Mag-log inสุดท้ายผมตัดสินใจเปิดประเด็น
“ผมจะพูดกับคุณอย่างตรงไปตรงมา คุณจะตัดสินใจยังไง ก็แล้วแต่คุณ”
“ผมไม่เข้าใจ” สีหน้าเขาบ่งบอกแบบนั้นเลย ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเขาไม่เข้าใจเอกสาร หรือไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่เขาต้องรับรู้เรื่องนี้
“นี่เป็น ประวัติการรักษาของริสา หรือเจนิสา” ผมว่า
“แล้วเอามาให้ผมทำไม?” นี่สินะ…เรื่องที่เขาไม่เข้าใจ
จากที่เขาดูไม่ตกใจ แสดงว่าเขาน่าจะพอรู้เรื่องบ้างแล้ว งั้นผมก็จะข้ามเรื่องอาการป่วยของริสาไปเลย
“ผมกับเจนิสา เรามีปัญหาบาดหมางกันเมื่อหลายปีก่อน และมันยาวมาเกือบสิบปี แต่ผมขอไม่ลงดีเทลเรื่องนี้”
“แล้วเรื่องที่คุณจะพูดคืออะไร”
“ผมไม่สะดวกใจจะร่วมงานกับเธอ และผมขอเสนอให้คุณพาเธอกลับมารักษาต่อ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ก่อนที่ผมจะใช้วิธีของผม” ผมพูดออกไปโต้งๆ โดยทำใจยอมรับผลที่ตามมาไว้อยู่แล้ว เพราะถ้าไม่พูดมันก็จะคาราคาซังแบบไม่จบสิ้น มันถึงเวลาที่ริสาต้องยอมรับความจริง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมพยายามชดเชยให้เธอและคิดว่ามันมากพอแล้ว
ผมพ่นลมหายใจออกยาว ขยับเท้าถอยเล็กน้อยเบือนหน้าไปทางอื่นพร้อมกับล้วงสองมือเข้ากระเป๋ากางเกงตัวเอง พยายามควบคุมทุกอย่างไม่ให้มันรุนแรงเกินกว่าเหตุเป็นท่านประธานที่เดินเข้ามาขว้างระหว่างกลางและพูดแทนในสิ่งที่ผมคิด“ฉันว่า มันถึงเวลาที่ต้องจบเรื่องพวกนี้สักทีนะ”“จบเหรอคะ จบแล้วมีใครฟื้นขึ้นมาไหมคะ” ริสาสวนกลับแววตาเธอดุดันขึ้นฉับพลัน ราวกับคนละคน“แล้วเธอขาดตรงไหน พวกฉันชดใช้ให้เธอไปหมดทุกอย่างแล้ว” คุณอาฉัตรเป็นตัวแทนที่พูดได้ตรงกับที่ผมคิดทุกอย่างส่วนผมยังเลือกที่จะนิ่งเงียบ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพื่อยับยั้งความพังพินาศ“หมดแล้วจริงๆ เหรอคะ” เธอยิงคำถามใส่คุณอาฉัตร ก่อนจะเลื่อนมาจ้องหน้าผมตาเขม็ง“แล้วเธอจะเอาอะไรอีก ตอนนี้เธอก็มีชีวิตที่ดี มีสามีที่ดี เธอมีทุกอย่างแล้ว แต่ทำไมเธอไม่คิดจะรักษามันไว้” ท่านพูดถูกทุกอย่าง“แต่ฉันไม่มีความสุข”“มันเป็นเพราะเธอเองต่างหาก ที่ทำให้ตัวเองไม่มีความสุข” ผู้ที่ผ่านโลกมาพอสมควร สวนกลับด้ว
