บทที่ 2
17:00
พิ้งค์เดินโงนเงนเข้ามาในบ้านพร้อมกับปิดปากหาวหวอด ๆ ด้วยความเหนื่อยล้า ทว่าสองเท้าต้องหยุดชะงักกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า
“เที่ยวไหนมาอีก แม่ได้ข่าวว่าลูกเลิกคลาสเร็วกว่าทุกวันนะ” พราวดาวกดเสียงต่ำถามลูกสาวที่ยืนนิ่งงันอยู่กับที่ ขณะเดียวกันผู้เป็นพ่อก็เดินเข้ามาโอบไหล่ลูกสาวไว้
“หม่าม้าทำหน้าเครียดมากเดี๋ยวริ้วรอยขึ้นนะ” แฟรงค์เย้าหยอกภรรยาเพื่อเบี่ยงความสนใจของพราวดาวมาที่ตัวเอง
“กองหนุนมาแล้วนี่ แม่ไม่ดุแล้วก็ได้” เมื่อแม่ทำท่าจะงอนเธอจึงรีบเดินไปกอดเอวแม่ไว้
“โอ๋..ไม่งอนหนูนะคะ หนูแค่ไปเที่ยวเล่นกับพวกสามผู้พิทักษ์มาเอง”
“โฮป วอร์ ไออุ่นน่ะเหรอ” แฟรงค์เลิกคิ้วถามลูกสาว
“ใช่ค่ะ พวกเขาดูแลหนูดีมาก ๆ เลยนะคะ”
“อืม ป๊าไว้ใจสามคนนั้น” แฟรงค์ลูบหัวลูกสาวด้วยความเอ็นดู นัยน์ตาดุดันฉาบด้วยความอ่อนโยนในยามที่จดจ้องใบหน้าจิ้มลิ้ม “ไปพักเถอะ เดี๋ยวป๊าเคลียร์กับหม่าม้าหนูเอง”
“ค่ะ” หญิงสาวขยิบตาส่งสัญญาณให้ผู้เป็นพ่อแล้วจึงรีบเดินออกมาจากตรงนั้น จังหวะที่จะก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดขั้นแรกหางตากลับเหลือบเห็นเทนต์ที่กำลังเดินมาทางนี้เธอจึงหันหน้าไปมองเขา “โฮปบอกว่าเทนต์มองเขาด้วยสายตาดุ ๆ ทำแบบนั้นกับเพื่อนพิ้งค์ทำไม” หญิงสาวกอดอกถาม
“ผมก็มองทั่วไป ไม่ได้เจาะจงมองแต่คุณโฮปคนเดียว”
“ไม่จริง”
“…” ชายหนุ่มตวัดสายตามองคนตรงหน้าแล้วเดินผ่านเธอไป ทว่ากลับถูกดึงมือไว้
“ยังไม่ตอบหนูเลยนะ”
“ต้องการคำตอบจากผมทั้งที่เชื่อสนิทแล้วว่ามันเป็นแบบนั้น? ไร้สาระ” เขาปัดมือเธอออกแล้วหันมามองหน้าพิ้งค์ตรง ๆ “ผมไม่มีเวลาเล่นกับเด็กหรอกนะครับ”
“คำก็เด็กสองคำก็เด็ก เด็กก็มีความรู้สึกเหมือนกันนะ คนที่ไร้สาระคือคนแก่นั่นแหละ คนแก่บ้า!” เธอพ่นคำหยาบใส่เขาแล้วรีบวิ่งขึ้นไปบนบ้าน เทนต์ที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วรีบไปทำงาน
