ตลอดระยะเวลาหลายวันที่นั่งทำงานในห้องเดียวกับภคชนท์ฉัตรญาดาก็สังเกตท่าทางและใบหน้าของเขาอยู่ตลอด เธออยากจะเชื่อเหลือเกินว่าผู้ชายคนนี้คือผู้ชายคนเดียวกับคนที่เธอรู้จักเมื่อสิบปีก่อนแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มถามจากตรงไหน ในแต่ละวันงานยุ่งจนเธอไม่มีเวลาส่วนตัวคุยกับเขาเลยจนกระทั่งถึงวันหยุด
ฉัตรญาดาเช็กตารางออกตรวจของหมอภูวริษและเลือกที่จะไปใกล้เวลาเลิกงานของเขาในบ่ายวันเสาร์ซึ่งเขาออกตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวทำประวัติผู้ป่วยและนั่งรอตรวจอย่างไม่รีบร้อนเพราะคิดว่าถ้าตนเองได้ตรวจเป็นคนสุดท้ายก็จะมีโอกาสคุยกับคุณหมอได้มากขึ้นเมื่อถึงคิวตรวจพยาบาลก็เรียกเธอเข้าไปด้านในห้องตรวจ
“สวัสดีค่ะคุณหมอ” ฉัตรญาดากล่าวทักทายคุณหมอหนุ่ม
“อ้าว....คุณญาดามาได้ยังไงมี ธุระอะไรกับผมหรือเปล่า”
“ฉันมาหาหมอก็ต้องไม่สบายสิคะ”
“เป็นอะไรครับ เชิญนั่งก่อน”
“รู้สึกปวดต้นคอนิดหน่อยค่ะสงสัยจะก้มหน้าทำงานมากเกินไป”
“เพื่อนผมใช้งานหนักขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“เปล่าหรอกค่ะ ฉันไม่เคยทำงานนั่งโต๊ะก็เลยไม่ค่อยชินเท่าไหร่ค่ะ”
“ผมขออนุญาตตรวจนะครับ”
คุณหมอหนุ่มลุกขึ้นตรวจอาการของหญิงสาวไม่นานก็บอกกับเธอว่าอาการที่เธอเป็นอยู่เป็นอาการเริ่มต้นของออฟฟิศซินโดรมและแนะนำให้เธอขยับตัวและออกกำลังกายบริหารต้นคอระหว่างนั่งทำงานบ้าง
“ขอบคุณค่ะคุณ”
“หมอเดี๋ยวผมจะจัดยาทานให้นะครับถ้าหายปวดก็เลิกทานได้เลย แต่ต้องทานยาหลังอาหารทันที คุณอยากได้ครีมทาแก้ปวดไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันขอแค่ยาทานก็ได้” หญิงสาวรีบปฏิเสธเพราะอันที่จริงแล้วเธอไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยเพียงแต่อยากจะมาเจอเขาเท่านั้น
“วันนี้เป็นวันหยุดของคุณใช่ไหมญาดา”
“ค่ะ แต่หมอขยันจังเลยนะคะวันเสาร์ก็ยังมาตรวจ”
“ผมตรวจแค่ช่วงบ่ายวันเสาร์นะครับเบื่อๆ ไม่รู้จะไปไหนก็เลยรับขึ้นเวรที่โรงพยาบาลเพิ่ม กลับจากโรงพยาบาลแล้วคุณญาดามีธุระจะไปที่ไหนหรือเปล่า” ภูวริษมองนาฬิกาและเห็นว่ากำลังจะหมดเวลาออกตรวจของตนเอง
“ก็คงไปหาอะไรทานก่อนกลับคอนโดค่ะ”
“ถ้างั้นก็ดีเลย คุณญาดาหิวหรือยังครับ”
“ยังค่ะ คุณหมอถามทำไมคะ”
“ไปทานอะไรเป็นเพื่อนผมหน่อยดีมั้ยล่ะอีกประมาณ 15 นาทีผมก็จะเลิกงานแล้วก็คงพอดีกับที่คุณได้รับยา”
“ไม่รบกวนคุณหมอจนเกินไปใช่ไหมคะ มาให้ตรวจแล้วยังจะให้พาไปทานอาหารอีก”
“ไม่หรอกผมอยากหาคุณทานข้าวด้วยน่ะ คุณคงไม่ว่าอะไรนะถ้าจะไปกับผมตามลำพังแค่สองคน”
“ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ ถ้างั้นฉันขอไปรับยาก่อนนะคะ เสร็จแล้วจะนั่งรอที่หน้าห้องค่ะ”
