LOGIN“มึงมันเป็นพ่อที่ไม่เอาไหน โทรศัพท์ขึ้น miss call 20 กว่าสายยังปาทิ้งได้ไม่ใยดี นั่นเมียมึงโทรมานะ ถ้ารู้ว่าพีน้อยอ๊วกเป็นเลือดกูจะไม่มีวันเลือกงานก่อนครอบครัวเลย 22.00 น. หยุดการสังเกตผลแล็บ เก็บของทุกอย่างรีบไปโรงบาล และขอให้รถไม่ติดมาก แต่แม่งก็ติดชิบหายอยู่ดี เมืองหลวงเป็นเหี้ยอะไรวะ ลูกกูจะตายอยู่แล้ว ชีวิตดีที่ลงตัวพ่องมึงสิ ไอ้ส้นตีน! เบื่อว่ะ.. เซ็งโคตร! "
.
ช่างเป็นการเขียนไดอารี่ที่ฮาร์ดคอร์สะใจมาก ลายมือตวัดรุนแรงราวกับรีบร้อน แพรวผู้ถูกขังยังคงตั้งหน้าตั้งตาอ่านแม้เธอจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าพีน้อยจะไม่เป็นอะไร และเติบโตขึ้นมาเป็นสาวประเภทสอง แต่ก็ยังอยากรู้เรื่องราวในตอนนั้นอยู่ดี
.
“ ดึ๋ง ๆ , ดั๋ง ๆ , ดึ๋ง ๆ ”
ขย่มเตียงดีดเด้งขยับก้นนั่งให้ถนัด ๆ พลันหลุบสายตาลงไปยังหน้ากระดาษต่อ
.
“พรึบ!”
.
“ตอนนั้นกูเครียดมากจริง ๆ พยายามโทรหานุชแล้วแต่เธอคงไม่ว่างรับสาย ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง รถโรงบาลที่บอกว่าเรียกมาแม่งจะฝ่ารถติดหนักกับศุกร์คืนฝนพรำแบบนี้ได้เหรอ ไม่มีทางหรอก! กลัวว่ะ! กลัวว่าลูกจะเป็นอะไรไปบนรถ! กังวลมากด้วย! เลยหักพวงมาลัยปาดคร่อมเลน แล้วเอารถกระบะบริษัทจอดยัดไว้ในจุดจอดแท็กซี่อัจฉริยะแม่ง”
“ตอนนั้นคือไม่แคร์ไรแล้ว รู้แค่ว่าวิ่งไปเร็วกว่า ยังไงก็ต้องไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด นัดนุชไว้แบบนั้นส่วนเธอกับพีน้อยจะมาถึงรึยังค่อยว่ากันหน้างานอีกที ไอ้สัด! งานอีกละ! กูเกลียดคำนี้จัง ถ้าลูกกูตายกูจะลาออกแม่ม บริษัทหัวควยใช้งานเยี่ยงทาส แล้วกูก็เสือกเต็มใจเป็นทาสให้มันด้วยนะ ไอ้เหี้ย AP สวัสดิการที่มึงให้หวังว่าจะใช้รักษาลูกกูได้นะ..”
“จบบันทึกประจำวัน.. PS. โกรธเป็นฟืนไฟ! เขียนใหม่พรุ่งนี้ใจเย็น ๆ”
.
“พรึบ!”
ประกบไดอารี่กลับคืนหน้าปก แพรวใช้สันนิ้วเรียวสวยขั้นหน้าเอาไว้ ก่อนจะครุ่นคิด
.
“เอ~ถ้าเป็นเราจะทำแบบพ่อรึเปล่านะ? ต้องทำสิ! ก็ลูกป่วยหนักนี่นา เป็นใครก็ต้องรีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด สมัยนั้นการติดต่อสื่อสารก็ไม่ได้สะดวกแบบปัจจุบัน”
“อืม.. เป็นเรา ๆ ก็ทำ อ่านต่อ ๆ”
.
“พรึบ!”
.
“วันที่ 14 ม.ค. 1999 / กลางคืน / เรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิต!”
“ฉันอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว ผิดคาดเล็กน้อยเพราะนุชกับพีน้อยยังมาไม่ถึง เช็คกับหน่วยเวรเตียงที่ห้องฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่บอกว่ามีบันทึกรายงานการออกปฏิบัติงานของรถฉุกเฉินชัดเจน แล้วที่ ๆ รถวิ่งไปก็คือบ้านของฉันเอง ทุกอย่างมันควรจะออกมาดี แต่ก็ไม่! เพราะหลังจากเวลาผ่านไปพักใหญ่เจ้าหน้าที่คนเดิมก็รีบวิ่งปรี่เข้ามาหาฉัน ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก”
“เขาบอกให้ฉันตั้งสติ.. ใจเย็น ๆ แล้วแจ้งว่ารถพยาบาลคันดังกล่าว "ประสบอุบัติเหตุ!” มีผู้เสียชีวิตหลายรายและตอนนี้ทีมกู้ภัยกำลังกู้ซากอยู่ จำได้ว่า ณ โมเมนท์นั้นฉันถึงกับวูบไปเลย! หน้ามันมืดไปหมด! แล้วก็เวียนหัวจนล้มโครมลงไปทั้งยืน! เหมือนทีวีปลั๊กหลุดที่ภาพตัดไปเฉย ๆ หน้าจอดับฟับ! พร้อมกับความเจ็บปวดที่ยังคงค้างคา”
.
“บะ.. บ้าน่า!?”
“อะไรกันเนี่ยะ.. เรื่องแบบนี้มัน..? ทำไมแกไม่เคยเล่าให้ฉันฟังเลยอีพี?”
แพรวถึงกับอุทานเสียงหลง
.
และคราวนี้ไม่ได้พับหน้าสมุดกลับคืนแล้ว แต่อ่านต่อไปเลย
.
“วันที่ 14 ม.ค. 1999 / กลางดึก / เขียนจากบนเตียง ”
“ฉันตื่นขึ้นมาในห้องรวมที่มีคนไข้รายอื่นเต็มไปหมด จะดีกว่านี้มากถ้าหนึ่งในนั้นเป็นเตียงของลูกแล้วก็เมีย แต่เสียดายที่ไม่แม้แต่จะใกล้เคียง ฉันรีบลุกจากเตียงวิ่งโทง ๆ คาสายน้ำเกลือย้อนกลับไปยังแผนกฉุกเฉิน กวาดสายตามองหาเจ้าหน้าที่คนเก่า ตรงเข้าไปหาเขาและถามว่ารถพยาบาลคันที่เกิดอุบัติเหตุเป็นยังไงบ้าง? คนเจ็บอยู่ไหนกันหมด? และฉันคือญาติผู้ป่วย.."
“ตาย 4 ผู้ใหญ่ 3 บุรุษพยาบาล 1 คือคำตอบที่ฉันได้รับกลับมา น้ำตาไหลในบัดดล! โลกหมุนเคว้งจับต้นชนปลายไม่ถูก! เพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก! ทั้งรถมีแค่พีน้อยที่รอดชีวิต เขาบาดเจ็บสาหัสแต่ที่รอดมาได้ก็เพราะถูกนุชโอบกอดเอาไว้ไม่ให้ได้รับการกระทบกระเทือน ในฐานะแม่เธอคือผู้หญิงที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ฉันจะมีชีวิตต่อไปยังไง? ทำไมคนที่ตายถึงไม่ใช่พ่อห่วย ๆ ที่เอาแต่บ้างานอย่างฉัน ถ้าฉันอยู่บ้านแล้วเป็นคนขับรถมาเองล่ะก็? ถ้าฉันอยู่บนรถร่วมกับเมียและลูกล่ะก็? ควรจะเป็นฉันสิที่ตายแทนเธอ..นุช? โถ่เอ๊ย! นุช! ทำไม ๆ ๆ ๆ! ”
.
“แหมะ.. แหมะ.. แหมะ..”
หยดน้ำตาร่วงหล่นลงใส่หน้ากระดาษ
.
เปล่าหรอกนั่นไม่ใช่น้ำตาของแพรวเลย ถึงเธอจะรู้สึกเศร้ามากแต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับร่องรอยบนเนื้อกระดาษ ที่เปื่อยยุ่ยและเปื้อนเปรอะเป็นวงหมึกจากคนเป็นสามี ระหว่างเขียนพ่อคงร้องไห้ออกมาเป็นล้าน ๆ รอบ หมึกปากกาถึงได้แห้งเกรอะกรังติดแน่นเป็นหลักฐานอยู่ตรงนั้น และแพรวเองก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่คุณพ่อแบกรับอยู่
.
