ครืดดด ครืดดดดด ~
"อื้ออ น่ารำคาญ!" ฉันสบถออกมาเสียงดังพร้อมกับควานหาหมอนหนุนด้านข้างมาอุดหูไว้ ขณะที่ดวงตาก็ปิดสนิทไม่ยอมตื่นมารับสายที่กำลังกระหน่ำโทรเข้าเป็นมารรบกวนเวลานอนอันมีค่าในวันหยุดของฉัน
ครืดดดด ~
เสียงสั่นเครือดังขึ้นเป็นครั้งที่สองสามตามมาติดๆ ให้ตายเถอะ…จะให้ฉันตื่นให้ได้เลยใช่ไหม!?
ความหงุดหงิดรำคาญทำให้ฉันเอื้อมไปควานหาเสียงเจ้าปัญหาเพื่อต้องการรับสาย เมื่อโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูเข้ามาอยู่ในมือฉันก็รีบเลื่อนกดรับโดยที่ไม่ได้สนใจจะมองว่าปลายสายที่โทรเข้ามานั้นเป็นใคร
"มีอะไร!" ฉันกรอกเสียงห้วนๆ ปนหงุดหงิดอย่างไม่พอใจใส่ปลายสาย มือบางก็คว้าผ้าห่มมาคุมโปงเพื่อนอนต้องการที่จะนอนต่อหลังจากที่คุยธุระเสร็จ
(ยังไม่ตื่นอีกเหรอ…ลิลิน)
ทันทีที่ได้ยินเสียงปลายสายตอบกลับมา ร่างกายฉันก็รีบดีดตัวเองขึ้นมานั่งแล้วเปิดเปลือกตาขึ้นเปลี่ยนเป็นคนละคน มือบางเลื่อนโทรศัพท์ที่กำลังแนบหูออกมาดู ก่อนที่จะเบิกตากว้างกับรายชื่อของคนที่โชว์หราบนหน้าจอโทรศัพท์ แล้วรีบนำกลับมาแนบหูอีกครั้ง
"เอ่อคือ…คือ…นะ หนูปวดหัวนิดหน่อยค่ะปาป๊า" ใช่แล้ว…คนที่โทรเข้ามาเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของฉันเอง ฉันรีบหาเหตุผลที่พอจะเป็นไปได้ บีบเสียงแล้วไอ 'แค่ก แค่ก' เพื่อให้สมจริงมากที่สุด ปาป๊าสิงห์หรือไลอ้อน ตำนานความดุโหดที่ทำให้คนอย่างฉันหายง่วงได้ในพริบตาเดียว
(ปวดหัวหรือตื่นสาย) พ่อยังไงก็คือพ่อ รู้ทันฉันทุกอย่างเสียจริง แต่คนอย่างลิลินไม่ยอมง่ายๆ หรอก ยังไงซะฉันก็ต้องเนียนโกหกเพื่อไม่ให้พ่อดุฉันได้แน่
"หนูปวดหัวจริงๆ ค่ะ เมื่อคืนทานยาไป ฤทธิ์ยาคงทำให้ตื่นสายค่ะ"
(เอาล่ะๆ ถึงจะเป็นวันหยุดแต่วันนี้เรามีงาน ไปทำงานได้หรือเปล่า วันนี้มีประชุมบอร์ดบริหาร ลูกไหวใช่ไหม?) เห็นไหมฉันบอกแล้วยังไงลิลินก็รอด ไม่ยอมรับซะอย่าง ไม่มีใครรู้หรอกว่าที่ฉันตื่นสายเพราะ…เมา!
"หนูไม่ลืมค่ะ สบายมากค่ะ ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง หนูไปถึงแน่นอน"
(อืม…ขับรถดีๆ)
"หนูรักปาป๊านะ เจอกันที่ทำงานค่ะ"
ติ๊ด.
