LOGINจับไดอารี่ยัดใส่ใต้รักแร้ไปอีกที พลันผินหน้ากลับมาดูภาพต่าง ๆ ที่แขวนไว้เต็มสองฟากผนัง ดูจากหมุดหมายและตำแหน่งการแขวนคงเป็นฝีมือของพ่ออีพีเป็นแน่ เพราะอยู่สูงเท่ากับระดับสายตาของแกพอดี แล้วภาพส่วนใหญ่เกิน 90%ก็เป็นภาพของภรรยาที่ชื่อว่า “นุช”
.
“สวยจัง.. นี่ไล่มาตั้งแต่สมัยคุณแม่ยังสาวเลยนะเนี่ย.. โอ้โห!”
แพรวขยี้ขอบตาเพราะอยากจะปรับโฟกัสให้แจ่มชัด แม้จะรู้สึกว่าเมาอยู่หน่อย ๆ
.
“ผมยาวเหมือนเราเลยด้วย ถึงว่าทำไมพ่อถึงคิดว่าเป็นเรา ว่าแต่แกหายไปไหนอ่ะ? ไปมีผัวใหม่เหรอ? พ่อถึงได้ฟูมฟายขยันเมาหัวราน้ำขนาดนั้น?”
.
ยิ่งคิดก็ยิ่งมึนสองเท้าก็ยิ่งเดินลึกเข้ามาเรื่อย ๆ จนเผลอทะลุข้ามโซนห้องทดลองไป ความสวยจากรูปถ่ายพาแพรวที่เมามายก้าวผ่านมาถึงโซนอยู่อาศัยที่เป็นดั่งสถานที่หลับนอนของคนในบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัวอะไรเลย แค่จำได้ลาง ๆ ว่าพ่อเคยเดินเข้ามาหยิบผ้าเช็ดตัวแถวนี้หนหนึ่ง แล้วก็กลับออกมาพร้อมกับไดอารี่และอัลบั้มรูปที่ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าผ้าเช็ดตัวสักนิด จึงเป็นไปได้สูงว่าห้องของพีก็น่าจะอยู่แถวนี้ด้วย
.
“อ่า~! เพื่อความฟินและได้อารมณ์ของฉัน ฉันต้องหาห้องของแกให้เจออีตุ๊ดกอลิล่า”
.
“แต่ถ้าพลาดไปโผล่ที่ห้องคุณพ่อขึ้นมาล่ะก็! ก็ตัวใครตัวมัน! หวังว่าพ่อแกคงไม่ถูกฉันปล้ำล่ะกันเน๊อะ แกก็รู้นี่ว่าถ้าฉันเมาฉันมักจะเงี่ยน!”
.
“อึก.. ก.. ก.. ก.. โอ๊ยมึนหัวจัง! เบียร์คนแก่ก็แรงเกิ๊น ยังไงซะก็ต้องเป็นหนึ่งในบานประตูตรงนี้แหละที่เป็นห้องของมึง.. อีพี~!”
.
แอลกอฮอล์ออกฤทธิ์แรงขึ้นเรื่อย ๆ ไดอารี่ที่หนีบอยู่ใต้วงแขนก็จวนจะหลุดมิหลุดแหล่ และด้วยความที่เป็นสาวงามผู้มีคาแร็กเตอร์ยอมหักไม่ยอมงอ ต่อให้เมาแค่ไหนจิตสุดท้ายที่คิดจะเสือกเรื่องเพื่อนให้ได้ ก็ต้องดำเนินต่อไปตามนั้น อ่านหนังสือจำเป็นจะต้องมีบรรยากาศ ไม่งั้นนักเขียนจะชอบไปนั่งเขียนงานในร้านกาแฟทำไม แล้วทำไมตามผับบาร์ถึงไม่มีเด็กเนิร์ดไปท่องตำราสอบกันล่ะจริงไหม
.
เหตุผลแสนจะดูดีทว่าที่นี่กลับมีประตูห้องตั้งตระหง่านอยู่ถึง 4 บาน พอเอา 3 ซึ่งเป็นจำนวนสมาชิกของคนในบ้านหารดันไม่ลงตัว นั่นจึงเท่ากับว่าถ้าอยากได้บรรยากาศในการเสือกไดอารี่จริง ๆ แพรวคงต้องสุ่มดู
.
