วันอาทิตย์แห่งชาติ...หลังจากได้คีย์การ์ดมาก็วิ่งหน้าตั้งไปอาบน้ำที่ห้องจากนั้นก็ลงไปรับคุณนายแม่ขึ้นมากินข้าว นี่คือกิจกรรมประจำสัปดาห์ ซึ่งวันนี้แม่ดูไม่ค่อยเอนจอย อย่างที่เคย
“แม่เป็นอะไร”
“เป็นคนสวย”
ฉันกลอกตา…ก็แน่ล่ะ ฉันได้ DNA ความมั่นหน้ามาจากใครได้อีก ถ้าไม่ใช่จากคนตรงหน้าเนี่ย
“กิ๊กทิ้ง?”
“ยัง”
“ยังไม่ได้ทิ้ง?” ฉันเลิกคิ้วถาม
“ยังไม่ได้คบ”
ฉันหลุดหัวเราะเบา ๆ ...“โถ...ได้แค่คนคุยเหรอ ไม่ได้คบ สงสาร...นี่แม่หรือว่าเสน่ห์ช่วงนี้ตกไป ควรไปบริหารเสน่ห์หน่อยไหม”
เราแกล้งหยอกกันแบบนี้เป็นปกติ แม่ก็หัวเราะ แห้ง ๆ พลางส่ายหัวไปมา ก่อนจะหันมามองฉันด้วยสายตาห่วงใยที่คุ้นเคย
ฉันอมยิ้มให้แม่ ที่จริงเราหยอกล้อเล่นกันแบบนี้ บ่อย ๆ แม่ก็ไม่ได้มีใครจีบจริงจังนักหรอก แค่ฉันหาบทสนทนามาให้บรรยากาศมันสนุกขึ้น
“มีปัญหาอะไรก็บอกนะแม่”
“ลูกสาวขายไม่ค่อยออก”
...จุก!
โอเคแม่ เรื่องนี้ฉันขอยอมแพ้ ไม่ตอบ ไม่แซวต่อ ปิดประเด็นด่วน
เป็นคนสวยพอทน บอกลูกสาวขายไม่ออกพอเลย เรื่องนี้ฉันจะไม่พูดถึงมันอีก สุดท้ายฉันก็เดินไปส่งแม่ตอนสี่โมงเย็นพร้อมกับสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า
ก่อนจะขึ้นปีสองต้องหาลูกเขยให้แม่ให้ได้
“คืนนี้จะไป Midnight นะแม่ ลูกสาวแม่ต้องได้ผู้ อยากโดนกดจนมิดไมล์”
ฉันขยิบตาบอกแม่ทั้งรายงานให้รู้ด้วยว่าคืนนี้ฉันมีนัดกับเพื่อนสาวสองคนคือ ลูกฟูกกับจูเน่ ซึ่งต่อให้เป็นวันอาทิตย์ หากวันจันทร์เรามีเรียนเย็นปาร์ตี้ดึกแค่ไหนก็ไหว
“ดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ”
“มันแน่นอนอยู่แล้ว” ฉันเชิดหน้ากอดอกบอกให้แม่รู้ว่าระดับนี้ดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องให้แม่เป็นห่วง
“แล้วเลิกจีบเฮียปัณณ์อะไรนั่นแล้วหรือไง”
“ใจทมิฬหินสามชาติ...จีบยาก เลยต้องไปบริหารเสน่ห์กันหน่อย เผื่อเขาจะหวง ๆ พริกบ้าง”
แม่ฉันส่ายหน้า อันที่จริงแม่ไม่ได้เห็นด้วยตั้งแต่แรกที่ฉันจีบเฮียปัณณ์หรอก แต่แม่คงเบื่อจะห้ามเลยปล่อยไป เพราะรู้ว่าฐานะของเราไม่เหมาะสมกันเท่าไร คนรวยก็ต้องแต่งกับคนรวยเป็นธรรมดา อันนี้ฉันรู้
ทำไงได้ฉันชอบนี่นา
@Midnight บาร์เปิดใหม่สไตล์นั่งชิลล์นิด ๆ ตอนหัวค่ำ แต่พอดึก ๆ แล้วล่ะก็เปิดเพลงเต้นมันอยู่นะ
ฉันกับลูกฟูกและจูเน่แต่งตัวแซ่บเล็ก ๆ มานั่งชิลล์ โต๊ะไม่ใช่วีไอพีหรอก แต่ก็ใกล้พอจะมองเห็นคนบนชั้นสองได้ชัด ๆ
เครื่องดื่มฉันสั่งแอลกอฮอล์น้อย ๆ ไม่อยากเมาหนัก แค่อยากให้มันช่วยชะล้างความเหนื่อยที่กดคาในอก ส่วนสองสาวก็เล่นโทรศัพท์ไปพลาง ระหว่างดีลกับผู้ชาย ฉันมองดีเจไป…แล้วหัวใจแทบหล่นมันคล้ายกับคนที่ฉันไม่อยากเจอยังไงไม่รู้
แต่เพื่อความชัวร์ถามเพื่อนดีกว่า
“จูเน่...มึงว่าดีเจหน้าคุ้น ๆ ปะมึง” จูเน่เงยหน้าขึ้นจากมือถือ จากนั้นมองไปยังดีเจที่เปิดเพลง คล้ายกับเป็นเด็กมหาวิทยาลัยเรานะ
“รุ่นพี่ดาววิทยาปีสี่ เด็กเก่าพี่ปัณณ์ผัวทิพย์มึงไง”
ฉิบหาย...เชื่อล่ะว่าโลกกลมจริง ๆ...