“ครับ”
ฉัตรญาดาไปรับยาและกลับมานั่งรอภูวริษที่หน้าห้องตรวจไม่นานเขาก็เดินมาออกมา
“ไปรถผมนะครับ”
“ฉันว่าเอารถไปคนละคันดีกว่าค่ะ ขากลับคุณหมอจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาส่ง เราจะไปทานร้านไหนกันดีคะ”
“ร้านเดิมดีไหมล่ะคุณจำทางได้หรือเปล่า”
“จำได้ค่ะ ถ้างั้นเจอกันที่ร้านนะคะ”
ฉัตรญาดาและภูวริษนั่งทานอาหารไปด้วยคุยกันไปด้วยอย่างไม่เร่งรีบเท่าไหร่
“คุณภูกับบอสรู้จักกันมานานแล้วเหรอคะ” หญิงสาวเริ่มเปิดคำถาม
“ใช่ผมกับเขาเรียนด้วยกันตั้งแต่มัธยมน่ะ”
“เหรอคะ ฉันนึกว่าบอสเรียนมัธยมที่ต่างประเทศเสียอีกนะคะ”
ภูวริษชะงักเล็กน้อยเพราะเผลอหลุดพูดประวัติของเพื่อนออกไป
“ก็เป็นช่วงมัธยมน่ะครับ คุณญาดาอยากรู้อะไรเกี่ยวกับเพื่อนของผมใช่ไหม” ภูวริษรู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังสืบอะไรบางอย่างจากเขา และเขาก็จะตามน้ำไปก่อน
“ฉันสงสัยอะไรบางอย่างค่ะ”
“อะไรเหรอบอกผมได้ไหม”
“บอสหน้าตาเหมือนผู้ชายคนหนึ่งที่ฉันเคยรู้จัก”
“แล้วเขาใช่คนเดียวกันหรือเปล่าล่ะ”
“ฉันไม่กล้าถามหรอกค่ะ เพราะชื่อกับนามสกุลของเขาไม่เหมือนกัน อีกทั้งการศึกษาก็ไม่น่าจะเป็นไปได้” ฉัตรญาดามีสีหน้าเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด
“ถ้างั้นคุณยังสงสัยอะไรอีกล่ะ”
“ไม่รู้สิคะยิ่งได้อยู่ใกล้ได้ทำงานกับบอสมันก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกคิดถึงผู้ชายคนหนึ่งเอามากๆ”
“ผู้ชายคนนั้นคงเป็นคนสำคัญของคุณญาดาใช่ไหม เป็นคนรักเก่าใช่หรือเปล่าล่ะ”
“ไม่ใช่นะคะ คุณภูอย่าเพิ่งเข้าใจผิด”
“แล้วตอนนี้ผู้ชายคนนั้นอยู่ที่ไหนล่ะครับ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
“ให้ผมช่วยตามไหมบอกชื่อกับนามสกุลมาสิ พ่อผมเป็นตำรวจอาจจะพอมีเส้นสายสืบเรื่องนี้อยู่บ้าง”
“จริงเหรอคะ ถ้าคุณพ่อคุณภูเป็นตำรวจก็น่าจะพอรู้ใช่ไหมว่าหลังจากนักโทษถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำแล้วพวกเขาจะไปที่ไหนต่อ”
“แต่ละคนก็มีวิถีชีวิตต่างกันไปครับบางคนก็ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่บางคนก็กลับไปทำผิดอย่างเดิมว่าแต่คุณญาดาถามแบบนี้ทำไม”
“ก็ผู้ชายที่ฉันพูดถึงเขาเคยรับโทษอยู่ในเรือนจำค่ะ แต่ฉันติดต่อเขาไม่ได้เลย”
“ทำไมไม่ลองไปถามญาติของเขาดูล่ะครับ”
“เขาไม่มีญาติที่นี่เลยค่ะ ฉันมืดแปดด้านไปหมดไม่รู้จะไปตามเขาที่ไหน”
“ทำไมถึงอยากตามเขาล่ะ”
“ฉันรู้สึกผิดกับเขาค่ะอยากจะเจอเขาอีกครั้ง”
“เวลามันผ่านมานานหรือยังครับ”
“ผ่านมาเกือบสิบปีแล้วค่ะ”
“ผ่านมาตั้งสิบปีแล้วทำไมจู่ๆ คุณถึงอยากจะขอโทษเขาขึ้นมาล่ะ”