“อึก.. ก.. ก.. อึก.. ก.. ก.. เอาล่ะเอาบานนี้ล่ะ”
.
“กึก!”
“แอ๊ดดด!!!”
.
ประตูบานในสุดแง้มเปิดออกเสียงดังลากยาว ด้านในมืดสนิทแต่ก็ไม่คณามือต่อมอยากรู้อยากเห็นของเธอไปได้ แพรวก้าวเท้าเข้าไปข้างใน พลันชะงักงันให้กับกลิ่นฉุนของน้ำหอมที่คลุ้งขึ้นมาตีจมูก ครั้นพอลองวาดฝ่ามือเกลี่ยไปรอบ ๆ ดู ก็ชนเข้ากับชุดเสื้อผ้ามากมายที่แขวนไว้ไปทั่ว
.
“อะไรอ่ะ? ผ้าม่านหรอ? นี่ห้องเก็บของรึไง? แล้วกลิ่นมาจากไหน? หรือเราเมา~?”
เพื่อความแน่ใจนิสิตสาวก็เลยเพ่งสมาธิกลับหลังหันย้อนมองมาทางประตู เพื่อควานหาสวิตซ์ไฟที่น่าจะอยู่บริเวณนั้น
.
แต่ทว่า!
.
“ปึง!!!”
.
“แอ๊ดดด.. ด.. ด.. ด.. ด”
.
“ปึง!!! , แกร๊ก ๆ !!!”
อนิจจาเมื่อประตูดันปิดล็อคตัวเอง
.
และจากที่มืด ๆ อยู่จู่ ๆ กรอบวงกบทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าของประตูก็เรืองแสงสีแดงสว่างโพลงออกมา แสงดังกล่าวฉาบพาดไปให้เห็นหน้าจอคำสั่งขนาด 30 X 30 ซม. ที่ติดตั้งไว้ข้าง ๆ วงกบ มีข้อความคำว่า “Lock On & Press password” ปรากฎขึ้นบนหน้าจอ ส่วนสวิตซ์ไฟที่มองหาก็อยู่ถัดจากหน้าจอที่ว่านี้ขึ้นไปราว 45 ซม.
.
“อ่าว! ซวยแล้วไหมล่ะ!?”
.
ส่างเมาสิจะเหลือเหรอ! จากอึน ๆ อยู่เหมือนถูกหลวงพ่อตีด้วยระฆังโบสถ์ จิตใต้สำนึกสว่างเจิดจ้าเมื่อรู้ตัวว่าตนเองกำลังถูกขัง
.
“อะ.. อะไรคะเนี่ย?! ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้นะ!”
.
เขย่าลูกบิดโครม ๆ เอาหัวไหล่กระทุ้งเป็นสิบ ๆ ครั้งก็ไม่ได้ผล ครั้นจะตะโกนด้วยคีย์เสียงแหลมแปร๊ดก็ช่วยไม่ได้ มีก็แต่แสงสีแดงตรงวงกบที่สว่าง วาบ.. วาบ.. วาบ.. วาบ.. ในทุก ๆ ครั้งที่แพรวสัมผัสโดนประตู นี่คือระบบบ้าบออะไรกัน? กะจะขังทุกคนที่บุกเข้ามาในนี้กันเลยรึไง?
.
“ Security service ของที่นี่แหง ๆ บังเกอร์ใต้ดินที่มีประตูอัตโนมัติใส่รหัส ประสาอะไรกับห้องส่วนตัว ยังไงก็ต้องมีระบบกันคนเข้าออกอยู่แล้ว โถ่เอ๊ย! เราไม่น่าโง่เลย! ห้องพวกนี้มันไม่ได้กันคนเข้าแต่มันกันคนออก! ”
.
“ปล่อยนะโว๊ย! ปล่อยฉันออกไป!”
.
“ตรึม! , ตรึม! , ตรึม! , ตรึม!”
.
ทุกอย่างเป็นไปตามที่แพรว Ver.ส่างเมาสันนิษฐาน เพราะนี่คือเทคโนโลยีอันชาญฉลาดที่พ่อของพีคิดค้นขึ้น มันมีไว้สำหรับดักจับขโมยที่จะเข้ามาแอบดูผลแล็บหรือโจรกรรมข้อมูลสำคัญทางการทดลอง พวกเขาไม่สามารถกันคนให้ลงมาที่นี่ได้ทั้งหมด แต่ถ้าสามารถกักโจรเอาไว้ในห้องได้ ตราบใดที่ไม่มีรหัสมากรอกใส่หน้าจอทัชสกรีน ประตูห้องก็จะไม่มีทางเปิดออกได้
.
