Se connecterพระอาทิตย์อัสดงดิ่งตัวลงกดต่ำ ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมทุกหัวระแหง แสงไฟจากเครื่องปั่นทยอยสว่างขึ้นเป็นหย่อม ๆ ตามแต่ว่าใครจะพอมีกำลังทรัพย์ นาทีนี้ลืมไปได้เลยเรื่องการผลิตและจ่ายไฟ กฟภ. , กฟน. , กฟผ. ล้วนแต่ล่มสลายไปหมดแล้วตั้งแต่ปีก่อน เหมือนประเทศชาติกำลังเดินถอยหลัง บ้านเมืองไม่ต่างจากยุคบางระจันเมื่อครั้งยังไม่มีอะไรใช้นอกจากไฟในคบเพลิง กับปืนผาหน้าไม้ที่ทำกันเองพอเอาไว้ป้องกันชีวิต
.
และช่วงเวลานี่แหละคือเวลาของการออกล่า พลบค่ำย่ำตะวันคือนาทีอันทรงค่าให้พวกมันลงมือ แพรวเริ่มมองหาที่กำบังบนสถานนีร้างที่เธอใช้พักอาศัย ระหว่างนั้นก็มองหาทางหนีที่ไล่เอาไว้ด้วยเผื่อเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น
.
“ฮู้ววว! อย่าผ่านมาทางนี้เลยขอร้องล่ะ"
"แต่ถ้าซวยผ่านมาจริงก็ขออย่าให้โดนจับกันเยอะ ยังไงซะฉันก็ไม่เคยเห็นด้วยกับวิธีนี้ มันไม่ถูกต้อง!”
พูดเองเออเองตามสไตล์หญิงสาวที่อยู่คนเดียวมาจนชิน ในมือแพรวมีเพียงไม้หน้าสามที่ตรงปลายยึดแน่นไปด้วยดอกตะปู แผ่นหลังมีกระเป๋าเป้ อาหารพร้อม เสื้อผ้าพร้อม เสบียงเพียบ เพลี่ยงพล้ำเสียท่าขึ้นมาพร้อมหนีได้ตลอดเวลาไม่มีอะไรต้องห่วง
.
จากทีแรกที่บอกว่าสถานีรถไฟร้างน่าจะอยู่คุ้มกะลาหัวไปได้ถึง 3 เดือน อาจจะไม่เสมอไปซะแล้ว เพราะยังมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้เฉกเช่นเรื่องที่กำลังจะเกิดนี้อยู่อีก
.
จุดที่แพรวซุ่มอยู่นับว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญชั้นเลิศ เพราะเป็นที่สูงที่สามารถมองเห็นถนนผุ ๆ พัง ๆ ด้านล่างได้อย่างชัดเจน แถมยังมีแท่นปูนแบร์ริเออร์กันตกกั้นยาวไปตลอดทั้งแนว ทำให้คนข้างล่างมองขึ้นมาไม่เห็นมีทั้งความได้เปรียบและปลอดภัย และพอทิ้งเวลาไปสักพักก็เริ่มมีผู้อยู่รอดคนอื่น ๆ ทยอยเข้ามาใช้แอเรียตรงนี้เป็นที่หลบภัยเช่นกัน ตอกย้ำว่าแพรวไม่ได้คิดผิด มีผู้คนมากมายที่คิดเหมือนกับเธออยู่
.
“มากันรึยังพี่?”
เสียงเด็กหญิงไร้ชื่อคนหนึ่งถามขึ้น เธอซุ่มอยู่ติดกับแพรวและแพรวเองก็ไม่รู้จักเธอมาก่อน
.
“ยัง! แต่ใกล้แล้วพี่ว่าพี่ได้ยินเสียง!”
กระชับอาวุธในมือแน่น พูดกันทางนี้แต่แววตานั้นจ้องเขม็งลงไปยังพื้นถนนด้านล่าง
.
“พวกน้องมีกันกี่คน เพิ่งขึ้นมาบนนี้ครั้งแรกใช่ไหม?”
.
“ใช่พี่!"
"มีประมาณ 10 คน รุ่นราวคราวเดียวกันหมด"
"เด็กมัธยมเหมือนหนูนี่แหละ อยู่ได้ใช่ไหมคะ?”
.
“ชู่ววว~! ไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยคุยกัน พวกมันมาแล้ว!”
.