“เพราะฉันเห็นหน้าบอสค่ะมันเลยทำให้ฉันคิดถึงผู้ชายคนนั้นคิดถึงช่วงเวลาที่เราสองคนเคยสนุกกันในวัยมัธยมค่ะ”
“ดูท่าทางคุณก็สนิทกับผู้ชายคนนั้นดีนะแต่ทำไมบอกว่าไม่ใช่แฟนล่ะ”
“ก็เขาไม่ใช่แฟนของฉันนี่คะ เขาเป็นคนรักของพี่ฉัน”
“ถ้ายังงั้นคุณก็ลองไปถามพี่สาวคุณสิ”
“ถามไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะเพราะหลังจากที่เขารับโทษไปอยู่ในสถานพินิจพี่สาวฉันก็ไม่เคยสนใจเขาอีกเลย พี่สาวฉันเป็นผู้หญิงที่ใจร้ายมากๆ”
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ เธออาจจะมีเหตุจำเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่เลยค่ะ ผู้ชายคนนั้นเขาเขียนจดหมายมาหาพี่สาวฉันแต่พี่สาวฉันไม่เคยคิดแม้แต่จะเปิดอ่าน”
“น่าสงสารเขานะครับ”
“ค่ะ ฉันสงสารเขามากๆ ก็เลยตอบจดหมายและให้กำลังใจเขาแต่ฉันก็รู้สึกผิดมากๆ”
“จะรู้สึกผิดทำไมล่ะครับคุณติดต่อเขา เขาก็คงรู้สึกดีที่อย่างน้อยก็ยังมีคนคิดถึงเขาอยู่”
“ใช่ค่ะแต่ตอนนั้นฉันเขียนจดหมายและไม่ได้บอกว่าเป็นตัวฉันที่เขียน คนที่อยู่ด้านในนั้นก็คงคิดว่าพี่สาวของฉันยังมีใจให้เขาอยู่และคงจะรอให้เขาออกมา แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลยค่ะ ขอโทษนะคะที่ฉันพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”
“ไม่หรอกคุณญาดาพูดกับผมได้ทุกเรื่องนะผมรู้เรื่องบางเรื่องถ้าเราเก็บไว้ในใจคนเดียวมันจะทำให้เราเครียด ระบายมาเถอะครับถือว่าผมเป็นเพื่อนคนหนึ่งก็แล้วกัน”
“แล้วคุณเขียนจดหมายหาเขานานไหมครับ”
“ฉันเขียนจดหมายติดต่อกับเขาตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่เขาอยู่ที่สถานพินิจแต่พอเขาย้ายเข้าไปในเรือนจำเขาก็ไม่เขียนจดหมายมาอีกเลยและฉันก็ไม่รู้ว่าเขาถูกย้ายไปที่ไหน ฉันเองก็เด็กเกินกว่าที่จะไปตามสืบแล้วตอนนั้นตัวเองก็ต้องตั้งใจเรียนมีหลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงที่เขาเข้าไปอยู่ในเรือนจำ”
“น่าเห็นใจทั้งคุณและเขานะครับ”
“สำหรับตัวฉันไม่น่าเห็นใจอะไรหรอกค่ะเพราะฉันใช้ชีวิตได้ตามปกติ ฉันเป็นห่วงก็แต่เขาเท่านั้นไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างจะมีครอบครัวหรือยังจะมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือเปล่า เขาจะได้เรียนต่ออย่างที่เขาตั้งใจไว้หรือเปล่า ฉันไม่มีโอกาสรู้เรื่องเขาเลย” หญิงสาวพูดแล้วยิ่งเศร้า
ภูรวริษเห็นท่าทางของเธอแล้วก็รู้สึกเห็นใจและอยากจะบอกให้เธอรู้เหลือเกินว่าผู้ชายที่เธอกำลังพูดถึงและห่วงใยนั้นตอนนี้เขามีชีวิตที่สุขสบายดีแต่ก็ไม่กล้าจะพูดออกไปเขาต้องเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้กับภคชนท์ฟังก่อนจากนั้นก็ค่อยให้ภคชนท์เป็นคนตัดสินใจเองว่าจะบอกเรื่องนี้กับฉัตรญาดาหรือเปล่า
