บทที่ 4
รอยยิ้มบนใบหน้าจิ้มลิ้มไม่อาจทำให้เขาหวั่นไหวหรือคิดอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น เพราะในสายตาเขาพิ้งค์คือเด็กคนหนึ่งที่เจ้านายมอบหมายหน้าที่ให้ดูและ และเขาคือคนที่แฟรงค์ไว้ใจที่สุด
“อยากกินเฟรนช์ฟรายด์ ป้อนด้วยพิ้งค์ไม่มีมือหยิบแล้ว” บอดี้การ์ดหนุ่มหันมองทางซ้ายและขวาก่อนที่จะหยิบเฟรนซ์ฟรายด์มาป้อนใส่ปากหญิงสาว “อร่อย..”
“รีบกินเถอะครับ”
“รีบกินเดี๋ยวก็ติดคอ”
“ทำแบบนี้ไม่เหมาะ อย่าขอให้ผมทำแบบนี้อีก” เธอยังยิ้มหน้าบานเพราะการกระทำของเทนต์มันสวนทางกับคำพูด แม้จะดุเธอแต่มือเขาไม่ว่างเว้นในการหยิบเฟรนช์ฟรายด์ป้อนใส่ปากเลยจนกระทั่งโฮปกับวอร์เดินกลับมานั่งลงบนม้านั่งข้างพิ้งค์
“เลอะหมดแล้ว มาเดี๋ยวเช็ดให้” ด้วยความที่ไม่ได้มองวิ่งที่อยู่ในมือเทนต์วอร์จึงหยิบทิชชูไปหมายจะเช็ดปากให้พิ้งค์ จังหวะที่เอี้ยวตัวมาแต่กลับต้องชะงักทุกการกระทำเพราะเขาเหลือบเห็นทิชชูในมือเทนต์และรู้สึกเสียวสันหลังวาบเหมือนกำลังถูกจ้องด้วยรังสีอำมหิต “เออเช็ดเองดีกว่า”
“เอ้า!” คนตัวเล็กตั้งท่าจะเอียงหน้าให้ก็หลุดเสียงอถทานเมื่อเห็นโฮปกลับไปนั่งตัวตรงแถมยังเอาทิชชูซับเหงื่อให้ตัวเองหน้าตาเฉย แต่พอช้อนตามองคนตรงก็พอเข้าใจอะไรหลายอย่าง “พิ้งค์อิ่มแล้ว” แฮมเบอร์เกอร์ที่พร่องลงไปนิดหน่อยถูกวางลงในกล่องเฟรนช์ฟรายด์ หญิงสาวหยิบแก้วน้ำหวานมาดูดกินแทนน้ำเปล่า
“อิ่มแล้วไปไหนต่อ” วอร์ถาม
“ไม่รู้ แต่ยังไม่อยากกลับบ้าน”
“งั้นก็กลับบ้าน” ทุกคนหันขวับมามองเจ้าของคำพูดด้วยความงงงวย เมื่อครู่เธอเพิ่งบอกว่าไม่อยากกลับบ้านแต่เขากลับบอกว่าให้กลับบ้านเนี่ยนะ
“อะไรกัน เมื่อกี้พิ้งค์บอกว่ายังไม่อยากกลับบ้าน”
“ตอนนี้ก็มืดแล้ว เดี๋ยวนายหญิงจะดุเอานะครับ”
“หม่าม้าไม่ดุหรอกถ้ามากับเทนต์”
“…” ชายหนุ่มก้มมองคนตรงหน้าก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายของพิ้งค์มาแล้วเชิดหน้าไปทางรถยนต์ซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลมากนัก
“โอเค กลับก็กลับ” เธอหันไปโบกมือลาเพื่อนแล้วเดินตามกลับลูกน้องหนุ่มมาจนถึงรถ “หนูยอมอ่อนข้อให้เพราะวันนี้เทนต์ทำตัวน่ารักเป็นที่พอใจหนูหรอกนะ”
“ครับ” แม้เขาจะไม่ได้แสดงความรู้สึกมากมายแต่ก็เป็นที่พอใจมากกว่าวันที่ผ่านมามาก พิ้งค์ก้าวเข้ามานั่งเบาะข้างคนขับเช่นเคย เมื่อเทนต์เข้ามานั่งประจำเบาะคนขับแล้วเธอก็ถือวิสาสะเขยิบตัวไปใกล้ ๆ แล้วเอาศีรษะพิงต้นแขนแกร่ง มือเรียวบางสอดประสานกับมือหนาแนบแน่น “เคยบอกแล้วว่ามันไม่เหมาะ”
