'พิมเเก้ว' ลูกสาวออกญาชื่อดังจากกรุงศรี เกิดวาร์ปมาที่ พ.ศ. 2564 เพื่อกลายมาเป็นนางบำเรอของมาเฟียฮอตเนิร์ดอย่าง 'สามก๊ก' "ชายผู้นี้ประหลาดนัก ดุดันป่าเถื่อนสิ้นดี ใจเเม่พิมก็มีเเค่นี้เองหนาออเจ้า"
View More‘ออพิมแก้ว’ กำลังกรองมาลัยอยู่ที่สวนดอกลำดวน บ่าวทั้งสองนำขนมพระพายมาวางบนพานให้นางรับประทาน เนื่องจากคุณพิมแก้วนั้นชอบรับประทานขนมไทยยิ่ง
“ขอบใจจ้ะ จิต จวน” เธอพูดกับบ่าวทั้งสองที่คอยเคียงบ่าเคียงไหล่เธออยู่เสมอมา ทั้งสองนั่งพับเพียบอยู่ใต้ถุนศาลา มองแม่นายคนสวยที่กรองมาลัยอย่างกุลสตรี
พิมแก้วนั้นเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของออกญาชื่อดังในยุคสมัยกรุงศรีอโยธยา นางเป็นกุลสตรีครบทุกส่วน มีแต่บุตรของคนมีอำนาจในยุคนี้มาสนใจใคร่รักในตัวนางออกมาก แลต้องการสู่ขอหลายต่อหลายคน แต่พิมแก้วก็มินึกสนใจในชายใดเป็นพิเศษ
วันๆ ของเธอคือการนั่งกรองมาลัย ออดอ้อนเจ้าคุณพ่อที่แสนดุแต่อบอุ่นกับลูกสาวเพียงคนเดียว ออกญาศรีภิบาลนั้นขึ้นชื่อเรื่องความโหดแลหวงลูกสาวมาก เนื่องจากภรรยาคนเดียวตายไปตั้งแต่พิมแก้วยังเล็ก ท่านจึงพยายามประคบประหงมบุตรีของตนอย่างดีที่สุด ถ้าไม่มีผู้ใดที่เขามองว่าเหมาะสมกับพิมแก้วลูกรักของเขา ก็จักมิให้ลูกแต่งงานอย่างเด็ดขาด
ออกญาศรีภิบาลนั้นขึ้นชื่อว่ารักเดียวใจเดียวยิ่ง ทั้งชีวิตนั้นมีเพียงแต่คุณแม่ จนกระทั่งแม่เสียชีวาก็ยังมิมีใครอื่น นั่นยิ่งทำให้พิมแก้วรู้สึกว่า... ถ้าจักหาใครสักคนมาเข้าเรือนหอด้วย ก็ต้องหาคนที่นิสัยเหมือนเจ้าคุณพ่อถึงจักดี
“ขนมพระพายที่ฉันชอบ ขอบใจนะ” เมื่อหยุดกรองมาลัยที่สวยงามลงบนพานทอง นางจึงหันมาเห็นขนมพระพายที่ปั้นเป็นก้อนกลมจากข้าวเหนียวแลตกแต่งสีด้วยดอกอัญชัน ใบเตย แลแก่นฝางจนกลายเป็นสีสันหลากหลายน่าดูชม พร้อมกับราดกะทิด้านบนให้ดูน่าทานยิ่งขึ้น
นางใช้ไม้เหลาเล็กๆ จิ้มลูกพระพายขึ้นมา ป้อนเข้าปากของตนเอง เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย พอลูกแรกยังไม่อิ่มหนำ ก็จิ้มลูกสอง ลูกสาม
แต่ทว่า
“อึก แค่กๆ!” เพราะรับประทานด้วยความรีบเร่ง จึงทำให้ขนมพระพายลูกแดงชิ้นสุดท้ายนั้นติดคอของเธอ เจ้าตัวเล็กไอค่อกแค่ก ชักดิ้นชักงอต่อหน้าบ่าวทั้งสองที่ปรี่เข้ามาดูเธออย่างตกใจเมื่อเห็นว่าแม่นายของตนนั้นล้มลงไปดิ้นน้ำลายฟูมปากอยู่ที่พื้นศาลา
“แค่กๆๆๆ”
“แม่นาย! แม่นายเจ้าคะ แม่นายเป็นกระไรไปเจ้าคะ!”