พ่อฉันน่ารักใช่ไหมล่ะ ถึงจะดุไปหน่อย แต่ก็ตามใจฉันเสียทุกอย่าง แต่ไม่ถึงกับที่สุดหรอก เพราะคนที่พ่อฉันตามใจและหวงมากที่สุดคือหม่ามี้ต่างหากล่ะ รายนั้นรักเมียยิ่งกว่าอะไรเลย…
หลังจากนินทาพ่อบังเกิดเกล้าเสร็จฉันก็รีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อให้ทันเวลาหนึ่งชั่วโมงที่เคลมไว้ วันนี้แต่งเบาๆ ไปทำงานด้วยชุดเดรสสีดำรัดรูปตามด้วยบอดี้สูทที่สวมทับ แต่งหน้าเบาๆ ก็รีบคว้ากุญแจรถมินิคู่ใจของตัวเองมาไว้ในมือ
ฉันเดินผิวปากอารมณ์ดีกดลิฟต์ลงชั้นล่างแม้จะมีอาการแฮงค์อยู่บ้าง แต่ก็ต้องคว่ำปากแล้วกรอกตาใส่ชายชุดดำสองคนที่กำลังยืนรอที่ล็อบบี้ล่างคอนโด
"วันนี้ฉันอยากขับรถไปเอง พี่ๆ ขับรถตามไปแล้วกันนะคะ"
"ครับคุณหนู" ชายชุดดำที่ว่าคือบอดี้การ์ดที่ปาป๊าส่งมาคุ้มกันฉัน ทันทีที่ฉันยื่นข้อเสนอว่าอยากออกมาอยู่คอนโด ปาป๊าที่แสนหวงลูกสาวคนเดียวแบบฉันก็ยื่นข้อเสนอว่าต้องมีการ์ดมาตามดูแล และคอนโดที่อยู่ก็ต้องเป็นคอนโดของที่บ้านเท่านั้น ฉันที่ปฏิเสธอยู่หลายครั้งแต่ปาป๊าก็ยื่นคำขาดว่าถ้าไม่อยากมีการ์ดก็ต้องอยู่บ้านกับท่านดังเดิม
สุดท้ายฉันก็ต่อต้านอะไรท่านไม่ได้ จำเป็นต้องมีบอดี้การ์ดคอยตามต้อยๆ ไปทุกที่ ถึงแม้ว่าฉันจะไปแค่บริษัทตัวเองก็ตาม
พี่การ์ดหนึ่งคนเปิดประตูรถฝั่งคนขับให้ฉัน ส่วนอีกคนก็วิ่งไปเอารถเพื่อที่จะขับตามฉัน ยืนรอให้ฉันเข้าไปนั่งแล้วขับออกไป เขาสองคนถึงจะขับตามฉันมา
"ขอบคุณค่ะ" ฉันเอ่ยพูดกับพี่เขาแล้วลงไปนั่งในรถ พี่การ์ดก้มหัวให้ฉันแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถที่อีกคนที่ขับมารอก่อนแล้ว
ชีวิตประจำวันของฉันก็เป็นแบบนี้แหละ ฉันเห็นหน้าพี่บอดี้การ์ดสองคนนี้มากกว่าหน้าพ่อแม่และน้องชายตัวเองเสียอีก
รถมินิเริ่มขับออกไปจากหน้าคอนโดใจกลางเมือง วิ่งบนถนนเส้นหลัก ไม่นานฉันก็ขับมาถึงบริษัทยักใหญ่บริษัทหนึ่งก่อนเวลาเกือบสิบนาที
ใช่แล้วที่นี่คือบริษัทปาป๊า ฉันมีตำแหน่งรองประธานบริษัท ส่วนตำแหน่งประธานก็ยังคงคุณไลอ้อนหรือปาป๊าฉันเช่นเดิม
รถหรูเลี้ยวถอยเข้ามาจอดที่ลานจอดรถสำหรับผู้บริหาร ฉันจัดหน้าผมให้เข้าที่ดับรถเสร็จประตูก็ถูกเปิดออก จะใครอีกล่ะถ้าไม่ใช่บอดี้การ์ดที่ขับตามฉันมา ฉันแทบจะเป็นง่อยแล้วเพราะทุกอย่างพี่ชุดดำเป็นคนทำแทนหมดเลย