“ความสุขของหนูมีแค่นี้ ไม่ตามใจหน่อยเหรอ” น้ำเสียงและแววตาเธอออกอ้อนเขาอย่างมาก ถึงอย่างนั้นเทนต์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะใจอ่อนง่าย ๆ เขาจ้องมองเธอด้วยสายตาดุดันเป็นเชิงออกคำสั่งกลาย ๆ ว่าให้เธอกลับไปนั่งที่ตัวเองดี ๆ “ก็ได้ ไม่ทำแล้วก็ได้ค่ะ” ใบหน้าจิ้มลิ้มพลันบูดบึ้งแล้วกลับมานั่งตัวตรงพร้อมกับคาดเข็มขัดนิรภัยเองเรียบร้อย เทนต์ส่ายหน้าไปมาเบา ๆ ก่อนจะขับรถออกมาช้า ๆ ระหว่างทางภายในรถถูกกดดันด้วยความเงียบ แต่คนที่รู้สึกอึดอัดกลับเป็นพิ้งค์เองเสียมากกว่า
“อยากกินอะไรไหมครับ”
“…” คนถูกถามกอดอกทำหน้าบึ้งตึง
“ถ้าไม่ตอบ ผมเข้าบ้านเลยนะ” เขาไม่รอช้าก้เลี้ยวเข้ามาในซอยแล้วขับตรงไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ ครั้นได้ยินเสียงคนข้างกายถอนหายใจฟึดฟัดแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก พอรถจอดปุ๊บคนตัวเล็กก็เปิดประตูก้าวลงจากรถทันที
“พี่ไปทำอะไรให้คุณหนูโกรธอีกเนี่ย” ลุกน้องคนสนิทเขาเอ่ยถามอย่างสงสัย แต่ถูกเทนต์เหลือบตามองด้วยแววตาดุดันเขาจึงปิดปากเงียบแล้วเอาของที่อยู่ในรถเข้าบ้าน
“ไง หน้าบูดบึ้งเข้าบ้านอย่างนั้น คงไม่ได้ขัดใจหนูพิ้งค์ใช่ไหม” แฟรงค์เดินเข้ามาถามลูกน้องคนสนิทที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้าน เทนต์ก้มศีรษะทำความเคารพผู้เป็นนายแล้วจึงเอ่ยตอบ
“คุณหนูเอาแต่ใจกับผมจนผมรู้สึกชินแล้วครับ เลยไม่รีู้ว่าทำอะไรขัดใจคุณหนูไหม"
“สมกับหนูพิ้งค์เรียกมึงว่าแท่งปูน หัดทำตัวอ่อนโยนหน่อย” บอดี้การ์ดหนุ่มเงยหน้าสบตากับเจ้านาย
“ผมก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว"
“อืม ๆ คร้านจะเถียงกับมึง ไปพักไป” ผู้เป็นนายสะบัดมือไล่ลูกน้องคนสนิท เทนต์ทำความเคารพแล้วเดินรออกมาจากห้องโถงใหญ่ เขาตรงไปยังห้องพักบอดี้การ์ดเพื่อหาน้ำเย็น ๆ สักแก้วดื่มดับกระหาย
01:30
ช่วงดึกที่เงียบสงัด ร่างบางในชุดนอนกระโปรงลายการ์ตูนสีหวานเดินลงมาชั้นล่างเพื่อหาของกินในยามดึก เธอเดินเข้ามาในห้องครัวพร้อมกับกวาดสายตามองหาของกิน ทว่าในห้องครัวกลับว่างเปล่า มีแต่ของสดและของที่ยังไม่ทันได้ปรุงสุก เเสียงถอนหายใจดังขึ้นสองครั้งหลังจากนั้นเธอจึงเปิดตู้เย็นหยิบหมูสดกับผักสดออกมา พิจารณาอยู่นานว่าหมูกับผักที่หยิบออกมาจะทำอะไรกินดี สุดท้ายก็หนีไม่พ้นเมนูง่าย ๆ คือต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกิน
