Akira’s Pov
ปึก!
สะดุ้งเล็กน้องเมื่อหัวหนักๆ หล่นลงบนตักของตัวเองอย่างแรง เหลือบมองด้านแล้วได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ เพราะคนเมาจนไม่สามารถตั้งคอให้ตรงได้มันคือนับดาวคนดีคนเดิมนั่นเอง
“กลับเลยไหม” ผมสะกิดที่ไหล่เล็กๆ ของนับดาว ก้มลงกระซิบที่ข้างหูให้มันได้ยิน ตอนนี้เราอยู่ในงานเลี้ยงอยู่ มันเลยเสียงดัง เธออาจจะไม่ค่อยได้ยิน
นับดาวพยักหน้าหงึกหงัก ไม่ได้พูดอะไรนอกจากหลับยกแขนขึ้นมาเกาะขาผมให้แน่นขึ้น ทำเหมือนกลัวว่าผมจะจากไปถ้าปล่อยมือ
“แป๊บ” พูดแล้วลูบหัวเธอเบาๆ ก่อนใช้เท้าสะกิดขาเวล เพื่อนผมเงยหน้าขึ้นจากจอ เลิกคิ้วถาม
“อะไร” พร้อมทำหน้าไม่ค่อยพอใจมากนัก
ไม่รู้จะติดเกมอะไรขนาดนั้น มางานเลี้ยงแท้ๆ มันยังไม่ยอมวางโทรศัพท์ลงเลย จะฝึกเล่นเพื่อไปแข่งอีสปอร์ตหรือก็ไม่ ขยันดีจริงๆ ในเรื่องที่ไม่ได้ประโยชน์เนี่ย
“กูจะพาไอ้ดาวกลับ ฝากมึงลาไอ้วินซ์ด้วย”
“ให้เรียกแท็กซี่ให้ไหม” เวลยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋า พอเห็นว่านับดาวเมาเริ่มไม่ได้สติแล้วจึงยื่นหน้าเข้ามาดูใกล้กว่าเดิม “หรือให้คนขับรถกูไปส่งก็ได้ บ้านไอ้ดาวไม่ได้ไกลอะไร”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวเรียกเอง”
จริงอยู่ว่าบ้านนับดาวไม่ไกลจากที่นี่ และคืนนี้ผมก็ตั้งใจจะไปค้างบ้านมัน แต่ผมก็ไม่ได้อยากให้เพื่อนลำบาก รู้ว่าไอ้เวลเองก็คงกลับหลังพวกเราไม่นานหรอก
แก๊ง Introvert พวกผมเป็นเพื่อนกันก็จริงทว่าแต่ละคนกลับไม่ใช่พวกพูดมาก เราคบกันเพราะเราเหมือนกัน คบเอาสังคม คบแบบขอไปทีเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นเราก็รักกันดี ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่ากับใครคนใดคนหนึ่ง ผม และเพื่อนๆ ก็พร้อมจะต่อสู้เคียงข้างไปพร้อมกับปัญหาด้วยกัน
“เออ งั้นก็ฝากมันด้วย อย่าให้มันไปไล่จูบผู้ชายที่ไหนล่ะ”
“อือ”
พูดจบก็จัดการแบกไอ้ตัวเล็กเบากว่ากระสอบนุ่นนิดหน่อยขึ้นบ่า นับดาวส่งเสียงครางท้วงเล็กน้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะตอนนี้แค่จะอ้าปากพูดยังยาก
ใครให้มันกินเข้าไปเยอะขนาดนั้นก็ไม่รู้ รู้ว่าชอบของฟรี แต่มันน่านักเรื่องความโลภจนทำคนอื่นเดือดร้อนเนี่ย
“ไอ้ดาว มืออย่าซน!”
เพี๊ยะ!
ผมตบก้นเด้งๆ ของมันไปทีเพื่อเตือนสติ เพราะจู่ๆ ไอ้คนที่ผมแบกอยู่บนไหล่ก็เลิกชายเสื้อผมขึ้นแล้วลูบแถวๆ เอวเล่น
“อือ เจ็บ”
นับดาวส่งเสียงครางเบาๆ แต่ยังไม่ยอมหยุดมือลง ยังลูบเนื้อตัวผมไปทั่วจนขนลุกขนพองไปหมด
“ไอ้ดาว อย่าลูบ กูจั๊กจี้!”
เพี๊ยะ!
