'สำหรับผม เด็กดื้อไม่ใช่เด็กแลาด แต่เด็กดื้อก็คือเด็กดื้อ' ‘หนูต้องโตแค่ไหนถึงจะยืนข้างเทนต์ในฐานะคนรักได้คะ’ ‘ตอนนี้ตั้งใจเรียนก่อนนะครับ เป็นเด็กต้องตั้งใจเรียนก่อน’ ‘หนูพิ้งค์ไม่เคยขาดเรียนเลยนะคะ เทนต์บอกให้เรียนเก่ง ๆ หนูพิ้งค์ก็ทำตามที่บอก หนูสอบได้ที่หนึ่งของห้องตลอดเลย’ เด็กสาววัยละอ่อนยิ้มแก้มป่องอวยอย่างภูมิใจ ‘หนูจะได้ของขวัญจากเทนต์อีกไหม’ ‘เอาไว้คุณหนูสอบได้ที่หนึ่งอีกผมก็จะให้อีกครับ’ ‘สัญญาก่อน’ นิ้วก้อยน้อย ๆ ชูขึ้นมาหมายจะเกี่ยวก้อยทำสัญญากับชายหนุ่มทว่าพี่เลี้ยงสาวกลับจูงมือเธอเดินเข้าไปในโรงเรียนก่อน เด็กน้อยหันมามองตาละห้อยพลางเม้มปากแน่น แววตาฉาบด้วยม่านน้ำตาจนแพรวพราว ‘หนูอยากยืนอยู่ข้างเทนต์..เหมือนที่หม่าม้ายืนอยู่เคียงข้างปะป๊า’
Lihat lebih banyakบทนำ
‘หนูต้องโตแค่ไหนถึงจะยืนข้างเทนต์ในฐานะคนรักได้คะ’
‘ตอนนี้ตั้งใจเรียนก่อนนะครับ เป็นเด็กต้องตั้งใจเรียนก่อน’
‘หนูพิ้งค์ไม่เคยขาดเรียนเลยนะคะ เทนต์บอกให้เรียนเก่ง ๆ หนูพิ้งค์ก็ทำตามที่บอก หนูสอบได้ที่หนึ่งของห้องตลอดเลย’ เด็กสาววัยละอ่อนยิ้มแก้มป่องอวยอย่างภูมิใจ ‘หนูจะได้ของขวัญจากเทนต์อีกไหม’
‘เอาไว้คุณหนูสอบได้ที่หนึ่งอีกผมก็จะให้อีกครับ’
‘สัญญาก่อน’ นิ้วก้อยน้อย ๆ ชูขึ้นมาหมายจะเกี่ยวก้อยทำสัญญากับชายหนุ่มทว่าพี่เลี้ยงสาวกลับจูงมือเธอเดินเข้าไปในโรงเรียนก่อน เด็กน้อยหันมามองตาละห้อยพลางเม้มปากแน่น แววตาฉาบด้วยม่านน้ำตาจนแพรวพราว
‘หนูอยากยืนอยู่ข้างเทนต์...เหมือนที่หม่าม้ายืนอยู่เคียงข้างปะป๊า’
นั่นเป็นคำพูดของเด็กน้อยวัยสี่ขวบครึ่งที่หมายมั่นปั้นมืออยากจะยืนเคียงข้างผู้ชายคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกน้องของพ่อตนเอง ทว่าเธอรู้สึกดีกับเขามาตั้งแต่ตนเองยังเล็กและปักใจรักเขาคนเดียวเสมอมา
“วันนี้ไม่มีเรียน ขอกลับบ้านก่อนได้ไหม” หญิงสาวเจ้าของรอยยิ้มหวานหันมาบอกเพื่อน ๆ ที่นั่งก้มหน้าเล่นเกมอย่างจริงจังให้รับรู้ก่อนที่หนึ่งคนในโต๊ะจะโพล่งขึ้นโดยไม่เงยหน้าขึ้นสบตากับคู่สนทนา
“ไหนพิ้งค์บอกอยากไปกินหมูทะ” โฮปเป็นเจ้าของคำถามนั้นและไออุ่นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็พูดเสริมขึ้นอีกเสียง
“เราพาไปได้นะ อยากกินอยู่พอดีเลย”
“ใช่ ๆ” วอร์รีบพยักหน้ารับอย่างเร็ว ทั้งสามเป็นเพื่อนสนิทของพิ้งค์ เหตุผลที่เธอคบเพื่อนผู้ชายเพราะเบื่อคุยเรื่องจุกจิกกับเพื่อนผู้หญิงคนอื่น ๆ และเธอไม่ชอบนิสัยเพื่อนผู้หญิงบางคนที่ชอบนินทาเพื่อนร่วมห้องเดียวกัน
“อยากไปนะ แต่ไม่มีอารมณ์”
