LOGIN“ฮึบ!”
.
“เอ้าอย่าเพิ่งลุกสิ! แล้วนี่แกจะรีบไปไหน ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอกคนอื่นเขาจัดการแทนแกหมดแล้ว มีผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ในวิลเลจตั้งหลายคน เห็นแกอยู่ในสภาพนี้พวกเขาเลยจัดแจงทุกอย่างแทนให้หมด”
.
เจนิสลุกขึ้นนั่งบนเตียง สะบัดผ้าห่มออกไปให้พ้นทาง ก่อนจะใช้ฝ่ามืออันบอบบางขยุ้มเส้นผมตัวเองแล้วขยำ ๆ เธอกำลังประติดประต่อเรื่องราวว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง ก่อนที่เธอจะมีความฝันอย่างอนาจาร เธอจำได้ลาง ๆ ว่าตัวเองกำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับกลุ่มแคลนของคุณมิวท์ มีเฮลิคอปเตอร์ชีนุกขนาดใหญ่ยักษ์บรรทุกคนมาเต็มความจุ ภายในขนเด็กมาครึ่งหนึ่ง และอีกส่วนเป็นทหารจากหน่วยคอมมานโดอีกหนึ่งกองร้อย
.
นี่จึงทำให้เจนิสคิดไม่ตก มันดูเว่อร์เกินกว่าจะเป็นความจริง ผู้หญิงที่อยู่ในฐานันดรสูงขนาดคุณมิวท์จะลดตัวเองมาอยู่เยี่ยงแมลงสาปในแหล่งซ่องสุมหลังกำแพงเช่นนี้ได้ยังไง มันเป็นไปไม่ได้! มันต้องเป็นฝันซ้อนฝันแน่ ๆ เด็กสาวแทบแยกไม่ออกแล้วว่าจุดเริ่มต้นของฝันนั้นคือจุดไหน มันเริ่มจากตอนที่เธอแก้ผ้าล่อนจ้อนลอยอยู่ในโรงเรียน หรือเริ่มจากตอนที่เธอคุยวิทยุกับพลขับ ฮ. ตอนที่อยู่บนหอสื่อสารกันแน่ ชักช้าจะไม่ทันการณ์เจนิสก็เลยลองเช็คกับเพื่อนดู
.
“เดี๋ยวนะ! นี่ฉันสลบไปใช่ไหมถึงได้มานอนอยู่ที่นี่?”
กดคางลงต่ำงุ้มสายตาจ้องเขม็งมาที่เพื่อน
.
“ก็ใช่น่ะสิ! ฉันตกใจแทบแย่ตอนที่พวกพี่ ๆ เขาอุ้มแกมาจากสุสาน ตัวแกเย็นเฉียบเขย่ายังไงก็ไม่ตื่นแถมยังเอาแต่อมยิ้ม สุดปัญญาจะวินิจฉัยสาเหตุ ฉันก็เลยเอาแกมานอนไว้บนเตียงนี่แหละ”
.
“เฮ้!”
“งั้นเรื่องที่คุณมิวท์จากบริษัท AP มาที่นี่ก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ?! เธอมาพร้อมกับเฮลิคอปเตอร์ใช่ไหม? แล้วก็มีทหารรับจ้างที่เป็นกลุ่มติดอาวุธติดตามมาด้วย?!”
.
“ใช่..ถูกต้อง! นี่แกชักจะยังไงแล้วนะเนี่ยะเจนิส ไม่มีรายงานแจ้งว่าแกหัวกระแทกจนความจำเสื่อมนีี่นา ทำเป็นลืมไปได้"
"แกแค่เป็นลมล้มพับเพื่อน พวกพี่พยาบาลเดาว่าแกน่าจะเครียดจากภาระงานที่พี่แพรวมอบไว้ให้ ซึ่งฉันเองก็เห็นด้วยทุกประการ อย่าแบกมากนักสิวะ หนักเป็นเบาถ้าเราไม่แบกนะโว่ย ปล่อยวางบ้างก็ได้ พี่แพรวเขาไม่ฆ่าแกหรอกถ้าแกจะพลาดบ้างอะไรบ้าง การผิดพลาดถือเป็นเรื่องธรรมดา”
.
