[Part Peerakan]
ผมใช้เวลาไม่นานก็พาตัวเองมาถึงบ้าน…บ้านขนาดกลาง แต่สำหรับผมมันใหญ่มาก...มากเกินกว่าที่จะอยู่คนเดียว บ้านที่มีครบทุกอย่าง แต่ไม่มีครอบครัว เพราะผมเสียพวกเขาไปจากอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ผมอายุไม่ถึงสิบขวบเลยด้วยซ้ำ ทั้งพ่อ แม่ และน้องสาว ทั้งสามคนเห็นแก่ตัวมากๆ ที่หนีไปอยู่สุขสบายพร้อมหน้าและทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวบนโลกที่แสนกว้างใหญ่และเลวร้าย
ครอบครัวเดียวที่ผมมีอยู่ในตอนนี้ก็คือไอ้พวกแม่งนั่นแหละ ถึงจะช่วยให้คลายเหงาได้ ช่วยเหลือได้ในยามจำเป็น แต่มันทดแทนสิ่งที่ผมเสียไปไม่ได้เลย…
น่าแปลก…ที่การอยู่คนเดียวมันยิ่งทำให้ผมจมลึกอยู่กับความเจ็บปวด แต่ผมยังชอบการอยู่คนเดียว ชอบความเจ็บปวด ซึ่งนานวันเข้ามันเริ่มแปรเปลี่ยน
เป็นความชินชา
เหตุการณ์หลายอย่างที่ผมอยากจะลืม…มันก็ยิ่งตอกย้ำชัดเจนขึ้น ว่าไม่ควรมีใครเข้ามาอยู่ในชีวิตผมเลยสักคน
พรึ่บบบ!
ไฟทั่วทั้งบ้านถูกเปิดอัตโนมัติในตอนที่ผมก้าวขาผ่านวงกบประตู ทั้งชั้นล่างและชั้นบน ถึงผมจะชอบอยู่คนเดียวแต่ผมไม่ได้ชอบความมืดเลยสักนิด
ผมเดินตรงขึ้นบันไดมายังชั้นสองของบ้านซึ่งเป็นพื้นที่โล่งทั้งชั้นไม่มีการกั้นห้อง แต่ทุกส่วนยังถูกแบ่งเป็นโซนอย่างชัดเจน เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นล้วนแล้วแต่เป็นสีดำซะส่วนใหญ่ จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้โต๊ะทำงานที่มีจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่สามจอตั้งหันหน้าเข้าหากันเป็นมุมพอดีให้ใช้งานได้สะดวก สายตาจับจ้องเส้นกราฟที่ปรากฏพร้อมรอยยิ้มมุมปาก สิ่งเดียวที่ทำให้นักเทรดอย่างผมมีความสุขสุดๆ ก็คือการวิ่งขึ้นของกราฟตัวช้อนซื้อไว้เนี่ยแหละ
แน่นอนถ้าพูดถึงการลงทุนก็ต้องหวังผลกำไร...
พีพีเอ็น เป็นบริษัทของ ตระกูล ภูริศิรินันท์ ซึ่งพ่อเป็นประธานใหญ่และพอท่านเสีย ทุกอย่างถูกโยนเป็นกรรมสิทธิ์ของผมในทันที แต่ผมยกให้คุณอาฉัตร น้องสาวคนเดียวของพ่อเป็นคนดูแลต่อ ซึ่งท่านมีครอบครัวแต่ไม่มีลูก สุดท้ายทุกอย่างก็จะกลายมาเป็นของผมอยู่ดี
ความจริงคือผมไม่ได้สนใจหรืออยากได้ เพราะทุกอย่างที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้มันมากพอที่ผมจะใช้ไปได้ทั้งชีวิต แต่ถ้าเลือกได้ผมขอเป็นคนที่ไม่มีอะไรแต่มี
ครอบครัวจะดีกว่า
ผมยังควบคุมดูแลเรื่องการลงทุนกับหุ้นของบริษัททั้งหมดอยู่เบื้องหลัง และผมได้กำไรจากพวกมันมากพอที่จะไม่ต้องไปมีส่วนร่วมในบริษัท
“...!?” คิ้วหนาขมวดมุ่นทันทีที่เจอความผิดปกติบางอย่างของข้อมูลลูกค้าบางคน
ผมหยิบมือถือขึ้นมาต่อสายหาผู้ช่วยคนสนิท ‘ไอ้เต’ มันอายุน้อยกว่าผมสองปีแต่เก่งฉิบหาย จนได้ก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นหัวหน้าฝ่ายเรื่องการลงทุนของ พีพีเอ็น ภายในสองปีที่เข้ามาทำงาน
มันปล่อยให้ผมรอสายอยู่พักใหญ่…