ถ้าป้อนข้าวให้ได้ ฉันคิดว่าพวกเขาคงจะทำให้แล้ว
"เฮ้อ…พวกพี่นี่ขยันจริงๆ เลย" ฉันถอนหายใจใส่พี่การ์ดแล้วเดินนำทั้งสองคนเข้ามาในบริษัท พนักงานที่เดินผ่านกันให้ควักพอเห็นฉันทุกคนก็พร้อมกันหยุดแล้วก้มหัวลง แรกๆ ฉันก็ไม่ค่อยชินกับความรู้สึกยิ่งใหญ่พวกนี้หรอก มีคนก้มหัวให้ตลอดทางแถมยังมีผู้ชายหน้าเข้มสองคนเดินตามประกบอีก แต่ตอนนี้ฉันเริ่มปลงแล้วล่ะ ฉันเริ่มปลงกับวิถีลูกมาเฟียแบบนี้แล้ว
"สวัสดีตอนเช้าค่ะคุณลิลิน" ทันทีที่ฉันเดินมาถึงหน้าห้องรองประธาน เลขาสาวที่อยู่หน้าห้องก็รีบลุกขึ้นแล้วก้มหัวทักทาย พี่การ์ดสองคนสลายตัวคนละฝั่ง ยืนเป็นหุ่นปั้นหน้าห้องทำงานของฉัน ส่วนฉันก็พยักหน้าใส่เลขาแล้วรีบเดินเข้าไปในห้องทันที
"อ๋อ…ลินขออะไรร้อนๆ มาเสิร์ฟหน่อยนะคะ เอาเข้ามาพร้อมกับตอนที่เข้ามารายงานก็ได้" ฉันหมุนตัวกลับมาบอกเลขาสาว พอพูดจบเธอพยักหน้าเข้าใจแล้วรีบเดินออกไปชงให้ทันที
ฉันรีบสับเท้าเดินเข้ามาในห้องทำงาน ก่อนที่จะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้แล้วนวดขมับเพื่อคลายอาการแฮงค์ เมื่อคืนไม่น่ารับปากไปดวลเหล้ากับอีเจ๊เลย ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ต้องเข้าประชุมบอร์ดด้วยอาการมึนๆ งงๆ แบบนี้น่ะสิ
"ชาร้อนๆ แก้เมาแฮงค์ค่ะคุณลิน"
"ขอบคุณค่ะพี่ตาล รู้ใจลินจริงๆ" พี่ตาลคือชื่อของเลขาฉัน เราเข้ามาทำงานที่นี่พร้อมกัน เรียนรู้งานพร้อมกันทำให้ฉันสนิทและไว้ใจพี่ตาลมากกว่าใคร
"พี่จะพยายามแจงรายงานให้กระชับนะคะ คุณลินจะได้ไม่ต้องจำเยอะ"
"ตามนั้นเลยค่ะพี่ตาล เอาแค่ป๊าไม่ดุลินก็พอค่ะ"
"ได้ค่ะคุณลิน" ฉันยกชามาดื่มพร้อมกับนั่งฟังรายงานที่พี่ตาลกำลังพูดถึงเรื่องที่จะประชุมบอร์ดในวันนี้ พยายามตั้งสติแล้วฟังพี่ตาลทุกคำไม่ให้ขาดตกเพื่อไม่ให้โดนปาป๊าดุ จนเวลาผ่านไปสิบนาทีข้อมูลในรางานทั้งหมดก็เข้ามาฝังในหัวฉันเป็นที่เรียบร้อย
"คุณลินไม่เข้าใจตรงไหนถามตาลได้เลยนะคะ"
"เรื่องหลักๆ ของวันนี้ก็คือบริษัทมีโปรเจ็คใหญ่ที่ต้องทำ ซึ่งคนรับผิดชอบคือลินใช่ไหมคะ"
"ใช่ค่ะคุณลิน"
"ขอบคุณค่ะพี่ตาล"
"ยังมีอีกเรื่องในรายงานเมื่อกี้นะคะ"
"แฮะ…น่าจะจำไม่หมด พี่ตาลทวนอีกรอบได้ไหมคะ?"