กรรมก็เลยมาตกอยู่ที่แพรวเต็ม ๆ ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว นี่ถ้าไม่คิดอยากเสือกเรื่องชาวบ้านและรื้อค้นห้องคนอื่นไปทั่วเธอคงไม่ตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้ เธอกลายเป็นสตรีแห่งเงาดำที่นั่งคุกเข่าอยู่หลังประตูอย่างหมดอาลัยตายอยาก เดชะบุญที่ท่านั่งดังกล่าวก็ได้ทำให้สมุดไดอารี่ที่เหน็บอยู่ใต้วงแขน ร่วงหล่นลงมาโดยบังเอิญด้วย
.
“ตุบ!”
.
“เอ๋?!”
“โอเค๊! ฉันไม่ยอมแพ้หรอก! ไหน ๆ ก็ต้องหมกตัวอยู่ในห้องฉุน ๆ นี้อยู่แล้ว สู้เอาเวลามาอ่านไดอารี่เล่มนี้เลยก็ได้ มาดูกันซิว่าพ่ออีพีเขียนอะไรไว้บ้าง บางทีอาจจะมีเบาะแสของรหัสอยู่ด้วยก็ได้”
“แจ๋ว! เอาแบบนี้แหละยอดไปเลย”
.
ตบเข่าฉาดประหนึ่งถูกรางวัลกาชาดเป็นชุดผ้านวมโตโต้ แพรวเหมือนมีไฟขึ้นมาอีกครั้ง สติสตังเธอกลับมาครบถ้วนสมบูรณ์ ด้วยเพราะกลิ่นน้ำหอมที่ชวนเมายิ่งกว่าเหล้าที่กินเข้าไป แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรหรอก ตอนนี้สาวเจ้าได้ขืนตัวเองลุกขึ้นยืนเป็นที่เรียบร้อย ในมือถือสมุดไดอารี่เอาไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างที่ว่างก็ปาดข้ามหน้าจอทัชกรีนไป แล้วไปหยุดอยู่ที่สวิตซ์ไฟที่อยู่ด้านบนแทน
.
“คลิก!”
.
กดเบา ๆ ไฟก็สว่างจ้าหลอดฟูลออเรสเซนต์ธรรมดาไม่มีนวัตกรรมล้ำโลกอะไร แต่ก็ให้ความสว่างสดใสจนเห็นทุกอย่างในห้องชัดเจน แล้วก็จริง! ที่มันสร้างความประทับใจให้แพรวอยู่ไม่น้อย
.
“ชะ.. ชุดผู้หญิงเต็มไปหมดเลย! ถึงว่าล่ะทำไมถึงได้กลิ่นน้ำหอม?!”
“ที่แท้ก็มาจากกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มนี่เอง~!”
.
ไฟมา! มาทั้งไฟฟ้าแล้วก็ไฟแห่งนักเสือกที่โชติช่วงขึ้นมาในกระแสจิต แพรวพบว่าห้อง ๆ นี้ไม่ใหญ่โตมากนักขนาดพอ ๆ กับห้องนอนทั่วไป มีตู้เสื้อผ้า , มีเตียง , แล้วก็มีโต๊ะเครื่องแป้งแบบผู้หญิง นั่นทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลยว่านี่น่าจะเป็นห้องของคุณแม่ที่ชื่อว่า “นุช”
.
เธอพยายามเอียงข้างแล้วแทรกตัวผ่านบรรดาเสื้อผ้าที่แขวนไว้บนราวอยู่เต็มห้อง ก่อนจะสังเกตเห็นว่าทั้งหมดล้วนเป็นชุดของผู้หญิง พอดูจากขนาดไซต์และทรวดทรง ก็เป็นแบบของคนที่มีอายุอยู่สักหน่อย
.
“ต้องเป็นของคุณแม่แน่ ๆ”
แพรวคิด
.