น้ำในตาเจิ่งนองคลองจักษุ ไร้ซึ่งคำพูดอื่นใดสาวเจ้าทำได้เพียงวางมือลงบนรอยเปื้อนดังกล่าว พลางลูบมันเบา ๆ อย่างเข้าอกเข้าใจ ก่อนจะเริ่มอ่านสมุดบันทึกต่อ
.
“วันที่ 27 ม.ค. 1999 / กลางวัน / ที่สุสาน”
“ฉันอุ้มพีน้อยขึ้นจากรถเข็น เนื้อตัวเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผล ที่แขนซ้ายมีเฝือกอ่อนที่ออกแบบมาสำหรับเด็กโดยเฉพาะ โชคดีมากที่แขนขวาเขาไม่เป็นไร ฉันเลยอุ้มเขาเดินไปที่ปากหลุมมีหีบศพของนุชนอนอยู่ตรงก้น แขกผู้มีเกียรติทยอยโปรยดินลงบนหีบเพื่อเป็นการไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย บาทหลวงกล่าวคำสรรเสริญและบทสวดตามพระคัมภีร์ และแน่นอนว่าคนสุดท้ายที่โปรยดินลงไปก็คือพี มือฉันสั่นไปหมด.. ฉันแทบจะหมดแรง.. และพยายามฝืนสุด ๆ ที่จะไม่ร้องไห้ให้ลูกเห็น”
“ฉันไม่อาจโกหกได้ว่าตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในท่าทางที่นุชทำกับลูกก่อนที่เธอจะตาย! ไออุ่นแบบนี้ , น้ำหนักตัวแบบนี้ , อ้อมกอดแบบนี้ คือโล่กำบังที่เธอใช้ปกป้องลูกเอาไว้ในฐานะของคนเป็นแม่ ฉันจะทำได้ไหมนะ? ฉันจะทำได้ดีเท่าสักครึ่งหนึงของเธอรึเปล่าที่รัก? คิดถึงจัง.. คิดถึงหมดหัวใจ.. รักคุณมากนะภรรรยาสุดที่รักของฉัน.. เราจะอยู่ด้วยกันพ่อแม่ลูกแบบนี้ตลอดไป และถ้าเป็นไปได้ฉันก็จะทำทุกวิถีทางให้เธอกลับมา”
.
“เฮ้อ~ถึงว่าล่ะ! ทำไมพ่อของพีถึงเห็นเราเป็นคุณนุช”
“เราเข้าใจทุกอย่างแล้ว ไดอารี่เล่มนี้เหมือนกำลังเฉลยทุกสิ่งทุกอย่าง”
นิสิตสาวเริ่มขยับขยายเปลี่ยนอิริยาบถ ถึงตรงนี้เหมือนเธอจะปล่อยตัวปล่อยใจล่องลอยลงไปในโลกของครอบครัวพีแบบถอนตัวไม่ขึ้น
.
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ! ว่าเธอคงจะลืมไปแล้วว่าตัวเองกำลังถูกขังอยู่ วงกบหน้าประตูยังส่องแสงวูบวาบ หน้าจอทัชกรีนก็ยังไม่มีรหัสไปใส่สักตัว เรียกได้ว่ายังไม่ใกล้เคียงความเป็นไปได้ในโลกแห่งความเป็นจริงเลยสักนิด มิหนำซ้ำแพรวยังเพลิดเพลินไปกับเสื้อผ้าและของใช้มากมายเกี่ยวกับคุณนุช ที่กระจายอยู่เต็มห้องแห่งนี้ราวกับศูนย์จัดแสดงสินค้าอีกต่างหาก
.
“เพราะความรักมากมายที่พ่อมีต่อภรรยาสินะคะ ถึงได้เก็บรักษาสิ่งของทุกอย่างไว้เป็นอย่างดี”
“การกระทำเป็นเหตุเป็นผลกัน มีตรรกะที่ยอมรับได้ ติดแค่นิดเดียวตรงประโยคสุดท้ายที่บอกว่าจะเอาคุณนุชกลับมานี่แหละ ที่หนูยังไม่เข้าใจ?”
แพรวลุกขึ้นเดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง ปาดมือรากับเสื้อผ้าที่แขวนไว้พยายามใช้ความคิด ทว่าก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี
.
“ช่างเถอะ! อ่านต่อดีกว่ายังมีอีกหลายหน้าให้ต่อมอยากรู้อยากเห็นของเราได้ออกกำลัง”
.
“พรึบ!”
.