สิ้นเสียงของจวนบ่าวรับใช้ข้างกาย พิมแก้วก็ชะงักค้าง และสลบไปจากความทรมานของขนมไทยที่ติดคอในเพลานั้น
บรืนนน
นานพอดูที่นางหมดสติไป หญิงสาวปรือตาขึ้นมาท่ามกลางเสียงดังอันแปลกประหลาด เสียงเหมือนอะไรสักอย่างเคลื่อนตัวไปมาไม่น่าชินหู กับเสียงเหมือนช้างร้องแปร๊นๆ ดังมาจากตรงนั้น เจ้าตัวเล็กปรือตาขึ้นมา หันรีหันขวาง ก่อนจะได้กลิ่นเหม็นโฉ่ของถังขยะสาธารณะข้างกาย พร้อมกับถุงดำที่กองพะเนินเทินทึกรอบข้างหล่อน
“กระไรกันนี่ เหม็นเชียว” เพราะความเป็นกุลสตรีจึงทำได้เพียงเอานิ้วเรียวมาบีบจมูกไว้ บิดสะโพกเล็กน้อยแสดงท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์แบบผู้ดี จนรู้สึกเหมือนมีชายในชุดสีดำตัวใหญ่กำลังยืนจ้องเธออยู่ด้านหลังจนต้องสะดุ้งตกใจ
“แม่นี่คือคนที่เมาในคลับจนถูกลากมาที่นี่อย่างงั้นเหรอ” ชายในแว่นดำคนนึงเอ่ยกับชายชุดดำหัวโล้นตัวกำยำอีกคน หรี่ตาลงมองเธอที่นั่งพับเพียบอยู่กลางกองขยะอย่างฉงน
“กูคิดว่าอย่างนั้น แต่มันแต่งชุดไทย”
“หน้าสวยขนาดนี้ ระดับดาราก็หาไม่ได้ ตรงไทป์ที่นายชอบ”
“ถึงจะดูบ้าๆ บอๆ แต่ลองจับแต่งตัวหน่อยก็คงสวย”
“งั้นลากมันไปด้วยกัน”
“ดี”
“ประเดี๋ยวก่อน พวกท่านเป็นใครกัน มาจับแขนเราทำไม” พิมแก้วตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อตนเองนั้นถูกหิ้วปีกด้วยฝ่ามือหนาของชายชุดดำปริศนาทั้งสองคน ลากทึ้งเธอไปยังรถคันโก้ที่อยู่ตรงต้นซอยแคบ เธอมองวัตถุขนาดใหญ่นั้นอย่างตกตะลึง
ทำไมเกวียนรูปทรงแปลกๆ นี้ถึงไม่มีม้าเทียมเกวียนกันล่ะ!?
ที่นี่มันที่ไหนกันแน่
ภายในรถนั้นเงียบสงัดจนน่าอึดอัด แม่กุลสตรีไทยแท้พยายามสงบปากสงบคำนั่งเงียบจนถึงที่สุด เนื่องด้วยชายชุดดำทั้งสองคนนั่งขนาบข้างเธอ แถมตัวเธอเองก็เหม็นโฉ่ไปด้วยกลิ่นขยะจนพวกเขาพากันหันหน้าหนีไปคนละทาง
อะ... อายเหลือเกิน
จนเกวียนคันนี้เคลื่อนตัวมาจนถึงเรือนอันใหญ่โต ที่ทำมาจากวัสดุที่ไม่คุ้นเคย (ปรกติที่เห็นจักเป็นไม้สักเสียส่วนใหญ่) มันดูเหมือนฉาบด้วยอะไรที่หนาและแข็งมากๆ เรือนก็หลังใหญ่อย่างกับวังขององค์เจ้าเหนือหัวที่เจ้าคุณพ่อเคยมาเล่าให้ฟังหลังเข้าเฝ้าเสด็จท่านด้วย
ไม่มีโอกาสได้ถามอะไรมากนัก พิมแก้วถูกบ่าวรับใช้ที่แต่งตัวแปลกประหลาดลากทึ้งเข้ามาจับแต่งตัวอาบน้ำชำระร่างกายจนหมดจด แถมพวกเธอยังพูดคำว่า ‘นี่คงเป็นนางบำเรอคนใหม่ของคุณสามแน่ๆ’ พร้อมกับจับเธอแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดที่แสนจะวาบหวิว ราวกับเป็นหญิงสาวในโคมเขียวก็มิปาน