บรรยากาศบ้านสวนของคุณนิวัฒน์และภัทราดูมีชีวิตชีวาเมื่อลูกสาวคนโตของบ้านกับน้องสาววัยสิบห้ากำลังคุยกันอย่างออกรส“พลอยอยากให้พี่ญาดากลับมาบ้านบ่อยๆ” พลอยภัทรานั่งเกาะแขนพี่สาวไว้ไม่ยอมปล่อย“พี่เขาต้องทำงานนะพลอยจะให้กลับมาบ่อยๆ คงไม่ได้หรอก” ภัทราบอกกับลูกสาวที่เอาแต่เกาะติดพี่สาวต่างมารดาไม่ยอมปล่อยตั้งแต่ฉัตรญาดากลับมาถึงบ้าน“ก็พลอยเหงานี่คะ อยู่กับพ่อและแม่น่าเบื่อจะตาย ขอออกไปเที่ยวกับเพื่อนบ้างก็ไม่ได้”“จริงเหรอคะพ่อ” ฉัตรญาดาหันไปถามบิดาเพราะตอนที่เธออายุเท่ากับพลอยภัทราบิดาไม่ได้เข้มงวดขนาดนี้“ไม่หรอกน่า น้องก็พูดเกินไป”“ไม่เกินไปเลยค่ะ พ่อห้ามไม่ให้พลอยออกไปเที่ยวกับเพื่อนหรือถ้าให้ไปก็ไปนั่งเฝ้าพลอยอึดอัดนะ”“ก็พ่อเป็นห่วงพลอย”“แต่พลอยโตแล้ว” เด็กสาวเถียงเพราะเพื่อนๆ ของเธอไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ“พลอยจ้ะ พี่ว่าเอางี้ดีไหมล่ะ” ฉัตรญาดากำลังหาทางออกให้บิดาและน้องสาว“ยังไงคะ”“ก็เวลาที่พลอยจะไปไหนพลอยก็บอกพ่อและนัดเวลารับส่งที่แน่นอน ส่วนพ่อก็ต้องไว้ใจน้องนะคะ ญาดาว่าน้องก็โตพอที่จับผิดชอบตัวเองได้แล้ว ตอนที่ญาดาอายุเท่าน้องพ่อยังให้ญาดาขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวกับเพื่อนเลยน
บ่ายวันเสาร์ภคชนท์ขับรถไปรอลดาภัสน์ที่หน้าโรงพยาบาล พอถึงเวลานัดหญิงสาวก็ลงมาจากตึกด้วยชุดกระโปรงสายเดี่ยวผ้าพลิ้วสีฟ้าน้ำทะเลและสวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวผูกชายเสื้อไว้ทางด้านหน้า“รอนานไหมคะ”“ไม่ครับ คุณสวยมากเลยนะ วันนี้ใส่ชุดนี้มาทำงานเหรอ”“เปล่าค่ะเพิ่งเปลี่ยนเมื่อกี้คุณชนท์จะพาไปทานอาหารทะเลทั้งทีก็ต้องแต่งตัวให้เข้ากับบรรยากาศหน่อยสิคะ” หญิงสาวยิ้มเมื่อเห็นว่าวันนี้เขาก็แต่งตัวสบายๆ ด้วยเสื้อโปโลสีขาวกับกางเกงผ้าต่างจากทุกครั้งที่จะสวมเชิ้ตและสวมสูททับ“ผมซื้อพายกับกาแฟมาให้คิดว่าคุณคงหิวเพราะอีกนานเลยกว่าเราจะไปถึงร้านอาหาร” เขาส่งกล่องพายและกาแฟให้กับลดาภัสน์ก่อนจะขับรถมุ่งหน้าไปจากหัวหินตามที่ได้คุยกันไว้“ขอบคุณค่ะโอปอกำลังหิวอยู่พอดีเลย คุณชนท์ทานด้วยกันไหมคะ”“ไม่เป็นไรครับผมทานมาแล้ว”ระหว่างทางไปหัวหินทั้งสองคนก็คุยกันอย่างสนิทสนม ลดาภัสน์รู้สึกเหมือนตัวเองรู้จักกับเขามานาน ถ้าหากภคชนท์ไม่ใช่นักเรียนนอกเธอคงจะคิดว่าเขาคือคนเดียวกับวีรวัชร์อย่างแน่นอน“ปกติแล้ววันหยุดคุณชนท์ทำอะไรคะ”“ก็ออกกำลังกาย ว่ายน้ำแล้วนอนดูหนังสักเรื่องที่คอนโดครับ คุณล่ะ”“ก็อยู่บ้านกับแม่ค่ะ ท
