“มึงมันเป็นพ่อที่ไม่เอาไหน โทรศัพท์ขึ้น miss call 20 กว่าสายยังปาทิ้งได้ไม่ใยดี นั่นเมียมึงโทรมานะ ถ้ารู้ว่าพีน้อยอ๊วกเป็นเลือดกูจะไม่มีวันเลือกงานก่อนครอบครัวเลย 22.00 น. หยุดการสังเกตผลแล็บ เก็บของทุกอย่างรีบไปโรงบาล และขอให้รถไม่ติดมาก แต่แม่งก็ติดชิบหายอยู่ดี เมืองหลวงเป็นเหี้ยอะไรวะ ลูกกูจะตายอยู่แล้ว ชีวิตดีที่ลงตัวพ่องมึงสิ ไอ้ส้นตีน! เบื่อว่ะ.. เซ็งโคตร! "
.
ช่างเป็นการเขียนไดอารี่ที่ฮาร์ดคอร์สะใจมาก ลายมือตวัดรุนแรงราวกับรีบร้อน แพรวผู้ถูกขังยังคงตั้งหน้าตั้งตาอ่านแม้เธอจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าพีน้อยจะไม่เป็นอะไร และเติบโตขึ้นมาเป็นสาวประเภทสอง แต่ก็ยังอยากรู้เรื่องราวในตอนนั้นอยู่ดี
.
“ ดึ๋ง ๆ , ดั๋ง ๆ , ดึ๋ง ๆ ”
ขย่มเตียงดีดเด้งขยับก้นนั่งให้ถนัด ๆ พลันหลุบสายตาลงไปยังหน้ากระดาษต่อ
.
“พรึบ!”
.
“ตอนนั้นกูเครียดมากจริง ๆ พยายามโทรหานุชแล้วแต่เธอคงไม่ว่างรับสาย ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง รถโรงบาลที่บอกว่าเรียกมาแม่งจะฝ่ารถติดหนักกับศุกร์คืนฝนพรำแบบนี้ได้เหรอ ไม่มีทางหรอก! กลัวว่ะ! กลัวว่าลูกจะเป็นอะไรไปบนรถ! กังวลมากด้วย! เลยหักพวงมาลัยปาดคร่อมเลน แล้วเอารถกระบะบริษัทจอดยัดไว้ในจุดจอดแท็กซี่อัจฉริยะแม่ง”
“ตอนนั้นคือไม่แคร์ไรแล้ว รู้แค่ว่าวิ่งไปเร็วกว่า ยังไงก็ต้องไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด นัดนุชไว้แบบนั้นส่วนเธอกับพีน้อยจะมาถึงรึยังค่อยว่ากันหน้างานอีกที ไอ้สัด! งานอีกละ! กูเกลียดคำนี้จัง ถ้าลูกกูตายกูจะลาออกแม่ม บริษัทหัวควยใช้งานเยี่ยงทาส แล้วกูก็เสือกเต็มใจเป็นทาสให้มันด้วยนะ ไอ้เหี้ย AP สวัสดิการที่มึงให้หวังว่าจะใช้รักษาลูกกูได้นะ..”
“จบบันทึกประจำวัน.. PS. โกรธเป็นฟืนไฟ! เขียนใหม่พรุ่งนี้ใจเย็น ๆ”
.
“พรึบ!”
ประกบไดอารี่กลับคืนหน้าปก แพรวใช้สันนิ้วเรียวสวยขั้นหน้าเอาไว้ ก่อนจะครุ่นคิด
.
“เอ~ถ้าเป็นเราจะทำแบบพ่อรึเปล่านะ? ต้องทำสิ! ก็ลูกป่วยหนักนี่นา เป็นใครก็ต้องรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด สมัยนั้นการติดต่อสื่อสารก็ไม่ได้สะดวกแบบปัจจุบัน”
“อืม.. เป็นเรา ๆ ก็ทำ อ่านต่อ ๆ”
.
“พรึบ!”
.