ว่าถ้าปล่อยไว้จะมีเรื่องร้ายแรงตามมาแน่ๆ” ที่ท่านพูดไม่ผิดเลยสักนิด ภายนอกริสาดูเหมือนคนปกติมาก จนตอนแรกผมก็คิดว่าเธอหายแล้ว แต่ความจริงคือเหมือนจะดิ่งลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ“แล้วอายังปล่อยให้ริสา เข้าใกล้คนของผมงั้นเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย ทั้งที่คุณอาฉัตรรู้อยู่แล้ว ทำไมถึงยังปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น“อาไม่ได้ละเลย นี่เป็นสาเหตุที่ดึงให้ริสามาอยู่ที่นี่เพราะอย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็ยังอยู่ในสายตา และเราสามารถควบคุมได้ทันเวลา หลานเข้าใจใช่ไหม”“...” ผมเงียบ ใช้สมาธิในการไตร่ตรอง“และที่หลานลงทุนบินไปถึงรัสเซียก็เพราะอยากจบเรื่องนี้แบบไม่ต้องมีฝ่ายไหนพังพินาศ ไม่ใช่เหรอ” ข้อนี้ดูมีเหตุผลสมควรที่สุด ในการที่ผมต้องใจเย็นกว่านี้ ไม่งั้นทุกอย่างจะสูญเปล่าทั้งหมด“แต่ผมไม่สามารถรับกับความสูญที่เกิดขึ้นจากตัวผมได้อีกแล้วนะ” ผมพูดขณะยันศอกสองข้างไว้กับหน้าขาและก้มมองสองมือที่ประสานอยู่ตรงหน้าผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งพอจะปกป้องใครได้เลย ถึงผมจะพยายามมากแค่ไหน ผมยังอ่อนแอ
วันต่อมา…09:00น.@พีพีเอ็นหลังจากลงเครื่อง ผมเลือกที่จะตรงเข้าหาสาเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อน ถ้าหวังจะไปคาดคั้นเอาคำตอบจากคนถูกกระทำโอกาสจะได้ความจริงคงเป็นศูนย์ เพราะถ้าเธอคิดจะบอกคงไม่ปิดปากเงียบมาจนถึงตอนนี้ประตูกระจกถูกผลักเข้าไปอย่างแรงโดยไม่มีการให้สัญญาณหรือขออนุญาตใดๆ ทั้งสิ้น ส่งผลให้เจ้าของห้องสะดุ้งเฮือก ลุกพรวดจากเก้าอี้ทำงานด้วยความตกใจ“นี่…หลานมาถึงเร็วขนาดนี้เลยเหรอ” ประโยคคำถามหลุดออกมาพร้อมสีหน้าตื่นตระหนก ราวกับเวลาการมาปรากฏตัวของผมมันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายแถมท่านประธานยังเป็นคนเดียวที่ทราบถึงเหตุผลที่ทำให้ผมละทิ้งหน้าที่เพื่อบินกลับจากรัสเซียโดยไม่มีการไตร่ตรอง“ผมไม่ได้มาเพื่อตอบคำถาม” น้ำเสียงนิ่งเรียบที่ถูกควบคุมให้อยู่ในโทนปกติจริงอยู่ว่าเรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความผิดท่าน แต่ท่านเป็นเพียงคนเดียวที่จะให้คำตอบผมได้ดีที่สุด“หลานต้องใจเย็นก่อนนะ” ผู้หญิงที่ดำรงตำ
พูดจบคุณหมอไวน์ก็ลากฉันเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ทิ้งเครื่องหมายคำถามมากมายให้คุณเต ที่ยืนขมวดคิ้วมองตามเราสองคนด้วยความไม่เข้าใจฉันถูกพามาทำความสะอาดและทาเจล ประคบเย็น ตามขั้นตอนโดยพยาบาลสาวสวย และยังมีคุณหมอหนุ่ม ยืนกอดอกควบคุมอยู่ไม่ห่าง“คุณหมอ อย่าบอกเฮียฟิวส์นะ” ฉันเริ่มร้องขอในสิ่งที่ต้องการ“ทำไม ใครทำ”“ไม่มีใครทำ มันเป็นอุบัติเหตุ”“แล้วเธอจะปิดมันได้ยังไง แดงเป็นปื้นขนาดนี้”“กว่าเฮียฟิวส์ จะกลับมา ก็คงดีขึ้นแล้วแหละค่ะ” ฉันว่า พลางก้มมองร่องรอยบาดเจ็บตามแพลน