“อยู่สูงจัง หม่าม้าหยิบได้ไงเนี่ย” หญิงสาวพึมพำเสียงเบาพร้อมกับเอื้อมมือหยิบหม้อต้มที่อยู่เหนือศีรษะเธอไป จังหวะที่มือกำลังจะเอื้อมถึงกลับมีมือใครบางคนเอื้อมไปหยิบก่อน เธอตกใจจนเผลอกรีดร้องออกมา พอหันมามองคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังความหวาดกลัวเมื่อครู่ก็พลันหายไป
“ดึกแล้ว ไม่กลัวหน้าบวมหรือไงครับ”
“หิว” เธอตอบเขาสั้น ๆ
“แล้วจะทำอะไร” น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเย็นชาสุด ๆ แต่เธอไม่ได้ตอบในทันทีแต่กลับชี้นิ้วไปที่ซองบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแทน “ทำเป็น?” คราวนี้เทนต์เป็นฝ่ายเลิกคิ้วถามพลางเหลือบตามองของสดที่เธอเอาออกมา
“ก็..ทำเป็น”
“งั้นนั่งอยู่เฉย ๆ พอเดี๋ยวผมทำให้”
“อ๊ะ!” ร่างเล็กถูกอุ้มขึ้นมานั่งบนเคาน์เตอร์ ทำให้ใบหน้าเธออยู่เหนือใบหน้าคมคาย ปลายจมูกเล็กสัมผัสกับติ่งหูชายหนุ่มในจังหวะที่เขาอุ้มเธอขึ้น เธอจำกลิ่นครีมอาบน้ำที่เทนต์ใช้เป็นประจำได้ดี “ทำไมนอนดึก” พิ้งค์เอ่ยถามเมื่อคนตรงหน้าไม่ยอมผละตัวออกไปจากเธอสักที
“เพราะรู้ว่าใครบางคนจะลงมาหาอะไรกินตอนดึก"
“เชอะ!” ริมฝีปากจิ้มลิ้มเบะคว่ำ
“รอแป๊บหนึ่งนะครับ” บอดี้การ์ดหนุ่มตั้งท่าจะหันหลังให้คนตัวเล็กแต่กลับถูกมือเรียวบางกระชากคอเสื้อไว้เขาจึงต้องหันมามองหน้าพิ้งค์
“ถ้าหนูรอไม่ไหวล่ะ..” เสียงหวานกระซิบข้างใบหู
“ก็ต้องรอ เพราะเด็กดีต้องรอได้”
“อยากเป็นเด็กดื้อขึ้นมาเลยค่ะ เพราะเด็กดื้อจะได้รับการใส่ใจจากผู้ใหญ่มากกว่าเด็กดี”
“ใครบอกว่าเด็กดื้อจะได้รับความใส่ใจ” เทนต์แสยะยิ้มมุมปากถามกลับ
“ขนาดหนูดื้อเทนต์ยังตามใจเลย หรือไม่จริง อ๊ะ!” จู่ ๆ คนตรงหน้าก็ใช้ปลายนิ้วชี้ตีปลายจมูกเธอแล้วหันกลับไปต้มบะหมี่ให้กิน ตอนนี้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง เพียงได้มองเขาจากทางด้านหลัง ความสุขก็เพิ่มทวีโดยไม่ต้องทำอะไรมากมายเลย