“พี่เขาเป็นดีเจเหรอวะ โคตรเก่ง” ลูกฟูกแทรก แต่สายตาฉันไม่ได้มองดีเจแล้ว เพราะที่ชั้นสองโต๊ะวีไอพี…ฉันเห็นแก้วที่ยกขึ้นโดยคนคุ้นตา เฮียปัณณ์
ใจฉันชะงักเหมือนโดนเหล็กแหลมร้อน ๆ จี้…แถมสายตาเขายังมองไปที่ดีเจคนนั้นไม่วางตา จูเน่พึมพำต่อ “ชัดเลย…ยังคบกันอยู่วะ”
ฉันยิ้มทั้งที่ใจมันโคตรห่อเหี่ยว สามวันที่จีบ…มันไร้ค่าเหรอวะ
“เชี่ยเอ้ย...น” ฉันบ่นพลางถอนหายใจ นี่ยังไม่ถึง 21 วันด้วยซ้ำ
เป็นท้อ!!!
“เขาอาจไม่ได้คิดอะไรกันแล้วก็ได้” ลูกฟูกปลอบ แต่ภาพที่เห็นมันตบหน้าฉันดัง เพี๊ยะ! ราวกับให้ฉันตื่นจากฝัน
คืนนี้ที่อยากสนุก…มันพังแล้ว ฉันลุกบอกเพื่อน “กลับเหอะกูไม่ไหว”
“น้องพริก...มาด้วยเหรอ” นั่นเสียงพี่ปั้น
ตอนเดินผ่านโต๊ะนั้นแม้คนละชั้นแต่ก็มองชัดเต็มสองตา เขามองฉัน…สายตาเฉยชาเหมือนทุกครั้งที่ทำให้ฉันเจ็บ แต่ฉันพยายามฝืนยิ้ม พูดกับพี่ปั้นที่ทัก
“ค่ะ...แต่จะกลับแล้ว”
“อ้าวกลับเร็ว เพิ่งสี่ทุ่มเอง”
“นอยค่ะพี่ปั้น ฝากสวัสดีพี่รินด้วยนะคะ” ฉันยกมือไหว้อย่างมีมารยาท เดินออกมาเหมือนหัวใจถูกบีบแรงจนเจ็บไปทั้งอก
และตลอดทางก็คิดอยู่เรื่องเดียว พี่เขาไม่โสดนั่นเองถึงว่าไม่เปิดใจให้ฉันสักนิด หรือว่าพับทฤษฎี 21 วันออกไป แล้วทำใจง่ายกว่าวะ
เช้าวันรุ่งขึ้นฉันไม่ได้ลงมาช่วยแม่ขายข้าวแกงเหมือนเคย แต่นอนอยู่บนเตียงราวกับวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว และโทรบอกพี่หยี่แล้วว่าวันนี้อกหักขอพักใจ มันอ่อนล้าจนไม่มีแรง
“พริกมึงยอมแพ้แล้วเหรอ” จูเน่เห็นสภาพฉันคงรับไม่ได้
“อืม...บางทีกูก็ต้องยอมรับความจริง มึงว่าไหม”
เพื่อนฉันพยักหน้าเห็นด้วย ทั้งที่ฉันอยากให้มันบอกให้ฉันลุกขึ้นสู้ก็เถอะ
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” จูเน่ที่ปลอบเหมือนไม่ได้ปลอบ แต่เอาเหอะฉันทำใจละ ขอเลียแผลใจไม่เอาหน้าไปเสนอหน้ากับเฮียปัณณ์สักหลาย ๆ วันแล้วกัน
เดี๋ยวสรรพนามต้องเปลี่ยนละ จากเฮียเป็นพี่จะได้เหมือน ๆ คนทั่วไปปกติแบบไม่ได้พิเศษอะไรมาก เรียกว่าลดสถานะความสัมพันธ์