“วันที่ 13 มี.ค. 2000 / เวลา 02.32 น. / โปรเจคนงนุชมีการตอบสนอง”
“นี่ไม่ใช่ก้าวเล็ก ๆ ของเด็กเพียงคนเดียว แต่มันคือก้าวกระโดดของมวลมนุษยชาติ ฉันไม่เสียใจเลยที่จะต้องทำสิ่งนี้ ต่อให้เขาจะเป็นลูกแท้ ๆ ของเราก็ตาม คนอย่างฉันลองปักใจคิดจะทำอะไรแล้วก็ต้องทำให้ได้ ฉันเป็นคนรักษาสัญญาเสมอนุช เธอก็รู้ดีนี่.. รอสักแป๊บนะ แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เริ่มโผล่มาให้เห็นแล้วที่รัก..”
หน้าท้องแบนราบบดนาบเข้าหากัน มิวท์อยู่บนเจนิสอยู่ล่างการสั่นเทิ้มดังกล่าวค่อย ๆ ทุเลาลง แล้วก็ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงที่ใช้ห้ามหั่นจะเอาชีวิตของมิวท์ก็เริ่มอ่อนแรงลงเช่นกัน เธอค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะของคนปกติ จุกหัวถันชูชันเกร็งเสียว และแม้แต่กงเล็บที่ยื่นยาวออกมาก็เริ่มหดสั้นกลับลงไป."พี่มิวท์คะ.."เจนิสกระแอมถามทั้งที่ใบหน้ายังคงบี้อยู่กับร่องนมของมิวท์ เธอผินหน้าเอียงเปลี่ยนมุมไปมาพอให้มิวท์ตื่นตัว สลับกับการแลบลิ้นเลียที่ฐานเต้าด้านล่างพลันลากวนโค้งไปตามความอวบอูมของบัวตูมคู่."แผล็บ.. บ.. บ.. บ!"."อ่าาา..า..า..า..า.."รุ่นใหญ่เผลอหลุดครางออกมาแผ่วเบา ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นพรูออกมาทดแทนไอแห่งความเหม็นสาปจากเชื้อโควิด ตามติดมาด้วยผิวพรรณที่กลับมามีน้ำมีนวลเป็นสีชมพูบานสะพรั่งอีกครั้ง นี่คือผิวแบบลูกคุณหนูขนานแท้ มันคงผ่านการทำสปาร์มาจากหลายสถาบัน จึงไร้ซึ่งรอยด่างรอยดำ กระจ่างใสราวกับหลุดออกมาจากกระปุกครีม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอะไรที่โคตรจะน่าฟัด!.ทว่าพอต้องมานอนคร่อมร่างของเด็กมัธยมอยู่แบบนี้ จิตใต้สำนึกของมิวท์ก็ต้องทำหน้าที่ของมันผ่านการปกป้องตัวเอง ทำให้สาวเจ้าต้องตัวกระตุกอีกหน พลั
จากด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง สาวน้อยวัยมัธยมเร่งฝ่ามือกระโจนโผทะยานไปสู่ตำแหน่งที่คิดว่าได้ยินเสียง พลางผงะเข้ากับรอยโหว่บนตัวเครื่องที่เกิดจากบานประตูที่กระเด็นออกไป แสงสว่างจากหลอดไฟภายในส่องลอดออกมาเป็นลำ นาทีนั้นแม้แต่แท่งไฟในมือเธอก็คงจะไม่จำเป็นซะแล้ว."มีการต่อสู้กันงั้นเหรอ?"เจนิสกระซิบ.พูดกับใครก็ไม่รู้ในเมื่อก็อยู่ตัวคนเดียว เหมือนเธอกำลังประเมินสถานการณ์ ข้างหน้ามีศพ ข้างหลังประตูพัง แล้วเมื่อกี้ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรี๊ด! นั่นอาจจะเป็นเสียงของมิวท์ก็ได้ บางทีเธออาจจะอยู่ในสภาวะวิกฤต."หรือมีผู้ติดเชื้อบุกเข้ามาทำร้ายพี่มิวท์?!".คราวนี้ไม่คิดแล้วแต่เหวี่ยงร่างกายเข้ามาในเครื่องเลย! โดยไม่สนหน้าอินท์หน้าพรหม เจนิสใช้แรงเหวี่ยงจากกระเป๋าเป้ตวัดทีเดียวร่างบางของเธอก็ม้วนหน้าเข้ามาด้านในราวกับนักยิมนาสติก เสี่ยงตายไม่ว่ามารยาทไม่ต้องทุกสิ่งที่ทำล้วนมาจากความต้องการจากหัวใจ ทว่าสิ่งที่เธอเห็นก็คือ...มิวท์ในเวอร์ชั่นผู้ติดเชื้อ.. ที่ยืนจังก้าเล็บยาวเฟื้อยลากมากับพื้น.!.หากย้อนกลับไปอ่านสักหน่อย จะเห็นเลยว่าบุคลิกของมิว์นั้นใกล้เคียงกับเปรมตอนที่รอเย่อร์เธอในห้องกระจกมาก
