LOGINบทที่ 3 แค่ก้าวขาผิด ชีวิตเปลี่ยน!
ปัญทิตาเดิมดุม ๆ ออกมาจากห้องทำงาน เธอมองซ้ายแลขวาก็พบพี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่ก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง แต่เมื่อทุกคนเงยหน้ามาเห็นเธอก็ต่างก้มหน้าก้มตามากกว่าเดิม
ปัญทิตาไม่เคยรู้ว่าทำไมพวกเขาต้องทำเช่นนั้น แต่พี่น้อยบอกว่าเด็กแผนกบัญชีไม่ควรจะไปสุงสิงกับใคร เราไม่รู้ว่าใครเป็นอย่างไร เธอต้องจับเงิน แถมเป็นเงินจำนวนมาก
ในเมื่อเฮียจ้างเธอในราคาค่าจ้างที่สูงมากแล้วมันก็ต้องแลกกับอิสรภาพหรือสังคมในที่ทำงาน ปัญทิตาก็เชื่อฟังเพราะในตอนทำงานเธอกับพี่น้อยก็คุยกันนับคำได้ เพราะเราต้องมีสมาธิที่จะทำงานคิดเงิน
แล้วอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ…เฮียไม่ชอบให้เธอคบคนมั่วซั่ว แค่เด็กครัวมาส่งข้าวก็มองหน้ากันไม่ได้แล้ว
ปัญทิตาไม่เคยเล่นหูเล่นตากับผู้ชาย เรียนเสร็จก็มาทำงาน ทำงานเสร็จก็กลับบ้าน
เธออยู่แต่มหาลัยฯ บ่อน แล้วก็บ้าน ชีวิตมีแต่ยายและน้องชายเท่านั้น
หลังจากเลิกเรียนเธอก็มาทำงานดีดเครื่องคิดเลขทำบัญชี กลับบ้านก็ประมาณเที่ยงคืนของทุกวันชีวิตเธอก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ปัญทิตาไม่เคยไปนอกลู่นอกทางที่ไหน
แต่วันนี้ที่หญิงสาวแค่ก้าวขาออกประตูห้องทำงานผิดไปเพียงไม่กี่ก้าว ชีวิตเธอกลับเปลี่ยนไปตลอดกาล
“...นั่นเด็กมึงเหรอ?”
“...”
“ไปลากมาดูหน้าหน่อย!”
ปัญทิตาไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูด แต่ในตอนที่มองไปข้างหน้าด้วยดวงตาที่เบิกโพลงขึ้น เธอเพิ่งเห็นว่าด้านข้างโต๊ะสนุ๊กเกอร์ที่เกื้อกูลยืนอยู่จะมีกลุ่มคนจำนวนมากอยู่ตรงนั้น
คนพวกนี้คือใครกัน? แล้วไหนบอกบ่อนปิด!
จากห้องทำงานเธอมาถึงตรงนี้ ปัญทิตามองแค่เพียงแผ่นหลังกว้างของเกื้อกูลเท่านั้น เธอมัวแต่จะโฟกัสสิ่งที่จะพูดกับเกื้อกูลจึงไม่ได้สังเกตุสิ่งรอบตัวใด ๆ
หญิงสาวเดินลั่นล้าออกไป แต่พอพ้นกำแพงเธอก็ต้องชะงักเพราะสายตานับสิบคู่ของทุกคนล้วนมองมาที่เธอเป็นตาเดียว
เท้าเล็กนุ่มบนรองเท้าสลิปเปอร์ที่มีไว้ใส่ภายในห้องทำงานก้าวขาถอยหลังอัตโนมัติพร้อมกับหัวใจดวงน้อยร่วงหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม!
