บทที่ 7
กรามแกร่งขบเข้าหากันแน่น การกระทำของพิ้งค์เมื่อครู่เขาไม่เคยชอบสักนิด
“ผู้หญิงที่ทำตัวน่ารักให้ผู้ชายมอง แบบนั้นน่าจะดีกว่าผู้หญิงที่เป็นฝ่ายเข้าหาผู้ชายก่อนนะครับ”
“จะเหน็บแนมหนูยังไงก็เชิญเถอะ เพราะหนูไม่ได้มั่วอ่อยใครไปทั่ว หนูอ่อยแค่เทนต์คนเดียวเท่านั้นแหละ” แม้เขาไม่สนใจเธอก็ไม่แคร์
“อย่าทำให้ผมลำบากใจ”
“เรื่อง?” สีหน้าเธอไม่ค่อยสลด บอดี้การ์ดหนุ่มแสยะปากแล้วเชยคางมนขึ้นมาสบตาตรง ๆ
“เพราะบางทีผู้หญิงใจง่ายอาจเป็นได้แค่ของเล่นชั่วคราวเท่านั้น….” ประโยคนั้นทำเอานัยน์ตาเธอเบิกกว้าง ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่เธอคิดไว้เลย “เพราะงั้นเลิกวุ่นวายกับผม เพราะถ้าหมดความอดทนเมื่อไหร่ผมไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น”
“แม้แต่ป๊าก็ไม่เหรอ”
“ครับ..” คนตัวเล็กกะพริบตาปริบ ๆ จ้องใบหน้าดุดันทว่าเธอไม่ได้แสดงออกถึงความหวาดกลัวที่เขาข่มขู่เลยสักนิด
“ก็ได้ หนูจะไม่วุ่นวายกับเทนต์”
“จำคำพูดตัวเองให้ได้ด้วยล่ะ อย่าให้ต้องเตือนความจำ” ชายหนุ่มละมือออกจากปลายคางแล้วหันหลังเดินไปนั่งที่โซฟารับแขกภายในห้องทำงาน พิ้งค์กระตุกยิ้มอย่างมีแผนร้ายกาจแล้วนั่งทำงานต่อจนถึงเวลากลับบ้าน
หนึ่งชั่วโมงเต็มที่ต่างคนต่างเงียบ พิ้งค์เท้าคางเขี่ยปากกาไปมาอย่างเบื่อหน่ายรอเวลาที่เขาพากลับบ้าน
“หิว”
“…” เทนต์เหลือบตามองคนตัวเล็กเพียงนิด เขาได้ยินชัดเจนว่าเธอพูดคำว่าหิว ก่อนจะกดโทร.หาผู้จัดการให้นำอาหารขึ้นมาเสิร์ฟ ประตูห้องทำงานถูกเปิดออกโดยผู้จัดการสาว เธอคลี่ยิ้มหวานมาแต่ไกลแล้ววางจานข้าวไข่เจียวลงบนโต๊ะทำงาน
“ใครสั่ง” พิ้งค์เงยหน้าขึ้นถามคนที่นำข้าวมาเสิร์ฟ แต่เธอไม่ต้องการคำตอบแล้วเพราะภาพเหตุการณ์หนึ่งผุดขึ้นในหัว รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าจิ้มลิ้มก่อนที่เธอจะยกจานข้าวไข่เจียวไปหาเทนต์ที่นั่งอยู่บนโซฟาทำทีไม่สนใจเธอแต่จริง ๆ คือเขานั่นแหละที่สั่งข้าวไข่เจียวมาให้กิน “รับผิดชอบเลยนะ ใครบอกให้สั่งมา”
“…” บอดี้การ์ดหนุ่มเหลือบตามองจานข้าวที่คนตัวเล็กยื่นมาอย่างเหนื่อยหน่าย เขาวางหนังสือลงแล้วมองหน้าพิ้งค์ “เห็นบ่นว่าหิว ผมเลยสั่งข้าวมาให้ กินซะสิครับ”