เจ้าคุณพ่อ หนูกลัว
พิมแก้วประนมมือไหว้ เริ่มหวาดหวั่นขึ้นมาหลังจากถูกจับแต่งหน้าแต่งตัวทำผมจนหอมฟุ้ง นางก็ถูกรับไม้ต่อด้วยชายชุดดำทั้งสองคนนั้น พาเธอเข้ามาในห้องโถงใหญ่ที่อู้ฟู่ มีการตกแต่งที่ดูประหลาดตาและเป็นสีทึบทั้งหมด ท่ามกลางเก้าอี้หนังที่บุอย่างดีนั้น มีชายผู้หนึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่
“นายครับ ผมพานางบำเรอมาให้นายแล้ว ไม่ทราบว่าถูกใจรึเปล่าครับ” ชายชุดดำคนหนึ่งโพล่งขึ้นมาตอนที่ผลักหลังเนียนของพิมแก้วให้เดินมาด้านหน้า เธอจึงได้สำรวจบุรุษปริศนาผู้นั้นอย่างชัดเจน
เขาเป็นผู้ชายที่มีดวงหน้าคมคาย ซ่อนความดุดันไว้ภายใต้แว่นสายตาเฉียบบาง ที่หางคิ้วไปจนถึงใต้ตาด้านขวามีรอยบากราวกับถูกของมีคมกรีดจนเป็นแผลเป็นเป็นทางยาว ดวงตาสีดำทมิฬนั้นจ้องมองเธอเขม็ง พิจารณาเธออย่างละเอียดถี่ถ้วน
“สวย” ประโยคแรกที่ออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ทำเอาเธอสะท้านด้วยความหวาดหวั่นต่อท่าทางอันตรายนั้น “รูปร่างดี ไปเก็บมาจากไหน?”
“ที่คลับคุณจินครับ”
“เหรอ”
“...”
“เธอชื่ออะไร” เงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่ความอันตรายนั้นจักมาเยือนเธอ ชายหนุ่มคมคายผู้นั้นจ้องเธออย่างจาบจ้วงทั้งๆ ที่ท่าทางยังคงสงบนิ่งไม่ขยับตัวเลยแม้แต่นิด เขาเอ่ยถามแม่สาวงามตรงหน้า เนื่องด้วยอยากรู้นามของหล่อน
พิมแก้วกลั้นลมหายใจ คิดว่านี่คงเป็นทางเดียวที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเธอเป็นบุตรีของใคร และถ้ารู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของผู้มีอำนาจในกรุงศรีอโยธยา คงยอมปล่อยตัวไปเป็นแน่
ดังนั้นหล่อนจึงสูดลมหายใจ โพล่งแนะนำตัวเองขึ้นมาอย่างมั่นใจทันที
“เราชื่อพิมเเก้ว เป็นลูกสาวคนเดียวของออกญาศรีภิบาล ว่าเเต่ท่านจับเรามาทำไมกันหรือ”
“ผมจะเข้าไปทำงานในนครโสเภณี และออกมาโดยไม่แตะต้องหญิงใดเลยแม้แต่คนเดียว”พิมแก้วยอมรับว่าตกใจที่สามีของตนเองมีความตั้งใจที่จะไปเป็นทาสสินไถ่คอยดูแลหญิงงามเมืองในโรงรับชำเราบุรุษ เข้าใจดีว่าเจ้าคุณพ่อนั้นรู้จักคนกว้างขวางจนกระทั่งลามไปในที่อโคจรเช่นนั้น แต่ดวงใจในอกอิ่มนั้นปวดใจนัก สถานที่แบบนั้นมีแต่หญิงสาวมากหน้าหลายตา