“วันที่ 14 ม.ค. 1999 / กลางคืน / เรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิต!”
“ฉันอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว ผิดคาดเล็กน้อยเพราะนุชกับพีน้อยยังมาไม่ถึง เช็คกับหน่วยเวรเตียงที่ห้องฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่บอกว่ามีบันทึกรายงานการออกปฏิบัติงานของรถฉุกเฉินชัดเจน แล้วที่ ๆ รถวิ่งไปก็คือบ้านของฉันเอง ทุกอย่างมันควรจะออกมาดี แต่ก็ไม่! เพราะหลังจากเวลาผ่านไปพักใหญ่เจ้าหน้าที่คนเดิมก็รีบวิ่งปรี่เข้ามาหาฉัน ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก”
“เขาบอกให้ฉันตั้งสติ.. ใจเย็น ๆ แล้วแจ้งว่ารถพยาบาลคันดังกล่าว "ประสบอุบัติเหตุ!” มีผู้เสียชีวิตหลายรายและตอนนี้ทีมกู้ภัยกำลังกู้ซากอยู่ จำได้ว่า ณ โมเมนท์นั้นฉันถึงกับวูบไปเลย! หน้ามันมืดไปหมด! แล้วก็เวียนหัวจนล้มโครมลงไปทั้งยืน! เหมือนทีวีปลั๊กหลุดที่ภาพตัดไปเฉย ๆ หน้าจอดับฟับ! พร้อมกับความเจ็บปวดที่ยังคงค้างคา”
.
“บะ.. บ้าน่า!?”
“อะไรกันเนี่ยะ.. เรื่องแบบนี้มัน..? ทำไมแกไม่เคยเล่าให้ฉันฟังเลยอีพี?”
แพรวถึงกับอุทานเสียงหลง
.
และคราวนี้ไม่ได้พับหน้าสมุดกลับคืนแล้ว แต่อ่านต่อไปเลย
.
“วันที่ 14 ม.ค. 1999 / กลางดึก / เขียนจากบนเตียง ”
“ฉันตื่นขึ้นมาในห้องรวมที่มีคนไข้รายอื่นเต็มไปหมด จะดีกว่านี้มากถ้าหนึ่งในนั้นเป็นเตียงของลูกแล้วก็เมีย แต่เสียดายที่ไม่แม้แต่จะใกล้เคียง ฉันรีบลุกจากเตียงวิ่งโทง ๆ คาสายน้ำเกลือย้อนกลับไปยังแผนกฉุกเฉิน กวาดสายตามองหาเจ้าหน้าที่คนเก่า ตรงเข้าไปหาเขาและถามว่ารถพยาบาลคันที่เกิดอุบัติเหตุเป็นยังไงบ้าง? คนเจ็บอยู่ไหนกันหมด? และฉันคือญาติผู้ป่วย.."
“ตาย 4 ผู้ใหญ่ 3 บุรุษพยาบาล 1 คือคำตอบที่ฉันได้รับกลับมา น้ำตาไหลในบัดดล! โลกหมุนเคว้งจับต้นชนปลายไม่ถูก! เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก! ทั้งรถมีแค่พีน้อยที่รอดชีวิต เขาบาดเจ็บสาหัสแต่ที่รอดมาได้ก็เพราะถูกนุชโอบกอดเอาไว้ไม่ให้ได้รับการกระทบกระเทือน ในฐานะแม่เธอคือผู้หญิงที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ฉันจะมีชีวิตต่อไปยังไง? ทำไมคนที่ตายถึงไม่ใช่พ่อห่วย ๆ ที่เอาแต่บ้างานอย่างฉัน ถ้าฉันอยู่บ้านแล้วเป็นคนขับรถมาเองล่ะก็? ถ้าฉันอยู่บนรถร่วมกับเมียและลูกล่ะก็? ควรจะเป็นฉันสิที่ตายแทนเธอ..นุช? โถ่เอ๊ย! นุช! ทำไม ๆ ๆ ๆ! ”
.
