[Part Plernta]
01:35 น.
@คอนโดG
หลังจากที่จัดการตัวเองให้อยู่ในสภาพพร้อมนอนเรียบร้อย แต่โคมไฟหัวเตียงยังเปิด สายตาโฟกัสหน้าจอมือถือซึ่งปรากฏแชทที่โคตรจะหนักขวา เพราะไร้การตอบกลับจากผู้รับ
ฉันยันตัวขึ้นนั่งพิงพนักหัวเตียง ก่อนจะตัดสินใจพิมพ์ข้อความส่งไปอีกครั้ง
ขอบคุณสำหรับวันนี้นะคะ : Plern_TA
ต่อมาฉันดีดแผ่นหลังขึ้นตั้งตรงเมื่อหน้าจอโชว์ว่า ‘เห็นแล้ว’ หลังจากข้อความถูกส่งไปได้ไม่ถึงนาที ริมฝีปากผลิบานทันควัน
ตึกตัก…ตึกตัก…ตึกตัก
เสียงหัวใจเต้นเร็วและแรงจนสัมผัสได้ เมื่อมีสัญญาลักษณ์ว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังพิมพ์ แสดงขึ้นในหน้าแชท
De.FiEw : อืม ถือว่าหายกัน
“อร๊ายยยยย!!!” ฉันหลุดกรี๊ดเสียงลั่นจนตัวเองยังตกใจ ก่อนจะดึงผ้านวมขึ้นมากัดไว้ ทั้งแขนและขาดีดดิ้น อยู่ไม่สุข แถมยังม้วนกลิ้งไปมาบนที่นอน นี่ฉันเขินกว่าตอนที่เขาจับมืออีกนะ…ดีใจยิ่งว่าตอนได้แต๊ะเอียจากป๊าม้าหลายร้อยเท่า
“ตอบแล้ว เขาตอบกลับฉันแล้ว ในที่สุด อ๊ายยย!” อยากจะประกาศให้คนทั้งโลกรู้ ไปจนถึงดาวเคราะห์ดวงที่แปดโน่นเลยจริงๆ
มือเล็กถูกยกขึ้นทาบอกในตอนที่ดีดตัวขึ้นนั่ง พยายามผ่อนลมหายใจเข้าออก ก่อนจะกลับมาจับจ้องหน้าจอมือถืออีกครั้ง
แต่ประโยคที่เขาพูดหมายถึง...? หายกันเรื่องอะไร
เรื่องอะไรคะ ที่ว่าหายกัน : Plern_TA
แต่คราวนี้เงียบแฮะ…อ่าน แต่ไม่ตอบ ฉันทิ้งเวลาผ่านไปราวๆ ห้านาที และนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกเรื่องที่จะเอามาคุยกับเขาได้
พรุ่งนี้เพลินเอาเสื้อไปคืนให้ที่ชั้นบนได้ไหม : Plern_TA
De.FiEw : ฝากมิณมา
(ส่งสติกเกอร์หมาคอตก) : Plern_TA
ว่าแล้วเชียว…คอฉันตก เหมือนสติกเกอร์ที่ส่งให้เขานั่นแหละ
เช้าวันต่อมา….
08:30 น.
“อื้ออออ…”
ฉันรู้สึกตัวตื่นเพราะเสียงกริ่งหน้าคอนโดดังรัวไม่หยุด ก่อนจะม้วนหมอนหนุนเข้าแนบหูพลิกตัวนอนคว่ำเพื่อหวังว่าจะไม่ได้ยินและนอนต่อ
แต่มันไม่ได้ไง…ฉันดีดตัวขึ้นนั่ง ยกมือยีผมตัวเองด้วยความหงุดหงิดทั้งที่เปลือกตายังปิดสนิท ก่อนจะหย่อนเท้าลงสวมสลิปเปอร์ข้างเตียงพลางหรี่ตาขึ้นเล็กน้อย แล้วกระแทกเท้าไปยังประตู
“อีมิณนะอีมิณ มาทำห่าอะไรแต่เช้าวะ…แม่จะด่าให้ยับเลย ไม่ได้นอนเต็มอิ่มสักวัน” บ่นพึมพำไปตลอดทางเดิน
ฉันดึงประตูเปิดพร้อมกับอ้าปากเตรียมจะด่าเต็มที่
“…” แต่ยังไม่ทันได้เริ่มก็ต้องเม้มริมฝีปากเข้าหากันซะก่อน คำด่ามากมายถูกกลืนกลับลงคอไปพร้อมก้อนน้ำลายอึกใหญ่
“ลูกม้าตื่นสายขนาดนี้เลยเหรอ หืม?” เสียงจากผู้เป็นแม่ทำให้ฉันตื่นขึ้นเต็มตาและมองตามผู้มาเยือนทั้งสองที่ถือวิสาสะเดินเข้ามาด้านในโดยไม่ได้รับคำเชิญ
สุดท้ายฉันทำได้แค่ดันประตูปิด...