แพรวตัดบทด้วยการจุ๊ปาก บุคลิกเธอกลายเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ แต่อาจจะเพราะเป็นคนเจอสถานที่ตรงนี้เป็นคนแรก จึงทำให้เธอกลายเป็นเจ้าของแคลนด์ไปโดยปริยาย
.
เสียงเครื่องยนต์โฟว์วิลไดรฟ์ก้องคำรามมาตามซอกตึก กลุ่มรถหุ้มเกราะ 4 - 5 คันทะยานออกมาจากซอยนั้นซอยนี้วิงสวนกันไปมาฉวัดเฉวียน ไฟสปอร์ตไลท์ติดเพิ่มพิเศษบนหลังคาส่ายส่องไปทั่ว มันย้อมท้องฟ้าที่มืดมัวให้สว่างโพลงจนเกือบจะกลายเป็นภาพสะท้อนแสง
.
“บรื๊นนนนน! , บรื๊นนนนน! , บรื๊นนนนน!”
.
“เอี๊ยดดดดด!!!”
.
ซวยสุดขั้วเมื่อรถทุกคันดันมาหยุดอยู่ตรงตึกในละแวก ห่างจากสถานนีที่แพรวซุ่มดูอยู่เพียงแค่ 50 เมตร แต่ก็วางใจได้อย่างเพราะพวกเธออยู่บนที่สูงดูจากพวกเจ้าหน้าที่ ๆ เปิดประตูลงมา พวกเขาคงยังไม่มีใครจับสัญญาณตรงนี้ได้ คงยังไม่รู้ว่ามีกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ซ่อนตัวอยู่บนนี้
.
“พี่คะ..?”
.
“ชู่ววววว! เงียบก่อนอย่าเพิ่งพูดอะไรมันยังไม่เห็นเรา
"แล้วเราก็ไม่ใช่เป้าหมายด้วย พวกมันต้องการแค่ LGBT ถ้าเราไม่ใช่กระเทยก็ไม่มีปัญหา!”
แพรวพยายามกระซิบ เธอแทบจะกดหัวเด็กมัธยมคนเดิมลงเพื่อให้เธอเงียบและหุบปาก
.
รถหุ้มเกราะขับเคลื่อนสี่ล้อสีสันเด่นชัดลายพรางเขียวเข้ม ทว่าสติกเกอร์ตรงกลางนี่สิที่โดดเด่นยิ่งกว่าสิ่งใด มันคือสัญลักษณ์ของบริษัท AP มิผิดเพี้ยน เพิ่มเติมความขลังด้านข้างด้วยสติกเกอร์สัญลักษณ์ของหน่วยสืบสวนโรคเชิงรุกของเปรมตรงบานประตู แค่นี้แพรวก็รู้แล้วว่าพวกมันมาทำอะไร
.
โปรดลืมไปได้เลยถึงเรื่องทฤษฎียาคุมกำเนิดเมื่อปีก่อน นั่นใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว เหล่า LGBT ต่างรู้ทันและยอมที่จะหลบซ่อนมากกว่าจะออกมาซื้อยาคุมแล้วโดนจับ เปรมและทีมงานจึงได้เปลี่ยนแผนใหม่มาตั้งแต่ช่วงต้นปี พวกเขาใช้ทฤษฎีเหยื่อล่อเหมือนเดิมแต่เปลี่ยนแปลงใหม่ให้แอ็ดวานซ์ขึ้น จน LGBT หน้าไหนก็อดใจไม่อยู่ มีอันต้องออกจากที่ซ่อนและยอมถวายตัวกลายเป็นหนูทดลองให้รีดเลือดในท้ายที่สุด
.
“กึก!”
ประตูรถทุกด้านแทบจะเปิดออกพร้อมกัน
.
ก๊าซสีแดงฉานรุ่นพิเศษพุ่งออกมาจากภายในห้องโดยสาร ว่ากันว่าโดนเข้าหน่อยเดียวก็ป้องกันการติดเชื้อไปได้มากกว่าหนึ่งอาทิตย์ มิหนำซ้ำการโพยพุ่งออกมาแบบนั้นยิ่งทำให้กลุ่มคนที่ทยอยก้าวเท้าออกมา ดูเด่นเป็นสง่าออร่าทะลักล้นเข้าไปอีก
.
“พรึบ! , พรึบ! , พรึบ! , พรึบ! , พรึบ!"
สะบัดชายเสื้อผายมือออกสุดไหล่
.