“ไม่กิน ถ้าเทนต์ไม่ป้อนหนูก็ไม่กิน” ผู้จัดการอมยิ้มแล้วรีบออกไปจากห้องทำงานทันที พิ้งค์มองตามหลังเธอแล้วจึงเขยิบเข้ามาใกล้ชิดร่างหนามากขึ้น “ป้อนหน่อยนะคะ ถือว่าเป็นรางวัลที่วันนี้หนูตั้งใจทำงานทั้งวัน นะคะ"
“ผมบอกไป..คุณหนูคงไม่เคยจำสินะครับ”
“อา! ไม่รู้แหละ ไม่จำอะไรทั้งนั้น” หญิงสาวปิดหูร้องเสียงดังแล้วกะพริบตาปริบ ๆ อ้อนเขาให้ป้อนข้าว
“กินเถอะครับ” ด้วยความที่ไม่อยากตีฝีปากกับเธอให้ปวดหัวเขาจึงยกจานข้าวขึ้นมาแล้วตักข้าวพอดีคำยื่นไปจ่อริมฝีปากหญิงสาว พิ้งค์ฉีกยิ้มเมื่อถูกตามใจและตั้งหน้ากินข้าวที่เทนต์ป้อน
“ขอบคุณค่ะ อิ่มแล้ว” แม้จะเหลือเพียงหนึ่งคำเล็ก ๆ ที่เขากำลังจะป้อนใส่ปากเธออีกทว่าพิ้งค์กลับเบือนหน้าหนี แล้วยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มจนหมด เขาจำต้องวางจานข้าวลงบนโต๊ะแล้วเอื้อมมือไปหยิบทิชชูให้
“อิ่มแล้วก็กลับครับ นายอยากให้คุณหนูออกงานด้วย”
“งาน?”
“งานเลี้ยงวันเกิดคุณพีร์เจครับ”
“อะไรกัน หมอนั่นไม่เห็นบอกหนูเลยว่าวันนี้วันเกิด” เธอเผลอขึ้นเสียงใส่เขาและเมื่อรู้ตัวก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินออกไปโทร.หาพีร์เจ
(ว่า)
“ไอ้ลูกหมา วันนี้วันเกิดแล้วทำไมไม่บอก”
(ก็แค่วันเกิด ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร ป๊าอยากจัดเลยตามใจป๊าแค่นั้น)
“แล้วจะเตรียมของขวัญทันไหม”
(พี่ไม่ต้องมาก็ได้ ผมเองก็ไม่ได้อยากจัดงาน)
“ไอ้บ้านี่จะเย็นชาไปถึงไหน ปล่อยให้ฉันเจอเขาคนเดียวก็พอแล้ว”
(นี่ยังไม่เลิกตามตื๊อพี่เทนต์อีกเหรอ) พีร์เจถามเสียงเรียบ
“เปล่า ไม่ได้ตามแล้ว”
(เหล่าม่าบอกว่าคนโกหกมักจะเสียงสูง พี่โกหกตัวเองอยู่สินะ)
“เด็กนี่!”
(แค่นี้นะครับ ผมต้องเตรียมตัวเป่าเค้ก)
“อืม ๆ แล้วเจอกัน”
(ยังไงก็จะมาแล้วฝากซื้อไวน์ด้วยแล้วกัน อยากดื่มไวน์)
“อายุถึงแล้วเหรอคะ”
(เฮ้อ…รีบมาแล้วกัน รออยู่)
“โอเค แล้วเจอกันนะตี๋” พอวางสายแล้วเธอก็กลับไปหาเทนต์ที่นั่งรออยู่บนโซฟา ชายหนุ่มหันมามองแล้วเลิกคิ้วถาม “กลับกันเลย หนูต้องไปงานวันเกิดน้องชายตัวแสบ”
“ครับ”
20:00
“อะ ไวน์และนี่ของขวัญ” พิ้งค์วางกล่องของขวัญลงบนโต๊ะหน้าโซฟาและยื่นไวน์ราคาแพงให้ผู้เป็นน้อง
“ขอบคุณ”
“เด็กนี่!”