ปลายนิ้วแห้งผากราวกับกระดาษทราย กว่าจะสัมผัสได้ถึงหยดน้ำหยาดแรกกลีบผกาก็ช้ำมากจนออกสีแดงแกมระเรื่อ มิวท์เสียวแค่ในใจแต่ร่างกายกลับไม่เป็นดังที่หวัง เธอเอาแผ่นหลังพิงกับกำแพงห้องโดยสารพลางหลุบสายตามองเรียวขาของตัวเองทั้งสองข้างที่ตั้งชันขึ้นและกำลังสั่นระริก เธอเร่งเกินไปเธอฝืนทั้งที่ไม่ได้เงี่ยนจริง.ตอกย้ำการโกหกตัวเองด้วยการดีดกางเกงผ้ายืดที่พันอยู่กับข้อเท้าออก เธออยากเห็นความงุ้มเกร็งของปลายตีน เผื่อจะทำให้มีอารมณ์กระสันขึ้นมาต้านทานการกลายร่างได้บ้าง."ซีดดดด...จิ๋มแห้งจัดเลยอ่ะโถ่เอ๊ย!".แท่งน้ิวเปลี่ยนจากสองเป็นสาม ชี้ , กลาง , นาง เรียงตัวเป็นขยุมพลันยัดเข้าไปแบบสุดเหยียดก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลหล่อนจึงได้รับแต่ความเจ็บปวดกลับมา แรงเสียดสีที่ขาดน้ำหล่อลื่นเป็นอะไรที่ทำร้ายช่องคลอดมาก มิวท์เหมือนกำลังทำทารุณกรรมกับตัวเอง และที่สำคัญที่สุดก็คือ ณ ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ มุมมองสายตาของเธอก็เริ่มเห็นเป็นฉากสีแดงและเส้นเลือดยึกยือถักทอขึ้นมาแล้ว!."เรากำลังจะกลายร่าง.. อ่ะ.. อ๊ากกก..ก..ก..ก , อั๊ก..ก..ก!""เด็กผู้หญิงคนนั้นกับแท่งไฟส่องสว่างในมือ ทำให้เชื้อโควิดในตัวเรากำลังจะออกมา..
ภาพในฝันประเดประดังเข้ามาในหัว ภาพของการสังวาชกันในน้ำ ภาพของมิวท์สาวสวยหุ่นงามที่ถูหน้าอกบี้บดกับแผ่นหลังของเธอ สิ่งเหล่านี้ทำเอาเจนิสถึงกับมือไม้สั่น แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นโลโก้ของบริษัท AP ตรงท้ายเครื่องบิน และจากจุดที่ยืนอยู่ก็สูงและมืดเกินกว่าจะพิสูจน์อัตลักษณ์ได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ติดตัวมายังไงเธอก็ว่าใช่ นี่ต้องเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ตั้งใจออกมาตามหาแน่นอน."เอาไว้ก่อนเรื่องช่วยเหลือผู้คน เสียใจด้วยนะคะน้า แต่ก็ต้องขอบคุณด้วยเหมือนกันนี่ถ้าไม่ใช่ลูกผัวน้าหนูคงไม่ได้เจอกับเครื่องบิน"."ปั๊ก! , ฟู่..!!!"จากอุปกรณ์จุดไฟในมือกลายเป็นแท่งไฟส่องสว่าง มันถูกกระทุ้งด้วยหัวเข่าและเปล่งแสงสว่างโพลงออกมาทำให้ทั้งสองฟากของซอกเขากลายเป็นสีแดง."รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง" ถ้าจะต้องมีซาวด์ดนตรีประกอบเพลง "เล่นของสูง" ของวงบิ๊กแอสถือว่าเหมาะมาก เพราะเจนิสรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเสี่ยงแค่ไหน แท่งความร้อนเรืองแสงที่ถืออยู่จะกลายเป็นตัวล่อชั้นดีให้บรรดาผู้ติดเชื้อพุ่งเป้ามาที่เธอ แต่ก็นะ! จะให้ทำไงได้ล่ะในเมื่อหัวใจเรียกร้อง.เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดหาเหตุผลให้กับความรัก เมื่อนั้นก็แปลว่