ฉอด ๆ ๆ เทศนาต่อไปอีกหลายกัณฑ์ แต่หารู้ไม่ว่าสีหน้าของเจนิสนั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่ที่เพื่อนของเธอพูดจบประโยคแรก ยิ้มสวยสมวัยลอยเด่นขึ้นมาบนใบหน้า แก้มแดงมีเลือดฝาด ก่อนที่ต่อมาเธอจะสปริงตัวลุกขึ้นจากเตียง แล้วก็เดินไปเปลี่ยนชุดที่ทะมัดทะแมงมาสวมใส่
.
“(ฉันจะใส่เสื้อคลุมตัวโคร่งนี้ออกไปไม่ได้~ มันไม่สวย)”
เจนิสคิดในใจ
.
ตรงกันข้ามกับเพื่อนที่พยายามจะรั้งแขนเอาไว้ เกิดเป็นการฉุดกระชากกันพอหอมปากหอมคอ
.
“เดี๋ยว!”
“แกจะไปไหน.. แกยังไม่ตอบฉันเลย? อย่างน้อยก็ต้องให้พี่พยาบาลเขาขึ้นมาตรวจชีพจรก่อน ถ้าเป็นลมล้มพับหัวฟาดพื้นไปอีกจะทำยังไง?”
.
“ไม่เป็นหรอกน่า~! ฉันจะรีบไปหาพี่มิวท์!"
"เอ๊ยไม่ใช่..!"
"ไม่ใช่ ๆ ๆ ไม่มีอะไรหรอก..!”
.
“ว่าไงนะ?”
.
“เปล่า.. ก็บอกว่าไม่มีอะไรไง! ฉันแค่จะลงไปดูความเรียบร้อยเช็คนั่นเช็คนี่หน่อยว่าวิลเลจเป็นยังไงบ้าง มีคนใหญ่คนโตกับกองกำลังขนาดนั้นเข้ามาเชียวนะ เป็นแก ๆ จะนอนอยู่เฉย ๆ หรอ?”
“แล้วที่ว่าตัดสินใจแทนฉันน่ะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกผู้ใหญ่เขาอนุมัติอะไรไปบ้าง”
.
เพื่อนสาวพยักหน้าคล้อยตาม หล่อนปล่อยมือออกจากแขนเจนิส ก่อนจะพูดขึ้น
.
“ก็ฟังดูมีเหตุผลเพราะแกน่ะหลับไปถึง 3 วัน 3 คืน มันนานซะจนคนอื่นในวิลเลจทนรอให้แกตื่นขึ้นมาไม่ไหว สถานการณ์จำเป็นจะต้อง Move On ฉันว่าฉันเข้าใจในมุมพวกเขานะ”
.
“ 3 วัน! บ้า! นี่ล้อกันเล่นรึเปล่าเนี่ยะ?! คนอะไรจะนอนได้นานขนาดนั้น!”
.
“ก็นั่นน่ะสิ! คงเพราะแกนอนไม่เหมือนคนปกติมั้งเตียงถึงเปียกไปหมด ขย่มโครม ๆ ร้องครางซีดซาด อื้อ.. อ.. อ.. อ้า.. า.. า.. อย่างกับโดนเชือด จะให้ฉันเล่าย้อนไหมว่าแกทำอะไรไปบ้าง”
.
เจนิสได้แต่ยิ้มเฝื่อนเขินอาย หัวเธอนี่นึกถึงฉากเซ็กส์อันเร้าร้อนในสระว่ายน้ำขึ้นมาเลย เสมือนรู้คำตอบอยู่กลาย ๆ ก็เลยมิจำเป็นจะต้องต่อความยาวสาวความยืด
.