มากคารมณ์มากตัณหา หล่อนไม่มั่นใจว่าคุณสามจะมั่นคงพอที่จะไม่เผลอใจแตะต้องใครสุดท้าย... เพราะระยะเวลาการรู้จักกันนั้นแสนสั้น มีเพียงสมพันธ์สวาทที่พันผูก พิมแก้วจึงยังไม่สามารถวางใจในตัวสามีของตนเองได้เต็มร้อยนักแต่เมื่อสามก๊กออกปากเช่นนั้น ไม่รู้ว่าเพียงต้องการอุ้มชูศักดิ์ศรีต่อหน้าออกญาศรีภิบาล หรือเพียงต้องการเป็นสามีที่ถูกต้องของเธออย่างสุดตัวจริงๆ“กูจักพูดคุยให้นายโรงมาปลดสินไถ่มึงในช่วงสายวันพรุ่ง อีกสองสามวันมึงต้องเดินทางไปที่โรงนครโสเภณีกลางพระนคร”“ขอรับ”ชายกำยำตกปากรับคำพร้อมกับหมอบลงกราบแนบเท้าของว่าที่พ่อตา ดวงตาคมกริบของท่านทำเพียงหลุบลงมองอีกฝ่ายที่นอบน้อมถ่อมตัว ท่านไม่ได้นึกเกลียดชังหรือถืออคติใดๆ กับชายหนุ่มที่ได้ครอบครองบุตรีของตนทางกาย หากแต่หัวใจค
“ละ... ลูกเองก็ให้คำนิยามนั้นมิได้ หากแต่บ่าวที่ชื่อว่าสามนั้น ในภพที่ลูกข้ามกาลเวลาเข้าไป เขาคือผู้มีอิทธิพล ชื่อจริงๆ ของเขาคือสามก๊กเจ้าค่ะ แลลูกได้ตกเป็นเมียเขาในภพนั้น ก่อนจักถูกพ่อหมอยาจรพาทั้งเขาที่อยู่คนละภพกับลูกกลับมาพร้อมกับลูก”“... นี่มันเรื่องบ้ากระไรกัน” เจ้าพระยาศรีภิบาลพยายามปะติดปะต่อคำให้การของลูกสาว แต่เมื่อเข้าใจ จึงได้แต่สบถออกมาอย่างยั้งไม่ไหว “พิมนาราก็อีกคนแล้ว ครานี้ยังเป็นลูกอีกรึ!”“พิมนารา... ชื่อของเจ้าคุณแม่” พิมแก้วทวนชื่อของมารดาตนเองที่หลุดออกมาจากปากของผู้เป็นพ่ออย่างนึงฉงน พิมนาราก็อีกคน... ถ้อยคำนี้หมายความว่าอย่างไรกัน ทำไมสีหน้าของผู้เป็นพ่อถึงดูเจ็บปวดใจอย่างนี้“พิมแก้ว... ทิดยาจรมีอาคมสามารถพาคนที่หมายเอาชะตาข้ามกาลเวลาได้ในอีกหลายพันปีข้างหน้า”“...”“พิมนาราแม่ของลูก... ถูกไอ้จอมขมังเวทย์ระยำนั่นดึงให้ข้ามกาลเวลาจนแม้แต่ตอนนี้ก็ยังตามหาแม่ของลูกมิเจอ พ่อจึงได้แต่เพียงอนุมานว่าแม่ของลูกตายไปแล้ว เพื่อรักษาหน้าของตระกูลเรา”“!!!”“ผู้คนตามกาลเวลาที่ผันแปร มิใช่พรหมลิขิตอย่างที่ลูกอุปมานไว้ หากแต่เป็นความผิดพลาดที่ทำให้ลูกสูญเสียความเป็นตนเอง ท