“…” พีร์เจเหลือบตามองก่อนจะเปิดไวน์แล้วรินใส่แก้วดื่มจนหมดแก้ว “พี่เทนต์ไปไหนแล้วล่ะ ปกติเห็นตัวติดกันตลอด”
“เห็นที่ไหน”
“ทุกที่ที่พี่ไป”
“จริงเหรอ”
“อืม..” พีร์เจปลายตามองผู้เป็นพี่เพียงนิดก่อนจะยกขวดไวน์ขึ้นกระดกโดยไม่รินใส่แก้ว
“นี่!! กินแบบนั้นเดี๋ยวก็น็อกเอาหรอก”
“น่าเบื่อ”
“จะเบื่ออะไรนักหนาไม่ทราบ”
“เบื่อหมดนั่นแหละ ผมอยากอยู่เงียบ ๆ อยากอ่านหนังสือแต่ป๊าก็ดื้ออยากจัดงาน”
“ก็วันเกิดเรา”
“แต่ผมไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร ก็แค่วันเกิด ว่าแต่พี่เถอะ เล่นกับไฟ…ไม่กลัวร้อนหรือไง”
“ไฟ?”
“พี่เทนต์ไง เวลาผมมองพี่เขานะ เหมือนร่างกายเขามีเปลวไฟพวยพุ่งออกมา ประกายไฟแผ่กระจายไปทั่วพร้อมที่จะแผดเผา..” ไม่ว่าเปล่าแต่พีร์เจยังทำท่าทำทางพร้อมมองไปยังบอดี้การ์ดหนุ่มที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก
“แกว่าเขา..อ่อนโยนกับพี่ไหม”
“ไม่”
“นี่!”
“ผมเห็นพี่เทนต์เมินพี่ตลอด นึกว่าเลิกวอแวพี่เขาแล้ว ที่ไหนได้ยังไม่เลิกหวังอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้อีกเหรอ” พีร์เจยกขาไขว่ห้างมองพี่สาวด้วยรอยยิ้มที่มุมปากอย่างเหนือกว่า
“นั่นปากเหรอพีร์”
“พูดตามที่เห็น”
“แต่ว่าพี่..ชอบเล่นกับไฟเสียด้วยสิ ถ้าไฟจะแผดเผาก็ยอมให้มันแผดเผาพี่ให้ไหม้เกรียมไปเลยยิ่งดี”
“หึ! น่าสนุกดีแฮะ” ชายหนุุ่มกระตุกยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุก “งั้นผมอยู่ข้างพี่พิ้งค์แล้วกัน อยากรู้ว่าตอนจบจะเป็นไง”
“ก็ไม่แน่ บางทีไฟอาจจะถูกน้ำเย็น ๆ สาดเข้าใส่และมอดดับไป”
“แต่ต้องมั่นใจขนาดไหนว่าไฟจะดับ แค่น้ำเพียงถังหรือไม่แน่อาจเป็นได้แค่น้ำหนึ่งหยดที่หยดลงบนเปลวไฟที่กำลังลุกโชน..” พิ้งค์หันมามองหน้าพีร์เจแล้วแสยะยิ้มมุมปาก
“บางทีอาจจะดับด้วยของอย่างอื่นที่ไม่ใช่น้ำ”
“เอาใจช่วยแล้วกัน แต่ถ้าเจ็บกลับมาก็เเชิญที่คลินิกป๊านะ ผมกำลังเข้าไปฝึกงานกับป๊าอยู่ เดี๋ยวช่วยทำแผล”
“นี่!!!”