สรุปสุดท้ายบทสนทนาระหว่างพวกเธอสองคน ก็ลงเอยด้วยการแยกย้ายกัน เพื่อนสาวเดินมาส่งเจนิสที่ชั้นล่าง พวกเธอเดินผ่านห้องพยาบาลที่ถูกจัดสรรไว้เป็นสัดส่วน ไม่สวยมาก ไม่มีความมั่นคงถาวรใด ๆ แต่ก็พอใช้งานได้ในสกิลที่ละม้ายคล้ายกับโรงพยาบาลสนาม กระทั่งเดินลงบันไดลงมาถึงชั้นหนึ่งตรงบริเวณที่ติดกับซุ้มประตูทางออก ที่นั่นจะมีห้องประชุมเล็ก ๆ อยู่ห้องหนึ่ง เป็นห้องที่บุคลากรทางการแพทย์ของวิลเลจเอาไว้ใช้ประชุมกัน เพื่อนสาวจึงเลือกที่จะส่งเจนิสแค่ตรงนี้ แล้วก็พูดขึ้น
.
“นั่นไง! จุดเปลี่ยนแรก”
“แกลองส่องเข้าไปดูสิ ตอนนี้เรามีหมอเป็นของตัวเองแล้วน่ะเว่ย หมายถึงหมอแบบจริง ๆ แพทย์ตัวเป็น ๆ ที่ไม่ใช่แค่พยาบาล แล้วก็ไม่ใช่เด็กมัธยมที่ชอบเล่นเป็นหมอทั้งที่ยังเรียนไม่จบอย่างฉัน”
“แกเห็นไหมว่าพวก AP เขาเอาอะไรมาให้เราบ้าง พวกผู้ใหญ่อ่ะเขาตัดสินใจแทนแกไปแล้ว และฉันก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีด้วย เพราะไม่มีใครในวิลเลจเห็นแย้งกับสิ่งนี้เลย”
.
เจนิสก็เลยลองชะโงกหน้าเข้าไปดู พลันมองเห็นเป็นแพทย์หญิงคนหนึ่งที่กำลังออกไม้ออกมือ ชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์โควิดในเมืองหลวงให้แก่เหล่าพยาบาล เจนิสฟังไม่เข้าใจหรอกแล้วก็ได้ยินไม่ชัดด้วย แต่พอประเมินจากสายตาแล้ว ดูจากบุคลิกท่าทางก็น่าจะเป็นหมอตัวจริง แพทย์หญิงท่านนี้น่าจะเคยเป็นหนึ่งในทีมตรวจสอบโรคเชิงรุกของเปรมมาก่อน เธอมาที่นี่พร้อมกับมิวท์ , เด็ก ๆ , แล้วก็พวกทหารรับจ้าง ประสบการณ์ของเธอคงจะช่วยวิลเลจได้มากทีเดียว เจนิสจึงเห็นแต่อนาคต นี่คือแสงสีขาวที่ฉาบเคลือบให้ทุกคนสบายอกสบายใจในแง่ของงานสาธารณสุข
.
“อืม.. ฉันก็เห็นด้วยกับแกว่ะ เอาเป็นว่าเรื่องนี้ฉันจะไม่ยุ่งเชิญพวกแกประชุมกันต่อเถอะ บอกพวกเขาด้วยว่าฉันฟื้นแล้วไม่ต้องเป็นห่วง ขาดเหลืออะไรก็บอก ฉันจะจัดสรรให้ทุกอย่างอย่างสุดความสามารถ”
.
“ขอบใจนะ.. แต่ฉันยังมีอีกเรื่องที่ต้องคุยกับแก”
.
“ว่า..? , เรื่อง..?”
.