ตอนพิเศษ 2หลายวันต่อมา“…” พิ้งค์ยืนมองคนรักอยู่หลังประตูห้องฟิตเนสซึ่งเทนต์กำลังออกกำลังกายอยู่กับลูกน้องหลายคน เขาไม่รู้ว่าถูกมองและยังออกกำลังกายตามปกติจนกระทั่งลูกน้องคนหนึ่งเดินไปกระซิบบอกถึงได้หันมามองพิ้งค์พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้เธอ“มาตั้งแต่เมื่อไหร่”“มานานแล้วค่ะ กำลังดูแดดดี้เพลินเลย ไม่น่ารู้ตัว” ไม่ว่าเปล่าแต่พิ้งค์ยังทำหน้าเสียดายใส่เขา เทนต์แค่นหัวเราะเบาๆ พร้อมกับบีบแก้มแฟนสาวด้วยความมันเขี้ยว“มาแอบดูอะไร หรือว่าแอบดูคนอื่นที่ไม่ใช่แดดดี้” “เปล่าเลย ดูแดดดี้นั่นแหละ ดูสิ….” ไม่ว่าเปล่าเธอยังลูบไล้แผงอกแกร่งแน่นหนั่นอย่างหลงใหลและซีดปากเบาๆ “แดดดี้ยิ่งแก่ยิ่งแซ่บนะเนี่ย”“เด็กดื้อ” เขาตีปลายจมูกพิ้งค์เบาๆ ก่อนที่จะพสเธอกลับเข้าไปในบ้าน พิ้งค์อมยิ้มขบขันที่สามารถแกล้งเขาได้ “วันนี้ไม่มีเรียนหรือไง ถึงได้จุ้นแต่เช้า”“มีค่ะ แต่ส่งงานอาจารย์แล้ว อาจารย์เลยยกคลาสไปเป็นพรุ่งนี้แทน”“แล้วต้องเข้ามหา’ลัยไหม” เทนต์หันมาถามขณะที่กระดกน้ำดื่ทดับกระหาย พิ้งค์ไม่ได้ตอบแต่กลับเดินเข้าไปใกล้แล้วกดริมฝีปากจูบที่หัวนมเขาทำเอาเทนต์แทบสำลักน้ำกับการกระทำอุกอาจของเธอ “ทำอะไร”“เปล่า เห
ตอนพิเศษ 1หลายเดือนต่อมาพิ้งค์เดินนวยนาดเข้ามาในห้องทำงานของคนรักบนชั้นสองของคลับในเวลาสิบโมงเช้า เธอคลี่ยิ้มทักทายเทนต์ที่กำลังนั่งขมวดคิ้วอยู่ในโต๊ะทำงาน แต่พอเห็นหน้าเธอเขาก็คลายสีหน้าตึงเครียดเป็นยิ้มแย้มพร้อมกับลุกออกมาโอบอุ้มจนพิ้งค์ตัวลอย“อื้อ~ แดดดี้มีหนวดอะ มันทิ่มแก้มหนู” เธอผลักใบหน้าเขาออกเล็กน้อยแล้วลูบไล้แก้มทั้งสองข้างลงมาที่ปลายคาง “โกนหนวดไหม เดี๋ยวหนูทำให้” เทนต์หรี่ตามองอย่างลังเลใจแต่ก็ยอมพยักหน้ารับเพราะเห็นความตั้งใจที่แสดงออกทางแววตาเธอ “โอเค” “ไม่เอาเลือดนะ” เทนต์กระตุกยิ้มอย่างขำขันที่พิ้งค์หันมาย่นจมูกใส่เขา เธอหายไปนานหลายนาทีแล้วกลับมาพร้อมกับที่โกนหนวดไฟฟ้า “มานั่งตรงนี้สิคะ” เทนต์เดินไปนั่งลงบนโซฟาตามที่แฟนสาวบอก พอเขานั่งลงแล้วพิ้งค์ก็จัดการเอาผ้าขนหนูสะอาดปิดเสื้อเขาไว้ “กลัวเหรอ มือเย็นเชียว”“ไม่เคยกลัวอยู่แล้ว”“แหม…ปากหวานจริงนะพ่อ มือเย็นเฉียบขนาดนี่ปากบอกไม่กลัวมันดูย้อนแย้งนะคะ”“ทำเถอะ”“หนูมือเบาสุดๆ แล้วนะคะแดดดี้ เพราะเคยโกนให้คนอื่นมาแล้ว” พิ้งค์กำลังจะโกนหนวดแต่ถูกเทนต์จับมือไว้แน่น เธอเลิกคิ้วถามเขาที่เอาแต่จ้องหน้า“โกนให้ใครมา”“ก็ว