“เป็นไร หนูพิ้งค์ของพวกเราเป็นอะไรครับ” โฮปยกมือขึ้นไปอังหน้าผากเพื่อนรักและทำหน้าครุ่นคิด “ก็ไม่มีไข้ ไหนบอกดิ๊ว่าเบื่ออะไร”
“ไม่รู้ดิ รู้สึกเบื่อนิดหน่อย”
“แล้วยังอยากไปกินหมูทะอยู่ไหม” วอร์ถามบ้าง ทุกคนเลิกสนใจเกมในโทรศัพท์แล้วโฟกัสที่พิ้งค์คนเดียว สายตาพวกเขาที่จ้องมองเธอเคลือบด้วยความเอ็นดูเสียส่วนมาก ทว่าลึก ๆ แล้วกลับรู้สึกเป็นห่วงอยู่เหมือนกัน
“อยากไป แล้วใครจะเป็นคนเลี้ยงพิ้งค์อะ”
“เลือกดิ อยากให้ใครเลี้ยงอะ พวกเราพร้อมเสมอ” ไออุ่นยิ้มแป้นพลางเชิดหน้าให้พิ้งค์เลือกคนเลี้ยงหมูกระทะเย็นนี้ แต่เมื่อเห็นพิ้งค์มองด้วยความลำบากใจเขาจึงคิดอะไรสนุก ๆ ออกแล้วเอาขวดมาวางตรงกลางโต๊ะ “หมุนขวดแล้วกัน ปากขวดหยุดที่ใครคนนั้นเลี้ยง ยุติธรรมดี”
“อืม เห็นด้วย” โฮปพยักหน้าเห็นด้วย
“เอาสิ หมุนเลย” วอร์บอกเสียงเรียบและทุกคนก็จ้องมองขวดที่พิ้งค์กำลังหมุน พอเธอหมุนขวดแล้วทุกคนก็ยิ่งก้มหน้าลงและจ้องปากขวดอย่างกดดันจนกระทั่งขวดหยุดหมุนแต่ทว่าปากขวดดันชี้ไปทางพิ้งค์แต่คนที่ยืนอยู่ด้านหลังพิ้งค์มาสักพักแล้วก็เอ่ยขึ้น
“เป็นผมสินะครับ ที่ต้องเลี้ยงหมูกระทะ” เทนต์มือขวาคนสนิทแฟรงค์เอ่ยขึ้นเสียงเรียบพร้อมกับหยิบขวดน้ำขึ้นไปมองอย่างพิจารณา
“มาทำไม”
“…” เขาจ้องคนถามผ่านรอยยิ้มที่มุมปาก “คงไม่ต้องพูดอะไรซ้ำ ๆ หรอกมั้งครับ” เขามารับเธอแบบนี้ทุกวัน แต่คำถามนั้นก็หลุดออกจากปากคุณหนูเขาทุกวันเหมือนกัน
“วันนี้พิ้งค์จะไปกินหมูกระทะกับเพื่อน เทนต์ไม่ต้องมารับหรอก เดี๋ยวให้โฮปไปส่งบ้านก็ได้”
“ใช่ครับพี่เทนต์ เดี๋ยวพวกผมไปส่งพิ้งค์ที่บ้านเอง” ไออุ่นยิ้มหวานให้มือขวามาเฟียใหญ่แต่ทว่าไม่ได้รับความสนใจจากคู่สนทนาเลย เทนต์ก้มมองคนตัวเล็กซึ่งเขายืนอยู่ด้านหลังเธอจึงเห็นว่าตอนนี้พิ้งค์ทำแก้มป่องอยู่
“ผมคงปล่อยให้คุณหนูไปเล่นซนที่อื่นไม่ได้ เพราะนายสั่งให้ผมมาดูแลคุณหนู”
“โตแล้วนะ”
“ถ้าโตแล้วก็ไม่ควรดื้อนะครับ” ในโต๊ะเงียบงันจนได้ยินเสียงลมพัดผ่าน ไออุ่นกระซิบกระซาบกับโฮปเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน
“กูว่าไม่ได้แดกหรอกหมูทะ” โฮปว่า
“เออดิ ดูหน้าพี่เทนต์ดิ เอาจริงนะนั่น” ไออุ่นป้องปากกระซิบตอบและวอร์ก็ยื่นหน้ามากระซิบกระซาบต่อ
“อย่าว่าแต่พี่เทนต์เลย คนของเราก็ใช่ย่อย” เขาบุ้ยปากไปหาพิ้งค์ที่กำลังปั้นปึ่งใส่ลูกน้องหนุ่มอยู่ สามหนุ่มพยักหน้าส่งสัญญาณให้กันแล้วพร้อมใจกันหัวเราะทำลายความเงียบในโต๊ะ
“ฮ่า ๆ ผมว่าเราไปกันหมดนี่เลยดีกว่าไหมครับ ไปกันหลาย ๆ คนสนุกดะ..”