"ไป! ,ไป! ,ไป!, เดินหน้าเร่งฝีเท้าหน่อยทุกคน! ใกล้จะค่ำแล้วอย่าแตกแถวดูแลกันและกันด้วย!"เสียงหัวหน้าหน่วยหันมากำชับ."อีกราว 500 เมตรก็จะถึงประตูหน้าวิลเลจแล้ว ในนั้นทุกคนจะปลอดภัยสบายใจได้"แกผินหน้ากลับมามองตรงพลางกระชับปืนคู่ใจแนบวงแขน แบกเป้ประทับบ่าเดินจ้ำอ้าวรวดเร็วปานจรวด.ที่ด้านหลังมีสมาชิกกลุ่มเพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 20 ชีวิต มีทั้งเด็กและผู้หญิงแล้วก็คนแก่ ทุกคนต่างอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าอิดโรย โดยมีสมาชิกหน่วยลาดตระเวนกระจายตัวล้อมรอบพวกเขาไว้อีกชั้นหนึ่ง พวกเขาต่างปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันแล้วก็โชคดีมากที่ไม่มีใครเสียชีวิตจากการปะทะกันเมื่อตอนบ่ายเลย.แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำแบบนี้ก็ไม่แน่ ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับกลุ่มผู้ติดเชื้อเวอร์ชั่นกลางคืนหรอก หัวหน้าหน่วยก็เลยพยายามย้ำนักย้ำหนาว่าให้ทุกคนเร่งฝีเท้าต้องไปให้ถึงวิลเลจก่อนตะวันตกดินให้ได้ ภาษากายดูจริงจังน่าเกรงขาม แต่ใครเล่าจะรู้ว่าในใจลึก ๆ นั้นหัวหน้าเป็นห่วงเจนิสมากขนาดไหน."โถ่.. เจนิสเอ๊ย! อุตส่าห์บอกแล้วว่าให้รักษาแนวด้านหลังเอาไว้ ทำไมถึงทำอะไรโดยพลการนะ""นี่เธอคิดจริง ๆ เหรอว่าตัวเองเก่งพอจะอาสาไปช่วยเหล
ทิ้งกระเป๋าเป้ปลดสัมภาระที่คิดว่าจะเป็นภาระในภายภาคหน้าไว้ที่พื้น เจนิสทำตามอย่างว่าง่าย เธอไม่มีแม้แต่อารมณ์ขี้งอนหรืองี่เง่าใด ๆ ด้วยเพราะรู้สถานการณ์ดี สิ่งที่ติดตัวมาจึงมีแค่ปืนหน้าไม้กับซองใส่ลูกดอก ในทิศหกนาฬิกาด้านตรงกันข้าม ร่างบางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการคลานศอก เธอกดตัวให้ต่ำกระดืบ ๆ คืบคลานไปอยู่ในแนวด้านหลังสุดตามที่รุ่นพี่ออกคำสั่ง."เข้าใจแล้วค่ะ.. ไว้ใจหนูได้เลยหนูจะระวังหลังให้เอง ถ้าเจอผู้รอดชีวิตบอกให้ตามมาทางนี้ได้เลยนะคะ!"แม้แต่ซุ่มเสียงก็ดุดันจริงจังขึ้น ตอกย้ำว่าเธอไม่ได้มาเล่น ๆ.ด้วยความสัตย์จริงว่าการบู้นั้นไม่ใช่สไตล์ของเจนิสมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอเป็นนักรบสายซับพอร์ตไม่ใช่ตัวแทงค์ และถ้านับสถิติการฆ่าผู้ติดเชื้อแล้วล่ะก็ในแคลนก็คงจะเป็นเธอนี่แหละที่ตัวเลขอยู่ในลำดับต่ำสุด กลับกันแต่ถ้าหากเป็นการหนีเพื่อเอาตัวรอดแล้วล่ะก็ เจนิสก็จะพลิกสถิติกลับขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งวงการได้เลย.จากคลานเริ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นกระหยิ่มย่อง มือเรียวเกี่ยวตะขอขึ้นสายหน้าไม้เตรียมไว้ พลันกระโดดยิงหนึ่งดอกออกไปเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจน."ฟิ้ววว!"."ปั๊ก!"."หัว" เหมือนกันแต่เป็น "หัวเ