“ก็พวกเขาเป็น AP ! เป็นกลุ่มคนที่พี่แพรวหัวหน้าเราโคตรจะรังเกียจ! แล้วกับการที่พวกนั้นเข้ามามีอำนาจในวิลเลจแบบนี้ คือ.. มันจะไม่..? ฉันกลัวว่าถ้าพี่แพรวรู้เข้ามันจะมีปัญญา! พี่แพรวแกไว้ใจเรามากนะเจนิส ฉันไม่อยากทำให้พี่เขาผิดหวัง”
.
เดชะบุญถึงกับยืนอึ้งกันไปเลย เจนิสลืมคิดถึงจุดนี้ไปซะสนิท แสงตะวันยามบ่ายสาดลอดใต้ซี่กรงไม้ของเรือนพยาบาลเข้ามา มันชโลมผิวเจนิสให้เป็นสีส้ม ทั้งเธอและเพื่อนจึงเหมือนผลไม้เน่า ๆ ที่โดนคัดออกจากเข่ง กลายเป็นแกะดำที่ไม่เข้าพวก เพราะทั้งวิลเลจก็มีแค่พวกเธอที่หนีตายร่วมกันมาเท่านั้นที่รู้ความจริงในส่วนนี้ เจนิสจึงเอ่ยคำขึ้น
.
“ตอนนี้พี่แพรวยังไม่กลับมา เรายังมีเวลาอีกค่อนปี คุณงานความดีของพวกเขาอาจจะเปลี่ยนใจพี่แพรวได้”
.
“แกมั่นใจเหรอวะ?”
.
“ไม่! , แค่ลองเสี่ยงดู!”
.
“เสี่ยงอีกล่ะ! แกหลับไป 3 วันแกอาจจะไม่รู้ ว่ามันไม่ได้มีแต่งานพยาบาลหรอกนะที่คนของ AP เข้ามามีเอี่ยวด้วย โน่น! กำแพงสูงหน้าวิลเลจกับงานป้องกันหมู่บ้าน หรือแม้แต่งานที่โรงเรียนพวกเขาก็เข้ามาแจม!”
.
“ห๊ะ! อะไรนะ? ได้ไงกัน! เยอะขนาดนั้นเชียวเหรอ?!”
.
ช่างเป็น 3 วันแห่งความหฤหรรษ์ เพราะขณะที่ตัวเองมัวแต่หลับฝันว่าได้เอากับผู้หญิงที่ชอบ ก็หารู้ไม่ว่าสิ่งที่ควรจะรับผิดชอบ กลับกำลังจะถูกถ่ายโอนให้กลายเป็นของ ๆ คนอื่นไปแล้ว
หน้าท้องแบนราบบดนาบเข้าหากัน มิวท์อยู่บนเจนิสอยู่ล่างการสั่นเทิ้มดังกล่าวค่อย ๆ ทุเลาลง แล้วก็ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงที่ใช้ห้ามหั่นจะเอาชีวิตของมิวท์ก็เริ่มอ่อนแรงลงเช่นกัน เธอค่อย ๆ กลับคืนสู่สภาวะของคนปกติ จุกหัวถันชูชันเกร็งเสียว และแม้แต่กงเล็บที่ยื่นยาวออกมาก็เริ่มหดสั้นกลับลงไป."พี่มิวท์คะ.."เจนิสกระแอมถามทั้งที่ใบหน้ายังคงบี้อยู่กับร่องนมของมิวท์ เธอผินหน้าเอียงเปลี่ยนมุมไปมาพอให้มิวท์ตื่นตัว สลับกับการแลบลิ้นเลียที่ฐานเต้าด้านล่างพลันลากวนโค้งไปตามความอวบอูมของบัวตูมคู่."แผล็บ.. บ.. บ.. บ!"."อ่าาา..า..า..า..า.."รุ่นใหญ่เผลอหลุดครางออกมาแผ่วเบา ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นพรูออกมาทดแทนไอแห่งความเหม็นสาปจากเชื้อโควิด ตามติดมาด้วยผิวพรรณที่กลับมามีน้ำมีนวลเป็นสีชมพูบานสะพรั่งอีกครั้ง นี่คือผิวแบบลูกคุณหนูขนานแท้ มันคงผ่านการทำสปาร์มาจากหลายสถาบัน จึงไร้ซึ่งรอยด่างรอยดำ กระจ่างใสราวกับหลุดออกมาจากกระปุกครีม ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอะไรที่โคตรจะน่าฟัด!.