“ยังไม่นอนอีกเหรอคะแม่” ลดาภัสน์แปลกใจที่กลับมาเวลานี้แล้วมารดายังไม่เข้านอน“ก็ว่าจะนอนแล้วล่ะ งานหนักเหรอกลับดึกเชียว”“เปล่าหรอกค่ะแม่ โอปอไปทานข้าวกับเพื่อนมาค่ะ แม่เป็นอะไรหรือเปล่าสีหน้าไม่ดีเลย”“เย็นนี้ญาดาโทรมาหาแม่”“เหรอคะ แล้วญาดาว่ายังไงบ้างคะ”“ก็ถามเรื่องงานแล้วก็บอกว่าจะให้เงินเดือนแม่เพิ่ม”“เหรอคะ แล้วญาดาบอกไหมว่าจะให้เท่าไหร่”“แม่บอกน้องไปแล้วว่าไม่ต้องให้เพิ่มเพราะที่ให้มาก็มากพอแล้ว”“พอเหรอคะแม่ โอปอว่าน่าจะขอเพิ่มอีกสักหน่อย”“แค่นี้ก็รบกวนน้องมากแล้วนะโอปอ แม่เองก็พอมีเงินอยู่”“ญาดาไม่ได้ลำบากอะไรหรอกค่ะแม่ ตอนนี้ก็เพิ่งเข้าไปทำงานที่บริษัทใหม่เงินเดือนเยอะกว่าเดิมมาก”“ญาดาก็เล่าให้ฟังแล้วแต่แม่ก็อยากให้น้องเก็บเงินไว้บ้าง น้องยังต้องผ่อนคอนโดอีก แล้วโอปอล่ะลูกที่ทำงานใหม่เป็นยังไงบ้าง”“ก็ดีค่ะแม่ เงินเดือนเยอะขึ้นแต่ก็ต้องรับผิดชอบมากขึ้น วันเสาร์โอปอก็ต้องทำงานครึ่งวัน”“แล้วแบบนี้จะมีเวลาไปหาอาร์ทเหรอ”“ทำไมโอปอจะต้องไปหาเขาล่ะคะแม่ เขาต่างหากที่ต้องมาหาโอปอ นี่ก็หยุดยาวติดกันสามวันเขายังไม่มาเลย”“คุยกับเขาแล้วเหรอ”“เราคุยกันเมื่อตอนบ่ายค่ะ เขาว่าช่วง
ออกจากร้านอาหารแล้วภคชนท์ก็ไปนั่งดื่มที่ร้านของกษิเดชแต่เขาไม่ได้โทรนัดภูวริษออกมาเหมือนอย่างทุกครั้งเพราะวันนี้อยากนั่งดื่มคนเดียวและใช้ความคิดไปด้วย“ฉายเดี๋ยวเหรอวันนี้” กษิเดชเข้ามาทักทายรุ่นน้องที่เขาเห็นนั่งดื่มคนเดียวมาเกือบชั่วโมงแต่ก็ยังไม่เห็นเพื่อนสนิทของเขาอย่างหมอภูวริษมาด้วย“สวัสดีครับพี่เดช”“ดื่มคนเดียวเหงาไหมล่ะ”“ผมว่าผมเหงาจนชินแล้วล่ะครับ”“ไม่สบายใจเรื่องอะไร เล่าได้ไหม”“วันนี้ผมเจอโอปอ”“ใครกันโอปอ พี่พลาดอะไรไปหรือเปล่าเหมือนไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลยนะ” เขานั่งข้างๆ สายตามองรุ่นน้องที่นั่งหน้าเครียด“ผมก็เพิ่งได้ยินวันนี้แต่ถ้าบอกว่าผมเจอรวีพี่ก็คงร้องอ๋อ”“จริงเหรอ แล้วเป็นไงบ้างได้คุยกันหรือเปล่า นายจำเธอได้ไหม”“เธอเหมือนจะจำได้แต่ผมก็ปฏิเสธไปแล้ว ถ้าพี่เป็นเธอพี่จะเชื่อไหมล่ะ”“มันอยู่ที่ว่านายกับเธอรู้จักกันดีมากแค่ไหนก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป แต่ถ้าว่ากันตามจริงก็เชื่อยากนะเพราะนายเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งชื่อนามสกุลรวมถึงการศึกษา”“มันก็จริงนะ แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ”“ตอนนี้ยังคิดไม่ออกเลย อีกอย่างเธอก็แต่งงานไปแล้ว”“เสียใจไหม”“ก็นิดหน่อย แต่ผมก็เผื่อใจ