“แหมะ.. แหมะ.. แหมะ..”
หยดน้ำตาร่วงหล่นลงใส่หน้ากระดาษ
.
เปล่าหรอกนั่นไม่ใช่น้ำตาของแพรวเลย ถึงเธอจะรู้สึกเศร้ามากแต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับร่องรอยบนเนื้อกระดาษ ที่เปื่อยยุ่ยและเปื้อนเปรอะเป็นวงหมึกจากคนเป็นสามี ระหว่างเขียนพ่อคงร้องไห้ออกมาเป็นล้าน ๆ รอบ หมึกปากกาถึงได้แห้งเกรอะกรังติดแน่นเป็นหลักฐานอยู่ตรงนั้น และแพรวเองก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่คุณพ่อแบกรับอยู่
.
น้ำในตาเจิ่งนองคลองจักษุ ไร้ซึ่งคำพูดอื่นใดสาวเจ้าทำได้เพียงวางมือลงบนรอยเปื้อนดังกล่าว พลางลูบมันเบา ๆ อย่างเข้าอกเข้าใจ ก่อนจะเริ่มอ่านสมุดบันทึกต่อ
.
“วันที่ 27 ม.ค. 1999 / กลางวัน / ที่สุสาน”
“ฉันอุ้มพีน้อยขึ้นจากรถเข็น เนื้อตัวเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผล ที่แขนซ้ายมีเฝือกอ่อนที่ออกแบบมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ โชคดีมากที่แขนขวาเขาไม่เป็นไร ฉันเลยอุ้มเขาเดินไปที่ปากหลุมมีหีบศพของนุชนอนอยู่ตรงก้น แขกผู้มีเกียรติทยอยโปรยดินลงบนหีบเพื่อเป็นการไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย บาทหลวงกล่าวคำสรรเสริญและบทสวดตามพระคัมภีร์ และแน่นอนว่าคนสุดท้ายที่โปรยดินลงไปก็คือพี มือฉันสั่นไปหมด.. ฉันแทบจะหมดแรง.. และพยายามฝืนสุด ๆ ที่จะไม่ร้องไห้ให้ลูกเห็น”
“ฉันไม่อาจโกหกได้ว่าตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในท่าทางที่นุชทำกับลูกก่อนที่เธอจะตาย! ไออุ่นแบบนี้ , น้ำหนักตัวแบบนี้ , อ้อมกอดแบบนี้ คือโล่กำบังที่เธอใช้ปกป้องลูกเอาไว้ในฐานะของคนเป็นแม่ ฉันจะทำได้ไหมนะ? ฉันจะทำได้ดีเท่าสักครึ่งหนึงของเธอรึเปล่าที่รัก? คิดถึงจัง.. คิดถึงหมดหัวใจ.. รักคุณมากนะภรรรยาสุดที่รักของฉัน.. เราจะอยู่ด้วยกันพ่อแม่ลูกแบบนี้ตลอดไป และถ้าเป็นไปได้ฉันก็จะทำทุกวิถีทางให้เธอกลับมา”
.
“เฮ้อ~ถึงว่าล่ะ! ทำไมพ่อของพีถึงเห็นเราเป็นคุณนุช”
“เราเข้าใจทุกอย่างแล้ว ไดอารี่เล่มนี้เหมือนกำลังเฉลยทุกสิ่งทุกอย่าง”
นิสิตสาวเริ่มขยับขยายเปลี่ยนอิริยาบถ ถึงตรงนี้เหมือนเธอจะปล่อยตัวปล่อยใจล่องลอยลงไปในโลกของครอบครัวพีแบบถอนตัวไม่ขึ้น
.