กลุ่มก๊าซลอยฟุ้งก่อนจะเริ่มจางลงและปรากฏให้เห็นเป็นรูปลักษณ์ของกลุ่มผู้ชายหน้าตาดีหลากหลายสไตล์ที่ดูดีระดับเทพเจ้า มีทั้งตี๋เกาหลี , หนุ่มหล่อมาดเซอร์ , หนุ่มเซอร์อบอุ่น , หนุ่มสายฝ. , หนุ่มหน้าแขก , หนุ่มหน้าไทย , หนุ่มลูกครึ่ง , มีหมดทุกรูปแบบ แม้แต่หนุ่มมาดอาเสี่ยพุงพุ้ยแต่รวยโคตรก็ยังมี มิหนำซ้ำแต่ละคนยังหุ่นดีโคตร ๆ กล้ามเป็นกล้ามอกเป็นอก ก้าวเดินแต่ละก้าวสาว ๆ เห็นยังต้องใจสั่น แล้วกับ LGBT ที่ไวกับเรื่องพวกนี้โคตร ๆ ล่ะมันจะไปเหลืออะไร
.
ปืนยิงยาสลบในมือก็ไม่กลัว ปืนสตั๊นท์กันท์ ปืนแหยิงตาข่าย พวก LGBT ก็ไม่สน เพียงชั่วอึดใจหลังกลุ่มชายงามปรากฏตัวถนนก็แทบจะไม่ว่าง กระเทยต่างอาละวาดวิ่งกรูออกมาจากที่ซ่อนราวกับซอมบี้ที่กินผู้ชายเป็นอาหาร เรียกได้ว่ากลยุทธ์ของเปรมกับทีมงานนั้นเอาอยู่แทบจะทั้งหมด เขาทำงานง่ายขึ้นเยอะในระยะหลัง เปรียบเปรยไปก็ไม่ต่างจากชาวประมงที่เอาอวนลากปลาเอาผู้ชายมาล่อหน่อยเดียว LGBT ก็วิ่งขึ้นเรือกันโครม ๆ จนแทบจะไม่ต้องออกแรงทำอะไรเลย
.
“จิ้ว! , จิ้ว! , จิ้ว! , จิ้ว!”
ดอกแล้วดอกเล่าไล่ยิงยาสลบใส่
.
LGBT ร่วงกราวเป็นทิวแถว ไม่ตายก็เหมือนตายเพราะสุดท้ายก็ต้องโดนอุ้มขึ้นรถไปเข้าห้องแล็บ ก่อนจะถูกจับรีดเลือดจนเป็นบ้าเพื่อจะเอาก๊าซมาอัดกระป๋องขายแบบเดียวกับที่พีเคยโดนอยู่ดี
.
แพรวจึงเกลียดสิ่งที่เห็นเป็นที่สุด เธอเจ็บช้ำน้ำใจมากเพราะ LGBT บางรายก็ยอมไปกับเปรมโดยสมัครใจ พวกนี้เดินออกจากที่ซ่อนแล้วตรงเข้าไปเกาะแขนผู้ชายยอมให้เขาทำทุกอย่าง ขายทั้งศักดิ์ศรีขายทั้งวิญญาณน่าละอายสุด ๆ
.
“สารเลวโคตร ๆ วิธีแบบนี้ก็ใช้ได้แต่พวกจัญไรหื่นกามเท่านั้นแหละ"
"ดีนะที่เราเป็นผู้หญิงพวกเราไม่มีทางตกหลุมพลางง่าย ๆ แบบนี้หรอก.. จริงไหมน้อง?”
“น้องคะ..?”
“อ่าว..?”
.
หันมาอีกทีแพรวก็ไม่เห็นเด็กคนเดิมอีกแล้ว กระทั่งเธอลองชะโงกหน้าพ้นขอบแบร์ริเออร์ออกไปถึงได้เห็นแม่หนูวิ่งกระจ็อก ๆ เข้าไปรวมอยู่ในกลุ่ม LGBT ที่โดนล่อด้วย ก็เลยรีบป้องปากตะโกนถามลงไป
.
“ทำบ้าอะไรของเธอน่ะ!? อย่าเข้าไปนะอยากตายรึไงน้อง!?”
.
เด็กน้อยตะโกนสวนขึ้นมาทันที
.
“หนูต้องไปช่วยเพื่อนค่ะพี่ มีเพื่อนหนูโดนล่ออยู่! หนูทิ้งเขาไม่ได้!”
.