[ไม่แหกตาดูเวลาบ้างเลยเหรอครับเจ้านาย] นี่แหละ ลูกน้องผม…รับสายปุ๊บด่านำมาก่อนเลย
“ถ้าพูดขนาดนี้ไม่ต้องเรียกกูเจ้านายก็ได้มั่ง” ผมแดกดัน แต่มันก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไร
[อ้าว พูดเองนะ]
“ทะลึ่งละไอ้เวร”
ที่เราสนิทกันเพราะมันเป็นน้องรหัสตอนอยู่มหาวิทยาลัย และผมเองที่เป็นคนแนะนำให้มันมาสมัครที่ พีพีเอ็น
[ก็โทรมาซะดึกเลย ผมไม่ใช่แวมไพร์อย่างเจ้านายนะครับ คนบ้าอะไรไม่หลับไม่นอน] มันบ่นปนเสียงหาวนอนไม่หยุด
“อย่าพูดมาก กูมีเรื่องด่วน” ผมรีบเข้าเรื่องก่อนที่ไอ้ลูกน้องเวรจะหลับคาสาย
[ครับๆ ว่ามา]
“พรุ่งนี้ หาข้อมูลของลูกค้าที่ชื่อ เจนิสา นิโคลาส ให้กูที ลูกค้าที่เข้ามาลงทุนใหม่” ข้อมูลของเธอมีน้อยมากในระบบและผมมีลางสังหรณ์ใจแปลกๆ เธอชื่อคล้ายกับใครบางคนที่ผมเคยรู้จัก
[มีอะไรรึเปล่าครับ]
“เขาลงทุนแปลกๆ เลือกลงแต่ตัวที่กราฟมันพุ่ง ลงหนักซะด้วย”
[ครับ พรุ่งนี้ผมจัดการให้]
ทันทีที่มันตอบรับผมก็กดตัดสาย แต่ยังจดจ่ออยู่ที่ฐานข้อมูลลูกค้า เจนิสา…
เรื่องนี้เป็นอะไรที่ซีเรียสมากๆ ถ้าเป็นไปอย่างที่ผมคาดการณ์ เธอเสี่ยงจะล้มละลายถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งสิ่งนี่ พีพีเอ็น ยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด มันจะเสียหายตามกันไปหมดทุกส่วน เสียชื่อ เสียลูกค้า เสียความน่าเชื่อถือ รวมไปถึงผู้ถือหุ้นหลายๆ คนก็จะพากันถอนหุ้นออก ผลกระทบมากมายจะตามมา หุ้นของ พีพีเอ็น จะดิ่งลงเหว พนักงานอีกหลายร้อยชีวิตก็จะซวยไปด้วย
ภาวนาอย่าให้ เจนิสา เป็นคนเดียวกับที่ผมคิด…ไม่งั้นต่อจากนี้คงมีเรื่องให้ปวดหัวตามมาอีกเพียบ
ลืมเรื่องใช้ชีวิตสงบสุขไปได้เลย...
19:30 น.ครืดดด!…ครืดดด!ฉันเหลือบมองหน้าจอมือถือที่แจ้งเตือนสายโทรเข้า พอเห็นว่าจากใครเท่านั้นแหละ ฉันวางมือจากทุกอย่างและรีบรับสายทันที[อยู่ไหน]ฉันเงยหน้าขึ้นดูเวลาเป็นอันดับแรกหลังจากได้ยินเสียงเข้มจากปลายสาย ก่อนจะพบว่าตัวเองปั่นงานมายาวนานจนลืมทุกสิ่งอย่าง แม้กระทั่งแชทไปบอกเขา ว่าวันนี้ต้องทำโอที… และที่เขาโทรมาก็เพราะฉันเงียบหายไปในช่วงเวลาประจำของเรา“ออฟฟิศค่ะ” ฉันตอบเสียงอ่อย[ทำไมยังไม่กลับ] ทว่าเสียงฝ่ายตรงข้ามกลับดังขึ้นกว่าเดิมอีก“ทำโอทีค่ะ ออดิทเลื่อนเข้าพรุ่งนี้ ก็เลยต้องรีบเคลียร์เอกสาร เพลินลืมบอก ขอโทษ”[แล้วไปเอาเค้กรึยัง]“ไปเอามาตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ” ฉันตอบ ก่อนเหลือบมองถุงเค้กบนโต๊ะพร้อมอมยิ้ม นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่เยียวยาฉันได้ดีที่สุด ของช่วงเวลาฝึกงานที่แสนจะหดหู่นี้[ใกล้เสร็จรึยัง] น้ำเสียงที่ส่งกลับมาเริ่มอ่อนโยนขึ้นนิดหน่อย“ใกล้แล้วน่าจะอีกสัก...ครึ่งชั่วโมง” ฉันใช้ไหล่แนบมือถือไว้ข้างหูแทน เพ