“ไม่”
“อะ..อ้าว?” วอร์อ้าปากค้างเพราะพิ้งค์ปฏิเสธเสียงแข็งพร้อมกับเก็บของใส่กระเป๋าสะพาย เธอลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากโต๊ะทันที “เอ้า พิ้งค์เป็นไรวะ” เขาถามสองหนุ่มที่พร้อมกันส่ายหน้าพรืด ยิ่งอาการพิ้งค์ออกชัดเจนว่ากำลังต่อต้านเทนต์พวกเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้ทั้งที่เมื่อก่อนพิ้งค์ดูปลาบปลื้มเทนต์เอามาก ๆ
หมับ!
“อ๊ะ! อย่ามาจับแขนหนู ปล่อย”
“…” บอดี้การ์ดหนุ่มยอมปล่อยตามที่เด็กสาวสั่งพร้อมกับถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อเว้นระยะห่างจากเธอ แต่ทว่าการกระทำเช่นนั้นกลับทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจมากกว่าเดิม
“พิ้งค์จะให้ป๊าเปลี่ยนบอดี้การ์ดชุดใหม่ ไม่ต้องมาทำหน้าที่ตรงนี้แล้วไม่อยากเห็นหน้า”
“…”
“ซื่อบื้อ!” เมื่อเขายังยืนก้มหน้าเงียบไม่ตอบโต้เธอจึงผลักอกแกร่งหนึ่งทีด้วยแรงที่มีแล้วเดินออกมา การกระทำของพิ้งค์ตกอยู่ในสายตาสามหนุ่มจนพวกเขารีบปรี่เข้ามาหาเพื่อจะห้ามปรามทว่าพิ้งค์กลับเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไปโดยไม่รอเทนต์
“เป็นอะไรไหมครับ” ไออุ่นเอ่ยถามคนเป็นพี่พร้อมกับมองรถยนต์หรูที่เคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็ว
“พี่ไปพูดอะไรให้คุณหนูของพวกเราโกรธเนี่ย พักนี้ยิ่งหงุดหงิดบ่อยอยู่” วอร์มุ่นคิ้วถามเทนต์คล้ายว่าจะขอคำอธิบายเหตุการณ์เมื่อครู่จากเขา
“ยังไงพี่ ตกลงทะเลาะอะไรกับพิ้งค์” โฮปขมวดคิ้วถามอีก เพราะเทนต์ยังยืนเงียบไม่พูดอะไรและสุดท้ายเขาก็ยอมพูด
“เปล่าครับ ผมขอตัว”
“ครับ/ครับ/ครับ”
สามหนุ่มพยักหน้าเข้าใจแล้วยืนกอดอกมองเทนต์ที่เดินออกไปจากกลุ่มเขา
“กูว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ” วอร์หรี่ตามอง
“เงื่อนงำอะไรของมึงไอ้ว้อ” โฮปแย้งขึ้นเสียงขุ่น
“กูชื่อวอร์ วอร์~ ทำลิ้นแบบนี้ วอร์เทอะ!”
“ว้อ”
“ไม่ต้องมาคุยกับกู โกรธยันลูกมึงบวช!”