แค่นี้แหละ! เป็นเสียงตะโกนที่อู้อี้จนฟังไม่ชัดด้วยซ้ำ แต่แพรวกลับรู้สึกชาวาบไปทั้งตัวประโยคเมื่อครู่ทำให้เธอถึงกับตกอยู่ในภวังค์ รอบตัวเหมือนกลายเป็นภาพสโลโมชั่นพลันให้คิดถึงเพื่อนเก่าอย่างมิวท์กับพี ช่วยเพื่อนงั้นเหรอ? เธอเองก็เคยช่วยแถมยังเป็นเพื่อน LGBT เหมือนกันอีกต่างหาก แพรวเริ่มเห็นภาพตัวเองซ้อนทับอยู่บนเรือนร่างของเด็กมัธยมคนนั้น รู้ตัวอีกทีร่างบางก็วิ่งลงบนไดมาสู่พื้นถนนด้านล่างพร้อมกับไม้หน้าสามหัวตะปูซะแล้ว
หน้าท้องแบนราบบดนาบเข้าหากัน มิวท์อยู่บนเจนิสอยู่ล่างการสั่นเทิ้มดังกล่าวค่อย ๆ ทุเลาลง แล้วก็ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงที่ใช้ห้ามหั่นจะเอาชีวิตของมิวท์ก็เริ่มอ่อนแรงลงเช่นกัน เธอค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะของคนปกติ จุกหัวถันชูชันเกร็งเสียว และแม้แต่กงเล็บที่ยื่นยาวออกมาก็เริ่มหดสั้นกลับลงไป."พี่มิวท์คะ.."เจนิสกระแอมถามทั้งที่ใบหน้ายังคงบี้อยู่กับร่องนมของมิวท์ เธอผินหน้าเอียงเปลี่ยนมุมไปมาพอให้มิวท์ตื่นตัว สลับกับการแลบลิ้นเลียที่ฐานเต้าด้านล่างพลันลากวนโค้งไปตามความอวบอูมของบัวตูมคู่."แผล็บ.. บ.. บ.. บ!"."อ่าาา..า..า..า..า.."รุ่นใหญ่เผลอหลุดครางออกมาแผ่วเบา ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นพรูออกมาทดแทนไอแห่งความเหม็นสาปจากเชื้อโควิด ตามติดมาด้วยผิวพรรณที่กลับมามีน้ำมีนวลเป็นสีชมพูบานสะพรั่งอีกครั้ง นี่คือผิวแบบลูกคุณหนูขนานแท้ มันคงผ่านการทำสปาร์มาจากหลายสถาบัน จึงไร้ซึ่งรอยด่างรอยดำ กระจ่างใสราวกับหลุดออกมาจากกระปุกครีม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอะไรที่โคตรจะน่าฟัด!.ทว่าพอต้องมานอนคร่อมร่างของเด็กมัธยมอยู่แบบนี้ จิตใต้สำนึกของมิวท์ก็ต้องทำหน้าที่ของมันผ่านการปกป้องตัวเอง ทำให้สาวเจ้าต้องตัวกระตุกอีกหน พลั
จากด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง สาวน้อยวัยมัธยมเร่งฝ่ามือกระโจนโผทะยานไปสู่ตำแหน่งที่คิดว่าได้ยินเสียง พลางผงะเข้ากับรอยโหว่บนตัวเครื่องที่เกิดจากบานประตูที่กระเด็นออกไป แสงสว่างจากหลอดไฟภายในส่องลอดออกมาเป็นลำ นาทีนั้นแม้แต่แท่งไฟในมือเธอก็คงจะไม่จำเป็นซะแล้ว."มีการต่อสู้กันงั้นเหรอ?"เจนิสกระซิบ.พูดกับใครก็ไม่รู้ในเมื่อก็อยู่ตัวคนเดียว เหมือนเธอกำลังประเมินสถานการณ์ ข้างหน้ามีศพ ข้างหลังประตูพัง แล้วเมื่อกี้ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรี๊ด! นั่นอาจจะเป็นเสียงของมิวท์ก็ได้ บางทีเธออาจจะอยู่ในสภาวะวิกฤต."หรือมีผู้ติดเชื้อบุกเข้ามาทำร้ายพี่มิวท์?!".คราวนี้ไม่คิดแล้วแต่เหวี่ยงร่างกายเข้ามาในเครื่องเลย! โดยไม่สนหน้าอินท์หน้าพรหม เจนิสใช้แรงเหวี่ยงจากกระเป๋าเป้ตวัดทีเดียวร่างบางของเธอก็ม้วนหน้าเข้ามาด้านในราวกับนักยิมนาสติก เสี่ยงตายไม่ว่ามารยาทไม่ต้องทุกสิ่งที่ทำล้วนมาจากความต้องการจากหัวใจ ทว่าสิ่งที่เธอเห็นก็คือ...มิวท์ในเวอร์ชั่นผู้ติดเชื้อ.. ที่ยืนจังก้าเล็บยาวเฟื้อยลากมากับพื้น.!.หากย้อนกลับไปอ่านสักหน่อย จะเห็นเลยว่าบุคลิกของมิว์นั้นใกล้เคียงกับเปรมตอนที่รอเย่อร์เธอในห้องกระจกมาก