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ! ว่าเธอคงจะลืมไปแล้วว่าตัวเองกำลังถูกขังอยู่ วงกบหน้าประตูยังส่องแสงวูบวาบ หน้าจอทัชกรีนก็ยังไม่มีรหัสไปใส่สักตัว เรียกได้ว่ายังไม่ใกล้เคียงความเป็นไปได้ในโลกแห่งความเป็นจริงเลยสักนิด มิหนำซ้ำแพรวยังเพลิดเพลินไปกับเสื้อผ้าและของใช้มากมายเกี่ยวกับคุณนุช ที่กระจายอยู่เต็มห้องแห่งนี้ราวกับศูนย์จัดแสดงสินค้าอีกต่างหาก
.
“เพราะความรักมากมายที่พ่อมีต่อภรรยาสินะคะ ถึงได้เก็บรักษาสิ่งของทุกอย่างไว้เป็นอย่างดี”
“การกระทำเป็นเหตุเป็นผลกัน มีตรรกะที่ยอมรับได้ ติดแค่นิดเดียวตรงประโยคสุดท้ายที่บอกว่าจะเอาคุณนุชกลับมานี่แหละ ที่หนูยังไม่เข้าใจ?”
แพรวลุกขึ้นเดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง ปาดมือรากับเสื้อผ้าที่แขวนไว้พยายามใช้ความคิด ทว่าก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี
.
“ช่างเถอะ! อ่านต่อดีกว่ายังมีอีกหลายหน้าให้ต่อมอยากรู้อยากเห็นของเราได้ออกกำลัง”
.
“พรึบ!”
.
“วันที่ 13 มี.ค. 2000 / เวลา 02.32 น. / โปรเจคนงนุชมีการตอบสนอง”
“นี่ไม่ใช่ก้าวเล็ก ๆ ของเด็กเพียงคนเดียว แต่มันคือก้าวกระโดดของมวลมนุษยชาติ ฉันไม่เสียใจเลยที่จะต้องทำสิ่งนี้ ต่อให้เขาจะเป็นลูกแท้ ๆ ของเราก็ตาม คนอย่างฉันลองปักใจคิดจะทำอะไรแล้วก็ต้องทำให้ได้ ฉันเป็นคนรักษาสัญญาเสมอนุช เธอก็รู้ดีนี่.. รอสักแป๊บนะ แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เริ่มโผล่มาให้เห็นแล้วที่รัก..”
“จะไปยากอะไรในเมื่อไม่มีลิมิตว่าให้ใส่รหัสได้กี่ครั้ง เราก็ใส่สุ่ม ๆ เดา ๆ จนกว่าจะถูกไปเลยสิ”.ว่าแล้วมือเรียวก็จ่อนิ้วไปที่แป้นกดทัชสกรีน สีของหน้าจอยังคงแดงฉานประหนึ่งสัญญาณเตือนว่าจะไม่ยอมให้ใครออกไปจากห้องเก็บตัวอย่าง DNA นี้ได้ง่าย ๆ .“หนึ่ง , เก้า , เก้า , เก้า" "1999 เอ้า! เอาปี ค.ศ.แรกที่เขียนไว้ในสมุดไดอารี่นี่แหละ มี 4 ตัวพอดีลองดูซิว่าใช่รึเปล่า?”.“ติ๊ด! , ติ๊ด! , ติ๊ด! , ติ๊ด!”เกิดเสียงสัญญาณดังขึ้นในทุก ๆ ครั้งที่ลงน้ำหนักนิ้ว ฟังผ่าน ๆ เหมือนกับเสียงแป้นตัวเลขตามตู้ ATM หน้าธนาคาร.