“ป๊าม้า มาทำอะไร ไม่เปิดร้านรึไง” ฉันเอ่ยถามขณะสาวเท้าไปขนาบข้างผู้เป็นแม่ของทุกสรรพสิ่งในบ้าน
“เปิดก็มาได้ ทำไม ไม่อยากให้ป๊าม้ามา?” ป๊าตอบพลางกวาดสายตาสำรวจรอบคอนโด ส่วนม้าก็เดินตรงไปยังโต๊ะอาหารขนาดกลางก่อนจะวางข้าวของที่หอบมาลงบนนั้น
“ไม่ใช่สักหน่อย ก็ป๊าม้าชอบมาแบบไม่บอกอะ” ฉันพูดขึ้น แต่ยังจับจ้องอยู่กับอาหารหลายอย่างที่ม้าเตรียมมา
“ก็ลูกสาวคนเดียวของม้าไม่ยอมกลับบ้านเลย ปิดเทอมตั้งเป็นเดือนก็ไม่ยอมกลับ” ม้าบ่นไป จัดอาหารไปตามสไตล์ของมารดาที่แท้ทรู ด้วยความที่เป็นลูกสาวคนเดียว ป๊ากับม้าก็เลยหวงมากเป็นพิเศษ แต่ที่ได้แยกออกมาอยู่คอนโดก็เพราะฉันทำคะแนนได้ดีมาตลอด นี่คือสิ่งที่ได้ตอบแทน และมันโคตรคุ้มค่ากับการลงทุนตั้งใจเรียน
“ไม่ใช่ไม่อยากกลับ แต่ว่าลูกเตรียมเรื่องฝึกงานไง อีกสองอาทิตย์ก็เปิดเทอมแล้ว ต้องไปเริ่มฝึกงานเลยด้วย” ฉันอธิบายขณะสอดแขนเข้าโอบรอบเอวผู้ให้กำเนิดแน่น
“ลูกได้ที่ฝึกงานแล้วเหรอ” เสียงป๊าดังออกมาจากห้องนอน ฉันเบิกตากว้างหันไปมองด้วยความตกใจ เข้าไปตั้งแต่ตอนไหนนะ ไม่นานผู้เป็นพ่อก็เดินมือไขว้หลังออกมา
นี่นักสำรวจตัวยงเลยนะเนี่ย
“ได้แล้วซิคะ” ฉันตอบกลับเรื่องที่คุยกันค้างไว้ “บริษัทใหญ่ด้วยน้า กว่าจะได้ ลูกส่งไปตั้งหลายรอบแน่ะ”
“ได้ที่ไหน ไม่เห็นบอกม้าเลย”
“พีพีเอ็นค่ะ” ฉันตอบด้วยความภาคภูมิใจ นี่ไม่ใช่ใครนึกอยากจะเข้าไปฝึกงานก็ไปได้ง่ายๆ หรอกนะ เกรดต้องดีแถมต้องผ่านบทสัมภาษณ์ตั้งหลายรอบและฉันติดหนึ่งในสองคนของปีนี้ หนึ่งปี พีพีเอ็น จะรับเด็กเข้าฝึกงานแค่สองคนจากมหาวิทยาลัยดังทั้งจังหวัด ไม่มีการใช้เส้นสายใดๆ ทั้งสิ้น
อีกอย่างนี่เป็นบริษัทของครอบครัว ภูริศิรินันท์ ฉันจะได้เจอเขาทุกวันตลอดเวลาที่ฝึกงานอย่างแน่นอน
“ว้าว...สุดยอดเลย” ม้าตาลุกวาว แน่นอนว่าไม่มีใครไม่รู้จัก พีพีเอ็น
“ใช่ไหมล่ะคะ อ๊ะ!” ฉันยกยอตัวเองหน้าชื่นตาบานพลางเอื้อมมือไปหยิบของโปรดอย่าง ฮะเก๋ากุ้ง ที่อยู่ในกล่องอาหารแต่ถูกม้าตีอย่างแรง
“ไปอาบน้ำแปรงฟันก่อน ค่อยมากิน”
“ม้าอะ” ฉันลูบมือตัวเองป้อยๆ พลางทำหน้ามุ่ยใส่ผู้เป็นแม่
“ไปเลย”
ก่อนจะสะบัดตูดปั่นปึงไปจัดการตัวเองตามที่ม้าสั่งด้วยความจำยอม เพราะท้องร้องโครกครากไม่หยุดในตอนที่ได้กลิ่นอาหารหลากหลายของร้าน ไท่เหยียนติ่มซำ เป็นร้านที่ป๊ากับม้าช่วยกันสร้างขึ้นมาจนฉันมีชีวิตสุขสบายในวันนี้
ใช้เวลาไม่นานฉันก็พาตัวเองมานั่งเขี้ยวอาหารตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อยพร้อมหน้าพร้อมตา ท่านคงจะเหงาที่ฉันไม่อยู่บ้าน
“เออ ในกล่องนั่นของมิณกับนนท์นะ ม้าแยกให้แล้ว ฝากลูกไปให้พวกเขาด้วย”