ปลายนิ้วแห้งผากราวกับกระดาษทราย กว่าจะสัมผัสได้ถึงหยดน้ำหยาดแรกกลีบผกาก็ช้ำมากจนออกสีแดงแกมระเรื่อ มิวท์เสียวแค่ในใจแต่ร่างกายกลับไม่เป็นดังที่หวัง เธอเอาแผ่นหลังพิงกับกำแพงห้องโดยสารพลางหลุบสายตามองเรียวขาของตัวเองทั้งสองข้างที่ตั้งชันขึ้นและกำลังสั่นระริก เธอเร่งเกินไปเธอฝืนทั้งที่ไม่ได้เงี่ยนจริง.ตอกย้ำการโกหกตัวเองด้วยการดีดกางเกงผ้ายืดที่พันอยู่กับข้อเท้าออก เธออยากเห็นความงุ้มเกร็งของปลายตีน เผื่อจะทำให้มีอารมณ์กระสันขึ้นมาต้านทานการกลายร่างได้บ้าง."ซีดดดด...จิ๋มแห้งจัดเลยอ่ะโถ่เอ๊ย!".แท่งน้ิวเปลี่ยนจากสองเป็นสาม ชี้ , กลาง , นาง เรียงตัวเป็นขยุมพลันยัดเข้าไปแบบสุดเหยียดก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลหล่อนจึงได้รับแต่ความเจ็บปวดกลับมา แรงเสียดสีที่ขาดน้ำหล่อลื่นเป็นอะไรที่ทำร้ายช่องคลอดมาก มิวท์เหมือนกำลังทำทารุณกรรมกับตัวเอง และที่สำคัญที่สุดก็คือ ณ ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ มุมมองสายตาของเธอก็เริ่มเห็นเป็นฉากสีแดงและเส้นเลือดยึกยือถักทอขึ้นมาแล้ว!."เรากำลังจะกลายร่าง.. อ่ะ.. อ๊ากกก..ก..ก..ก , อั๊ก..ก..ก!""เด็กผู้หญิงคนนั้นกับแท่งไฟส่องสว่างในมือ ทำให้เชื้อโควิดในตัวเรากำลังจะออกมา..
ภาพในฝันประเดประดังเข้ามาในหัว ภาพของการสังวาชกันในน้ำ ภาพของมิวท์สาวสวยหุ่นงามที่ถูหน้าอกบี้บดกับแผ่นหลังของเธอ สิ่งเหล่านี้ทำเอาเจนิสถึงกับมือไม้สั่น แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นโลโก้ของบริษัท AP ตรงท้ายเครื่องบิน และจากจุดที่ยืนอยู่ก็สูงและมืดเกินกว่าจะพิสูจน์อัตลักษณ์ได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ติดตัวมายังไงเธอก็ว่าใช่ นี่ต้องเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ตั้งใจออกมาตามหาแน่นอน."เอาไว้ก่อนเรื่องช่วยเหลือผู้คน เสียใจด้วยนะคะน้า แต่ก็ต้องขอบคุณด้วยเหมือนกันนี่ถ้าไม่ใช่ลูกผัวน้าหนูคงไม่ได้เจอกับเครื่องบิน"."ปั๊ก! , ฟู่..!!!"จากอุปกรณ์จุดไฟในมือกลายเป็นแท่งไฟส่องสว่าง มันถูกกระทุ้งด้วยหัวเข่าและเปล่งแสงสว่างโพลงออกมาทำให้ทั้งสองฟากของซอกเขากลายเป็นสีแดง."รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง" ถ้าจะต้องมีซาวด์ดนตรีประกอบเพลง "เล่นของสูง" ของวงบิ๊กแอสถือว่าเหมาะมาก เพราะเจนิสรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเสี่ยงแค่ไหน แท่งความร้อนเรืองแสงที่ถืออยู่จะกลายเป็นตัวล่อชั้นดีให้บรรดาผู้ติดเชื้อพุ่งเป้ามาที่เธอ แต่ก็นะ! จะให้ทำไงได้ล่ะในเมื่อหัวใจเรียกร้อง.เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดหาเหตุผลให้กับความรัก เมื่อนั้นก็แปลว่