บทที่ 61 บทส่งท้ายจากบอดี้การ์ดสู้สถานะใหม่คือคนรู้ใจของพิ้งค์ เขาและเธอครองสถานนี้มาเกือบหนึ่งปีเต็มโดยไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ มาขวางกั้น“แดดดี้”“ครับ?” เทนต์ที่นั่งทำงานอยู่ในโต๊ะรีบหันมาขานรับแฟนสาวทันที ซึ่งกำลังดูจอแสดงผลกล้องวงจรปิดอยู่ “เรียกแล้วไม่พูดนะ”“เปล่า หนูกำลังเรียบเรียงคำพูดอยู่ค่ะ”“จะถามอะไร”“อ๋อ! นึกออกแล้ว” เมื่อนึกออกแล้วเธอจึงลุกออกมาจากโซฟา เดินตรงไปหาเทนต์แล้วหย่อนตัวลงนั่งบนหน้าตักแกร่ง ตวัดแขนโอบกอดลำคอหนาไว้หลวมๆ “ว่าจะถามแดดดี้ ว่าเอาสร้อยข้อมือที่หนูให้ไปไว้ไหนทำไมไม่เห็นใส่เลย”“อ๋อ กลัวมันเก่า”“อะไรเนี่ย…” พิ้งค์เบ้ปากใส่เขา “ก็ซื้อมาให้ใส่ไหมคะ ใส่ก็ต้องเก่าเป็นธรรมดาไหม”“ก็ใส่ออกงานบ่อย เดี๋ยวทำขาดหายไปก็เสียดายแย่”“อา…แดดดี้คงไม่รู้สินะคะว่าหนูน่ะรวย”“รู้แล้วว่ารวย แต่กับของบางอย่างความเงินก็ซื้อไม่ได้นะ”“เช่น?”“หนู”“หนูซื้อได้นะถ้าเงินถึง อ๊ะ! แดดดี้ตีหนูทำไมเนี่ย” เทนต์ถลึงตาใส่คนตัวเล็กที่กำลังลูบตันแขนตัวเองอยู่“พูดเล่นก็ไม่ได้เหรอ”“บอกไปหลายครั้งแล้วว่าไม่ชอบให้พูดแบบนี้ มันดูไม่ดี” พิ้งค์อมยิ้มแล้วโน้มลงไปกระซิบกระซาบเสียงพร่าข้างใบหู“
บทที่ 60เหมือนความสุขที่เคยขาดหายถูกเติมเต็มด้วยความรักที่เทนต์มีให้ ความรักความเอาใจใส่ที่เขาทำให้เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่าเธอไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว“แดดดี้” น้ำเสียงหวานใสของคนข้างกายทำเขาไม่อาจละเลยไปได้เลยสักครั้ง เทนต์หันมามองคนรักด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากทั้งรอฟังพิ้งค์ว่าเธอจะพูดอะไรด้วย “แดดดี้มีความสุขไหม”“ทำไมถึงถามแบบนี้”“อยากฟังจากปากแดดดี้มากกว่าค่ะ”“มีความสุขมากๆ”“หนูก็มีความสุข” แววตาและรอยยิ้มที่พิ้งค์แสดงออกบ่งบอกได้ถึงความสุขจนปิดม่มิด “แดดดี้ยิ้มทำไมเหรอคะ มีอะไรติดหน้าหนูเหรอ”“เปล่า ยิ้มเพราะมีความสุข และอยากให้หนูรู้เอาไว้ว่าความสุขของแดดดี้คือหนู”“ชอบแดดดี้เวอร์ชันนี้นะคะ มันดูน่ารักดูละมุนละไมดี แถมแดดดี้ยังเอาจเก่งจนบางครั้งหนูก็กลัวว่าแดดดี้จะรำคาญ”“ไม่เคยคิดแบบนั้น เห็นหนูมีความสุขก็ดีใจ”“รักแดดดี้~” พิ้งค์กระโดดกอดแล้วหอมแก้มแฟนหนุ่มอย่างไม่นึกอายสายตาคนอื่น จากนั้นเธอกับเขาก็จูงมือกันเดินออกมา ทว่าในตอนที่เทนต์เปิดประตูให้พิ้งค์ก้าวเข้าไปนั่งในรถโทรศัพท์มือถือเขาก็สั่นสะเทือนอยู่ในกระเป๋ากางเกง “ใครเหรอคะ” พิ้งค์ถามเพราะเห็นเทนต์หยิบโทรศัพท์มือถืออ