“...” ฉันสะดุ้ง เมื่อหันไปเห็นสายตาพิฆาตของ คุณพีรกานต์ สายตาเขาดุดันมากขึ้น คิ้วเลื่อนเข้าชนกันชนิดที่ว่าแยกไม่ออกเลยแหละ มีวูบหนึ่งที่ฉันเห็นเขาแอบส่งสัญญาณให้ฉันรีบออกไปจากตรงนี้แต่มันทำแบบนั้นไม่ได้ไง…เพราะคุณเจนิสา เธอยังปรายตามองฉันตลอด และพอฉันไม่ทำตาม เขาก็ยิ่งดูเหมือนโมโหมากขึ้นมีแค่ฉันคนเดียวรึเปล่านะ ที่รู้ว่าเขากำลังโกรธ โดยหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้“ฉันอยากรู้ว่าเกณฑ์ตัดสินคืออะไรคะ มีการใช้เส้นสายรึเปล่า” คุณเจนิสาหันไปยิงคำถามกับท่านประธาน แต่กลับปิดจบประโยคด้วยการเอียงคอมองทายาทเพียงคนเดียวคุณพีรกานต์รีบละสายตาจากฉัน ไปหาคนตั้งคำถามในทันทีฉันไม่แน่ใจว่าคุณเจนิสาใช้สายตาแบบไหน เพราะเธอนั่งหันหลังให้ แต่ที่ชัดเจนคือสายตาของคุณพีรกานต์ เขาจ้องเธอด้วยสายตาที่แข็งกร้าวผิดปกติมันไม่ใช่สายตาของพนักงานมองลูกค้า ถึงเขาจะตำแหน่งสูงแค่ไหน ก็ไม่สมควร“คะ?” เป็นท่านประธานที่ดึงความสนใจจากคุณเจนิสากลับมาได้“อ้อ พอดี ฉันแค่กังวลเรื่องคุณภาพของงานน่ะค่ะ” เธออธิบาย โดยใช
@พีพีเอ็นอาทิตย์ต่อมา...De.FiEw : ก่อนกลับDe.FiEw : อย่าลืมไปแวะเอาเค้กที่ร้านฉันอดที่จะอมยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอมือถือการแวะไปเอาเค้กที่ร้านหน้าบริษัท กลายเป็นหนึ่งกิจวัตรที่ต้องทำทุกเย็นก่อนกลับบ้านเรื่องราวระหว่างเรายังคงดำเนินไปเรื่อยๆ หลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้เข้าใจกันมากขึ้น วันนั้นจนถึงวันนี้ ผ่านมาอาทิตย์กว่าไม่มีวันไหนที่เราไม่คุยกัน ทว่าในความสัมพันธ์ ที่ดูเหมือนจะชัดเจนแต่ก็ไม่…ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างคล้ายกับตอนนี้เราอยู่ในช่วง คนคุย หรือ กำลังศึกษาดูใจ หรืออาจจะไม่ใช่ทั้งสอง ไม่รู้สิ เขาเองก็ไม่เคยระบุ ว่าฉันจัดอยู่ในโหมดไหนแต่ถ้าถามฉัน เทให้เขาไปแล้วหมดหน้าตัก…ผลจะเป็นยังไง ค่อยว่ากันถึงการฝึกงานครั้งนี้จะไม่แฮปปี้และอยากจะให้โลกหมุนไปถึงวันสุดท้ายโดยเร็ว กลับกันมันดันเป็นที่เดียวที่จะให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง ด้วยการแอบมองเล็ก ๆ น้อย ๆส่วนการพูดคุยแบบตัวต่อตัว แบบสัมผัสจับต้อง ลืมไปได้เลย กล
ไม่นานภารกิจของฉันก็เสร็จสิ้น หลอดยาถูกปิดฝาอย่างดีและเก็บใส่ถุงตามเดิม“รู้ใช่ไหมว่าช่วงนี้…” เขาพูดขณะเอนหลังเล็กน้อย เพื่อมองหน้าฉัน“รู้ค่ะ แต่เราโทรคุยกันได้อยู่ใช่ไหม”“อือ”“แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ” สำหรับฉัน แค่เรายังติดต่อกันอยู่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ฉันสบายใจทั้งนั้นก๊อกๆๆฉันสะดุ้งโหย่ง หันไปมองตำแหน่งของเสียงด้วยความตกใจเมื่อมีคนเคาะประตูจากด้านนอก และหันกลับมาส่งสายตาขอความเห็นจากเฮียฟิวส์เขาพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับค่อยๆ ยกแขนออก นั้นจึงเป็นตอนที่ฉันดึงเสื้อเขาขึ้นให้เรียบร้อย ก่อนจะลุกไปคลายล็อกลูกบิดเพื่อเปิดประตูให้ผู้มาเยือน“เห่ย…!” เจ้าของผับเบิกตากว้างร้องอุทานด้วยความตกใจ“....” ฉันสะดุ้งอีกครั้ง วันนี้วิญญาณฉันคงไม่กลับเข้าร่างง่ายๆ หรอกแน่นอนว่าฉันไม่ได้ถูกระบุให้เข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้ อีกอย่างรุ่นพี่ดินไม่ได้รับรู้ถึงแผนการในครั้งนี้ รวมถึงไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเราด้วยเขาจ้องฉันตาเขม็ง