“หึหึ”
ตอนพิเศษ 2หลายวันต่อมา“…” พิ้งค์ยืนมองคนรักอยู่หลังประตูห้องฟิตเนสซึ่งเทนต์กำลังออกกำลังกายอยู่กับลูกน้องหลายคน เขาไม่รู้ว่าถูกมองและยังออกกำลังกายตามปกติจนกระทั่งลูกน้องคนหนึ่งเดินไปกระซิบบอกถึงได้หันมามองพิ้งค์พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้เธอ“มาตั้งแต่เมื่อไหร่”“มานานแล้วค่ะ กำลังดูแดดดี้เพลินเลย ไม่น่ารู้ตัว” ไม่ว่าเปล่าแต่พิ้งค์ยังทำหน้าเสียดายใส่เขา เทนต์แค่นหัวเราะเบาๆ พร้อมกับบีบแก้มแฟนสาวด้วยความมันเขี้ยว“มาแอบดูอะไร หรือว่าแอบดูคนอื่นที่ไม่ใช่แดดดี้” “เปล่าเลย ดูแดดดี้นั่นแหละ ดูสิ….” ไม่ว่าเปล่าเธอยังลูบไล้แผงอกแกร่งแน่นหนั่นอย่างหลงใหลและซีดปากเบาๆ “แดดดี้ยิ่งแก่ยิ่งแซ่บนะเนี่ย”“เด็กดื้อ” เขาตีปลายจมูกพิ้งค์เบาๆ ก่อนที่จะพสเธอกลับเข้าไปในบ้าน พิ้งค์อมยิ้มขบขันที่สามารถแกล้งเขาได้ “วันนี้ไม่มีเรียนหรือไง ถึงได้จุ้นแต่เช้า”“มีค่ะ แต่ส่งงานอาจารย์แล้ว อาจารย์เลยยกคลาสไปเป็นพรุ่งนี้แทน”“แล้วต้องเข้ามหา’ลัยไหม” เทนต์หันมาถามขณะที่กระดกน้ำดื่ทดับกระหาย พิ้งค์ไม่ได้ตอบแต่กลับเดินเข้าไปใกล้แล้วกดริมฝีปากจูบที่หัวนมเขาทำเอาเทนต์แทบสำลักน้ำกับการกระทำอุกอาจของเธอ “ทำอะไร”“เปล่า เห
ตอนพิเศษ 1หลายเดือนต่อมาพิ้งค์เดินนวยนาดเข้ามาในห้องทำงานของคนรักบนชั้นสองของคลับในเวลาสิบโมงเช้า เธอคลี่ยิ้มทักทายเทนต์ที่กำลังนั่งขมวดคิ้วอยู่ในโต๊ะทำงาน แต่พอเห็นหน้าเธอเขาก็คลายสีหน้าตึงเครียดเป็นยิ้มแย้มพร้อมกับลุกออกมาโอบอุ้มจนพิ้งค์ตัวลอย“อื้อ~ แดดดี้มีหนวดอะ มันทิ่มแก้มหนู” เธอผลักใบหน้าเขาออกเล็กน้อยแล้วลูบไล้แก้มทั้งสองข้างลงมาที่ปลายคาง “โกนหนวดไหม เดี๋ยวหนูทำให้” เทนต์หรี่ตามองอย่างลังเลใจแต่ก็ยอมพยักหน้ารับเพราะเห็นความตั้งใจที่แสดงออกทางแววตาเธอ “โอเค” “ไม่เอาเลือดนะ” เทนต์กระตุกยิ้มอย่างขำขันที่พิ้งค์หันมาย่นจมูกใส่เขา เธอหายไปนานหลายนาทีแล้วกลับมาพร้อมกับที่โกนหนวดไฟฟ้า “มานั่งตรงนี้สิคะ” เทนต์เดินไปนั่งลงบนโซฟาตามที่แฟนสาวบอก พอเขานั่งลงแล้วพิ้งค์ก็จัดการเอาผ้าขนหนูสะอาดปิดเสื้อเขาไว้ “กลัวเหรอ มือเย็นเชียว”“ไม่เคยกลัวอยู่แล้ว”“แหม…ปากหวานจริงนะพ่อ มือเย็นเฉียบขนาดนี่ปากบอกไม่กลัวมันดูย้อนแย้งนะคะ”“ทำเถอะ”“หนูมือเบาสุดๆ แล้วนะคะแดดดี้ เพราะเคยโกนให้คนอื่นมาแล้ว” พิ้งค์กำลังจะโกนหนวดแต่ถูกเทนต์จับมือไว้แน่น เธอเลิกคิ้วถามเขาที่เอาแต่จ้องหน้า“โกนให้ใครมา”“ก็ว