วันต่อมา เจ้าพระยาศรีภิบาลได้กลับมาจากกระทรวง เดินทางมาถึงเรือนใหญ่ในช่วงเช้า แน่นอนว่ายังไม่ได้รับรู้ข่าวลือเรื่องสามก๊กเพราะนานวันเข้าเรื่องหนาหูเลยซาลงมากแล้ว ท่านกลับมาเหนื่อยๆ ก็ได้รับการต้อนรับจากบุตรสาวที่มีท่าทีแปลกๆ เธอดูร้อนรนจนเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมเต็มกรอบหน้า ไม่กล้าสบตาผู้เป็นพ่อในระหว่างที่ยกสำรับชาให้ สีหน้าของท่านเจ้าพระยามีแววแปลกใจ ในขณะที่จิบชาจีนที่ลูกสาวนำมาให้“ไอ้บ่าวคนนั้นมันไปไหนเสียแล้ว?” เป็นคำถามแรกของเจ้าคุณพ่อที่ทำเอาเด็กสาวขนลุกซู่ไปทั่วแผ่นหลัง จะบอกได้อย่างไรว่านอนอยู่บนเรือนเล็กของเธอ มีหวังเจ้าคุณพ่อได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่ๆแต่คุณสามรับปากแล้วว่าจะมาคุยกับเจ้าคุณพ่อถึงเรื่องของเราด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นพิมแก้วจึงทำได้แต่ต้องอดทนรออย่างใจเย็นเท่านั้น แม้ว่าต่อหน้าคุณสามจะพูดจาอย่างอวดดีว่าเธอจะเป็นคนเปิดปากพูดเรื่องนี้กับบิดาเอง แต่เมื่อได้อยู่ต่อหน้าท่าน ก็ทำเอาเกร็งจนไม่กล้าแม้แต่จะอ้าปากเริ่มอะไรเลย“มิรู้ว่าดิฉันจักกราบทูลท่านเจ้าพระยาได้หรือไม่เจ้าค่ะ ดิฉันแค่เพียงต้องการความเป็นธรรมให้อีสาลี่เท่านั้น” แต่ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะคิดหาทางหว่านล้อมพ่อถ
เร็วกว่าใจคิด ฝ่ามือเล็กเอื้อมไปแตะที่กลีบปากหยักที่หยัดยิ้มกว้าง ดวงตาสีทมิฬหลุบตาจ้องมองปลายนิ้วชี้ที่เกลี่ยไปตามกลีบปากของเขา พิมแก้วสบตาเขากลับเช่นกัน บรรยากาศดึงดูดให้สาวแห่งยุคกรุงศรีอโยธยาเคลื่อนตัวไปใกล้ๆ เพียงใช้นิ้วกั้นระหว่างกลีบปากของทั้งสอง กดจูบนุ่มนวลที่ปลายนิ้วของตัวเองสามก๊กเบิกตากว้าง เหมือนกำลังโดนเธอรุกจูบขึ้นมาก็ไม่ต่าง ถึงจะมีปลายนิ้วชี้ของสาวเจ้ากั้นกลางอยู่ก็ตามพิมแก้วผละออกไป ดวงหน้างามขึ้นสีฝาดอย่างน่ารัก“อย่ายิ้มได้หรือไม่”“...”“พิมกลัวว่าตนเอง... จักเผลอล่วงเกินคุณสามเจ้าค่ะ”ชายหนุ่มที่ปฏิญาณตนจะรักษาศีลและอยู่ในธรรมครรลองตลอดนั้นชะงักไปชั่วอึดใจ เขาเองก็หน้าแดงฝาดเช่นกัน พลางกลืนน้ำลายลงคอดังอึกใหญ่ยัยหนูคนนี้ ใครสั่งใครสอนให้มาพูดตรงๆ แบบนี้กันคนที่ควรจะกลัว... มันเขาต่างหาก“พิม พี่ไม่คิดว่าหนูจะมาบอกชอบพี่ แล้วเรื่องพ่อพิม... จะเอายังไง?” พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย ด้วยไม่อยากให้ตนเองตบะแตกใส่เธอเร็วนัก เดี๋ยวเด็กสาวจะนึกเปลี่ยนใจเอาเสียก่อน“พิมจักลองคุยกับเจ้าคุณพ่อดูเจ้าค่ะ ถึงคิดว่าจักยากพอตัว... แต่อย่างน้อยต้องให้เจ้าคุณพ่อยอมรับเรื่องอัศจรรย์