"อีกเรื่องคือวันนี้มีบอร์ดบริหารคนใหม่ค่ะ ดีกรีนักลงทุนทั่วโลก มีอสังหาริมทรัพย์ในไทยนับไม่ถ้วน รวมไปถึงในเอเชีย แถมยังมีคนแย่งตัวเยอะมากๆ ค่ะ"
"เก่งขนาดนั้น ทำไมถึงมาเป็นแค่บอร์ดบริหารให้บริษัทเราล่ะคะ"
"ไม่ได้ระบุไว้ในข้อมูล แต่เห็นว่าคนนี้ท่านประธานรับรองด้วยตัวเองค่ะ"
"ถ้าประธานรับรองเอง ก็คงไม่ธรรมดาจริงๆ นั้นแหละค่ะ"
"ฟิลิปส์มานอนได้แล้วครับ""ค้าบ~" เด็กชายตัวน้อยรีบวิ่งขึ้นมานอนบนเตียงกว้างหลังจากที่ฉันเอ่ยเรียก ฟิลิปส์นอนแยกห้องกับฉันตั้งแต่สองขวบ เมื่อฉันพาเข้านอนเสร็จก็จะกลับห้องตัวเอง ซึ่งเป็นแบบนั้นทุกวันจนเขาชินไปแล้ว"วันนี้ให้หม่ามี้อ่านเรื่องไหนดีคะ?" กิจกรรมก่อนนอนของเขาคือการให้ฉันอ่านนิทานให้ฟัง เพื่อกล่อมให้เขานอนเร็ว อีกอย่างก็เป็นการเสริมพัฒนาการของเขาในตัวด้วย"ผมอยากให้ปาป๊าอ่าน" เด็กน้อยเงยหน้ามองฉันพร้อมกับสีหน้าออดอ้อน"วันนี้ปาป๊ายังทำงานไม่เสร็จเลย ให้หม่ามี้เล่าให้ฟังเนอะ""ก็ได้ครับ" ใบหน้าเล็กเศร้าลงเมื่อไม่ได้ดั่งใจ แต่ก็ยอมฉันแต่โดยดีจนกระทั่ง…แอด ~"ปาป๊า~" บานประตูห้องนอนของลูกถูกเปิดออกพร้อมกับสามีของฉันที่เดินเข้ามาในชุดนอนพร้อม วันนี้เขาบอกว่าจะอยู่ปั่นงานจนถึงดึก ฉันก็นึกว่าเขาจะจมอยู่กับกองงานจนรอเจออีกทีก็พรุ่งนี้เสียแล้ว"ทำไมยังไม่นอนหื้ม…" ร่างสูงล้มตัวนอนอีกฝั่งของลูกชาย มือหนาก่ายขึ้นมาโอบฉันไว้โดยที่มีฟิลิปส์นอนอยู่ตรงกลาง"ปาป๊าเล่านิทานได้ไหมครับ?" เด็กชายรีบออดอ้อนอีกครั้ง"อยากให้ป๊าเล่าให้ฟังเหรอ?""ผมอยากฟังเรื่องนี้" ฟิลิปส์หยิบหนังสือนิทานโดยไม่
สามปีผ่านไป"ไปไหนกันมาคะ ทำไมถึงเหงื่อซกกันทั้งสองคนแบบนี้" ฉันปรายตาไปมองสองพ่อลูกที่จับมือกันเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดเต็มกรอบหน้า วันนี้หายออกจากบ้านไปทั้งพ่อลูกเกือบค่อนวัน ฉันให้การ์ดตามหาก็หากันไม่เจอ ไม่รู้ว่าไปเล่นซนกันที่ไหน ปิดเรื่องเงียบทั้งพ่อทั้งลูก"ฟิลิปส์…ป๊าพาไปอาบน้ำ" พี่ฟีนิกซ์ทำเมินคำถามของฉัน ก้มลงไปอุ้มเจ้าลูกชายแสนซนหมายจะเดินผ่านหน้าฉันขึ้นไปชั้นสอง"พี่ฟีนิกซ์พาลูกไปทำอะไรแปลกๆ หรือเปล่าคะ?" เชื่อใจไม่ได้หรอก พี่ฟีนิกซ์ตามใจลูกเสียทุกอย่าง ไม่ว่าฟิลิปส์จะขออะไรก็ทำให้ได้หมด ตามใจจนลูกถามหาแต่เขาอยู่คนเดียว"เปล่า แค่ไปวิ่งเล่นกัน" เรียวปากหนาเอ่ยตอบ แต่ท่าทางดูมีพิรุธฉันว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ"ฟิลิปส์ บอกหม่ามี้มาค่ะว่าไปทำอะไรกันมา" ในเมื่อถามหาเรื่องจากฝั่งพ่อไม่ได้ก็มาเค้นลูกชายแทน เด็กโกหกไม่เป็นอยู่แล้ว"ป๊าพาไปวิ่งเล่นครับ" ฟิลิปส์รีบตอบทันที ขณะที่ฉันกำลังจดจ้องเพื่อเค้นความจริง พี่ฟีนิกซ์ก็รีบอุ้มลูกเดินหนีฉันไปเฉยเลย"อย่าให้รู้ว่าไปแอบเล่นอะไรพิเรนทร์มานะคะ" ฉันตะโกนไล่หลังสองพ่อลูก ตอนนี้เหมือนมีลูกสองคนเพราะพี่ฟีนิกซ์เหมือ