“ฮ่า ๆ” สองหนุ่มหัวเราะขบขันกับท่าทางกระเง้ากระงอดของเพื่อนรัก ก่อนที่พวกเขาจะกลับไปที่โต๊ะแล้วเก็บของแยกย้ายกันกลับบ้าน
รถยนต์หรูเคลื่อนตัวเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่โดยมีชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่เดินมาเปิดประตูให้ พิ้งค์ถือกระเป๋าเดินจ้ำอ้าวเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
“ปะป๊า! หนูจะเปลี่ยนบอดี้การ์ดชุดใหม่”
“เดี๋ยว ใจเย็นก่อนลูก” ผู้เป็นพ่อเงยหน้าขึ้นมองลูกสาวอย่างไม่เข้าใจ “ทะเลาะอะไรกับเทนต์อีก”
“หนูเปล่า หนูแค่ไม่ชอบ”
“ไม่ชอบยังไง ก็หนูขอป๊าเองว่าอยากให้เทนต์เป็นบอดี้การ์ดดูแลหนู”
“ตอนนี้หนูไม่อยากได้แล้ว”
“บอกป๊าก่อนว่าทะเลาะอะไรกันหรือเทนต์ทำอะไรให้ไม่พอใจ”
“สวัสดีครับนาย” แฟรงค์ละสายตาจากใบหน้าบูดบึ้งของลูกสาวไปมองลูกน้องคนสนิทที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทางสุขุมแล้วดึงสายตากลับมามองหนูพิ้งค์เหมือนเดิม
“ยังไง บอกป๊าได้หรือยังว่าอยากเปลี่ยนบอดี้การ์ดทำไม” ผู้เป็นพ่อถามย้ำเพื่อให้ลูกขยายความจาก เมื่อเห็นแววตาคู่นั้นฉายความลังเลเขาจึงหันมาคุยกับลูกน้อง “แล้วมึงไปทำไรให้หนูพิ้งค์ไม่พอใจ”
“ผมเปล่าทำอะไร”
“เฮ้อ…ไปพักไป” เขาบอกเทนต์ด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายก่อนที่จะตบที่ว่างข้างตัวเป็นการบอกให้หนูพิ้งค์ลงมานั่งข้างตนเอง “ไหนเล่าให้ป๊าฟังสิ เทนต์มีปัญหาตรงไหนถึงทำให้หนูไม่อยากได้เขาเป็นบอดี้การ์ดแล้ว” ฝ่ามือหนาผู้เป็นพ่อลูบผมออกจากใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกสาวด้วยความรัก และจ้องมองดวงตาคู่สวยที่ฉาบด้วยความลังเลใจ
“หนูไม่ชอบที่เทนต์ซื่อบื้อ”
“หึหึ..” คำตอบที่ได้รับทำเอาแฟรงค์หลุดขำออกมา “หนูคิดแบบนั้นจริงเหรอ”
“ป๊าไม่สังเกตเหรอคะ”
“เทนต์อยู่กับป๊ามานาน ทำไมป๊าจะไม่สังเกต”
“ป๊าก็เห็น”
“เพราะป๊าเห็นไงถึงต้องถามหนู” เขาโอบกอดลูกสาวไว้แล้วอธิบายให้เธอเข้าใจ “บอดี้การ์ดในบ้านเราไม่มีใครซื่อบื้อ เพียงแต่พวกเขาถูกฝึกมาแบบนั้นครับลูก พูดให้น้อยวางตัวกับเจ้านายให้เหมาะสม หูตาต้องไว เพราะถ้าขาดคุณสมบัติพวกนี้ก็ไม่ผ่านการทดสอบ ทุกคนในบ้านต่างถูกฝึกฝนมาอย่างหนัก คนที่ป๊าเลือกให้ดูแลหนูกับหม่าม้าคือคนที่ป๊าไว้ใจที่สุดแล้ว พวกเขาฝึกมาเพื่อคุ้มกันเราจากอันตราย ไม่ได้ถูกฝึกมาเพื่อเอาใจใคร ป๊าอยากให้หนูจำตรงนี้ไว้”
“…”
“ที่นี้เข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมเทนต์ถึงต้องทำแบบนั้น”
“…” เด็กสาวพยักหน้าหงึก ๆ แม้ยังรู้สึกขุ่นเคืองในใจเล็กน้อย “หนูไม่ได้เอาแต่ใจสักหน่อย”
“อันนี้พ่อไม่ขอออกความคิดเห็นแล้วกัน”
“งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ”
“หม่าม้าอยู่ในครัว” ชายหนุ่มรั้งใบหน้าจิ้มลิ้มเข้ามาหอมด้วยความรักแล้วปล่อยลูกไปหาแม่ของเธอที่ห้องครัว
หมับ!