ฉันถูกเฮียขโมยไปนอนบ้านข้าง ๆ บ่อย ๆ แม้ไอ้สองแฝดตัวแสบจะชอบกวนก็เถอะ แต่พวกมันก็ยอมให้เฮียพาน้องสาวของพวกมันไปได้ แม้ว่าจะยอมปล่อยแต่ละวันก็ไม่ง่าย พวกเราเอนจอยกันมากขึ้น บ้านนั้นไม่มาวุ่นวาย แม่มีความสุขมาก และกิจการของแม่ดูจะใหญ่โตไม่เบาเลยทีเดียวจากที่แม่ของเฮียช่วยโพรโมต ทั้งเลือกจัดเลี้ยงเป็นเซตปิ่นโตในงามสัมมนาบริษัท และงานต่าง ๆ ที่จัดในห้าง ส่วนเรื่องวารีมุกดาฉันไม่อยากรื้อฟื้น แต่รู้ข่าวมาว่าเลือกจะลาออกจากมหาวิทยาลัยออกไป เพราะว่าพี่ปุณณ์ไม่ยอมจบแค่ตกลงกัน หลังรู้ว่ายาที่ใช้กับเฮียอันตรายมาก ถึงขนาดล้มช้างหากเฮียเป็นอะไรไปก็ไม่อาจจะเรียกคืนกลับมาได้ ฉันเองก็ไม่ออกความคิดเห็นก็แล้วกัน ถือว่าเขาก็ได้บทเรียนจากสิ่งที่ตัวเองทำแล้ว ฉันนั่งยิ้มให้กับความวุ่นวายในบ้าน จนคิดว่าบางทีความสุขของเราไม่ได้อยู่ที่มีเงินเท่าไร แต่อยู่ที่ว่าพวกเราได้อยู่กับใครยิ่งเวลาอาหารเย็นเรียกได้ว่าเป็นอะไรที่สนุกสุด ๆ พี่รินเองก็มาช่วยแม่ทำกับข้าว ฉันที่หายดีแล้วก็ช่วยด้วย และกลับมากินอาหารอร่อยขึ้น แถมน้ำหนักเริ่มขึ้นจนแก้มป่องและหลายครั้งไอ้แฝดนรกที่ทำตัวเป็นพี่ชายหว
“เฮียพูดจริง พริกทำหน้าได้ยั่วมาก จนอยากกดให้ลึกสุดลำ” โอ๊ย เสียวทั้งท้องน้อยบอกเลย เฮียทำไมแซ่บแบบนี้ “ปะ...เปล่านะเฮีย...อย่ามาใส่ร้าย...อะ...โอ๊ย” “นี่ยั่วอยู่ อยากให้เห็นจริง ๆ” ฉันก็อยากเห็นหน้าตัวเองตอนทำหน้ายั่วเฮียเหมือนกันว่าเป็นยังไง มันเป็นไปเองโดยไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย แต่ตอนที่เฮียยั่วฉันน่ะ มันยิ่งกว่านี้อีกไม่ใช่หรือไง สองมือของเฮียปล่อยมือออกจากมือของฉันแล้วสอดเข้าไปใต้สะโพกแล้วขยำหนัก ๆ จนฉันสะดุ้ง ขณะที่ริมฝีปากอุ่นร้อนของเฮียก็ดูดที่หน้าอกอวบแล้วก็ดึงเบา ๆ ทำให้ฉันรู้สึกวาบไปทั้งอก ปลายยอดอกตอนนี้ชาหนึบเพราะฝีมืออีกคนไปแล้ว “เฮีย...พริก...พริกเสียว” “ใจเย็น ๆ ...น้ำยังออกน้อย” คำว่าน้ำยังออกน้อยทำให้ฉันนึกถึงตอนที่จีบเฮีย แรก ๆ บอกว่าน้ำหยดลงหินทุกวัน หินจะกร่อนเอง แต่ตอนนี้มันกำลังจะกลายเป็นหินหยดลงน้ำไปแล้ว แต่คิดฟุ้งซานได้ชั่วครู่ เฮียก็ดึงสติฉันกลับมาด้วยการขยำหน้าอกของฉันแรง ๆ “เฮียเจ็บอย่าบีบแรง” “หน้าอกก็ใหญ่ เมียวัวพันธุ์ดีจนเฮียอยากกินนมทุกวัน แต่ก้าง