"หนูโอเคขึ้นแล้วจริงๆ ค่ะ" ร่างสูงยังคงจับมือฉันไม่ห่าง หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาที่แสนลำบากไปได้ตอนนี้ฉันอยู่ในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลแล้ว ทั้งฉันและพี่ฟีนิกซ์เราเพิ่งออกจากห้องคลอดมาด้วยกัน เจ้าฟิลิปส์ได้ออกมาลืมตาดูโลกแล้ว ตัวกลมแก้มแดงเชียว จมูกนิดตาโตเหมือนที่ฉันคิดไว้ว่าต้องเหมือนพ่อของเขาไม่มีผิด และดูเหมือนเจ้าตัวก็ภูมิใจมาก ตลอดการคลอดของฉันมีเขาคอยจับมือเป็นกำลังใจอยู่ตลอด น้ำตาแห่งความสุขของคนเป็นพ่อไหลลงอีกครั้งเมื่อเห็นหน้าลูก คนไม่เคยเห็นหน้าทั้งสองคนในที่สุดก็ได้เจอกันสักที วันนี้เขาไม่ต้องคุยกันผ่านหน้าท้องของฉันอีกต่อไป เขาจะได้สัมผัสตัวเป็นๆ อย่างที่เขารอมาเนิ่นนานแล้ว"เจ็บตรงไหนบอกฉันนะ" หลังจากที่ออกจากห้องคลอดพี่ฟีนิกซ์ก็ยังดูแลไม่ห่าง มีสลับไปดูลูกในตู้ของโรงพยาบาลบ้าง แต่เมื่อมีคนบอกว่าฉันตื่นแล้วก็รีบกลับมาหาอย่างไวเลยผลออกมาอย่างที่เห็น เขาดูสงสารฉันตลอดเวลา ไม่ยอมเดินออกไปไหนเฝ้าฉันตลอดเวลา ถึงจะมีครอบครัวของฉันคอยอยู่เป็นเพื่อนแล้วก็ตาม"หม่ามี้อยากเห็นหน้าหลานเต็มทีแล้ว" คนอื่นๆ ยังไม่ได้เห็นกันชัดๆ เลย เพราะทางโรงพยาบาลต้องกักตัวลูกไว้ก่อน จึงพากันตื่นเต้นไ
แปดเดือนผ่านไป ~"วันนี้รู้สึกยังไงบ้างลิลิน เจ็บเท้าบ้างหรือเปล่า?" เสียงหวานของคนเป็นแม่เอ่ยถามขึ้นขณะที่ลงมานั่ง ช่วงนี้ฉันอยู่ในช่วงใกล้คลอด อีกไม่กี่สัปดาห์ก็ใกล้กำหนดคลอดที่คุณหมอตั้งไว้แล้ว ระหว่างนี้ก็ถูกพักการทำงานไปก่อน ช่วงว่างๆ ฉันจึงมาอยู่ที่บ้านของตัวเอง โดยที่มีพี่ฟีนิกซ์มาส่งก่อนไปทำงานและมารับหลังเลิกงานทุกวันเพราะเป็นห่วงกลัวว่าฉันจะเหงาอยู่คนเดียว แถมที่นี่คนยังเยอะกว่าบ้านของพี่ฟีนิกซ์อีก มีหม่ามี้อยู่ด้วยฉันจึงเห็นด้วยที่จะไปๆ มาๆ บ้านของตัวเอง และทุกคนก็ลงความคิดเห็นเหมือนกันหมด"นิดหน่อยค่ะหม่ามี้" ช่วงนี้เท้าฉันเริ่มบวมขึ้น ทำให้เดินแล้วเกิดอาการตึงจึงมักจะเจ็บแปล๊บอยู่บ่อยๆ แต่มันก็ไม่ได้มาก อยู่ในช่วงที่อดทนได้"อดทนหน่อยนะ อีกไม่กี่วันก็จะคลอดแล้ว""ตั้งแต่มีเจ้าตัวน้อยหนูรักหม่ามี้ขึ้นเยอะกว่าเดิมเลย" ความรู้สึกของคนเป็นแม่เป็นแบบนี้นี่เอง ต้องใช้ความพยายามสูงมากที่จะดูแลคนๆ หนึ่งให้เติบโตจนเขาสามารถดูแลตัวเองได้ ฉันเพิ่งอยู่ระหว่างทางเอง กว่าจะโตจนแต่งงานออกเรือนได้คงต้องเหนื่อยอีกเยอะเลย"เหนื่อยแต่ก็มีความสุข เดี๋ยวหนูก็จะได้สัมผัสกับคำนั้น""ขนาดเขายัง