“อ๊ะ! หนูพิ้งค์” นางแบบสาวสะดุ้งโหยงเมื่อถูกลูกสาวกอดจากทางด้านหลังโดยที่แม่บ้านก็เห็นดีเห็นงามกับแผนนี้ด้วย
“เสียงคุณแม่เซ็กซี่มากเลยค่ะ”
“ยายลูกคนนี้ แล้ววันนี้ทำไมกลับบ้านเร็วจัง” เด็กสาวยู่ปากแล้วเคลื่อนใบหน้าไปเกลือกกับหน้าอกแม่อย่างออดอ้อน
“ลูกคนนี้อยากทำตัวดีให้หม่าม้าไม่เป็นห่วง”
“จ้ะ” พราวดาวยิ้มประชดลูกสาวก่อนจะดันตัวพิ้งค์ออกห่าง
“หนูเลิกคลาสเร็ว ทีแรกว่าจะไปกินหมูกระทะกับสามเกลอ แต่อารมณ์ไม่ดีก่อนเลยไม่ไป” ผู้เป็นแม่มองริมฝีปากจิ้มลิ้มของลูกสาวผ่านรอยยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก
“ใครกันทำลูกแม่อารมณ์เสีย”
“ก็พอจะมีอยู่ค่ะ”
“งั้นเอาทอดหนังไก่กรอบ ๆ ไปกินเล่น จะได้อารมณ์ดี”
“ว้าว...น่ากินจังเลย เพราะหม่าม้าเก่งแบบนี้ไงป๊าถึงได้หลงหัวปักหัวปำอะ”
“ไม่ต้องมาแซวเลย”
“รักนะคะ” พิ้งค์หอมแก้มแม่ฟอดใหญ่แล้วเดินออกมาจากห้องครัว “อ๊ะ! เดินยังไง…” เธอเม้มปากแน่นก่อนจะเบี่ยงตัวหลบคนตรงหน้าแล้วเดินขึ้นบันไดมา
“คุณหนูครับ”
“…” เธอหยุดยืนฟังแต่ไม่ยอมหันกลับมามองเจ้าของเสียงเรียก “เรียกแล้วไม่พูดจะเรียกทำไม” เธอยอมหันมามองเทนต์ด้วยความหงุดหงิดแต่กลับต้องเป็นฝ่ายอึ้งไปเองที่เห็นเขาถือกล่องของขวัญเล็ก ๆ ไว้ในมือ ก่อนจะส่งมาให้เธอ
“ของขวัญหลังสอบเสร็จครับ”
“ไม่ได้ขอ”
“เด็กดีต้องได้รางวัล”
“ถ้าดีจริง…แล้วเมื่อไหร่หนูจะอยู่ในสายตาเทนต์”
“…”
“ขอบคุณค่ะ” พิ้งค์รับกล่องของขวัญมาถือไว้แล้วเดินขึ้นมาบนบ้าน โดยไม่หันกลับไปมองเทนต์ เธอปิดประตูเสียงดังอย่างประชดประชันเขา
“คุณหนูอยู่ในสายตาผมตลอด...”