"ไป! ,ไป! ,ไป!, เดินหน้าเร่งฝีเท้าหน่อยทุกคน! ใกล้จะค่ำแล้วอย่าแตกแถวดูแลกันและกันด้วย!"เสียงหัวหน้าหน่วยหันมากำชับ."อีกราว 500 เมตรก็จะถึงประตูหน้าวิลเลจแล้ว ในนั้นทุกคนจะปลอดภัยสบายใจได้"แกผินหน้ากลับมามองตรงพลางกระชับปืนคู่ใจแนบวงแขน แบกเป้ประทับบ่าเดินจ้ำอ้าวรวดเร็วปานจรวด.ที่ด้านหลังมีสมาชิกกลุ่มเพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 20 ชีวิต มีทั้งเด็กและผู้หญิงแล้วก็คนแก่ ทุกคนต่างอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าอิดโรย โดยมีสมาชิกหน่วยลาดตระเวนกระจายตัวล้อมรอบพวกเขาไว้อีกชั้นหนึ่ง พวกเขาต่างปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันแล้วก็โชคดีมากที่ไม่มีใครเสียชีวิตจากการปะทะกันเมื่อตอนบ่ายเลย.แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำแบบนี้ก็ไม่แน่ ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับกลุ่มผู้ติดเชื้อเวอร์ชั่นกลางคืนหรอก หัวหน้าหน่วยก็เลยพยายามย้ำนักย้ำหนาว่าให้ทุกคนเร่งฝีเท้าต้องไปให้ถึงวิลเลจก่อนตะวันตกดินให้ได้ ภาษากายดูจริงจังน่าเกรงขาม แต่ใครเล่าจะรู้ว่าในใจลึก ๆ นั้นหัวหน้าเป็นห่วงเจนิสมากขนาดไหน."โถ่.. เจนิสเอ๊ย! อุตส่าห์บอกแล้วว่าให้รักษาแนวด้านหลังเอาไว้ ทำไมถึงทำอะไรโดยพลการนะ""นี่เธอคิดจริง ๆ เหรอว่าตัวเองเก่งพอจะอาสาไปช่วยเหล
ทิ้งกระเป๋าเป้ปลดสัมภาระที่คิดว่าจะเป็นภาระในภายภาคหน้าไว้ที่พื้น เจนิสทำตามอย่างว่าง่าย เธอไม่มีแม้แต่อารมณ์ขี้งอนหรืองี่เง่าใด ๆ ด้วยเพราะรู้สถานการณ์ดี สิ่งที่ติดตัวมาจึงมีแค่ปืนหน้าไม้กับซองใส่ลูกดอก ในทิศหกนาฬิกาด้านตรงกันข้าม ร่างบางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการคลานศอก เธอกดตัวให้ต่ำกระดืบ ๆ คืบคลานไปอยู่ในแนวด้านหลังสุดตามที่รุ่นพี่ออกคำสั่ง."เข้าใจแล้วค่ะ.. ไว้ใจหนูได้เลยหนูจะระวังหลังให้เอง ถ้าเจอผู้รอดชีวิตบอกให้ตามมาทางนี้ได้เลยนะคะ!"แม้แต่ซุ่มเสียงก็ดุดันจริงจังขึ้น ตอกย้ำว่าเธอไม่ได้มาเล่น ๆ.ด้วยความสัตย์จริงว่าการบู้นั้นไม่ใช่สไตล์ของเจนิสมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอเป็นนักรบสายซับพอร์ตไม่ใช่ตัวแทงค์ และถ้านับสถิติการฆ่าผู้ติดเชื้อแล้วล่ะก็ในแคลนก็คงจะเป็นเธอนี่แหละที่ตัวเลขอยู่ในลำดับต่ำสุด กลับกันแต่ถ้าหากเป็นการหนีเพื่อเอาตัวรอดแล้วล่ะก็ เจนิสก็จะพลิกสถิติกลับขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งวงการได้เลย.จากคลานเริ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นกระหยิ่มย่อง มือเรียวเกี่ยวตะขอขึ้นสายหน้าไม้เตรียมไว้ พลันกระโดดยิงหนึ่งดอกออกไปเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจน."ฟิ้ววว!"."ปั๊ก!"."หัว" เหมือนกันแต่เป็น "หัวเ