เที่ยงคืนกว่า ๆ พิ้งค์เดินลงมาจากบ้านหมายจะเดินไปเปิดรถเอาเอกสารที่ลืมไว้ในนั้น แต่เพียงเท้าเธอแตะพื้นหน้าบ้านบอดี้การ์ดคนอื่นก็เดินเข้ามาล้อมไว้ หนึ่งในนั้นคือเทนต์ที่กำลังสั่งงานลูกน้องก่อนที่เขาจะเข้าไปพักผ่อนในบ้าน
“ดึกขนาดนี้จะไปไหนครับ” น้ำเสียงเรียบนิ่งเอ่ยถามคนที่ยืนหันหลังให้เขาอยู่
“เกี่ยวอะไรกับเทนต์”
“ดึกแล้ว ลงมาในสภาพแบบนี้คงไม่เหมาะ”
“แล้ว...” หญิงสาวชะงักค้างกับการกระทำต่อมาของเจ้าของคำพูดนั้น เสื้อสูทแขนยาวสีดำคลุมลงที่ไหล่เธอ กลิ่นกายหอมอ่อน ๆ เคล้ากับกลิ่นน้ำหอมที่เขาใช้ลอยมาตามลม พิ้งค์ตัดสินใจหันหน้ามามองเเจ้าของแววตาดุดัน เงยหน้าขึ้นสบตากับเขาตรง ๆ
“สิ่งนี้คืออะไร” เธอเหลือบตามองเสื้อที่ชายหนุ่มถอดมาคลุมให้
“เอาปิดไว้ดีกว่า ใส่ชุดแบบนี้ลงมาข้างล่างคนเดียวมันไม่เหมาะ”
“จะบอกว่าหวงหนูเหรอ”
“…” เทนต์ปิดปากเงียบแล้วเดินผ่านหน้าพิ้งค์ไปที่โรงจอดรถ เขาหยิบกุญแจไปเปิดรถพร้อมกับหันมามองหญิงสาว “เอกสารอยู่ตรงไหน”
“รู้ได้ไงว่าพิ้งค์มาเอาเอกสาร”
“เอกสารอยู่ตรงไหน” เทนต์กดเสียงต่ำถาม
“เบาะหลัง ในซองสีน้ำตาล” เขาเปิดประตูรถแล้วก้มลงไปหยิบซองเอกสารให้เธอ ตอนก้มลงไปพิ้งค์กลับเห็นโทรศัพท์มือถือที่เทนต์เอาใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลังไว้พอดี เธอจึงถือวิสาสะหยิบโทรสัพท์มือถือเขาออกมา
“นั่นคิดจะทำอะไรครับ”
“ไหนดูหน่อยว่าเทนต์บันทึกเบอร์หนูว่ายังไง” ว่าจบก็เลื่อนหน้าจอหารายชื่อจนเจอ และเขาบันทึกชื่อเธอไว้ว่า ‘คุณหนูพิ้งค์’ “เชยมากนะ คุณหนูพิ้งค์มันดูห่างเหินไป” ระหว่างที่พูดเทนต์ก็ไม่ละความพยายามที่จะแย่งโทรศัพท์จากมือพิ้งค์มา เธอก้มตัวหลบเขาจนในที่สุดก็พิมพ์ชื่อใหม่และบันทึกเสร็จ
“ทำอะไรครับ”
“อ๊ะ!” ร่างเล็กถูกรวบไว้ด้วยท่อนแขนแกร่ง เพียงเสี้ยววินาทีเธอก็ถูกเขาอุ้มขึ้นไปนั่งท้ายรถโดยที่เทนต์ยืนอยู่ตรงกลางหว่างขาด้วยท่าทางล่อแหลม “ทะ..ทำอะไร” เธอเอ่ยถามพร้อมกับเสสายตามองทางอื่น หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำไม่กล้าสบตากับคนตรงหน้าจนในที่สุดเทนต์ก็ได้โทรศัพท์คืน
“จุ้นจ้าน”
“ไม่รู้แหละ หนูชอบชื่นนี้ห้ามลบด้วยนะ ถ้าเห็นว่าลบหนูโกรธจริง ๆ”
“Baby?”