ตอนพิเศษ 2หลายวันต่อมา“…” พิ้งค์ยืนมองคนรักอยู่หลังประตูห้องฟิตเนสซึ่งเทนต์กำลังออกกำลังกายอยู่กับลูกน้องหลายคน เขาไม่รู้ว่าถูกมองและยังออกกำลังกายตามปกติจนกระทั่งลูกน้องคนหนึ่งเดินไปกระซิบบอกถึงได้หันมามองพิ้งค์พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้เธอ“มาตั้งแต่เมื่อไหร่”“มานานแล้วค่ะ กำลังดูแดดดี้เพลินเลย ไม่น่ารู้ตัว” ไม่ว่าเปล่าแต่พิ้งค์ยังทำหน้าเสียดายใส่เขา เทนต์แค่นหัวเราะเบาๆ พร้อมกับบีบแก้มแฟนสาวด้วยความมันเขี้ยว“มาแอบดูอะไร หรือว่าแอบดูคนอื่นที่ไม่ใช่แดดดี้” “เปล่าเลย ดูแดดดี้นั่นแหละ ดูสิ….” ไม่ว่าเปล่าเธอยังลูบไล้แผงอกแกร่งแน่นหนั่นอย่างหลงใหลและซีดปากเบาๆ “แดดดี้ยิ่งแก่ยิ่งแซ่บนะเนี่ย”“เด็กดื้อ” เขาตีปลายจมูกพิ้งค์เบาๆ ก่อนที่จะพสเธอกลับเข้าไปในบ้าน พิ้งค์อมยิ้มขบขันที่สามารถแกล้งเขาได้ “วันนี้ไม่มีเรียนหรือไง ถึงได้จุ้นแต่เช้า”“มีค่ะ แต่ส่งงานอาจารย์แล้ว อาจารย์เลยยกคลาสไปเป็นพรุ่งนี้แทน”“แล้วต้องเข้ามหา’ลัยไหม” เทนต์หันมาถามขณะที่กระดกน้ำดื่ทดับกระหาย พิ้งค์ไม่ได้ตอบแต่กลับเดินเข้าไปใกล้แล้วกดริมฝีปากจูบที่หัวนมเขาทำเอาเทนต์แทบสำลักน้ำกับการกระทำอุกอาจของเธอ “ทำอะไร”“เปล่า เห
ตอนพิเศษ 1หลายเดือนต่อมาพิ้งค์เดินนวยนาดเข้ามาในห้องทำงานของคนรักบนชั้นสองของคลับในเวลาสิบโมงเช้า เธอคลี่ยิ้มทักทายเทนต์ที่กำลังนั่งขมวดคิ้วอยู่ในโต๊ะทำงาน แต่พอเห็นหน้าเธอเขาก็คลายสีหน้าตึงเครียดเป็นยิ้มแย้มพร้อมกับลุกออกมาโอบอุ้มจนพิ้งค์ตัวลอย“อื้อ~ แดดดี้มีหนวดอะ มันทิ่มแก้มหนู” เธอผลักใบหน้าเขาออกเล็กน้อยแล้วลูบไล้แก้มทั้งสองข้างลงมาที่ปลายคาง “โกนหนวดไหม เดี๋ยวหนูทำให้” เทนต์หรี่ตามองอย่างลังเลใจแต่ก็ยอมพยักหน้ารับเพราะเห็นความตั้งใจที่แสดงออกทางแววตาเธอ “โอเค” “ไม่เอาเลือดนะ” เทนต์กระตุกยิ้มอย่างขำขันที่พิ้งค์หันมาย่นจมูกใส่เขา เธอหายไปนานหลายนาทีแล้วกลับมาพร้อมกับที่โกนหนวดไฟฟ้า “มานั่งตรงนี้สิคะ” เทนต์เดินไปนั่งลงบนโซฟาตามที่แฟนสาวบอก พอเขานั่งลงแล้วพิ้งค์ก็จัดการเอาผ้าขนหนูสะอาดปิดเสื้อเขาไว้ “กลัวเหรอ มือเย็นเชียว”“ไม่เคยกลัวอยู่แล้ว”“แหม…ปากหวานจริงนะพ่อ มือเย็นเฉียบขนาดนี่ปากบอกไม่กลัวมันดูย้อนแย้งนะคะ”“ทำเถอะ”“หนูมือเบาสุดๆ แล้วนะคะแดดดี้ เพราะเคยโกนให้คนอื่นมาแล้ว” พิ้งค์กำลังจะโกนหนวดแต่ถูกเทนต์จับมือไว้แน่น เธอเลิกคิ้วถามเขาที่เอาแต่จ้องหน้า“โกนให้ใครมา”“ก็ว