ทว่าพอต้องมานอนคร่อมร่างของเด็กมัธยมอยู่แบบนี้ จิตใต้สำนึกของมิวท์ก็ต้องทำหน้าที่ของมันผ่านการปกป้องตัวเอง ทำให้สาวเจ้าต้องตัวกระตุกอีกหน พลั
จากด้านหนึ่งสู่อีกด้านหนึ่ง สาวน้อยวัยมัธยมเร่งฝ่ามือกระโจนโผทะยานไปสู่ตำแหน่งที่คิดว่าได้ยินเสียง พลางผงะเข้ากับรอยโหว่บนตัวเครื่องที่เกิดจากบานประตูที่กระเด็นออกไป แสงสว่างจากหลอดไฟภายในส่องลอดออกมาเป็นลำ นาทีนั้นแม้แต่แท่งไฟในมือเธอก็คงจะไม่จำเป็นซะแล้ว."มีการต่อสู้กันงั้นเหรอ?"เจนิสกระซิบ.พูดกับใครก็ไม่รู้ในเมื่อก็อยู่ตัวคนเดียว เหมือนเธอกำลังประเมินสถานการณ์ ข้างหน้ามีศพ ข้างหลังประตูพัง แล้วเมื่อกี้ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรี๊ด! นั่นอาจจะเป็นเสียงของมิวท์ก็ได้ บางทีเธออาจจะอยู่ในสภาวะวิกฤต."หรือมีผู้ติดเชื้อบุกเข้ามาทำร้ายพี่มิวท์?!".คราวนี้ไม่คิดแล้วแต่เหวี่ยงร่างกายเข้ามาในเครื่องเลย! โดยไม่สนหน้าอินท์หน้าพรหม เจนิสใช้แรงเหวี่ยงจากกระเป๋าเป้ตวัดทีเดียวร่างบางของเธอก็ม้วนหน้าเข้ามาด้านในราวกับนักยิมนาสติก เสี่ยงตายไม่ว่ามารยาทไม่ต้องทุกสิ่งที่ทำล้วนมาจากความต้องการจากหัวใจ ทว่าสิ่งที่เธอเห็นก็คือ...มิวท์ในเวอร์ชั่นผู้ติดเชื้อ.. ที่ยืนจังก้าเล็บยาวเฟื้อยลากมากับพื้น.!.หากย้อนกลับไปอ่านสักหน่อย จะเห็นเลยว่าบุคลิกของมิว์นั้นใกล้เคียงกับเปรมตอนที่รอเย่อร์เธอในห้องกระจกมาก
ปลายนิ้วแห้งผากราวกับกระดาษทราย กว่าจะสัมผัสได้ถึงหยดน้ำหยาดแรกกลีบผกาก็ช้ำมากจนออกสีแดงแกมระเรื่อ มิวท์เสียวแค่ในใจแต่ร่างกายกลับไม่เป็นดังที่หวัง เธอเอาแผ่นหลังพิงกับกำแพงห้องโดยสารพลางหลุบสายตามองเรียวขาของตัวเองทั้งสองข้างที่ตั้งชันขึ้นและกำลังสั่นระริก เธอเร่งเกินไปเธอฝืนทั้งที่ไม่ได้เงี่ยนจริง.ตอกย้ำการโกหกตัวเองด้วยการดีดกางเกงผ้ายืดที่พันอยู่กับข้อเท้าออก เธออยากเห็นความงุ้มเกร็งของปลายตีน เผื่อจะทำให้มีอารมณ์กระสันขึ้นมาต้านทานการกลายร่างได้บ้าง."ซีดดดด...จิ๋มแห้งจัดเลยอ่ะโถ่เอ๊ย!".