แต่ใครจะสนล่ะในเมื่อมันถูก! คุณพระช่วย! บอกแพรวทีว่าเธอฟลุ๊คหรือเธอฟลุ๊คกันแน่ เมื่อหน้าจอแดง ๆ ขนาดเกือบฟุตเปลี่ยนสีกลายเป็นสีเขียวพร้อมกับคำว่า “Open” ที่สว่างโพลงขึ้นมาแจ่มแจ้ง จากนั้นตัวล็อคสปริงข้างในก็ได้คลายตัวออก ทำให้ประตูเหล็กทั้งบานแง้มเปิดออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ไม่มีควันฟุ้งแบบอลังการ มีแต่เศษขี้ฝุ่นของความปิดไว้นานที่กระจายพรมลงบนหัวแพรวพร้อมกับรอยยิ้ม.“อ่าฮ่ะให้มันได้อย่างงี้สิ! ทีเดียวผ่านเลยลำดับต่อไปก็แค่หาทางออกจากบังเกอร์นี้ให้ได้ก่อนที่พ่อจะตื่นขึ้นมา เป็น
“ฝ่าเท้าเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงขนาด องศาจากการพิมพ์ฟุตปริ้นท์บันทึกการเฉียงได้ที่มุม 37 องศางุ้มปลายส่วนหน้าหันเข้าด้านใน เป็นสัญญาณที่ดีที่บ่งชี้ว่าสรีระของพีมีการเปลี่ยนแปลง วันนี้ผมจะพอเท่านี้ก่อนผมจะส่งลูกเข้านอนในแบบที่คุณทำกับเขาทุกวัน อีกไม่นานนุช.. พีเริ่มจะคล้ายคุณขึ้นบ้างแล้ว”.“วันที่ 15 มี.ค. ค.ศ. 2000 / กลางวัน / แล็บใต้ดินที่บ้าน”“การลาออกจากบริษัทถือเป็นการตัดสินใจที่ไม่เลวทีเดียว ผมเอางานที่คุณทำค้างไว้กลับมาสานต่อด้วยนะ แล้วก็ให้ช่างมาทำห้องแล็บลับไว้ที่ใต้ดินด้วย ผมย้ายสิ่งที่ทำบนดินลงมาไว้ที่นี่แล้ว เสียใจจริงที่คุณไม่ได้อยู่ดู พีไม่ค่อยชอบมันเท่าไหร่หรอกเขาบอกว่ามันน่ากลัว ไม่เหมือนปราสาทบนดินที่มีเจ้าหญิง เขียดเส้นใต้คำว่า “เจ้าหญิง” ทีนุช แล้วบอกผมทีว่าหูผมไม่ได้ฝาด ค่ำ ๆ ผมจะลองเช็คคลื่นสมองเขาอีกที ผมว่าตอนนี้จิตใต้สำนึกเขาเริ่มจะกลายเป็นเด็กผู้หญิงแล้ว”.หยุดเดินลงตรงมุมโต๊ะเครื่องแป้ง แพรวถึงกับชะงัก ร่างบางของเธอชาไปครึ่งซีกพลันกระชับไดอารี่ไว้จนแน่น .“เดี๋ยวนะ! นี่คืออะไรกัน?! ทำไมอ่านแล้วให้อารมณ์เหมือนพ่อกำลังเปลี่ยนพีให้เป็นผู้หญิงเลยอ่ะ ดูจากตัวเลขปี
“มึงมันเป็นพ่อที่ไม่เอาไหน โทรศัพท์ขึ้น miss call 20 กว่าสายยังปาทิ้งได้ไม่ใยดี นั่นเมียมึงโทรมานะ ถ้ารู้ว่าพีน้อยอ๊วกเป็นเลือดกูจะไม่มีวันเลือกงานก่อนครอบครัวเลย 22.00 น. หยุดการสังเกตผลแล็บ เก็บของทุกอย่างรีบไปโรงบาล และขอให้รถไม่ติดมาก แต่แม่งก็ติดชิบหายอยู่ดี เมืองหลวงเป็นเหี้ยอะไรวะ ลูกกูจะตายอยู่แล้ว ชีวิตดีที่ลงตัวพ่องมึงสิ ไอ้ส้นตีน! เบื่อว่ะ.. เซ็งโคตร! " .