“เกื้อครับ…มีของดีของเด็ดไม่แบ่งกันเลย”
“ก็ไม่ใช่ของดีของเด็ดอะไรหรอก ข้าวปั้นกลับเข้าไปในห้อง”
แม้น้ำเสียงที่เกื้อกูลใช้จะเจือไปด้วยใจเย็นเช่นเดิม แต่แค่นั้นก็ทำให้ขนทั่วร่างกายของปัญทิตาลุกซู่
“ข้าวปั้น ชื่อน่ารักเหมือนหน้าตาเลย ไงข้าวปั้นเราอายุเท่าไหร่แล้วครับ”
ปัญทิตาหยุดยืนห่างจากเกื้อกูลประมาณสามเมตร ตอนนั้นหูของเธอดับไปแล้ว หญิงสาวเอาแต่ก้มหน้างุดไม่กล้าที่จะก้าวเท้าไปข้างหน้าหรือหมุนตัวกลับไปข้างหลังด้วยซ้ำ
“ข้าวปั้นฉันถาม…” เธอไม่รู้จะตอบอะไรผู้ชายที่ไม่รู้จักกัน ปัญทิตาจึงเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังกว้างของเกื้อกูลเแทนที่จะตอบคำถามคนที่ดูจะอายุไล่เลี่ยกับเขา
เธอกำลังภาวนาให้เกื้อกูลหันกลับมา!
“ถ้าไม่ตอบก็ไปลากมา!” ปัญทิตาเงยหน้าขึ้นตามเสียง เสียงนั้นไม่ใช่ของเกื้อกูล ไม่ใช่ของผู้ชายที่อายุไล่เลี่ยกันกับเขา แต่เป็นของชายสูงวัยที่นั่งหน้านิ่งอยู่ตรงนั้น
ตอนนี้ปัญทิตาตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวไปหมด ยิ่งเห็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ในชุดสูทขยับเท้าเดินเตรียมจะตรงมาทางนี้ หญิงสาวก็แทบจะร้องไห้ออกมา แต่เธอก็ไม่กล้าจะขยับตัวไปไหน
“...ข้าวปั้นมานี่”
เสียงเรียกของเกื้อกูลยิ่งทำให้ร่างกายของหญิงสาวเหมือนโดนแช่แข็งกว่าเดิม แต่นี่คือสิ่งที่เธอต้องการได้ยิน
ร่างเล็กก้มหน้าด้วยท่าทางแต่ก็ก้างเท้าวิ่งมาหยุดอยู่ข้างหลังเขา
“ฉันเคยบอกว่าอะไร…” เกื้อกูลก้มลงมากระซิบเสียงลอดไรฟัน ดวงตาคมเข้มสีน้ำตาลอ่อนมองเห็นเพียงปลายผมสั้นของหญิงสาวเท่านั้นเพราะเธอเอาแต่ก้มหน้างุดไม่ยอมเงย!
แต่ต่อให้จะก้มต่ำแค่ไหน คนอื่นก็เห็นกันทั่วแล้วไหมว่าปัญทิตาหน้าตาเป็นอย่างไร!
หัวใจของหญิงสาวทะลุออกจากอกหล่นร่วมไปไหนแล้วก็ไม่รู้ และเมื่อเขาเงียบเธอจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น พอเห็นเขามองอยู่ด้วยสายตาดุดันขอบตาก็ร้อนผ่าว
คำพูดคำเตือนที่เขาพร่ำบอกตลอดทุกครั้งที่เจอหน้ากันดังเข้ามาในหูราวกับกดรีเพลย์
‘ห้ามออกจากห้องนี้ถ้าฉันไม่อนุญาต’
‘ถ้าฉันรู้ฉันไล่ออกแน่ เข้าใจหรือเปล่า?’
“กูแค่ขอดูหน้าหน่อยมึงจะเป็นอะไรนักหนา” เสียงของผู้ชายสูงวัยคนนั้นก็พูดขึ้นอีกครั้ง
ปัญทิตายิ่งตัวสั่นด้วยความกลัวหนักกว่าเดิม เธอพอจะจำได้แล้ว...คนนี้เธอจำแล้วเพราะพี่น้อยเคยชี้ให้ดูในกล้องวงจรปิดของร้าน
“ก็เห็นไปแล้วไง ข้าวปั้นเข้าห้องไป” เสียงของเกื้อกูลสุภาพแต่ไม่ราบเรียบ กระแสเสียงของเขาฉายชัดว่าไม่พอใจ
ปัญทิตาถึงอยู่กับเกื้อกูลมาไม่นานเท่าไหร่ แต่เธอก็พอจับน้ำเสียงและอารมณ์ของเขาได้
ตอนนี้เฮียกำลังโกรธ…กำลังโมโห และแน่นอนว่าเขาต้องโมโหเธอแน่ ๆ
“งั้นวันนี้กูก็ไม่มีอะไรจะคุยกับมึงแล้ว” เกื้อกูลได้ยินเช่นนั้นแค่นเสียงออกมาจากลำคอ และใช้ท่อนแขนดันร่างเล็กที่อยู่ข้าง ๆ ไปด้านหลัง
“เราคุยกันจบไปแล้ว”
“บ่อนจะเปิดหรือจะปิดต่อก็อยู่ที่ว่ามึงจะเอาหน้ายัยเด็กข้าวปั้นมาให้กูดูหรือเปล่า?”