“ค่ะ Baby ของเทนต์” ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่ายใจแล้วอุ้มเธอลงจากท้ายรถ “ห้ามลบนะ โกรธจริงนะ” ก่อนจะถือเอกสารเดินจากไปเธอก็ไม่ลืมขู่เขาฟ่อราวกับลูกแมวน้อย พอพิ้งค์กลับขึ้นบ้านแล้วเขาค่อยยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูชื่ออีก มุมปากหนายกยิ้มอย่างผิวเผิน
“จุ้น!” เทนต์ปิดหน้าจอแล้วเดินออกมาจากโรงจอดรถ ระหว่างทางกลับไปที่ห้องพักซึ่งอยู่ด้านหลังคฤหาสน์หลังใหญ่ เขาหยุดเดินแล้วเงยหน้ามองไปที่หน้าต่างห้องหญิงสาว คนตัวเล็กรีบหลบสายตาเขาและดึงผ้าม่านปิดหน้าต่าง
“คนบ้า ชอบทำให้งอนแล้วก็มาทำให้ใจสั่น” การกระทำเมื่อครู่ที่อยู่ในโรงจอดรถ ยอมรับว่ามีผลต่อการเต้นของหัวใจมาก ถึงตอนนี้จะไม่ได้สบตากับเทนต์ตรง ๆ แต่ใจก็ยังเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ “คอยดูนะ ถ้าเปลี่ยนชื่อเราเมื่อไหร่จะโกรธไปสามวันเจ็ดวันเลย!” ไม่ว่าเปล่าเธอยังคลี่ผ้าม่านและมองลงไปข้างล่าง เมื่อไม่เห็นเทนต์ยืนอยู่แล้วเธอค่อยกล้าเปิดผ้าม่านออกกว้างโดยไม่รู้ว่าชายหนุ่มยืนดูอยู่อีกมุมหนึ่งซึ่งมีเพียงเทนต์เท่านั้นที่สามารถมองเห็นคนที่กำลังทำหน้าบึ้งตึงได้ฝ่ายเดียว
เช้าวันต่อมา
“วันนี้เราขับรถคันนี้ไปดีไหม” เสียงหวานเอ่ยบอกลูกน้องหนุ่มที่เพิ่งเดินมาหยุดยืนอยู่ด้านหลัง เทนต์จ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้มแล้วพยักหน้ารับ เขากลับไปเอากุญแจรถแล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูให้หญิงสาว แต่พิ้งค์กลับเปิดประตูด้านหน้าก่อนที่เธอจะก้าวเข้าไปนั่งเบาะที่นั่งข้างคนขับ “ยืนทำหน้าแบบนั้นทำไม หนูมีเรียนเช้านะ เข้าเรียนสายเทนต์รับผิดชอบไหวเหรอ” รอยยิ้มที่มาพร้อมแววตาซุกซนนั้นเขาไม่อาจเดาทางเธอได้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่
พอเปิดประตูเข้ามานั่งประจำที่คนขับแล้วมือเรียวบางก็เลื่อนมาจับประสานกับมือเขา
“ทำอะไรครับ”
“แค่จับมือเอง จับไม่ได้เหรอ”
“มันไม่เหมาะ”
“เนี่ยแหละ เหมาะสุดแล้วค่ะ อีกอย่างมือข้างนี้เทนต์ก็ว่างอยู่พอดีนี่นะ จับมือพิ้งค์ไว้ก็ไม่เสียหายอะไรนี่…หรือหวงตัวเหรอ” ริมฝีปากจิ้มลิ้มยกยิ้มอย่างพอใจที่ชายหนุ่มไม่ขัดขืนแม้จะเห็นเขาลอบทำท่าทางเหนื่อยใจใส่แต่เธอไม่เก็บเอามาใส่ใจ