ช่างเป็นการเขียนไดอารี่ที่ฮาร์ดคอร์สะใจมาก ลายมือตวัดรุนแรงราวกับรีบร้อน แพรวผู้ถูกขังยังคงตั้งหน้าตั้งตาอ่านแม้เธอจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าพีน้อยจะไม่เป็นอะไร และเติบโตขึ้นมาเป็นสาวประเภทสอง แต่ก็ยังอยากรู้เรื่องราวในตอนนั้นอยู่ดี.“ ดึ๋ง ๆ , ดั๋ง ๆ , ดึ๋ง ๆ ”ขย่มเตียงดีดเด้งขยับก้นนั่งให้ถนัด ๆ พลันหลุบสายตาลงไปยังหน้ากระดาษต่อ.“พรึบ!”.“ตอนนั้นกูเครียดมากจริง ๆ พยายามโทรหานุชแล้วแต่เธอคงไม่ว่างรับสาย ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง รถโรงบาลที่บอกว่าเรียกมาแม่งจะฝ่ารถติดหนักกับศุกร์คืนฝนพรำแบบนี้ได้เหรอ ไม่มีทางหรอก! กลัวว่ะ! กลัวว่าลูกจะเป็นอะไรไปบนรถ! กังวลมากด้วย! เลยหักพวงมาลัยปาดคร่อมเลน แล้วเอารถกระบะบริษัทจอดยัดไว้ในจุ
จับไดอารี่ยัดใส่ใต้รักแร้ไปอีกที พลันผินหน้ากลับมาดูภาพต่าง ๆ ที่แขวนไว้เต็มสองฟากผนัง ดูจากหมุดหมายและตำแหน่งการแขวนคงเป็นฝีมือของพ่ออีพีเป็นแน่ เพราะอยู่สูงเท่ากับระดับสายตาของแกพอดี แล้วภาพส่วนใหญ่เกิน 90%ก็เป็นภาพของภรรยาที่ชื่อว่า “นุช”.“สวยจัง.. นี่ไล่มาตั้งแต่สมัยคุณแม่ยังสาวเลยนะเนี่ย.. โอ้โห!”แพรวขยี้ขอบตาเพราะอยากจะปรับโฟกัสให้แจ่มชัด แม้จะรู้สึกว่าเมาอยู่หน่อย ๆ.“ผมยาวเหมือนเราเลยด้วย ถึงว่าทำไมพ่อถึงคิดว่าเป็นเรา ว่าแต่แกหายไปไหนอ่ะ? ไปมีผัวใหม่เหรอ? พ่อถึงได้ฟูมฟายขยันเมาหัวราน้ำขนาดนั้น?”.ยิ่งคิดก็ยิ่งมึนสองเท้าก็ยิ่งเดินลึกเข้ามาเรื่อย ๆ จนเผลอทะลุข้ามโซนห้องทดลองไป ความสวยจากรูปถ่ายพาแพรวที่เมามายก้าวผ่านมาถึงโซนอยู่อาศัยที่เป็นดั่งสถานที่หลับนอนของคนในบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าเธอไม่ได้รู้เนื้อรู้ตัวอะไรเลย แค่จำได้ลาง ๆ ว่าพ่อเคยเดินเข้ามาหยิบผ้าเช็ดตัวแถวนี้หนหนึ่ง แล้วก็กลับออกมาพร้อมกับไดอารี่และอัลบั้มรูปที่ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าผ้าเช็ดตัวสักนิด จึงเป็นไปได้สูงว่าห้องของพีก็น่าจะอยู่แถวนี้ด้วย.“อ่า~! เพื่อความฟินและได้อารมณ์ของฉัน ฉันต้องหาห้องของแกให้เจออีตุ๊ดกอล
“กรี๊ดดด!”“พ่อคะ! พ่อจะกินเหล้าด้วยการฉีดเข้าเส้นไม่ได้!”แพรวแทบจะสำลักเอาแอลกอฮอล์ที่กระดกลงคอไปเมื่อครู่ออกมา ดวงตาเธอถลนถมึงทึง พลันกุลีกุจอลุกขึ้นพรวดพราดหวังจะปรี่เข้าไปห้าม เดชะบุญที่ถูกพ่อห้ามเอาไว้ แกหงายฝ่ามือขึ้นแล้วก็อมยิ้มแบบเมา ๆ ตามสไตล์.“ชู่ววว!”“นั่งเถอะนุช ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้ ประเทศนี้แม้แต่สุราก็ตอบสนอง Demand ของฉันไม่ได้ เก็บภาษีมากมายแต่แอลกอฮอล์ก็ไม่เคยจะแรงขึ้นเลย โคตรกระจอก! โคตรไร้ค่า!”“โอ๊กกก.. ก.. ก.. ก.. ก , อึก.. ก.. ก ๆ”กระอึกกระอักในลำคอ คางแทบจะแนบคาอยู่บนโต๊ะ เหลือแต่ดวงตาที่ยังคงเผยอมองมาทางแพรวแบบไม่ลดราวาศอก.กลายเป็นรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านเล่นงานจนสาวเจ้าเริ่มจะทำอะไรงก ๆ เงิ่น ๆ เพราะเธอเองก็ไม่ได้สนิทกับพ่อของพีเท่าไหร่นัก ครั้นจะห้ามปรามออกไปก็โดนพ่อพูดดักทางเอาไว้หมด แล้วก็เป็นการพูดแบบมะนาวไม่มีน้ำ จับต้นชนปลายอะไรไม่ได้ เข้าขั้นถามอย่างตอบอย่างจนสุดท้ายแพรวก็เลือกที่จะเงียบ เธอกระดกแก้วเบียร์ยกขึ้นดื่มพลางฟังพ่อพล่ามเรื่องของพีไปเพลิน ๆ.กลับดีซะอีกเพราะเธอเองก็ไม่เคยรู้เรื่องส่วนตัวของเพื่อนสนิทคนนี้เลย เจอกันครั้งแรกก็ตอนโตเป็นหนุ่
“เอาล่ะ! ถึงแล้ว เลิกกลัวได้แล้ว”.กำปั้นหนาทุบเข้ากับฝาผนังด้านข้าง และเพียงชั่วเสี้ยวอึดใจทุกอย่างรอบตัวก็สว่างโพลงขึ้น กลายเป็นภาพของห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์อันทันสมัย สายไฟระโยงระยางหน้าจอสถานะต่าง ๆ กระพริบวูบวาบราวกับห้องแล็บของคณะวิทย์ มีการจัดสรรเป็นโซนเป็นล็อคอย่างดี มีห้องนั่งเล่น , ห้องน้ำ , ห้องทำงาน , ห้องครัว ทำให้แพรวถึงกับต้องยืนอึ้งอยู่พักใหญ่.เธอปล่อยมือออกจากพ่อแล้วลองมองกลับไปข้างหลังดู ทำให้พบว่าก็ยังคงมืดตึดตื๋ออยู่เหมือนเดิม มิหนำซ้ำพอลองก้าวเท้าตามเข้ามาโดยพลัน จู่ ๆ ประตูอัตโนมัติก็เลื่อนเข้ามาปิดให้เองราวกับเซเว่นอีเลฟเว่น ดีที่ไม่มีเสียงติ๊งหน่อง แต่แค่นี้ก็ถือว่ามากพอแล้วที่จะทำให้เธอสับสน เรียนตามตรงว่าบริเวณดังกล่าวเหมือนกับห้องใต้ดินที่มีระบบการถ่ายเทอากาศเป็นอย่างดี อย่าว่าแต่โควิดเลยลึกขนาดนี้แม้แต่ขีปนาวุธก็ทำอะไรบังเกอร์นี้ไม่ได้.“ใช่! บังเกอร์! ที่นี่เหมือนบังเกอร์หรือหลุมหลบภัยอะไรแนวนั้นไม่มีผิด! นี่พ่อแอบสร้างไว้เหรอคะ?!”หญิงสาวเปล่งวาจาขึ้นถาม.ในขณะที่ลุงกลับเดินตรงเข้าไปยังส่วนที่กั้นไว้เป็นห้องนั่งเล่น พร้อมกับกวักมือเรียก.“ทำเป