“ร่างกายดีขึ้นมากแล้ว ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อให้หัวใจแข็งแรงนะครับ” คุณหมอเจ้าของไข้บอก พร้อมกับยิ้มให้ฉัน “ขอบคุณค่ะ” ฉันยกมือขึ้นไหว้คุณหมอเพื่อจะลากลับ “มีอะไรสงสัยอีกไหมครับ” “ผมมีครับ...แล้วสามารถทำเรื่องบนเตียงได้ไหมครับ” เฮียยยย~ “ทำได้ครับ...เรื่องนี้ก็เหมือนได้ออกกำลังกายอย่างหนึ่งนะครับ แต่อย่าหักโหม อย่านอนดึก” หมอพูดยิ้ม ๆ จนฉันรู้สึกเขินแล้ว จากนั้นเอามือบิดที่สีข้างคนหื่น “กลับได้แล้วแม่รอกินข้าวเย็น” ฉันว่าก่อนจะลุกขึ้น ใบหน้าเริ่มเห่อร้อนจนแทบควบคุมไม่ไหว ถ้ามาเจอหมออีกหนฉันคงเขินตัวแตก แต่คนหน้าด้านกว่าฉันกลับยิ้มเบิกบานใจ “รับยาแล้วกลับกัน” “เฮีย...พริกว่าจะแวะ...” “แวะคอนโดเฮียก่อน” เฮียทำเสียงเข้ม แต่ทำไมฉันรู้สึกว่ากำลังถูกหลอกไปเชือดชอบกล ยิ่งเห็นกล่องสีเงิน ๆ คุ้น ๆ คล้ายมีขายตามร้านสะดวกหรือในห้าง ที่บอกขนาด 56 ทำเอาฉันต้องหลบตาหนี ให้ตายสิ! เมื่อมาถึงคอนโดของเฮียที่ไม่ได้มานานแล้วเพราะย้ายไปอยู่บ้าน ฉันก็รู้สึกเกร็ง ๆ นิดหน่อย จากนั้นเมื่อลิฟต์เปิดออก
“งั้นวันนี้เราไปเปลี่ยนนามสกุลตอนบ่ายเลย กูประสาทแดกแน่ถ้าแม่งให้กูกลับไปอีก” ไอ้แฝดทิวเขาพูด “มาใช้นามสกุลฉันสิ...คืนนามสกุลเขาไป จะได้ไม่มายุ่งอีก น่ากลัวเหมือนกัน” พวกเราที่ยื่นหน้าไปดูที่หน้าต่างจากหลังโซฟาปรึกษาหารือกัน ส่วนแม่กับพี่หมอเมฆเดินออกไปด้านนอกเหมือนไม่กลัวอะไรเลย “นี่แฝดนรก...เขาจะทำร้ายแม่ฉันเปล่า” “ไม่น่าจะกล้านะ...จากที่รู้มา” พวกมันรู้อะไรกันมาวะ ทำไมฉันไม่รู้ บางทีก็ไม่ต้องปิดฉันก็ได้ ฉันรับได้หมดนั่นแหละ “แล้วผู้ชายคนนั้น” ฉันเลิกคิ้วถาม “ก็คนที่เรียกตัวเองว่าพ่อน่ะสิ” “กล้ามาก...ฉันไม่ค่อยอยากเจอเลย แม่จะชวนเข้าบ้านทำไมวะ” ฉันบ่นแต่สุดท้ายก็ต้องไปนั่งที่โต๊ะอาหารที่มีกับข้าวพร้อมแล้วเหลือตักข้าว ส่วนฉันให้ไอ้สองแฝดประกบ กับเฮียที่เดินมาพอดีเลยนั่งข้างฉันด้วย ฉันเอื้อมมือไปจับมือของเฮียเอาไว้ ราวกับจะหาหลักยึด “พริก...นี่คุณเมธีวัฒน์...พ่อของ...” “อ้อ...สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้ทันทีไม่ทันให้แม่แนะนำตัวจนจบ แล้วไม่สนใจทั้งลงมือกินข้าวก่อน และกระทุ้งไอ้เจ้า