เทนต์ขับรถออกมาจากบ้านโดยมือข้างซ้ายเขาถูกมือเรียวบางจับกุมไว้ตลอด
“ทำอะไรครับ” เสียงเข้มเอ่ยถามเมื่อหันมาเห็นเธอยกโทรศัพท์ขึ้นมาคล้ายจะถ่ายรูป
“ถ่ายรูปเก็บไว้ค่ะ เก็บไว้ดูคนเดียว” ประโยคสุดท้ายเธอเงยหน้าบอกเขาเสียงดังฟังชัด พอได้ฟังแบบนั้นเขาจึงไม่คิดห้ามและขับรถต่อจนมาถึงมหา’ลัย “อยากได้กำลังใจก่อนเข้าเรียนจัง”
“ตั้งใจเรียนครับ จะได้ช่วยนายใหญ่ทำงาน"
“พูดแบบนี้หมดกำลังใจเลยนะ”
“…” มือขวามาเฟียละสายตาจากกลุ่มเพื่อนเธอหันมาจ้องมองเจ้าของดวงตากลมโตที่จ้องมองด้วยความกดดันที่อยากได้กำลังใจจากเขา
“ทำแบบนี้เป็นไหมคุณมาเฟีย"
“ทำแบบไหน” จู่ ๆ คนตัวเล็กก็ยกมือข้างซ้ายที่เพิ่งผละออกจากกันขึ้นไปวางบนศีรษะตัวเอง “ตั้งใจเรียนนะครับเบบี๋ ทำแบบนี้อะ” เทนต์ถอนหายใจแล้วชักมือกลับ
“ไปเรียนได้แล้วครับ"
“ไม่ทำเหรอ นิดหน่อยก็ไม่ได้เหรอ”
“ไม่ครับ”
“โอเค แต่วันนี้ก็คุ้มแล้วแหละ” ได้จับมือกับเขาวันนี้ก็พอหักลบกันได้ ถ้าเขาจะไม่ทำตามสิ่งที่เธอขอก็พอให้อภัยได้นิดหน่อย พิ้งค์เปิดประตูก้าวลงจากรถแล้วรีบเดินไปหาเพื่อนที่ยืนรออยู่ริมฟุตพาท
“ไมมาเช้าจัง เรามีเรียนตอนสิบโมงไม่ใช่เหรอ” โฮปเลิกคิ้วถามพลางหันมองเทนต์ที่ีกำลังขับรถออกไป
“อยากมากินข้าวที่โรงอาหารกับพวกแก วันนี้เราเลี้ยงเอง"
“อารมณ์ดีแฮะ” ไออุ่นส่ายหน้าอย่างยิ้ม ๆ ก่อนที่ทั้งสี่คนจะเดินตรงไปยังโรงอาหาร
“หึ! จุ้นจ้าน” เขามองออกตั้งแต่เธอให้เปลี่ยนรถเมื่อเช้าแล้ว แผนแค่นี้ทำไมเขาจะดูไม่ออก
ตอนพิเศษ 2หลายวันต่อมา“…” พิ้งค์ยืนมองคนรักอยู่หลังประตูห้องฟิตเนสซึ่งเทนต์กำลังออกกำลังกายอยู่กับลูกน้องหลายคน เขาไม่รู้ว่าถูกมองและยังออกกำลังกายตามปกติจนกระทั่งลูกน้องคนหนึ่งเดินไปกระซิบบอกถึงได้หันมามองพิ้งค์พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้เธอ“มาตั้งแต่เมื่อไหร่”“มานานแล้วค่ะ กำลังดูแดดดี้เพลินเลย ไม่น่ารู้ตัว” ไม่ว่าเปล่าแต่พิ้งค์ยังทำหน้าเสียดายใส่เขา เทนต์แค่นหัวเราะเบาๆ พร้อมกับบีบแก้มแฟนสาวด้วยความมันเขี้ยว“มาแอบดูอะไร หรือว่าแอบดูคนอื่นที่ไม่ใช่แดดดี้” “เปล่าเลย ดูแดดดี้นั่นแหละ ดูสิ….” ไม่ว่าเปล่าเธอยังลูบไล้แผงอกแกร่งแน่นหนั่นอย่างหลงใหลและซีดปากเบาๆ “แดดดี้ยิ่งแก่ยิ่งแซ่บนะเนี่ย”“เด็กดื้อ” เขาตีปลายจมูกพิ้งค์เบาๆ ก่อนที่จะพสเธอกลับเข้าไปในบ้าน พิ้งค์อมยิ้มขบขันที่สามารถแกล้งเขาได้ “วันนี้ไม่มีเรียนหรือไง ถึงได้จุ้นแต่เช้า”“มีค่ะ แต่ส่งงานอาจารย์แล้ว อาจารย์เลยยกคลาสไปเป็นพรุ่งนี้แทน”“แล้วต้องเข้ามหา’ลัยไหม” เทนต์หันมาถามขณะที่กระดกน้ำดื่ทดับกระหาย พิ้งค์ไม่ได้ตอบแต่กลับเดินเข้าไปใกล้แล้วกดริมฝีปากจูบที่หัวนมเขาทำเอาเทนต์แทบสำลักน้ำกับการกระทำอุกอาจของเธอ “ทำอะไร”“เปล่า เห
ตอนพิเศษ 1หลายเดือนต่อมาพิ้งค์เดินนวยนาดเข้ามาในห้องทำงานของคนรักบนชั้นสองของคลับในเวลาสิบโมงเช้า เธอคลี่ยิ้มทักทายเทนต์ที่กำลังนั่งขมวดคิ้วอยู่ในโต๊ะทำงาน แต่พอเห็นหน้าเธอเขาก็คลายสีหน้าตึงเครียดเป็นยิ้มแย้มพร้อมกับลุกออกมาโอบอุ้มจนพิ้งค์ตัวลอย“อื้อ~ แดดดี้มีหนวดอะ มันทิ่มแก้มหนู” เธอผลักใบหน้าเขาออกเล็กน้อยแล้วลูบไล้แก้มทั้งสองข้างลงมาที่ปลายคาง “โกนหนวดไหม เดี๋ยวหนูทำให้” เทนต์หรี่ตามองอย่างลังเลใจแต่ก็ยอมพยักหน้ารับเพราะเห็นความตั้งใจที่แสดงออกทางแววตาเธอ “โอเค” “ไม่เอาเลือดนะ” เทนต์กระตุกยิ้มอย่างขำขันที่พิ้งค์หันมาย่นจมูกใส่เขา เธอหายไปนานหลายนาทีแล้วกลับมาพร้อมกับที่โกนหนวดไฟฟ้า “มานั่งตรงนี้สิคะ” เทนต์เดินไปนั่งลงบนโซฟาตามที่แฟนสาวบอก พอเขานั่งลงแล้วพิ้งค์ก็จัดการเอาผ้าขนหนูสะอาดปิดเสื้อเขาไว้ “กลัวเหรอ มือเย็นเชียว”“ไม่เคยกลัวอยู่แล้ว”“แหม…ปากหวานจริงนะพ่อ มือเย็นเฉียบขนาดนี่ปากบอกไม่กลัวมันดูย้อนแย้งนะคะ”“ทำเถอะ”“หนูมือเบาสุดๆ แล้วนะคะแดดดี้ เพราะเคยโกนให้คนอื่นมาแล้ว” พิ้งค์กำลังจะโกนหนวดแต่ถูกเทนต์จับมือไว้แน่น เธอเลิกคิ้วถามเขาที่เอาแต่จ้องหน้า“โกนให้ใครมา”“ก็ว
บทที่ 61 บทส่งท้ายจากบอดี้การ์ดสู้สถานะใหม่คือคนรู้ใจของพิ้งค์ เขาและเธอครองสถานนี้มาเกือบหนึ่งปีเต็มโดยไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ มาขวางกั้น“แดดดี้”“ครับ?” เทนต์ที่นั่งทำงานอยู่ในโต๊ะรีบหันมาขานรับแฟนสาวทันที ซึ่งกำลังดูจอแสดงผลกล้องวงจรปิดอยู่ “เรียกแล้วไม่พูดนะ”“เปล่า หนูกำลังเรียบเรียงคำพูดอยู่ค่ะ”“จะถามอะไร”“อ๋อ! นึกออกแล้ว” เมื่อนึกออกแล้วเธอจึงลุกออกมาจากโซฟา เดินตรงไปหาเทนต์แล้วหย่อนตัวลงนั่งบนหน้าตักแกร่ง