ฉัตรญาดาขับรถมายังร้านอาหารที่เธอมักมารับประทานเวลาเลิกงานกับเจ้านายเพราะถามแพรพรรณแล้วว่าร้านนี้น่าจะเหมาะสมที่สุดเพราะมีทั้งที่จอดรถและอาหารอร่อยหญิงสาวมาถึงร้านอาหารก่อนเวลาเล็กน้อยและพี่สาวของเธอก็ยังไม่มาถึงฉัตรญาดาเลือกนั่งโต๊ะติดกับประตูทางเข้าเพราะกลัวว่าพี่สาวจะมาแล้วมองไม่เห็นหรืออีกเหตุผลหนึ่งก็คือถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องก็จะได้หนีแบบง่ายๆพนักงานของร้านรีบเดินเข้ามารับออเดอร์ทันทีที่เห็นหญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้“รับอาหารเหมือนเดิมมั้ยคะ” พนักงานสาวทำด้วยความคุ้นเคยเพราะจำได้ว่าเธอคือผู้หญิงที่มารับประทานอาหารกับแขกประจำอย่างภคชนท์“ขอเมนูดีกว่าค่ะวันนี้ฉันมากับคนอื่น”“ได้ค่ะ”พนักงานหยิบเมนูอาหารมาให้หญิงสาวสั่งสเต๊กปลาสองที่และสั่งสลัดผัดกับสปาเกตตี้มาอีกอย่างละหนึ่งจาน เหตุผลเธอสั่งอาหารไว้รอเพราะคิดว่าเมื่อพี่สาวมาถึงก็จะได้รีบคุยธุระกันทันทีฉัตรญาดานั่งรอไม่นานนักพี่สาวของเธอก็เดินเข้ามาในร้านและเห็นเมื่อเห็นน้องสาวนั่งรออยู่ก็รีบตรงเข้ามาหาทันที“รอนานไหมญาดา โทษทีนะพี่ไม่คุ้นกับถนนเส้นนี้เลยขับมาแบบช้ามากๆ”“ไม่นานหรอกค่ะ ญาดาสั่งสลัดสเต๊กปลาแล้วก็สปาเกตตี้ให้แล้วนะคะ
“บอสเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ฉัตรญาดาสังเกตว่าวันนี้เจ้านายของเธอมีท่าทางแปลกตั้งแต่ขับรถออกจากบริษัท เขาดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา“เปล่านี่”“แน่นะคะ ญาดาว่าบอสเหมือนกำลังตื่นเต้นนะคะ งานนี้ไม่ใช่งานแรกที่บอสจะต้องไปสักหน่อย”“ผมบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ เรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะเดี๋ยวงานก็จะเริ่มแล้ว”การเปิดแผนกเสริมความงามแบบครบวงจรมีผู้มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก ภคชนท์มอบช่อดอกไม้เพื่อแสดงความยินดีกับแพทย์เจ้าของโรงพยาบาลและพูดคุยเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมาเพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่นได้เข้าไปแสดงความยินดีบ้างชายหนุ่มเดินไปตามบูทต่างๆ เพื่อหวังว่าจะเห็นผู้หญิงที่ชื่อลดาภัสน์แต่เขาผ่านมาหลายบูทก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา“บอสจะกลับเลยไหมคะ” ฉัตรญาดาเห็นว่าแขกบางคนเมื่อแสดงความยินดีเสร็จแล้วก็ทยอยกลับเขาจึงชวนเจ้านายกลับ“ผมว่าจะเดินดูรอบๆ สักหน่อย ถ้าคุณเมื่อยก็ไปนั่งรอได้นะญาดา”“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้สบายมา ญาดาว่าคนให้ความสนใจเยอะเหมือนกันนะคะ เขาจัดโปรโมชั่นได้น่าสนใจทีเดียว”“คุณอยากทำศัลยกรรมบ้างไหมล่ะ”“ไม่ค่ะ ญาดากลัวเข็ม”“กลัวเข็มแต่มาเป็นพยาบาลเนี่ยนะ”“ก็เราใช้เข็มกับคนอื่นนี่คะไม่ได้