เมื่อเข้าใจกันดี พวกเราก็ฉลองวันที่อยู่กันพร้อมหน้าด้วยหมูกระทะรสเด็ด ที่ฉันอยากได้สูตรแม่ไปเปิดจะตาย แต่แม่ไม่ให้เพราะมันเหนื่อย ที่สำคัญแม่ดันได้ลูกชายเพิ่ม ลูกชายที่ทำให้ฉันปวดประสาท“ไอ้แฝดนรก...นี่หมึกของฉัน”“ใครไวใครได้”ย้อนเวลากลับไปได้ไหม ฉันจะไม่ชวนไอ้แฝดเวรที่สถาปนาว่าเป็นพี่ชายของฉัน ที่ไม่ค่อยอยากรับเท่าไรกลับมาบ้าน“ฉันเป็นลูกคนเดียวก็ดีอยู่แล้ว...ใครก็ได้บอกทีนี่เรื่องล้อกันเล่น และไอ้แฝดเวรนรกนี่ไม่ใช่พี่ชายฉันนนน”เสียงโวยวายของฉันดันเรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคน นอกจากแย่งของอร่อยบนเตาหมูกระทะแล้ว พวกมันยังแย่งที่นอนฉัน แต่เรื่องนั้นมันยอมกันไม่ได้“พวกนายมาขลุกอยู่นี่ทุกวัน ได้ข่าวว่าแพทย์ต้องเรียนหนัก และอ่านหนังสือหนักไม่ใช่หรือไง พวกนายทำไมลอยไปลอยมา ทำเหมือนหมอปลามือปราบสัมภเวสีล่ะ”“อ่านทำไมพวกเราเก่ง”เออ...ยอม...ยอมแล้ว บางทีก็น้อยใจแม่ที่เอาความฉลาดยกให้พี่หมอเมฆหมด เหลือแต่ความปากดีกับสมองน้อย ๆ ไว้ให้ให้ตายเถอะ“ติดเอฟแล้วจะขำให้”“ไม่เอฟหรอก...คราวก่อนเขียนเล่น ๆ ได้คะแนนเต็มเฉย”นี่ถ้าไม่ใช่หลวงพ่อวัดไร่ขิงจะเป็นใครได้อีก ทำไมขิงข่าเก่งอย่างนี้~~~ฉันที
“แต่หนูคือข้อยกเว้น...คนที่ชอบหนูคนแรกคือไอ้ริน แล้วมันจะจัดการพี่ถ้าทำหนูร้องไห้”โหย...ได้ยินคำนี้แล้วซึ้งวะ...ทำไมมิตรภาพดี ๆ พวกนี้ฉันถึงได้เจอนะ ฉันทำบุญด้วยอะไรวะเมื่อประตูบ้านข้าง ๆ เปิดเฮียก็ผลักฉันเข้าไปแล้วก็นั่งที่โซฟา เฮียดึงฉันขึ้นนั่งตักแล้วกอดเอาไว้แน่น“เฮีย...อย่ากอด...อึดอัดหายใจไม่ออก” ฉันท้วง แต่เฮียแค่คลายอ้อมกอดแต่ไม่ยอมให้ฉันลงจากตักของเฮีย จนฉันถอนหายใจใบหน้าของเฮียฝังอยู่ตรงแผ่นหลังของฉันนิ่ง ราวกับว่ากำลังคิดว่าควรจะเริ่มยังไง ฉันจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้น“คนที่ชื่อมุกทำไมเรียกเฮียว่าปุณณ์ ทำไมไม่เรียกปัณณ์คะ” จุดนี้คือจุดที่ค้างคาใจฉันมาก ฉันอยากจะถามหลายครั้งแล้ว แต่พอมีโอกาสฉันกลับไม่กล้าถามคราวนี้คงถึงเวลา“พี่มันเหี้ยเอง”“อื้อ...อันนี้พริกก็รู้”“หนู!!!”อ้าว ไม่ใช่เหรอ...ก็เฮียเป็นคนแบบนั้นนี่ เพื่อนก็ด่าอยู่ทุกวันไม่ใช่หรือไง“เฮียใช้ชื่อไอ้ปุณณ์ไปจีบเขา แต่ว่าตอนนั้นดันตกหลุมรักจริง ๆ เข้า แต่สุดท้ายเราต่างก็เลิกกัน”ฉันถอนหายใจดูก็รู้ว่าเฮียตั้งใจข้ามดีเทลเล็ก ๆ น้อยๆไป“ขอรายละเอียดมีเวลาสองชั่วโมง”“ครับ...ได้ครับ”แล้วเฮียก็เล่าตั้งแต่เจอกันยังไ