“ได้ค่ะ” ฉันพยักหน้ารับ ก่อนจะคิดได้ว่าเขาขึ้นไปกรุงเทพในช่วงปิดเทอมนี้ คนที่ม้าพูดถึง พี่นนท์ พี่ชายข้างบ้านที่รู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ป๊ากับม้ารักและเอ็นดูเขามาก พอๆ กับมิณนั่นแหละ ถึงมิณจะเป็นเพื่อนช่วงมหาลัยแต่ป๊ากับม้าก็รักมันมากๆ ด้วยเหตุผลที่ว่ามันขาดอะไรหลายๆ อย่าง แต่สู้ชีวิตสุดยอด
เพราะฉะนั้น ในเมื่อพี่นนท์ไม่อยู่ ของฝากเหลือชุดหนึ่ง
ฉันวางตะเกียบลงพร้อมไอเดียดีๆ ในหัว
“จะไปไหน” ม้าเอ่ยถามในตอนที่ฉันผุดลุกจากเก้าอี้พุ่งตัวไปยังของฝากที่ม้าเตรียมมา
“เอาของไปให้มิณ” ฉันบอกพร้อมกับหยิบกล่องอาหารหนึ่งชุดมาถือไว้ในมือสาวเท้าไปที่ประตูด้วยความเร่งรีบ
“เอ้?…ทำไมต้องรีบละ กินให้อิ่มก่อนก็ได้”
“ลูกอิ่มแล้วค่ะ”
ประตูถูกปิดหลังจากสิ้นเสียงฉัน
แน่นอนว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงไม่ใช่การเอาของไปให้เพื่อนรักอย่างเดียวอยู่แล้ว แต่ฉันต้องได้ข้อมูลอะไรกลับมาด้วย…
“...” ฉันสะดุ้ง เมื่อหันไปเห็นสายตาพิฆาตของ คุณพีรกานต์ สายตาเขาดุดันมากขึ้น คิ้วเลื่อนเข้าชนกันชนิดที่ว่าแยกไม่ออกเลยแหละ มีวูบหนึ่งที่ฉันเห็นเขาแอบส่งสัญญาณให้ฉันรีบออกไปจากตรงนี้แต่มันทำแบบนั้นไม่ได้ไง…เพราะคุณเจนิสา เธอยังปรายตามองฉันตลอด และพอฉันไม่ทำตาม เขาก็ยิ่งดูเหมือนโมโหมากขึ้นมีแค่ฉันคนเดียวรึเปล่านะ ที่รู้ว่าเขากำลังโกรธ โดยหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้“ฉันอยากรู้ว่าเกณฑ์ตัดสินคืออะไรคะ มีการใช้เส้นสายรึเปล่า” คุณเจนิสาหันไปยิงคำถามกับท่านประธาน แต่กลับปิดจบประโยคด้วยการเอียงคอมองทายาทเพียงคนเดียวคุณพีรกานต์รีบละสายตาจากฉัน ไปหาคนตั้งคำถามในทันทีฉันไม่แน่ใจว่าคุณเจนิสาใช้สายตาแบบไหน เพราะเธอนั่งหันหลังให้ แต่ที่ชัดเจนคือสายตาของคุณพีรกานต์ เขาจ้องเธอด้วยสายตาที่แข็งกร้าวผิดปกติมันไม่ใช่สายตาของพนักงานมองลูกค้า ถึงเขาจะตำแหน่งสูงแค่ไหน ก็ไม่สมควร“คะ?” เป็นท่านประธานที่ดึงความสนใจจากคุณเจนิสากลับมาได้“อ้อ พอดี ฉันแค่กังวลเรื่องคุณภาพของงานน่ะค่ะ” เธออธิบาย โดยใช
@พีพีเอ็นอาทิตย์ต่อมา...De.FiEw : ก่อนกลับDe.FiEw : อย่าลืมไปแวะเอาเค้กที่ร้านฉันอดที่จะอมยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอมือถือการแวะไปเอาเค้กที่ร้านหน้าบริษัท กลายเป็นหนึ่งกิจวัตรที่ต้องทำทุกเย็นก่อนกลับบ้านเรื่องราวระหว่างเรายังคงดำเนินไปเรื่อยๆ หลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้เข้าใจกันมากขึ้น วันนั้นจนถึงวันนี้ ผ่านมาอาทิตย์กว่าไม่มีวันไหนที่เราไม่คุยกัน ทว่าในความสัมพันธ์ ที่ดูเหมือนจะชัดเจนแต่ก็ไม่…ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างคล้ายกับตอนนี้เราอยู่ในช่วง คนคุย