แท่งน้ิวเปลี่ยนจากสองเป็นสาม ชี้ , กลาง , นาง เรียงตัวเป็นขยุมพลันยัดเข้าไปแบบสุดเหยียดก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ผลหล่อนจึงได้รับแต่ความเจ็บปวดกลับมา แรงเสียดสีที่ขาดน้ำหล่อลื่นเป็นอะไรที่ทำร้ายช่องคลอดมาก มิวท์เหมือนกำลังทำทารุณกรรมกับตัวเอง และที่สำคัญที่สุดก็คือ ณ ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ มุมมองสายตาของเธอก็เริ่มเห็นเป็นฉากสีแดงและเส้นเลือดยึกยือถักทอขึ้นมาแล้ว!."เรากำลังจะกลายร่าง.. อ่ะ.. อ๊ากกก..ก..ก..ก , อั๊ก..ก..ก!""เด็กผู้หญิงคนนั้นกับแท่งไฟส่องสว่างในมือ ทำให้เชื้อโควิดในตัวเรากำลังจะออกมา..
ภาพในฝันประเดประดังเข้ามาในหัว ภาพของการสังวาชกันในน้ำ ภาพของมิวท์สาวสวยหุ่นงามที่ถูหน้าอกบี้บดกับแผ่นหลังของเธอ สิ่งเหล่านี้ทำเอาเจนิสถึงกับมือไม้สั่น แม้ว่าเธอจะมองไม่เห็นโลโก้ของบริษัท AP ตรงท้ายเครื่องบิน และจากจุดที่ยืนอยู่ก็สูงและมืดเกินกว่าจะพิสูจน์อัตลักษณ์ได้ แต่ด้วยสัญชาตญาณที่ติดตัวมายังไงเธอก็ว่าใช่ นี่ต้องเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ตั้งใจออกมาตามหาแน่นอน."เอาไว้ก่อนเรื่องช่วยเหลือผู้คน เสียใจด้วยนะคะน้า แต่ก็ต้องขอบคุณด้วยเหมือนกันนี่ถ้าไม่ใช่ลูกผัวน้าหนูคงไม่ได้เจอกับเครื่องบิน"."ปั๊ก! , ฟู่..!!!"จากอุปกรณ์จุดไฟในมือกลายเป็นแท่งไฟส่องสว่าง มันถูกกระทุ้งด้วยหัวเข่าและเปล่งแสงสว่างโพลงออกมาทำให้ทั้งสองฟากของซอกเขากลายเป็นสีแดง."รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลอง" ถ้าจะต้องมีซาวด์ดนตรีประกอบเพลง "เล่นของสูง" ของวงบิ๊กแอสถือว่าเหมาะมาก เพราะเจนิสรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นเสี่ยงแค่ไหน แท่งความร้อนเรืองแสงที่ถืออยู่จะกลายเป็นตัวล่อชั้นดีให้บรรดาผู้ติดเชื้อพุ่งเป้ามาที่เธอ แต่ก็นะ! จะให้ทำไงได้ล่ะในเมื่อหัวใจเรียกร้อง.เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดหาเหตุผลให้กับความรัก เมื่อนั้นก็แปลว่
"ไป! ,ไป! ,ไป!, เดินหน้าเร่งฝีเท้าหน่อยทุกคน! ใกล้จะค่ำแล้วอย่าแตกแถวดูแลกันและกันด้วย!"เสียงหัวหน้าหน่วยหันมากำชับ."อีกราว 500 เมตรก็จะถึงประตูหน้าวิลเลจแล้ว ในนั้นทุกคนจะปลอดภัยสบายใจได้"แกผินหน้ากลับมามองตรงพลางกระชับปืนคู่ใจแนบวงแขน แบกเป้ประทับบ่าเดินจ้ำอ้าวรวดเร็วปานจรวด.