น่าจะอีกสองถึงสามวันกว่าเฮียฟิวส์จะมาถึงไทย ฉันคิดว่ามันน่าจะทุเลาเยอะแล้ว เพราะความจริงมันก็ไม่ได้ใหญ่มาก คุณหมอก็พูดซะเวอร์เชียว“นี่ฉันลำบากใจนะเนี่ย” เขาถอนหายใจแรงเพื่อตอกย้ำความชัดเจนในประโยค“นะคะ ช่วยหน่อย…”ฉันยังพูดไม่ทันจบ มือถือเจ้ากรรมก็สั่นขัดจังหวะซะก่อน มีแวบหนึ่งฉันรู้สึกหวั่นใจแปลกๆ ว่าจะเป็น…ครืดดด!...ครืดด!ม่านตาขยายกว้างข
“ได้ค่ะ”หลังจากฉันพาตัวเองออกมาจากห้องได้สำเร็จ เสียงกรี๊ดดังก้องอยู่ในหัวราวกับมันอัดอั้นมานาน แต่ใช่ว่าจะระบายออกมาได้ผู้หญิงคนนี้มีอะไรผิดปกติแน่ๆ แต่ฉันไม่รู้ความต้องการที่แน่ชัดของเธอ ไม่รู้ว่าเรื่องที่เธอพูดมันหมายความว่ายังไง...ฉันพ่นลมหายใจยาวผ่านปลายจมูก ก่อนจะเดินกระแทกเท้าอย่างไม่สบอารมณ์ไปชงกาแฟร้อนให้คุณลูกค้าบ้าอำนาจนั่น คิดว่าเป็นลูกค้าแล้วจะกดขี่พนักงานยังไงก็ได้รึไง พีพีเอ็นก็แปลก บริษัทตั้งใหญ่โต ไหงมีลูกค้านิสัยแบบนี้แล้วก็ยังจะมานึกอยากดื่มกาแฟอะไรตอนนี้…ไม่นานฉันก็เดินกลับมายังห้องเดิมพร้อมกับถือจานรองแก้วกาแฟด้วยความระมัดระวัง ยกมือข้างที่ว่างขึ้นเคาะกระจกเพื่อขออนุญาตก๊อก…แต่เสียงดังขึ้นเพียงครั้งเดียว ประตูถูกดึงเปิด ก่อนที่คุณเจนิสาจะเดินสวนออกมา…จังหวะนั้นฉันไม่ทันระวัง แขนฝ่ายตรงข้ามเหวี่ยงโดนแก้วกาแฟในมือ แน่นอนว่าทุกอย่างเสียหลักภายในเสี้ยววินาที“อ๊ะ!...อ๊าย”ฉันเผลอส่งเสียงร้องในตอนที่ความร้อนสัมผัสโดนผิวหนังช่วงข้อมือข้างซ้ายที่ถือจานรองแ
[Part Plernta]15:50 น.@พีพีเอ็น“เพลินตา”ฉันเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเคย เพราะได้ยินทุกวัน ไม่สิ…แทบจะทุกเวลาเลยมากกว่า แฟ้มเอกสารมาถูกยื่นมาต่อหน้าพร้อมประโยคคำสั่งจากคุณหัวหน้า“วานเอาเอกสารนี้เข้าไปให้ลูกค้าในห้องประชุมหน่อย พอดีฉันติดงานด่วน”“ได้ค่ะ” ฉันตอบรับ ขณะผุดลุกจากเก้าอี้ รับแฟ้มมาถือไว้ในมือ เดินตรงไปยังห้องประชุมขนาดกลาง ที่มีไว้เพื่อรับรองลูกค้าคนหรือสองคนก๊อกๆๆฉันส่งสัญญาณตามมารยาท ก่อนจะดันประตูเปิดเข้าไปนาทีต่อมา ฝีเท้าถูกชะลอลง ไม่คาดคิดว่าลูกค้าคนสำคัญของวันนี้ คือคุณเจนิสา‘อย่าไว้ใจลูกค้าคนนี้’ฉันจำได้ขึ้นใจว่าเฮียฟิวส์พูดไว้แบบนี้ บวกกับรอยยิ้มมุมปากแสนเจ้าเล่ห์ที่ปรากฏบนใบหน้าสวย ยิ่งตอกย้ำว่าฉันไม่ควรละเลยประโยคที่ลอยเข้ามาให้หัวลมหายใจถูกสูดเข้าลึกพร้อมกับก้าวนำแฟ้มเอกสารไปวางให้บนโต๊ะ โค้งตัวเล็กน้อยตามธรรมเนียมปฏิบัติ&

![My Engineerรักร้ายนายจอมโหด [ต้าร์พินอิน]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)