“พี่เดช พอเถิดเจ้าค่ะ”อยู่ดีๆ น้ำเสียงของเด็กสาวตรงหน้าก็เข้มขึ้นเมื่อเขายังยืนกรานคำเดิมเพิ่มเติมด้วยบทลงโทษที่คิดมาเอง ขุนศรีเดชชะงักไป เขาเพิ่งเห็นปฏิกิริยาใหม่กับน้องสาวต่างสายเลือดที่เขาคิดไปมากกว่าน้องสาวเช่นนี้ พิมแก้วที่นั่งรวบมืออยู่นั้นมีสีหน้าจริงจังขึ้นแม้เธอจะรู้สึกดีๆ กับพี่ชายคนนี้อยู่ก็ตาม แต่การให้พี่มาใช้อารมณ์ลงโทษคนที่ไม่เกี่ยวข้อง มันออกจะเกินไปหน่อยที่คุณสามเขาประกาศแบบนั้นไป อาจเป็นเพราะเขาจนมุมก็ได้นะ ก็คนเคยมีอำนาจบาตรใหญ่ อยู่ดีๆ ก็ต้องมาเหลือแต่ตัวแบบนี้ไม่รู้ทำไมถึงได้ไปทำความเข้าใจเขาเหมือนกันแม้จะรู้สึกขัดใจที่ตัวเองเลือกที่จะปกป้องผู้ชายที่ไม่รู้จักดีเท่ากับขุนศรีเดชตรงหน้ามากกว่า แต่เพราะพิมแก้วเองก็มีใจห่วงใยอีกฝ่ายอยู่บ้าง และบางครั้งก็รู้สึกผิดที่ปล่อยเขาไว้แบบนั้น ทั้งๆ ที่ตอนอยู่ด้วยกัน เขาช่วยเหลือเธอสารพัด (แม้จะมาจากท่าทางที่ดูใจร้ายปากร้ายก็ตาม) แถมยังให้เธอมีที่หลับที่นอนหรูหรา เสื้อผ้าดีๆ ของกินของใช้ดีๆอีกต่างหาก“เพราะเหตุใด...”“พี่เดช อ้ายสามเป็นบ่าวของพิม ถ้าจักลงโทษ ก็ให้พิมเป็นคนลงโทษเองเถิด”“น้องพิม น้องปกป้องมันเกินไปหรือไม่?”
แกรกบานประตูเปิดเข้ามาในระหว่างที่ชายหนุ่มอดีตมาเฟียใหญ่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดหนัก สิ่งแรกที่ปะทะเข้าหน้าคือกลิ่นหอมของน้ำอบฝรั่ง ที่กลิ่นหอมกว่าน้ำอบไทยในปัจจุบันจนไม่รู้สึกว่าเป็นกลิ่นที่มักจะใช้เวลามีงานศพหรืองานบุญด้วยซ้ำ แต่ยอมรับว่าเขาก็ชอบอยู่ไม่น้อยพิมแก้วปรากฏออกมาด้วยชุดสไบทรงเครื่องแบบโบราณ ซิ่นสีบานเย็นงามจับจด เธอในชุดนั้นงดงามชดช้อย เด็กสาวค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามานั่งบนตั่งไม้สัก ในขณะที่สามก๊กนั่งบนพื้นไม่ได้ลุกไปนั่งเทียบเคียงเธอ“ท่านจักนั่งอยู่บนพื้นหรือเจ้าคะ” เด็กสาวเองก็รู้สึกไม่ชินสักเท่าไหร่ ผู้ชายที่ก่อนหน้านั้นแสดงอำนาจบาตรใหญ่มากกว่าเธอ มีลูกน้องเป็นร้อย แต่ในเวลานี้กลับเอาแต่นั่งนิ่งไม่ไหวติงบนพื้นไม้ นั่งขัดสมาธิจ้องเธอนิ่ง“ก็พิมเป็นเจ้านายพี่” เจ็บใจไม่ใช่น้อย แต่ต้องยอมรับว่าตอนนี้เธอสูงศักดิ์กว่าเขาเสียจริง แค่ราศีก็ไม่อาจเทียบเคียงได้“คุณสามมิใช่คนในยุคพิม คุณสามมีอำนาจกว่าพิมมากนักนะเจ้าคะ” ถึงต่อหน้าพ่อกับบ่าวคนอื่นเขาจะเป็นแค่ชายธรรมดาคนหนึ่งก็ตามที“แล้ว?”“...”“จะให้พี่ขึ้นไปนั่งด้วยกันหรือไง” คำถามนั้นเรียบง่าย แต่ทำไมกลับดูอันตราย ก็สายต
Comments