เธอยังคงซุกซนต่อด้วยการลองเปิดตู้เสื้อผ้าดู ซึ่งก็แน่นอนว่าย่อมอัดแน่นไปด้วยของใช้ของผู้หญิง มีกล่องเครื่องประดับ , มีชุดเครื่องเพชร , กล่องทองคำที่วางซุกไว้ตรงมุมตู้ บริเวณที่เป็นราวแขวนก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้าอีกเช่นกัน มีทั้งแบบที่เป็นเสื้อยืดธรรมดาที่พับไว้อย่างเป็นระเบียย แล้วก็แบบห้อย ทั้งหมดดูปกติดีมีแค่อย่างเดียวที่แพรวคิดและสงสัย นั่นก็คือ "ของพวกนี้เหมือนไม่เคยถูกใช้งานเลย"
.
ไม่มีฝุ่นสักเม็ด ทุกซอกทุกมุมหอมฟุ้ง ราวกับมีการทำความสะอาดอยู่ตลอด ติดก็แค่มันดูร้างเหมือนไม่มีคนอยู่มานานแสนนาน แพรวก็เลยผละตัวออกมาจากตู้แล้วเดินมาดูที่เตียง
.
“ไม่มีผ้าปูแฮะ? แต่มีชุดเดรสสีเบสวางอยู่ตัวหนึ่ง”
“แล้วนี่อะไร? รอยบุ๋มเหมือนมีคนมานอนทิ้งไว้เลยอ่ะ!?”
.
คุณพระ! สาวเจ้าถึงกับเผลออุทาน ด้วยความสัตย์จริงเพราะหลังจากเอามือไปอังดูก็พบว่ามันยังอุ่น ๆ อยู่เลย บวกกับความลึกของรอยบุ๋มที่มากกว่า 3 ซม. นั่นทำให้เธอคิดถึงรอยบุ๋มบนโซฟาตอนที่เธอร่วมรักกับพีไม่มีผิด!
.
ภาพในหัวชักจะจินตนาการไปไกลแสนไกล จนกระทั่งตัดสินใจทิ้งร่างบางของตัวเองลงบนเตียงบ้าง หล่อนมองดูร่องรอยพร้อมกับวัดขนาด มีความเป็นไปได้สูงเหลือเกินที่ร่องรอยการนอนใหม่เอี่ยมนี้จะเป็นรอยของผู้ชาย คงจะมีการพลิกคว้ำพลิกหงาย แล้วก็ใช้ชุดเดรสชุดนี้เกียกกายเสียดสีกับตัวเอง
.
“เดี๋ยวนะ! ตรงหน้าอกของชุดมีรอยยับที่ผิดธรรมชาติด้วย”
แพรวพูดกับตัวเองพลางจับมันขึ้นมาแนบกับใบหน้า แล้วหันให้ตรงกับรอยยับ
“นั่นไง! พอดีเป๊ะเลย! แสดงว่าจะต้องมีคนใช้ชุดพวกนี้สำเร็จความใคร่ ในห้อง ๆ นี้ , บนเตียง ๆ นี้ , แล้วก็เพิ่งผ่านไปสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อกี้นี่เอง!"
“อ๊ายยย! น่าเกลียดน่ากลัว!”
.
ร่างบางถึงกับสะดุ้งโหยงดีดตัวเองลุกขึ้นยืน แต่ก็ได้แค่แป๊บเดียวสุดท้ายก็ต้องกลับมานั่งลงตามเดิมอีกหน
.
“ฟุบ!!!”
เตียงเด้งดึ๋งดั๋ง
.
“อีแพรว.. อีบ้า! เขาอาจจะนอนด้วยความถวิลหาก็ได้ อาจจะเป็นพ่อที่คิดถึงแม่มากแล้วเอาชุดมาสูดดมให้หายคิดถึง หรืออาจจะเป็นพีที่คิดถึงแม่จนต้องทำแบบเดียวกัน~!”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจะน่าสงสารมากเลยนะ แกนี่จิตใจอกุศลเหลือเกิน ทั้งโดนเอาทั้งเมาเหล้าปะปนกันนั่นแหละถึงคิดอะไรลามกแบบนี้ออกมาได้ เฮ้อ~!”
.
หญิงสาวตำหนิตัวเองกึ่งขำขันอยู่ในที ก่อนที่ต่อมาเธอจะหยิบไดอารี่ขึ้นมาถือไว้บนมือจัดระเบียบแข้งขาขัดสมาธิให้เรียบร้อย พลันพลิกไปหน้าแรกแล้วก็เริ่มอ่านมันจากบนเตียงของคุณแม่นั่นเอง
.