บทที่ 59หนึ่งชั่วโมงต่อมาพราวดาวกับพิ้งค์เดินกลับไปที่รถพร้อมกัน “หม่าม้าคะ”“ขาลูก”“ทำไมป๊าไม่มากับเราล่ะ หรือว่าป๊าไม่อยากเจอหน้าเทนต์เหรอ” ผู้เป็นแม่เอ็นดูคำถามลูกสาวมาก เธอยกมือขึ้นมาลูบผมพิ้งค์อย่างแผ่วเบาแล้วให้คำตอบลูกสาวผ่านน้ำเสียงนุ่มนวล“เพราะป๊าเราติดคุยงานช่วงเช้าค่ะ เลยมากับเราไม่ได้แต่ป๊าก็บอกหม่าม้าแล้วนะ เอาไว้ทำบุญครั้งหน้าเราได้มาพพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวแน่นอน”“ค่ะ ไหน ๆ วันนี้ก็หยุดเรียนแล้วหนูขอไปเที่ยวกับแดดดี้ได้ไหมคะ”“ได้ค่ะ หนูอยากไปเที่ยวไหนก็ไปได้เลยลูก หนูโตแล้วไม่ต้องมาขออนุญาตหม่าม้าหรอก”“งั้นหนูขอตัวกลับไปกับแดดดี้นะคะ”“ค่ะ” พราวดาวกับลูกสาวแยกย้ายกันไปด้วยเพราะเทนต์ให้ลูกน้องขับรถมาให้ที่วัด เขาจึงพาพิ้งค์กลับก่อน ระหว่างขับรถกลับคนข้างกายก็อ้อนเข้าใหญ่ เธอให้เหตุผลว่านานๆ จะใีเวลาอยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้จึงขออ้อนหน่อย“แดดดี้ว่าเราควรไปเที่ยวไหนก่อนดีคะ ระหว่างห้างกับคาเฟ่” พิ้งค์ถามความคิดเห็นคนรัก เสียงหวานใสทำให้เทนต์รีบกันมามองพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนที่ริมฝีปากหนาหนักจะกดลงตรงขมับบางหนักๆ หนึ่งครั้งแล้วเอ่ยตอบ“ไปไหนก็ได้ค่ะ ตามใ
บทที่ 58หนึ่งชั่วโมงต่อมาพิ้งค์ซบใบหน้าผ่าวร้อนลงกับอกแกร่งอย่างหมดเรี่ยวแรง เธอหอบหายใจถี่เร็วด้วยความเหนื่อยขณะเดียวกันร่างกายก็สั่นระริกเพราะเพิ่งเสร็จสมความต้องการกับเทนต์ในรอบที่สี่“แดดดี้กินจุมากนะคะ”“ไม่รู้สิ สงสัยของขาดมานาน” เขากดยิ้มที่มุมปากเล็กก่อนจะหันใบหน้าไปซบลงที่ลำคอระหงแล้วอุ้มหญิงสาวลงจากหน้าตักทำให้แก่นกายที่อ่อนตัวลงหลุดออกจากช่องทางรักจนเกิดเสียงเฉอะแฉะ พิ้งค์หลับตาแน่นเขินอายแล้วรีบเบือนหน้าหนี “อ้าขาสิ” เมื่อจัดการกับตัวเองเสร็จแล้วจึงสั่งให้อีกฝ่ายอ้าขาออกด้วยเพราะจะเช็ดน้ำรักที่เปรอะเปื้อนออกให้“หนูทำเอง” เทนต์ช้อนตามองเล็กน้อยเพียงเท่ทนั้นก็รู้ความต้องการเขาแล้ว เธอจึงยอมอ้าขาออกให้เขาเช็ดเอง “อ๊ะ! อย่าแกล้งหนู~”“หึหึ…แดงมากเลยนะ”“อย่าพูด”“หิวไหม” เขาถามด้วยท่าทางสบายๆ ทั้งที่มือยังเทียวดึงกระดาษทิชชูเปียกออกมาเช็ดดอกไม้งามเธออยู่เรื่อย พิ้งค์ย่นจมูกแล้วตอบกลับเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน“กินแดดดี้ตั้งชั่วโมงกว่า หนูทั้งจุกทั้งอิ่มแล้วล่ะค่ะ”“…หึหึ เด็กน้อย” เหมือนว่าเขาอึ้งกินในตอนแรกที่เธอกล้าพูดออกไปแบบนั้นและหลุดขำในลำคอเบาๆ ในเวลาต่อมา “งั้นเป