ตวัดแขนโอบกอดลำคอหนาไว้หลวมๆ “ว่าจะถามแดดดี้ ว่าเอาสร้อยข้อมือที่หนูให้ไปไว้ไหนทำไมไม่เห็นใส่เลย”“อ๋อ กลัวมันเก่า”“อะไรเนี่ย…” พิ้งค์เบ้ปากใส่เขา “ก็ซื้อมาให้ใส่ไหมคะ ใส่ก็ต้องเก่าเป็นธรรมดาไหม”“ก็ใส่ออกงานบ่อย เดี๋ยวทำขาดหายไปก็เสียดายแย่”“อา…แดดดี้คงไม่รู้สินะคะว่าหนูน่ะรวย”“รู้แล้วว่ารวย แต่กับของบางอย่างความเงินก็ซื้อไม่ได้นะ”“เช่น?”“หนู”“หนูซื้อได้นะถ้าเงินถึง อ๊ะ! แดดดี้ตีหนูทำไมเนี่ย” เทนต์ถลึงตาใส่คนตัวเล็กที่กำลังลูบตันแขนตัวเองอยู่“พูดเล่นก็ไม่ได้เหรอ”“บอกไปหลายครั้งแล้วว่าไม่ชอบให้พูดแบบนี้ มันดูไม่ดี” พิ้งค์อมยิ้มแล้วโน้มลงไปกระซิบกระซาบเสียงพร่าข้างใบหู“
บทที่ 60เหมือนความสุขที่เคยขาดหายถูกเติมเต็มด้วยความรักที่เทนต์มีให้ ความรักความเอาใจใส่ที่เขาทำให้เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่าเธอไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว“แดดดี้” น้ำเสียงหวานใสของคนข้างกายทำเขาไม่อาจละเลยไปได้เลยสักครั้ง เทนต์หันมามองคนรักด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากทั้งรอฟังพิ้งค์ว่าเธอจะพูดอะไรด้วย “แดดดี้มีความสุขไหม”“ทำไมถึงถามแบบนี้”“อยากฟังจากปากแดดดี้มากกว่าค่ะ”“มีความสุขมากๆ”“หนูก็มีความสุข” แววตาและรอยยิ้มที่พิ้งค์แสดงออกบ่งบอกได้ถึงความสุขจนปิดม่มิด “แดดดี้ยิ้มทำไมเหรอคะ มีอะไรติดหน้าหนูเหรอ”“เปล่า ยิ้มเพราะมีความสุข และอยากให้หนูรู้เอาไว้ว่าความสุขของแดดดี้คือหนู”“ชอบแดดดี้เวอร์ชันนี้นะคะ มันดูน่ารักดูละมุนละไมดี แถมแดดดี้ยังเอาจเก่งจนบางครั้งหนูก็กลัวว่าแดดดี้จะรำคาญ”“ไม่เคยคิดแบบนั้น เห็นหนูมีความสุขก็ดีใจ”“รักแดดดี้~” พิ้งค์กระโดดกอดแล้วหอมแก้มแฟนหนุ่มอย่างไม่นึกอายสายตาคนอื่น จากนั้นเธอกับเขาก็จูงมือกันเดินออกมา ทว่าในตอนที่เทนต์เปิดประตูให้พิ้งค์ก้าวเข้าไปนั่งในรถโทรศัพท์มือถือเขาก็สั่นสะเทือนอยู่ในกระเป๋ากางเกง “ใครเหรอคะ” พิ้งค์ถามเพราะเห็นเทนต์หยิบโทรศัพท์มือถืออ