คำพูดของคนพวกนั้นทำเอาเธอกำมือแน่นก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเกื้อกูล พอได้สบแววตาที่มองมาก็รีบก้มหน้าขอบตาร้อนผ่าวทันที
เธอทำให้เฮียเดือดร้อน…
“เฮียคะ…”
“หุบปาก!”
ปัญทิตาแค่เรียกเขาก็ได้รับเป็นการตวาดเสียงดังลั่นกลับมา และก็เสียงหัวเราะของชายสูงวัยคนนั้นก็ดังขึ้นเสียดแทงใจเธอ หญิงสาวมองคนใจร้ายผ่านม่านน้ำตา
“หวัดดีเสี่ยธร…เขาเป็นผู้อุปการคุณบ่อนเรา” เกื้อกูลกัดฟันบอก
ผู้อุปการคุณนั่นเท่ากับว่าเป็นตำรวจ เป็นคนที่เกื้อกูลต้องดูแล เป็นคนที่พวกเราในบ่อนนี้ไม่สามารถขัดใจอะไรได้
ปัญทิตาพนมมือขึ้นไว้กลางอก และยกขึ้นไหว้คนที่เกื้อกูลแนะนำให้เธอรู้จัก ก่อนจะใช้หลังมือเช็ดน้ำตา
“ไหว้พระเถอะจ่ะ ข้าวปั้นเราอยู่ที่นี่มานานหรือยัง”
มือเท้าของปัญทิตาเย็นเฉียบ แต่ทันทีที่มือหนาร้อนจัดจับท่อนแขนของเธอรู้สึกปลอดภัย
หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบสายตาของทุกคน เธอกลั้นสะอื้นคิดเอาแต่โทษตัวเองว่าไม่ควรวิ่งออกมาแบบนี้ เธอทำให้เฮียเดือดร้อนมากแน่ ๆ
“เสี่ยธรเราไปคุยกันในห้องดีกว่าไหมครับ” ลูกน้องของเกื้อกูลที่ชื่อว่าสามถามขึ้น
“จะรีบทำไม นี่ก็อยากจะคุยกับข้าวปั้นก่อน…”
กำธรถามออกไป สายตาฉายชัดว่ามีเรื่องสนุก ๆ ให้ทำ
เกื้อกูลรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร เขาถอนหายใจและก้มมองคนที่ยืนตัวสั่นเป็นลูกนกอยู่ข้าง ๆ
“ผมเพิ่งส่งเด็กให้เสี่ยไปเองนะครับ” เกื้อกูลเอ่ยยิ้ม ๆ แต่มันเป็นยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา
“แต่ฉันชอบคนนี้…เอาข้าวปั้นให้ฉันได้ไหม ถ้าได้คนนี้เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับภาคให้ไม่ต้องลงกันทุกอาทิตย์” กำธรหมายถึงไม่ต้องให้ตำรวจลงบ่อนทุกอาทิตย์ ถ้าเขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการ
แรงบีบที่ข้อมือของปัญทิตาแน่นขึ้นจนเธอรู้สึกเจ็บ แต่หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะร้องออกมาเพราะสิ่งที่ได้ยินมันน่ากลัวเกินกว่านั้นมากนัก
“คนนี้ไม่ได้”
“ทำไมไม่ได้?”