"ในที่สุดเราก็เจอกันอีกจนได้น้า~" ฉันยิ้มรับพร้อมกับเอ่ยออกมาเบาๆ ทันทีที่เรียวขายาวได้แตะกับน้ำทะเลสีใสบนเกาะส่วนตัวของพี่ฟีนิกซ์ที่เคยมาในครั้งก่อน มันยังคงสวยเหมือนเดิมแม้กาลเวลาจะผ่านไป ถึงอะไรๆ จะเปลี่ยนแปลงไปแต่ธรรมชาติที่นี่ก็ยังคงสง่างาม ร่มรื่นอยู่เหมือนเดิม"รีบไปกันเถอะ" ขณะที่คุณชายฟินซ์ทำการผูกเรือเสร็จสรรพเราก็จับมือกันเพื่อเดินไปยังบ้านหลังใหญ่ ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาถึงต้องทำเองทุกอย่าง เป็นเพราะครั้งนี้การมาเที่ยวทะเลมีเพียงแค่เราสองคนตามสัญญาแต่สิ่งที่เพิ่มเติมคือเจ้าก้อนเลือดในท้องอีกหนึ่งชีวิตที่คนนี้ฉันไม่สามารถห้ามตามมาขัดจังหวะสวีทหวานของเราได้จริงๆ มันอยู่นอกแผนไปหน่อย แต่ฉันก็ยินดีกับการมาของเขามากๆ เลยฉันและเขาเดินจับมือกันเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ มันสะอาดตาอยู่ตลอดเวลา แม้จะไม่มีใครอยู่ระหว่างนั้นก็ตาม"ทำไมมันถึงไม่มีฝุ่นเลยล่ะคะ?" แต่ก็น่าแปลกใจนะ มันต้องเก่าลงบ้างแหละ แต่ตอนนี้มันช่างดูสะอาดไปหมด สะอาดจนน่าแปลกใจ"ที่นี่ไม่ได้มีแค่บ้านนี้ แต่ยังมีอีกบ้านที่ฉันจ้างมาเป็นแม่บ้านของที่นี่""อ๋อ แล้วทำไมหนูไม่เคยเห็นเลยล่ะคะ?""เพราะเธออยากได้ความเป็นส่วนตัว ให
"อุแหวะ ~" ฉันโก่งคออ้วกอยู่ในห้องน้ำของบริษัทโดยที่มีเลขาสาวอย่างพี่ตาลคอยลูบหลังให้ วันนี้ฉันใช้เวลาในห้องน้ำมากกว่าการนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะเสียอีก เหตุผลคงไม่ต้องถาม ฉันและพี่ฟีนิกซ์แต่งงานกันมาแล้วสามเดือน และเราตกลงกันว่าอยากมีฟีนิกซ์น้อยมาวิ่งเล่นในบ้านหลังใหญ่เร็วๆ ซึ่งวันนี้ก็มาถึง วันที่ฉันกำลังแพ้ท้องลูกของฉันและเขาโดยที่เขายังไม่รู้ตัว"คุณลินไหวไหมคะ?" พี่ตาลช่วยพยุงร่างที่ไร้เรี่ยวแรงเดินออกจากห้องน้ำ เรียวปากบางซีดเผือกค่อยๆ นั่งลงบนโซฟาพร้อมกับหยิบยาขึ้นมาดมแก้วิงเวียนและอาการคลื่นไส้"มึนๆ นิดหน่อยค่ะพี่ตาล""คุณลินควรจะพักผ่อนที่บ้านนะคะ""พี่ตาลรู้ด้วยเหรอคะ?" ฉันเก็บความลับนี้เงียบมาคนเดียวหลังจากที่รู้ว่าตัวเองท้องมาได้สองวัน โดยที่ยังไม่ได้บอกใครทั้งนั้นเพราะอยากให้ทุกคนเซอร์ไพรส์พร้อมกันโดยเฉพาะพ่อของลูก"ฉันก็เคยมีอาการคล้ายคุณลินเลยค่ะ คนเคยผ่านมาแล้วดูไม่ยากเลยค่ะ""ยิ่งเป็นแบบนี้ ลินยิ่งไม่อยากอยู่บ้านเลยค่ะ กลัวพี่ฟินซ์จะจับได้" ฉันตั้งใจหาเวลาที่เหมาะสมเพื่อจะบอกเขา จึงไม่อยากนอนพักที่บ้านเพื่อให้ดูน่าสงสัย อีกอย่างอาการแพ้ท้องสองวันที่ผ่านมาก็ยังไม่หนักเท่า