.
“วันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 1999 / กลางคืน / พีไม่สบาย”
หน้าท้องแบนราบบดนาบเข้าหากัน มิวท์อยู่บนเจนิสอยู่ล่างการสั่นเทิ้มดังกล่าวค่อย ๆ ทุเลาลง แล้วก็ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงที่ใช้ห้ามหั่นจะเอาชีวิตของมิวท์ก็เริ่มอ่อนแรงลงเช่นกัน เธอค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะของคนปกติ จุกหัวถันชูชันเกร็งเสียว และแม้แต่กงเล็บที่ยื่นยาวออกมาก็เริ่มหดสั้นกลับลงไป."พี่มิวท์คะ.."เจนิสกระแอมถามทั้งที่ใบหน้ายังคงบี้อยู่กับร่องนมของมิวท์ เธอผินหน้าเอียงเปลี่ยนมุมไปมาพอให้มิวท์ตื่นตัว สลับกับการแลบลิ้นเลียที่ฐานเต้าด้านล่างพลันลากวนโค้งไปตามความอวบอูมของบัวตูมคู่."แผล็บ.. บ.. บ.. บ!"."อ่าาา..า..า..า..า.."รุ่นใหญ่เผลอหลุดครางออกมาแผ่วเบา ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นพรูออกมาทดแทนไอแห่งความเหม็นสาปจากเชื้อโควิด ตามติดมาด้วยผิวพรรณที่กลับมามีน้ำมีนวลเป็นสีชมพูบานสะพรั่งอีกครั้ง นี่คือผิวแบบลูกคุณหนูขนานแท้ มันคงผ่านการทำสปาร์มาจากหลายสถาบัน จึงไร้ซึ่งรอยด่างรอยดำ กระจ่างใสราวกับหลุดออกมาจากกระปุกครีม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอะไรที่โคตรจะน่าฟัด!.ทว่าพอต้องมานอนคร่อมร่างของเด็กมัธยมอยู่แบบนี้ จิตใต้สำนึกของมิวท์ก็ต้องทำหน้าที่ของมันผ่านการปกป้องตัวเอง ทำให้สาวเจ้าต้องตัวกระตุกอีกหน พลั
จากด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง สาวน้อยวัยมัธยมเร่งฝ่ามือกระโจนโผทะยานไปสู่ตำแหน่งที่คิดว่าได้ยินเสียง พลางผงะเข้ากับรอยโหว่บนตัวเครื่องที่เกิดจากบานประตูที่กระเด็นออกไป แสงสว่างจากหลอดไฟภายในส่องลอดออกมาเป็นลำ นาทีนั้นแม้แต่แท่งไฟในมือเธอก็คงจะไม่จำเป็นซะแล้ว."มีการต่อสู้กันงั้นเหรอ?"เจนิสกระซิบ.พูดกับใครก็ไม่รู้ในเมื่อก็อยู่ตัวคนเดียว เหมือนเธอกำลังประเมินสถานการณ์ ข้างหน้ามีศพ ข้างหลังประตูพัง แล้วเมื่อกี้ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรี๊ด! นั่นอาจจะเป็นเสียงของมิวท์ก็ได้ บางทีเธออาจจะอยู่ในสภาวะวิกฤต."หรือมีผู้ติดเชื้อบุกเข้ามาทำร้ายพี่มิวท์?!".คราวนี้ไม่คิดแล้วแต่เหวี่ยงร่างกายเข้ามาในเครื่องเลย! โดยไม่สนหน้าอินท์หน้าพรหม เจนิสใช้แรงเหวี่ยงจากกระเป๋าเป้ตวัดทีเดียวร่างบางของเธอก็ม้วนหน้าเข้ามาด้านในราวกับนักยิมนาสติก เสี่ยงตายไม่ว่ามารยาทไม่ต้องทุกสิ่งที่ทำล้วนมาจากความต้องการจากหัวใจ ทว่าสิ่งที่เธอเห็นก็คือ...มิวท์ในเวอร์ชั่นผู้ติดเชื้อ.. ที่ยืนจังก้าเล็บยาวเฟื้อยลากมากับพื้น.!.หากย้อนกลับไปอ่านสักหน่อย จะเห็นเลยว่าบุคลิกของมิว์นั้นใกล้เคียงกับเปรมตอนที่รอเย่อร์เธอในห้องกระจกมาก