บทที่ 61 บทส่งท้ายจากบอดี้การ์ดสู้สถานะใหม่คือคนรู้ใจของพิ้งค์ เขาและเธอครองสถานนี้มาเกือบหนึ่งปีเต็มโดยไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ มาขวางกั้น“แดดดี้”“ครับ?” เทนต์ที่นั่งทำงานอยู่ในโต๊ะรีบหันมาขานรับแฟนสาวทันที ซึ่งกำลังดูจอแสดงผลกล้องวงจรปิดอยู่ “เรียกแล้วไม่พูดนะ”“เปล่า หนูกำลังเรียบเรียงคำพูดอยู่ค่ะ”“จะถามอะไร”“อ๋อ! นึกออกแล้ว” เมื่อนึกออกแล้วเธอจึงลุกออกมาจากโซฟา เดินตรงไปหาเทนต์แล้วหย่อนตัวลงนั่งบนหน้าตักแกร่ง ตวัดแขนโอบกอดลำคอหนาไว้หลวมๆ “ว่าจะถามแดดดี้ ว่าเอาสร้อยข้อมือที่หนูให้ไปไว้ไหนทำไมไม่เห็นใส่เลย”“อ๋อ กลัวมันเก่า”“อะไรเนี่ย…” พิ้งค์เบ้ปากใส่เขา “ก็ซื้อมาให้ใส่ไหมคะ ใส่ก็ต้องเก่าเป็นธรรมดาไหม”“ก็ใส่ออกงานบ่อย เดี๋ยวทำขาดหายไปก็เสียดายแย่”“อา…แดดดี้คงไม่รู้สินะคะว่าหนูน่ะรวย”“รู้แล้วว่ารวย แต่กับของบางอย่างความเงินก็ซื้อไม่ได้นะ”“เช่น?”“หนู”“หนูซื้อได้นะถ้าเงินถึง อ๊ะ! แดดดี้ตีหนูทำไมเนี่ย” เทนต์ถลึงตาใส่คนตัวเล็กที่กำลังลูบตันแขนตัวเองอยู่“พูดเล่นก็ไม่ได้เหรอ”“บอกไปหลายครั้งแล้วว่าไม่ชอบให้พูดแบบนี้ มันดูไม่ดี” พิ้งค์อมยิ้มแล้วโน้มลงไปกระซิบกระซาบเสียงพร่าข้างใบหู“
บทที่ 60เหมือนความสุขที่เคยขาดหายถูกเติมเต็มด้วยความรักที่เทนต์มีให้ ความรักความเอาใจใส่ที่เขาทำให้เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่าเธอไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว“แดดดี้” น้ำเสียงหวานใสของคนข้างกายทำเขาไม่อาจละเลยไปได้เลยสักครั้ง เทนต์หันมามองคนรักด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากทั้งรอฟังพิ้งค์ว่าเธอจะพูดอะไรด้วย “แดดดี้มีความสุขไหม”“ทำไมถึงถามแบบนี้”“อยากฟังจากปากแดดดี้มากกว่าค่ะ”“มีความสุขมากๆ”“หนูก็มีความสุข” แววตาและรอยยิ้มที่พิ้งค์แสดงออกบ่งบอกได้ถึงความสุขจนปิดม่มิด “แดดดี้ยิ้มทำไมเหรอคะ มีอะไรติดหน้าหนูเหรอ”“เปล่า ยิ้มเพราะมีความสุข และอยากให้หนูรู้เอาไว้ว่าความสุขของแดดดี้คือหนู”“ชอบแดดดี้เวอร์ชันนี้นะคะ มันดูน่ารักดูละมุนละไมดี แถมแดดดี้ยังเอาจเก่งจนบางครั้งหนูก็กลัวว่าแดดดี้จะรำคาญ”“ไม่เคยคิดแบบนั้น เห็นหนูมีความสุขก็ดีใจ”“รักแดดดี้~” พิ้งค์กระโดดกอดแล้วหอมแก้มแฟนหนุ่มอย่างไม่นึกอายสายตาคนอื่น จากนั้นเธอกับเขาก็จูงมือกันเดินออกมา ทว่าในตอนที่เทนต์เปิดประตูให้พิ้งค์ก้าวเข้าไปนั่งในรถโทรศัพท์มือถือเขาก็สั่นสะเทือนอยู่ในกระเป๋ากางเกง “ใครเหรอคะ” พิ้งค์ถามเพราะเห็นเทนต์หยิบโทรศัพท์มือถืออ