บทที่ 59หนึ่งชั่วโมงต่อมาพราวดาวกับพิ้งค์เดินกลับไปที่รถพร้อมกัน “หม่าม้าคะ”“ขาลูก”“ทำไมป๊าไม่มากับเราล่ะ หรือว่าป๊าไม่อยากเจอหน้าเทนต์เหรอ” ผู้เป็นแม่เอ็นดูคำถามลูกสาวมาก เธอยกมือขึ้นมาลูบผมพิ้งค์อย่างแผ่วเบาแล้วให้คำตอบลูกสาวผ่านน้ำเสียงนุ่มนวล“เพราะป๊าเราติดคุยงานช่วงเช้าค่ะ เลยมากับเราไม่ได้แต่ป๊าก็บอกหม่าม้าแล้วนะ เอาไว้ทำบุญครั้งหน้าเราได้มาพพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวแน่นอน”“ค่ะ ไหน ๆ วันนี้ก็หยุดเรียนแล้วหนูขอไปเที่ยวกับแดดดี้ได้ไหมคะ”“ได้ค่ะ หนูอยากไปเที่ยวไหนก็ไปได้เลยลูก หนูโตแล้วไม่ต้องมาขออนุญาตหม่าม้าหรอก”“งั้นหนูขอตัวกลับไปกับแดดดี้นะคะ”“ค่ะ” พราวดาวกับลูกสาวแยกย้ายกันไปด้วยเพราะเทนต์ให้ลูกน้องขับรถมาให้ที่วัด เขาจึงพาพิ้งค์กลับก่อน ระหว่างขับรถกลับคนข้างกายก็อ้อนเข้าใหญ่ เธอให้เหตุผลว่านานๆ จะใีเวลาอยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้จึงขออ้อนหน่อย“แดดดี้ว่าเราควรไปเที่ยวไหนก่อนดีคะ ระหว่างห้างกับคาเฟ่” พิ้งค์ถามความคิดเห็นคนรัก เสียงหวานใสทำให้เทนต์รีบกันมามองพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนที่ริมฝีปากหนาหนักจะกดลงตรงขมับบางหนักๆ หนึ่งครั้งแล้วเอ่ยตอบ“ไปไหนก็ได้ค่ะ ตามใ
บทที่ 58หนึ่งชั่วโมงต่อมาพิ้งค์ซบใบหน้าผ่าวร้อนลงกับอกแกร่งอย่างหมดเรี่ยวแรง เธอหอบหายใจถี่เร็วด้วยความเหนื่อยขณะเดียวกันร่างกายก็สั่นระริกเพราะเพิ่งเสร็จสมความต้องการกับเทนต์ในรอบที่สี่“แดดดี้กินจุมากนะคะ”“ไม่รู้สิ สงสัยของขาดมานาน” เขากดยิ้มที่มุมปากเล็กก่อนจะหันใบหน้าไปซบลงที่ลำคอระหงแล้วอุ้มหญิงสาวลงจากหน้าตักทำให้แก่นกายที่อ่อนตัวลงหลุดออกจากช่องทางรักจนเกิดเสียงเฉอะแฉะ พิ้งค์หลับตาแน่นเขินอายแล้วรีบเบือนหน้าหนี “อ้าขาสิ” เมื่อจัดการกับตัวเองเสร็จแล้วจึงสั่งให้อีกฝ่ายอ้าขาออกด้วยเพราะจะเช็ดน้ำรักที่เปรอะเปื้อนออกให้“หนูทำเอง” เทนต์ช้อนตามองเล็กน้อยเพียงเท่ทนั้นก็รู้ความต้องการเขาแล้ว เธอจึงยอมอ้าขาออกให้เขาเช็ดเอง “อ๊ะ! อย่าแกล้งหนู~”“หึหึ…แดงมากเลยนะ”“อย่าพูด”“หิวไหม” เขาถามด้วยท่าทางสบายๆ ทั้งที่มือยังเทียวดึงกระดาษทิชชูเปียกออกมาเช็ดดอกไม้งามเธออยู่เรื่อย พิ้งค์ย่นจมูกแล้วตอบกลับเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน“กินแดดดี้ตั้งชั่วโมงกว่า หนูทั้งจุกทั้งอิ่มแล้วล่ะค่ะ”“…หึหึ เด็กน้อย” เหมือนว่าเขาอึ้งกินในตอนแรกที่เธอกล้าพูดออกไปแบบนั้นและหลุดขำในลำคอเบาๆ ในเวลาต่อมา “งั้นเป