ปลายนิ้วแห้งผากราวกับกระดาษทราย กว่าจะสัมผัสได้ถึงหยดน้ำหยาดแรกกลีบผกาก็ช้ำมากจนออกสีแดงแกมระเรื่อ มิวท์เสียวแค่ในใจแต่ร่างกายกลับไม่เป็นดังที่หวัง เธอเอาแผ่นหลังพิงกับกำแพงห้องโดยสารพลางหลุบสายตามองเรียวขาของตัวเองทั้งสองข้างที่ตั้งชันขึ้นและกำลังสั่นระริก เธอเร่งเกินไปเธอฝืนทั้งที่ไม่ได้เงี่ยนจริง.ตอกย้ำการโกหกตัวเองด้วยการดีดกางเกงผ้ายืดที่พันอยู่กับข้อเท้าออก เธออยากเห็นความงุ้มเกร็งของปลายตีน เผื่อจะทำให้มีอารมณ์กระสันขึ้นมาต้านทานการกลายร่างได้บ้าง."ซีดดดด...จิ๋มแห้งจัดเลยอ่ะโถ่เอ๊ย!".แท่งน้ิวเปลี่ยนจากสองเป็นสาม ชี้ , กลาง , นาง เรียงตัวเป็นขยุมพลันยัดเข้าไปแบบสุดเหยียดก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลหล่อนจึงได้รับแต่ความเจ็บปวดกลับมา แรงเสียดสีที่ขาดน้ำหล่อลื่นเป็นอะไรที่ทำร้ายช่องคลอดมาก มิวท์เหมือนกำลังทำทารุณกรรมกับตัวเอง และที่สำคัญที่สุดก็คือ ณ ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ มุมมองสายตาของเธอก็เริ่มเห็นเป็นฉากสีแดงและเส้นเลือดยึกยือถักทอขึ้นมาแล้ว!."เรากำลังจะกลายร่าง.. อ่ะ.. อ๊ากกก..ก..ก..ก , อั๊ก..ก..ก!""เด็กผู้หญิงคนนั้นกับแท่งไฟส่องสว่างในมือ ทำให้เชื้อโควิดในตัวเรากำลังจะออกมา..
ภาพในฝันประเดประดังเข้ามาในหัว ภาพของการสังวาชกันในน้ำ ภาพของมิวท์สาวสวยหุ่นงามที่ถูหน้าอกบี้บดกับแผ่นหลังของเธอ สิ่งเหล่านี้ทำเอาเจนิสถึงกับมือไม้สั่น แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นโลโก้ของบริษัท AP ตรงท้ายเครื่องบิน และจากจุดที่ยืนอยู่ก็สูงและมืดเกินกว่าจะพิสูจน์อัตลักษณ์ได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ติดตัวมายังไงเธอก็ว่าใช่ นี่ต้องเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ตั้งใจออกมาตามหาแน่นอน."เอาไว้ก่อนเรื่องช่วยเหลือผู้คน เสียใจด้วยนะคะน้า แต่ก็ต้องขอบคุณด้วยเหมือนกันนี่ถ้าไม่ใช่ลูกผัวน้าหนูคงไม่ได้เจอกับเครื่องบิน"."ปั๊ก! , ฟู่..!!!"จากอุปกรณ์จุดไฟในมือกลายเป็นแท่งไฟส่องสว่าง มันถูกกระทุ้งด้วยหัวเข่าและเปล่งแสงสว่างโพลงออกมาทำให้ทั้งสองฟากของซอกเขากลายเป็นสีแดง."รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง" ถ้าจะต้องมีซาวด์ดนตรีประกอบเพลง "เล่นของสูง" ของวงบิ๊กแอสถือว่าเหมาะมาก เพราะเจนิสรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเสี่ยงแค่ไหน แท่งความร้อนเรืองแสงที่ถืออยู่จะกลายเป็นตัวล่อชั้นดีให้บรรดาผู้ติดเชื้อพุ่งเป้ามาที่เธอ แต่ก็นะ! จะให้ทำไงได้ล่ะในเมื่อหัวใจเรียกร้อง.เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดหาเหตุผลให้กับความรัก เมื่อนั้นก็แปลว่