“ข้าวปั้นเป็นเมียผม…”
บทที่ 3 แค่ก้าวขาผิด ชีวิตเปลี่ยน!ปัญทิตาเดิมดุม ๆ ออกมาจากห้องทำงาน เธอมองซ้ายแลขวาก็พบพี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่ก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง แต่เมื่อทุกคนเงยหน้ามาเห็นเธอก็ต่างก้มหน้าก้มตามากกว่าเดิม ปัญทิตาไม่เคยรู้ว่าทำไมพวกเขาต้องทำเช่นนั้น แต่พี่น้อยบอกว่าเด็กแผนกบัญชีไม่ควรจะไปสุงสิงกับใคร เราไม่รู้ว่าใครเป็นอย่างไร เธอต้องจับเงิน แถมเป็นเงินจำนวนมากในเมื่อเฮียจ้างเธอในราคาค่าจ้างที่สูงมากแล้วมันก็ต้องแลกกับอิสรภาพหรือสังคมในที่ทำงาน ปัญทิตาก็เชื่อฟังเพราะในตอนทำงานเธอกับพี่น้อยก็คุยกันนับคำได้ เพราะเราต้องมีสมาธิที่จะทำงานคิดเงิน แล้วอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ…เฮียไม่ชอบให้เธอคบคนมั่วซั่ว แค่เด็กครัวมาส่งข้าวก็มองหน้ากันไม่ได้แล้ว ปัญทิตาไม่เคยเล่นหูเล่นตากับผู้ชาย เรียนเสร็จก็มาทำงาน ทำงานเสร็จก็กลับบ้านเธออยู่แต่มหาลัยฯ บ่อน แล้วก็บ้าน ชีวิตมีแต่ยายและน้องชายเท่านั้นหลังจากเลิกเรียนเธอก็มาทำงานดีดเครื่องคิดเลขทำบัญชี กลับบ้านก็ประมาณเที่ยงคืนของทุกวันชีวิตเธอก็เป็นอย่างนี้มาตลอด ปัญทิตาไม่เคยไปนอกลู่นอกทางที่ไหนแต่วันนี้ที่หญิงสาวแค่ก้าวขาออกประตูห้องทำงานผิดไปเพียงไม่กี่
บทที่ 2 ชีวิตที่ก้าวเข้ามาปัจจุบันปัญทิตาเรียนมหาลัยฯ ปีหนึ่ง เธออาศัยอยู่กับยายและน้องชายหนึ่งคน ปกติเธอรับจ้างเป็นเด็กเสิร์ฟตามร้านอาหารช่วงเวลาหลังเลิกเรียน แต่ช่วงสองเดือนมานี้ยายล้มป่วยจากการลื่นล้มในห้องน้ำ และบาดเจ็บเรื้อรังทำให้เดินเหินไม่สะดวก หมอบอกว่าอาจจะกลับมาเดินไม่ได้ หากยายยังดันทุรังทำงานต่อ งานของยายคือการรับจ้างร้อยพวงมาลัยให้กับแม่ค้าในตลาด ทำงานอยู่ที่บ้านวันหนึ่งทำตั้งแต่ตีสี่ถึงเย็น ถึงสายตายายจะมองไม่เห็นก็ใช้ความเคยชินเสียบมะลิร้อยเป็นพวงได้ เงินที่ยายได้มาก็พอเอามาเป็นค่ากับข้าวในแต่ละวัน แต่พอล้มป่วยแบบนี้ปัญทิตาก็ต้องรับหน้าที่หาเงินคนเดียว เธอกับน้องต้องไปโรงเรียน น้องน่ะเรียนฟรีเพราะเป็นโรงเรียนรัฐบาล แต่ถึงฟรีอย่างไรก็มีค่าใช้จ่ายแฝงอะไรต่าง ๆ ส่วนเธอไม่ได้กู้เรียนเพราะหาคนค้ำไม่ได้ แม้เธอจะเรียนมหาลัยฯ รัฐบาลเช่นกันแต่ค่าเทอมก็ยังถือว่าสูงมาก แต่ก็ใช่ว่าจะหาไม่ได้ ก็ต้องปากกัดตีนถีบหาไป เพราะฉะนั้นตอนนี้ปัญทิตาต้องการเงินที่เยอะมากขึ้นจึงหางานใหม่ทำ เด็กเสิร์ฟตอนเย็นไม่พอแล้ว และก็เหมือนสวรรค์โปรดมีคนรู้จักแนะนำให้มาสมัครงานที่นี่ ‘บ่อนเกื้อกูล’