บทที่ 61 บทส่งท้ายจากบอดี้การ์ดสู้สถานะใหม่คือคนรู้ใจของพิ้งค์ เขาและเธอครองสถานนี้มาเกือบหนึ่งปีเต็มโดยไร้ซึ่งอุปสรรคใดๆ มาขวางกั้น“แดดดี้”“ครับ?” เทนต์ที่นั่งทำงานอยู่ในโต๊ะรีบหันมาขานรับแฟนสาวทันที ซึ่งกำลังดูจอแสดงผลกล้องวงจรปิดอยู่ “เรียกแล้วไม่พูดนะ”“เปล่า หนูกำลังเรียบเรียงคำพูดอยู่ค่ะ”“จะถามอะไร”“อ๋อ! นึกออกแล้ว” เมื่อนึกออกแล้วเธอจึงลุกออกมาจากโซฟา เดินตรงไปหาเทนต์แล้วหย่อนตัวลงนั่งบนหน้าตักแกร่ง ตวัดแขนโอบกอดลำคอหนาไว้หลวมๆ “ว่าจะถามแดดดี้ ว่าเอาสร้อยข้อมือที่หนูให้ไปไว้ไหนทำไมไม่เห็นใส่เลย”“อ๋อ กลัวมันเก่า”“อะไรเนี่ย…” พิ้งค์เบ้ปากใส่เขา “ก็ซื้อมาให้ใส่ไหมคะ ใส่ก็ต้องเก่าเป็นธรรมดาไหม”“ก็ใส่ออกงานบ่อย เดี๋ยวทำขาดหายไปก็เสียดายแย่”“อา…แดดดี้คงไม่รู้สินะคะว่าหนูน่ะรวย”“รู้แล้วว่ารวย แต่กับของบางอย่างความเงินก็ซื้อไม่ได้นะ”“เช่น?”“หนู”“หนูซื้อได้นะถ้าเงินถึง อ๊ะ! แดดดี้ตีหนูทำไมเนี่ย” เทนต์ถลึงตาใส่คนตัวเล็กที่กำลังลูบตันแขนตัวเองอยู่“พูดเล่นก็ไม่ได้เหรอ”“บอกไปหลายครั้งแล้วว่าไม่ชอบให้พูดแบบนี้ มันดูไม่ดี” พิ้งค์อมยิ้มแล้วโน้มลงไปกระซิบกระซาบเสียงพร่าข้างใบหู“
บทที่ 60เหมือนความสุขที่เคยขาดหายถูกเติมเต็มด้วยความรักที่เทนต์มีให้ ความรักความเอาใจใส่ที่เขาทำให้เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่าเธอไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียว“แดดดี้” น้ำเสียงหวานใสของคนข้างกายทำเขาไม่อาจละเลยไปได้เลยสักครั้ง เทนต์หันมามองคนรักด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากทั้งรอฟังพิ้งค์ว่าเธอจะพูดอะไรด้วย “แดดดี้มีความสุขไหม”“ทำไมถึงถามแบบนี้”“อยากฟังจากปากแดดดี้มากกว่าค่ะ”“มีความสุขมากๆ”“หนูก็มีความสุข” แววตาและรอยยิ้มที่พิ้งค์แสดงออกบ่งบอกได้ถึงความสุขจนปิดม่มิด “แดดดี้ยิ้มทำไมเหรอคะ มีอะไรติดหน้าหนูเหรอ”“เปล่า ยิ้มเพราะมีความสุข และอยากให้หนูรู้เอาไว้ว่าความสุขของแดดดี้คือหนู”“ชอบแดดดี้เวอร์ชันนี้นะคะ มันดูน่ารักดูละมุนละไมดี แถมแดดดี้ยังเอาจเก่งจนบางครั้งหนูก็กลัวว่าแดดดี้จะรำคาญ”“ไม่เคยคิดแบบนั้น เห็นหนูมีความสุขก็ดีใจ”“รักแดดดี้~” พิ้งค์กระโดดกอดแล้วหอมแก้มแฟนหนุ่มอย่างไม่นึกอายสายตาคนอื่น จากนั้นเธอกับเขาก็จูงมือกันเดินออกมา ทว่าในตอนที่เทนต์เปิดประตูให้พิ้งค์ก้าวเข้าไปนั่งในรถโทรศัพท์มือถือเขาก็สั่นสะเทือนอยู่ในกระเป๋ากางเกง “ใครเหรอคะ” พิ้งค์ถามเพราะเห็นเทนต์หยิบโทรศัพท์มือถืออ