บทที่ 59หนึ่งชั่วโมงต่อมาพราวดาวกับพิ้งค์เดินกลับไปที่รถพร้อมกัน “หม่าม้าคะ”“ขาลูก”“ทำไมป๊าไม่มากับเราล่ะ หรือว่าป๊าไม่อยากเจอหน้าเทนต์เหรอ” ผู้เป็นแม่เอ็นดูคำถามลูกสาวมาก เธอยกมือขึ้นมาลูบผมพิ้งค์อย่างแผ่วเบาแล้วให้คำตอบลูกสาวผ่านน้ำเสียงนุ่มนวล“เพราะป๊าเราติดคุยงานช่วงเช้าค่ะ เลยมากับเราไม่ได้แต่ป๊าก็บอกหม่าม้าแล้วนะ เอาไว้ทำบุญครั้งหน้าเราได้มาพพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวแน่นอน”“ค่ะ ไหน ๆ วันนี้ก็หยุดเรียนแล้วหนูขอไปเที่ยวกับแดดดี้ได้ไหมคะ”“ได้ค่ะ หนูอยากไปเที่ยวไหนก็ไปได้เลยลูก หนูโตแล้วไม่ต้องมาขออนุญาตหม่าม้าหรอก”“งั้นหนูขอตัวกลับไปกับแดดดี้นะคะ”“ค่ะ” พราวดาวกับลูกสาวแยกย้ายกันไปด้วยเพราะเทนต์ให้ลูกน้องขับรถมาให้ที่วัด เขาจึงพาพิ้งค์กลับก่อน ระหว่างขับรถกลับคนข้างกายก็อ้อนเข้าใหญ่ เธอให้เหตุผลว่านานๆ จะใีเวลาอยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้จึงขออ้อนหน่อย“แดดดี้ว่าเราควรไปเที่ยวไหนก่อนดีคะ ระหว่างห้างกับคาเฟ่” พิ้งค์ถามความคิดเห็นคนรัก เสียงหวานใสทำให้เทนต์รีบกันมามองพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนที่ริมฝีปากหนาหนักจะกดลงตรงขมับบางหนักๆ หนึ่งครั้งแล้วเอ่ยตอบ“ไปไหนก็ได้ค่ะ ตามใ
บทที่ 58หนึ่งชั่วโมงต่อมาพิ้งค์ซบใบหน้าผ่าวร้อนลงกับอกแกร่งอย่างหมดเรี่ยวแรง เธอหอบหายใจถี่เร็วด้วยความเหนื่อยขณะเดียวกันร่างกายก็สั่นระริกเพราะเพิ่งเสร็จสมความต้องการกับเทนต์ในรอบที่สี่“แดดดี้กินจุมากนะคะ”“ไม่รู้สิ สงสัยของขาดมานาน” เขากดยิ้มที่มุมปากเล็กก่อนจะหันใบหน้าไปซบลงที่ลำคอระหงแล้วอุ้มหญิงสาวลงจากหน้าตักทำให้แก่นกายที่อ่อนตัวลงหลุดออกจากช่องทางรักจนเกิดเสียงเฉอะแฉะ พิ้งค์หลับตาแน่นเขินอายแล้วรีบเบือนหน้าหนี “อ้าขาสิ” เมื่อจัดการกับตัวเองเสร็จแล้วจึงสั่งให้อีกฝ่ายอ้าขาออกด้วยเพราะจะเช็ดน้ำรักที่เปรอะเปื้อนออกให้“หนูทำเอง” เทนต์ช้อนตามองเล็กน้อยเพียงเท่ทนั้นก็รู้ความต้องการเขาแล้ว เธอจึงยอมอ้าขาออกให้เขาเช็ดเอง “อ๊ะ! อย่าแกล้งหนู~”“หึหึ…แดงมากเลยนะ”“อย่าพูด”“หิวไหม” เขาถามด้วยท่าทางสบายๆ ทั้งที่มือยังเทียวดึงกระดาษทิชชูเปียกออกมาเช็ดดอกไม้งามเธออยู่เรื่อย พิ้งค์ย่นจมูกแล้วตอบกลับเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน“กินแดดดี้ตั้งชั่วโมงกว่า หนูทั้งจุกทั้งอิ่มแล้วล่ะค่ะ”“…หึหึ เด็กน้อย” เหมือนว่าเขาอึ้งกินในตอนแรกที่เธอกล้าพูดออกไปแบบนั้นและหลุดขำในลำคอเบาๆ ในเวลาต่อมา “งั้นเป
Komen