หรือ กำลังศึกษาดูใจ หรืออาจจะไม่ใช่ทั้งสอง ไม่รู้สิ เขาเองก็ไม่เคยระบุ ว่าฉันจัดอยู่ในโหมดไหนแต่ถ้าถามฉัน เทให้เขาไปแล้วหมดหน้าตัก…ผลจะเป็นยังไง ค่อยว่ากันถึงการฝึกงานครั้งนี้จะไม่แฮปปี้และอยากจะให้โลกหมุนไปถึงวันสุดท้ายโดยเร็ว กลับกันมันดันเป็นที่เดียวที่จะให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง ด้วยการแอบมองเล็ก ๆ น้อย ๆส่วนการพูดคุยแบบตัวต่อตัว แบบสัมผัสจับต้อง ลืมไปได้เลย กล
ไม่นานภารกิจของฉันก็เสร็จสิ้น หลอดยาถูกปิดฝาอย่างดีและเก็บใส่ถุงตามเดิม“รู้ใช่ไหมว่าช่วงนี้…” เขาพูดขณะเอนหลังเล็กน้อย เพื่อมองหน้าฉัน“รู้ค่ะ แต่เราโทรคุยกันได้อยู่ใช่ไหม”“อือ”“แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ” สำหรับฉัน แค่เรายังติดต่อกันอยู่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ฉันสบายใจทั้งนั้นก๊อกๆๆฉันสะดุ้งโหย่ง หันไปมองตำแหน่งของเสียงด้วยความตกใจเมื่อมีคนเคาะประตูจากด้านนอก และหันกลับมาส่งสายตาขอความเห็นจากเฮียฟิวส์เขาพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับค่อยๆ ยกแขนออก นั้นจึงเป็นตอนที่ฉันดึงเสื้อเขาขึ้นให้เรียบร้อย ก่อนจะลุกไปคลายล็อกลูกบิดเพื่อเปิดประตูให้ผู้มาเยือน“เห่ย…!” เจ้าของผับเบิกตากว้างร้องอุทานด้วยความตกใจ“....” ฉันสะดุ้งอีกครั้ง วันนี้วิญญาณฉันคงไม่กลับเข้าร่างง่ายๆ หรอกแน่นอนว่าฉันไม่ได้ถูกระบุให้เข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้ อีกอย่างรุ่นพี่ดินไม่ได้รับรู้ถึงแผนการในครั้งนี้ รวมถึงไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเราด้วยเขาจ้องฉันตาเขม็ง
เท้าเรียวก้าวเดินมาหยุดทางฝั่งขวามือของเขา สะกิดให้ร่างหนาขยับหันหลังมาทางขอบข้างบริเวณที่พักแขนของโซฟาจับปกเสื้อร่นลงด้านหลัง แต่ด้วยความที่กระดุมถูกปลดไว้แค่เม็ดเดียว มันไม่กว้างพอให้เห็นชัดทั้งหมด“เฮีย ปลดกระดุมอีกเม็ดหนึ่งค่ะ”“ปลดเองสิ”ให้มันได้ยังงี้สิ…ไม่เคยจะยอมให้ความร่วมมือกับอะไรสักอย่างจริงๆฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน พลางหย่อนก้นลงบริเวณขอบที่พักแขนของโซฟาแบบหมิ่นเหม่เอื้อมมือไปจับสาบกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาแต่ยังไม่ทันได้ปลดออกวินาทีต่อมาการกระทำทุกอย่างของฉันถูกสั่งให้หยุดชะงัก เมื่อเขาค่อยๆ ยกแขนขวาพาดมาบนตักอย่างเชื่องช้า เกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปหน้าหล่อเหลาเล็กน้อยตอนขยับฉันสูดหายใจเข้าลึก พยายามจะไม่คิดอะไรที่มันอยู่ในสุ่มเสี่ยงและทำหน้าที่ของตัวเองต่อทั้งที่บอกว่าไม่คิดอะไร…แต่ทำไมใจสั่น คอแห้ง ก็ไม่รู้ การกระทำทั้งหมดอยู่บนความล่อแหลมและยังถูกจับจ้องด้วยสายตาคู่คมตลอดเวลาฉันจึงเลื่อนมองไปทางอื่น ทำเป็นไม่อยากเห็นส่วนที่อยู่ภายใต้กระดุมเม็ดนี้ ใจฉันอยู