บทที่ 59หนึ่งชั่วโมงต่อมาพราวดาวกับพิ้งค์เดินกลับไปที่รถพร้อมกัน “หม่าม้าคะ”“ขาลูก”“ทำไมป๊าไม่มากับเราล่ะ หรือว่าป๊าไม่อยากเจอหน้าเทนต์เหรอ” ผู้เป็นแม่เอ็นดูคำถามลูกสาวมาก เธอยกมือขึ้นมาลูบผมพิ้งค์อย่างแผ่วเบาแล้วให้คำตอบลูกสาวผ่านน้ำเสียงนุ่มนวล“เพราะป๊าเราติดคุยงานช่วงเช้าค่ะ เลยมากับเราไม่ได้แต่ป๊าก็บอกหม่าม้าแล้วนะ เอาไว้ทำบุญครั้งหน้าเราได้มาพพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัวแน่นอน”“ค่ะ ไหน ๆ วันนี้ก็หยุดเรียนแล้วหนูขอไปเที่ยวกับแดดดี้ได้ไหมคะ”“ได้ค่ะ หนูอยากไปเที่ยวไหนก็ไปได้เลยลูก หนูโตแล้วไม่ต้องมาขออนุญาตหม่าม้าหรอก”“งั้นหนูขอตัวกลับไปกับแดดดี้นะคะ”“ค่ะ” พราวดาวกับลูกสาวแยกย้ายกันไปด้วยเพราะเทนต์ให้ลูกน้องขับรถมาให้ที่วัด เขาจึงพาพิ้งค์กลับก่อน ระหว่างขับรถกลับคนข้างกายก็อ้อนเข้าใหญ่ เธอให้เหตุผลว่านานๆ จะใีเวลาอยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้จึงขออ้อนหน่อย“แดดดี้ว่าเราควรไปเที่ยวไหนก่อนดีคะ ระหว่างห้างกับคาเฟ่” พิ้งค์ถามความคิดเห็นคนรัก เสียงหวานใสทำให้เทนต์รีบกันมามองพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนที่ริมฝีปากหนาหนักจะกดลงตรงขมับบางหนักๆ หนึ่งครั้งแล้วเอ่ยตอบ“ไปไหนก็ได้ค่ะ ตามใ
บทที่ 58หนึ่งชั่วโมงต่อมาพิ้งค์ซบใบหน้าผ่าวร้อนลงกับอกแกร่งอย่างหมดเรี่ยวแรง เธอหอบหายใจถี่เร็วด้วยความเหนื่อยขณะเดียวกันร่างกายก็สั่นระริกเพราะเพิ่งเสร็จสมความต้องการกับเทนต์ในรอบที่สี่“แดดดี้กินจุมากนะคะ”“ไม่รู้สิ สงสัยของขาดมานาน” เขากดยิ้มที่มุมปากเล็กก่อนจะหันใบหน้าไปซบลงที่ลำคอระหงแล้วอุ้มหญิงสาวลงจากหน้าตักทำให้แก่นกายที่อ่อนตัวลงหลุดออกจากช่องทางรักจนเกิดเสียงเฉอะแฉะ พิ้งค์หลับตาแน่นเขินอายแล้วรีบเบือนหน้าหนี “อ้าขาสิ” เมื่อจัดการกับตัวเองเสร็จแล้วจึงสั่งให้อีกฝ่ายอ้าขาออกด้วยเพราะจะเช็ดน้ำรักที่เปรอะเปื้อนออกให้“หนูทำเอง” เทนต์ช้อนตามองเล็กน้อยเพียงเท่ทนั้นก็รู้ความต้องการเขาแล้ว เธอจึงยอมอ้าขาออกให้เขาเช็ดเอง “อ๊ะ! อย่าแกล้งหนู~”“หึหึ…แดงมากเลยนะ”“อย่าพูด”“หิวไหม” เขาถามด้วยท่าทางสบายๆ ทั้งที่มือยังเทียวดึงกระดาษทิชชูเปียกออกมาเช็ดดอกไม้งามเธออยู่เรื่อย พิ้งค์ย่นจมูกแล้วตอบกลับเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน“กินแดดดี้ตั้งชั่วโมงกว่า หนูทั้งจุกทั้งอิ่มแล้วล่ะค่ะ”“…หึหึ เด็กน้อย” เหมือนว่าเขาอึ้งกินในตอนแรกที่เธอกล้าพูดออกไปแบบนั้นและหลุดขำในลำคอเบาๆ ในเวลาต่อมา “งั้นเป