บทที่ 1 เริ่มต้น…“ขอบคุณเฮียเกื้อมากนะคะที่ให้ปั้นทำงานที่นี่…แล้วก็เงินนี่ด้วย” ปัญทิตามองธนบัตรสีเทาปึกหนึ่งในมือด้วยหัวใจเต้นแรง เธอไม่เคยจับเงินเยอะขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต นี่เป็นครั้งแรกและทั้งหมดก็เพราะความเมตตาของผู้ชายที่ยืนยิ้มใจดีอยู่ตรงหน้าเธอนี้“เรื่องเล็กน้อยไม่ต้องคิดมาก ข้าวปั้นมาทำงานให้เฮีย เฮียต่างหากที่ต้องขอบคุณ” เกื้อกูลยกบุหรี่ในมือขึ้นสูบก่อนจะพ่นควันสีขาวคลุ้งลอยขึ้นเหนือศีรษะของเราสองคน เขามองหญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองตรงหน้า แม้เธอจะอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนขายาวธรรมดา ใบหน้าขาวใสที่คอยแต่จะมุดหลบสายตา แต่นั่นก็ซ่อนความสวยสมวัยไว้ไม่ได้“ถ้าเฮียมีอะไรจะให้ปั้นช่วยบอกได้เลยนะคะ ปั้นเต็มใจ…ช่วยเฮียทุกอย่าง” ปัญทิตาพูดแล้วก็ก้มหน้าลงหลบซ่อนความเอียงอาย เฮียเกื้อขึ้นชื่อว่าเป็นคนน่ากลัว เป็นคนที่มีอิทธิพลแม้แต่ตำรวจแถวนี้ก็ไม่กล้ายุ่ง ตอนแรกที่เธอมาทำงานที่นี่ ใครรู้ก็มีแต่คนเตือนว่าอย่ามา อยู่ที่นี่แม้ความเป็นอยู่จะดีเพราะเงินสะพัด แต่ชีวิตก็แขวนอยู่บนเส้นด้าย เพราะไม่รู้จะเดินไปสะดุดเท้าใครตอนไหน หรือหากทำให้คนตรงหน้าไม่พอใจ อาจจะหายไปเฉย ๆ อย่างไร้ร่องร
▪️เกื้อกูล หรือ เฮียเกื้อ : พระเอกเถื่อน เจ้าของบ่อน ปากดี ขี้เง... เหงา เอาแต่ใจ ครบสูตรไม่เคยขัดจัดให้ตลอด จากเจ้าของบ่อน...สู่หมาวัด▪️ปัญทิตา หรือ ข้าวปั้น : นางเอกน่ารัก นุ่มนิ่ม เป็นนักศึกษา และเป็นพนักงานรับจ้างทำบัญชีในบ่อน จากพนักงานรับจ้าง...สู่เมียเจ้าของบ่อนนางเอกนุ่มนิ่ม เจอพระเอกตอนเข้าปีหนึ่ง พระเอกเข้ามาช่วยในช่วงชีวิตลำบากนั่นแหละพระเอกพอมันเจอเด็กได้กินแล้วดันปล่อยไม่ได้ หวง กัดหมดไม่สนหน้าไหน แง๊ง ๆ ๆ ขู่ฟอด ๆ ตลอดเวลา (แล้วบอกเลิกเมื่อไหร่ก็ได้ -__-) พระเอกมันบอกสงสารนางเอก เพราะถ้ามันทิ้งไปก็ไม่มีใครเอา และด้วยความใสซื่อ (บื้อ) ของนางเอก (อันนี้พระเอกบอกนะ) นางเอกเลยล่ามคอพระเอกมาได้หลายปี... (ถามจริ๊งงงง) ไม่รักแต่อยู่กันมาหลายปีโพดดด “เฮียทำแบบนี้ เคยคิดถึงอนาคตของเราสองคนบ้างไหม?” “อย่ามางี่เง่าทำตัวเป็นนางเอกหลังข่าว อนาคตบ้าบออะไรวะ!” ปัญทิตาเคยคิดว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ถ้าเธอดีกับเขา แน่นอนว่าเขาจะต้องดีกับเธอแต่ในโลกของความเป็นจริง ยิ่งเราดี เรายอม สุดท้ายก็กลายเป็นเราที่โดนเอาเปรียบมันจะไม่เป็นอะไรเลยหากคนที่คอยจะเอาเปรียบเหยีย