[Part Plernta]“เพลินก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้หรอกนะ เฮียรู้ไว้ด้วย ถ้าการเลิกชอบใครสักคนมันง่าย….” ฉันเม้มริมฝีปากแน่น ประโยคถูกทิ้งค้างไว้แค่นั้น ก่อนจะหันไปสบตากับผู้ชายที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกฉันมากที่สุดในตอนนี้ หัวคิ้วของเขามุ่นขึ้นมาเล็กน้อยฉันปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่าเกือบครึ่งนาที ก่อนจะเริ่มทำลายความเงียบอีกครั้ง“ป่านนี้เพลินก็….” แต่ยังไม่ทันจบ...ฉันหยุดพูดกะทันหันด้วยความตกใจ เมื่อเฮียฟิวส์เอื้อมมือมารั้งท้ายทอยฉันเข้าหา จนปลายจมูกเราสัมผัสกัน สายตาคู่คมจ้องลึกเข้ามาในดวงตาฉันราวกับเขากำลังควานหาบางอย่างในนั้น ร่างกายฉันแข็งทื่อเสมือนกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน การหายใจที่ดูเบสิกกลายเป็นเรื่องยากในพริบตา“ก็อะไร” สายตายังสอดประสานขณะเขาเอ่ยถาม ฉันพยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะที่หลุดลอยไปพร้อมกับแรงกระชากก่อนหน้าให้กลับเข้าร่าง พยายามเบี่ยงหน้าหนี แต่ถูกบังคับให้หันกลับมาด้วยนิ้วหัวแม่มือที่กดอยู่ข้างแก้ม“หืม…” การเร่งรัดเอาคำตอบเกิดขึ้นจากฝ่ายตรงข้าม“ก็…คงทำ…”คำพูดของฉันขาดช่วงไม่จบประโยค ส่วนที่เหลือถูก
เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นดังต่อเนื่องก่อนจะมาหยุดขนาบข้างโซฟาที่ผมนั่ง ส่งผลให้ผมปรายตามองรองเท้าส้นสูงสีดำ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน แน่นอนว่าไม่มีผู้หญิงของใครที่จะเข้ามาแบบไม่ทักทายเสียรู้ให้ไอ้พวกเวรนั้นจนได้ ถึงว่า…ทำไมอยากให้ออกมาขนาดนั้น“ขอโทษนะคะ ที่เข้ามาโดยไม่ได้ขออนุญาต” เสียงหวานคุ้นหูเอื้อนเอ่ยแสดงความรู้สึกผิด ที่ไม่ได้รู้สึกผิดจริง มันเป็นการเริ่มต้นประโยคตามมารยาทเท่านั้น“....” และผมยังเอาแต่ก้มหน้าเงียบ อยู่ท่าเดิม การที่คนในความคิดออกมาปรากฏตัวต่อหน้าในเวลาที่ผมยังไม่พร้อม ดูเป็นอะไรที่ฉุกละหุกเกินไป ผมยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเธอตอนนี้ไม่สิ…ความจริงมันมีอย่างหลาย แต่แค่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเรียวขาเล็กค่อยๆ ก้าวผ่านหน้าผมและหย่อนก้นลงบนโซฟาตัวเดียวกับผมที่ว่างด้านซ้าย“ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยเพลินไว้ นี่ค่ะ..ยา” พูดจบถุงกระดาษใบเล็กก็ถูกวางบนโต๊ะ“....” ผมเหลือกตาขึ้นมองเล็กน้อย ก่อนจะหลุบโฟกัสปลายเท้าตัวเองตามเดิม ไม่อยากมองหน้าเธอเพราะกลัวใจตั