตกดินด้วยกันอยู่บริเวณหาดทรายหน้าโรงแรม“ญาดาดูเหมือนจะชอบทะเลมากนะ แต่ทำไมไม่เห็นจะลงไปเล่นน้ำหรือไม่ได้เตรียมชุดว่ายน้ำมา ให้ผมพาไปซื้อก็ได้นะ”“ญาดาเตรียมชุดว่ายน้ำมาค่ะ แต่เห็นคนเล่นน้ำทะเลแล้วก็เลยเปลี่ยนใจ”“ทำไมล่ะ”“คนมันเยอะไปหน่อย”“แสดงว่าชุดที่เตรียมมาต้องเซ็กซี่มากๆ เลยใช่ไหมล่ะถึงไม่กล้าใส่ลงมาเล่นน้ำ”“ก็ประมาณหนึ่งค่ะ”“ถ้าอยากเล่นน้ำจริงๆ เราย้ายไปเช่ารีสอร์ทกันไหม เอาที่ที่มีหาดส่วนตัวญาดาเราจะได้เล่นน้ำ”“ไม่เป็นไรหรอกค่ะบอสพรุ่งนี้เราก็ต้องเริ่มต้นทำงานแล้ว แค่ได้นั่งมองพระอาทิตย์ตกดินแบบนี้ญาดาก็มีความสุขมากๆ แล้วค่ะ บอสล่ะคะ”“ผมมีความสุขมาก เราคงต้องอาหโอกาสมาเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ แล้วนะ”“บอสไม่เบื่อเหรอคะพี่ต้องขับรถพาญ
ภคชนท์มีท่าทางคิดหนักและลังเลว่าจะบอกความจริงฉัตรญาดาไปตอนนี้ดีหรือเปล่า บรรยากาศในร้านอาหารมันก็ค่อนข้างโรแมนติกมีเสียงเพลงสากลจากทางร้านคลอเบาๆ อีกทั้งยังได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งอยู่ไกลๆ“บอสเป็นอะไรคะทำไมนิ่งไปมีอะไรบอกญาดาตรงๆ ได้นะคะ”เขามองหน้าเธอก่อนตัดสินใจรวบรวมความกล้าแล้วพูดออกไป“ให้ผมพูดตรงๆ ใช่ไหม”“ใช่ค่ะ ญาดาพร้อมจะฟัง”“แล้วถ้าผมบอกว่าผมชอบญาดาล่ะ”“อะไรนะคะ” หญิงสาวตกใจจนช้อนที่อยู่ในมือแทบจะร่วง“บอสต้องล้อเล่นแน่ๆ เลย” เธอไม่เชื่อในสิ่งที่ภคชนท์พูดสายตาที่มองมีแต่ความสงสัย“ทำไมต้องคิดว่าล้อเล่นด้วยล่ะ”“ก็บอสเคยชอบพี่สาวของญาดานี่คะ”“ตัดอดีตทิ้งออกไปก่อนได้ไหมตอนนี้เราพูดกันถึงเรื่องปัจจุบัน”“บอสคะบอสเมาหรือเปล่า”“เราไม่ได้กินเหล้ากันนะ ไวน์ก็หมดไปแค่ครึ่งแก้วเอง”“บอสจะมาชอบญาดาได้ยังไง” เธอยังคงสงสัย“แล้วทำไมผมจะชอบคุณไม่ได้ล่ะ”“ไม่รู้สิคะ ญาดากับบอสอายุห่างกันตั้งเยอะนะคะ อีกอย่างญาดาก็เป็นแค่ผู้ช่วยของบอสเองมันไม่มีอะไรเหมาะสมกับบอสหรอก”“เมื่อกี้ในสเปกของญาดาไม่มีความว่าเหมาะสมเลยนะ แล้วผมก็ตรงสเปกของญาดาทุกอย่าง”“แล้วญาดาตรงสเปกของบอสตรงไหน”“ก็ตรงที่
ภคชนท์และฉัตรญาดามาถึงภูเก็ตในเวลาค่ำของวันศุกร์ทั้งสองเช็กอินเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งคุณแพรพรรณเลขาของชายหนุ่มได้จองไว้ให้แล้ว ห้องพักของทั้งสองเป็นห้องพักที่อยู่ติดกันและเมื่อเก็บของเข้าที่แล้วเขาก็พาเธอไปร้านอาหารที่อยู่ห่างออกไปจากโรงแรมโดยรถเช่าจองไว้ล่วงหน้าแล้ว“เป็นไงชอบร้านนี้ไหมญาดา”“ชอบค่ะบรรยากาศดีมากอาหารก็อร่อยบอสเคยมาทานที่นี่บ่อยไหม”“ก็ทุกครั้งที่มาภูเก็ตผมก็จะมาทานร้านนี้แหละ”“แล้วแต่ก่อนบอสมากับใครคะมากับพี่แพรหรือเปล่า”“มากับคุณแพรสองครั้งน่ะ จากนั้นก็มาคนเดียวอีกหน่อยญาดาอาจจะต้องมากับผมบ่อยขึ้น”“ไม่มีปัญหาค่ะ”“ถ้าต้องเดินทางบ่อยๆ สะดวกไหมมีใครว่าอะไรหรือเปล่า”“สะดวกค่ะ ญาดาไปได้ทุกที่” เธออยากจะพูดต่อว่าสามารถไปที่ไหนก็ได้ทุกที่ถ้าหากมีเขาไปด้วยแต่ก็หยุดคำพูดนั้นไว้แค่นั้นเพราะรู้ว่ามันไม่เหมาะสมที่จะสารภาพความรู้สึกของตนเองออกไป“เดือนหน้าก็จะต้องไปอเมริกาแล้วภาษาอังกฤษเป็นยังไงบ้างล่ะ”“สบายมากค่ะตอนนี้ญาดากำลังคิดว่าอยากจะเรียนเพิ่ม”“อ้าวไหนบอกว่าสบายมากแล้วทำไมอยากจะเรียนเพิ่มอีกล่ะ”“ญาดาไม่ได้อยากจะเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มสักหน่อย ญาดาคิดว่าจะเรียนภ