เท้าเรียวก้าวเดินมาหยุดทางฝั่งขวามือของเขา สะกิดให้ร่างหนาขยับหันหลังมาทางขอบข้างบริเวณที่พักแขนของโซฟาจับปกเสื้อร่นลงด้านหลัง แต่ด้วยความที่กระดุมถูกปลดไว้แค่เม็ดเดียว มันไม่กว้างพอให้เห็นชัดทั้งหมด“เฮีย ปลดกระดุมอีกเม็ดหนึ่งค่ะ”“ปลดเองสิ”ให้มันได้ยังงี้สิ…ไม่เคยจะยอมให้ความร่วมมือกับอะไรสักอย่างจริงๆฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน พลางหย่อนก้นลงบริเวณขอบที่พักแขนของโซฟาแบบหมิ่นเหม่เอื้อมมือไปจับสาบกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาแต่ยังไม่ทันได้ปลดออกวินาทีต่อมาการกระทำทุกอย่างของฉันถูกสั่งให้หยุดชะงัก เมื่อเขาค่อยๆ ยกแขนขวาพาดมาบนตักอย่างเชื่องช้า เกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปหน้าหล่อเหลาเล็กน้อยตอนขยับฉันสูดหายใจเข้าลึก พยายามจะไม่คิดอะไรที่มันอยู่ในสุ่มเสี่ยงและทำหน้าที่ของตัวเองต่อทั้งที่บอกว่าไม่คิดอะไร…แต่ทำไมใจสั่น คอแห้ง ก็ไม่รู้ การกระทำทั้งหมดอยู่บนความล่อแหลมและยังถูกจับจ้องด้วยสายตาคู่คมตลอดเวลาฉันจึงเลื่อนมองไปทางอื่น ทำเป็นไม่อยากเห็นส่วนที่อยู่ภายใต้กระดุมเม็ดนี้ ใจฉันอยู
[Part Plernta]“เพลินก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้หรอกนะ เฮียรู้ไว้ด้วย ถ้าการเลิกชอบใครสักคนมันง่าย….” ฉันเม้มริมฝีปากแน่น ประโยคถูกทิ้งค้างไว้แค่นั้น ก่อนจะหันไปสบตากับผู้ชายที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกฉันมากที่สุดในตอนนี้ หัวคิ้วของเขามุ่นขึ้นมาเล็กน้อยฉันปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่าเกือบครึ่งนาที ก่อนจะเริ่มทำลายความเงียบอีกครั้ง“ป่านนี้เพลินก็….” แต่ยังไม่ทันจบ...ฉันหยุดพูดกะทันหันด้วยความตกใจ เมื่อเฮียฟิวส์เอื้อมมือมารั้งท้ายทอยฉันเข้าหา จนปลายจมูกเราสัมผัสกัน สายตาคู่คมจ้องลึกเข้ามาในดวงตาฉันราวกับเขากำลังควานหาบางอย่างในนั้น ร่างกายฉันแข็งทื่อเสมือนกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน การหายใจที่ดูเบสิกกลายเป็นเรื่องยากในพริบตา“ก็อะไร” สายตายังสอดประสานขณะเขาเอ่ยถาม ฉันพยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะที่หลุดลอยไปพร้อมกับแรงกระชากก่อนหน้าให้กลับเข้าร่าง พยายามเบี่ยงหน้าหนี แต่ถูกบังคับให้หันกลับมาด้วยนิ้วหัวแม่มือที่กดอยู่ข้างแก้ม“หืม…” การเร่งรัดเอาคำตอบเกิดขึ้นจากฝ่ายตรงข้าม“ก็…คงทำ…”คำพูดของฉันขาดช่วงไม่จบประโยค ส่วนที่เหลือถูก