"ไป! ,ไป! ,ไป!, เดินหน้าเร่งฝีเท้าหน่อยทุกคน! ใกล้จะค่ำแล้วอย่าแตกแถวดูแลกันและกันด้วย!"เสียงหัวหน้าหน่วยหันมากำชับ."อีกราว 500 เมตรก็จะถึงประตูหน้าวิลเลจแล้ว ในนั้นทุกคนจะปลอดภัยสบายใจได้"แกผินหน้ากลับมามองตรงพลางกระชับปืนคู่ใจแนบวงแขน แบกเป้ประทับบ่าเดินจ้ำอ้าวรวดเร็วปานจรวด.ที่ด้านหลังมีสมาชิกกลุ่มเพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 20 ชีวิต มีทั้งเด็กและผู้หญิงแล้วก็คนแก่ ทุกคนต่างอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าอิดโรย โดยมีสมาชิกหน่วยลาดตระเวนกระจายตัวล้อมรอบพวกเขาไว้อีกชั้นหนึ่ง พวกเขาต่างปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันแล้วก็โชคดีมากที่ไม่มีใครเสียชีวิตจากการปะทะกันเมื่อตอนบ่ายเลย.แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำแบบนี้ก็ไม่แน่ ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับกลุ่มผู้ติดเชื้อเวอร์ชั่นกลางคืนหรอก หัวหน้าหน่วยก็เลยพยายามย้ำนักย้ำหนาว่าให้ทุกคนเร่งฝีเท้าต้องไปให้ถึงวิลเลจก่อนตะวันตกดินให้ได้ ภาษากายดูจริงจังน่าเกรงขาม แต่ใครเล่าจะรู้ว่าในใจลึก ๆ นั้นหัวหน้าเป็นห่วงเจนิสมากขนาดไหน."โถ่.. เจนิสเอ๊ย! อุตส่าห์บอกแล้วว่าให้รักษาแนวด้านหลังเอาไว้ ทำไมถึงทำอะไรโดยพลการนะ""นี่เธอคิดจริง ๆ เหรอว่าตัวเองเก่งพอจะอาสาไปช่วยเหล
ทิ้งกระเป๋าเป้ปลดสัมภาระที่คิดว่าจะเป็นภาระในภายภาคหน้าไว้ที่พื้น เจนิสทำตามอย่างว่าง่าย เธอไม่มีแม้แต่อารมณ์ขี้งอนหรืองี่เง่าใด ๆ ด้วยเพราะรู้สถานการณ์ดี สิ่งที่ติดตัวมาจึงมีแค่ปืนหน้าไม้กับซองใส่ลูกดอก ในทิศหกนาฬิกาด้านตรงกันข้าม ร่างบางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการคลานศอก เธอกดตัวให้ต่ำกระดืบ ๆ คืบคลานไปอยู่ในแนวด้านหลังสุดตามที่รุ่นพี่ออกคำสั่ง."เข้าใจแล้วค่ะ.. ไว้ใจหนูได้เลยหนูจะระวังหลังให้เอง ถ้าเจอผู้รอดชีวิตบอกให้ตามมาทางนี้ได้เลยนะคะ!"แม้แต่ซุ่มเสียงก็ดุดันจริงจังขึ้น ตอกย้ำว่าเธอไม่ได้มาเล่น ๆ.ด้วยความสัตย์จริงว่าการบู้นั้นไม่ใช่สไตล์ของเจนิสมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอเป็นนักรบสายซับพอร์ตไม่ใช่ตัวแทงค์ และถ้านับสถิติการฆ่าผู้ติดเชื้อแล้วล่ะก็ในแคลนก็คงจะเป็นเธอนี่แหละที่ตัวเลขอยู่ในลำดับต่ำสุด กลับกันแต่ถ้าหากเป็นการหนีเพื่อเอาตัวรอดแล้วล่ะก็ เจนิสก็จะพลิกสถิติกลับขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งวงการได้เลย.จากคลานเริ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นกระหยิ่มย่อง มือเรียวเกี่ยวตะขอขึ้นสายหน้าไม้เตรียมไว้ พลันกระโดดยิงหนึ่งดอกออกไปเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจน."ฟิ้ววว!"."ปั๊ก!"."หัว" เหมือนกันแต่เป็น "หัวเ