ที่ด้านหลังมีสมาชิกกลุ่มเพิ่มจำนวนขึ้นกว่า 20 ชีวิต มีทั้งเด็กและผู้หญิงแล้วก็คนแก่ ทุกคนต่างอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าอิดโรย โดยมีสมาชิกหน่วยลาดตระเวนกระจายตัวล้อมรอบพวกเขาไว้อีกชั้นหนึ่ง พวกเขาต่างปฏิบัติหน้าที่อย่างแข็งขันแล้วก็โชคดีมากที่ไม่มีใครเสียชีวิตจากการปะทะกันเมื่อตอนบ่ายเลย.แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำแบบนี้ก็ไม่แน่ ไม่มีใครอยากเสี่ยงกับกลุ่มผู้ติดเชื้อเวอร์ชั่นกลางคืนหรอก หัวหน้าหน่วยก็เลยพยายามย้ำนักย้ำหนาว่าให้ทุกคนเร่งฝีเท้าต้องไปให้ถึงวิลเลจก่อนตะวันตกดินให้ได้ ภาษากายดูจริงจังน่าเกรงขาม แต่ใครเล่าจะรู้ว่าในใจลึก ๆ นั้นหัวหน้าเป็นห่วงเจนิสมากขนาดไหน."โถ่.. เจนิสเอ๊ย! อุตส่าห์บอกแล้วว่าให้รักษาแนวด้านหลังเอาไว้ ทำไมถึงทำอะไรโดยพลการนะ""นี่เธอคิดจริง ๆ เหรอว่าตัวเองเก่งพอจะอาสาไปช่วยเหล
ทิ้งกระเป๋าเป้ปลดสัมภาระที่คิดว่าจะเป็นภาระในภายภาคหน้าไว้ที่พื้น เจนิสทำตามอย่างว่าง่าย เธอไม่มีแม้แต่อารมณ์ขี้งอนหรืองี่เง่าใด ๆ ด้วยเพราะรู้สถานการณ์ดี สิ่งที่ติดตัวมาจึงมีแค่ปืนหน้าไม้กับซองใส่ลูกดอก ในทิศหกนาฬิกาด้านตรงกันข้าม ร่างบางเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยการคลานศอก เธอกดตัวให้ต่ำกระดืบ ๆ คืบคลานไปอยู่ในแนวด้านหลังสุดตามที่รุ่นพี่ออกคำสั่ง."เข้าใจแล้วค่ะ.. ไว้ใจหนูได้เลยหนูจะระวังหลังให้เอง ถ้าเจอผู้รอดชีวิตบอกให้ตามมาทางนี้ได้เลยนะคะ!"แม้แต่ซุ่มเสียงก็ดุดันจริงจังขึ้น ตอกย้ำว่าเธอไม่ได้มาเล่น ๆ.ด้วยความสัตย์จริงว่าการบู้นั้นไม่ใช่สไตล์ของเจนิสมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอเป็นนักรบสายซับพอร์ตไม่ใช่ตัวแทงค์ และถ้านับสถิติการฆ่าผู้ติดเชื้อแล้วล่ะก็ในแคลนก็คงจะเป็นเธอนี่แหละที่ตัวเลขอยู่ในลำดับต่ำสุด กลับกันแต่ถ้าหากเป็นการหนีเพื่อเอาตัวรอดแล้วล่ะก็ เจนิสก็จะพลิกสถิติกลับขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งวงการได้เลย.จากคลานเริ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นกระหยิ่มย่อง มือเรียวเกี่ยวตะขอขึ้นสายหน้าไม้เตรียมไว้ พลันกระโดดยิงหนึ่งดอกออกไปเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจน."ฟิ้ววว!"."ปั๊ก!"."หัว" เหมือนกันแต่เป็น "หัวเ