ฟาดลงไปที่ก้นมันอีกทีแรงๆ คนตัวเล็กสะดุ้งโหยง ดิ้นไปมาบนบ่าผม
“เจ็บอ่า เจ็บ!” แล้วทุบกำปั้นสองสามทีลงที่แผ่นหลัง
“บอกแล้วว่าอย่าซน”
“…”
นับดาวเงียบไป หลังจากนั้นตัวที่เคยแข็งขืนก็อ่อนยวบลง ทิ้งน้ำหนักบนตัวผมอีกครั้ง
น่าจะหลับไปแล้วมั้ง
ผมแบกเธอมายังหน้าคลับ รอเรียกแท็กซี่ประมาณสองสามนาทีก็มีคนเข้ามาทักซะก่อน
“พะ พี่ พี่คินคะ”
เสียงหวานทำผมหันไปมองอย่างเสียไม่ได้ ไม่ใช่ว่ารู้สึกถูกใจน้ำเสียงขี้อ้อนนั่น แต่การถูกเรียกชื่อแล้วหันมันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกาย
ตรงหน้าคือสาวน้อยรูปร่างเล็ก ผิวขาวเหลือง ไว้ผมหน้าม้า เธอดูเป็นสาวหมวยหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เสียงก็เข้ากับหน้ายกเว้นมีอย่างเดียวที่ขัดกับบุคลิกเธอนั่นคือทรวงอกอันใหญ่โตมโหฬารแทบจะแทกแขนที่ว่างของผม
“รู้จักกันเหรอ” ผมเลิกคิ้วถาม ไม่จำเป็นต้องถนอมน้ำใจ ในชีวิตเจอพวกน่ารำคาญมากพอแล้ว ผมไม่ต้องการปัญหาเพิ่ม
เธอหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย แต่ก็ยังใจกล้าเงยหน้าขึ้นเผชิญกับผม
“คือว่าหนูเป็นรุ่นน้องของพี่ที่คณะ จำได้ไหมคะที่วันจันทร์ที่ผ่านมาไปสารภาพรักกับพี่”
“จำไม่ได้”
คำตอบสั้นๆ ทำสาวหมวยอกอึ๋มถึงกับอ้าปากค้าง เธอจ้องผมอยู่นานก่อนกระแอมหนึ่งครั้ง สูดหายใจเข้าปอดจนอกกระเพื่อมขึ้นเกือบชนแขนผมจริงๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูแค่อยากจะบอกพี่ว่าหนูจริงจังนะคะ ช่วยคบกับหนู…”
“ฉันมีแฟนแล้ว”
“ไม่มี พี่ไม่มีแฟน หนูรู้…” เธอเถียง เชิดใบหน้าขึ้นด้วยความมั่นใจ จังหวะนั้นเองยับตัวเล็กบนบ่าของผมก็ขยับยุกยิก รู้สึกตัวพอดี
“จะอ้วก ขอลงไปยืนหน่อย” พร้อมกับเสียงประท้วงและกำปั้นทุบเข้าที่หลังผมเต็มๆ
ผมยอมปล่อยนับดาวลงยืนด้วยตัวเองกับพื้น ยับตัวเล็กโงเงนเล็กน้อย ก่อนจะคว้าเอาแขนผมไว้ กอดมันแน่นเพื่อยึดเป็นฐาน
“ฉันมีแฟนแล้ว” ผมหันไปย้ำกับน้องหมวยคนนั้นอีกครั้งเมื่อเห็นว่านับดาวยืนได้มั่นคงแล้ว
ทำไมต้องมาอยู่ในสถานการณ์นี้ด้วยนะ ให้ตาย
ต้องปฏิเสธคำบอกรักสาวไปพร้อมๆ กับดูแลยัยเมรีตัวอ่อนปวกเปียกนี่ สมองผมสลับใช้งานไม่ทันแล้วนะ
“พี่ไม่มี” เธอย้ำอีกครั้ง “หนูไม่เคยเห็นพี่ควงใคร พี่ไม่เคยพาใครกลับคอนโดฯ”
“แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปค้างบ้านแฟนไม่ได้นี่”
“งั้นพี่ช่วยพิสูจน์ให้หนูดูสิคะ”
“เพื่อ?”
“เพื่อหนูจะได้ตัดใจ พาพี่สาวคนนั้นมาให้หนูเห็นหน้าสิ แล้วหนูจะยอมเลิกยุ่งกับพี่”
เหมือนเธอจะปักใจเชื่อว่าผมโกหกเลยให้ผมเอาแฟนมาให้ดู ไร้สาระเป็นบ้า แต่ผมคงจะไม่ปฏิเสธที่จะทำหรอก เพราะอย่างน้อยให้เธอได้ตัดใจไปหาคนอื่น และอีกอย่างผมจะได้เลิกมีคนตามมาสารภาพรักแบบนี้อีก
ถ้าจำไม่ผิด เธอคนนี้มาบอกรักผมสามสี่รอบได้แล้ว ซึ่งมันน่ารำคาญมาก
“เธอก็เห็นยัยนั่นอยู่ ไม่จำเป็นต้องพามา”
ขอโทษทีนะนับดาว ขอใช้แกเป็นไม้กันหมาสักวันหน่อย
บอกขอโทษนับดาวในใจ ก่อนจับตัวเล็กๆ ในยืนตรง ขยับมือไปโอบไหล่เล็กเข้าหา
นับดาวเงยหน้าขึ้นจากพื้น ส่งยิ้มกว้างให้กับสาวน้อยคนนั้นทั้งที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“หนูไม่เชื่อ พี่กับพี่นับดาวไม่ได้คบกัน”
“เราคบกัน คบแบบไม่ได้ประกาศให้ใครรู้” ผมย้ำเสียงแข็ง แต่ดูเหมือนเธอคนนั้นจะยังคงไม่เชื่อ “ไม่เชื่อเหรอ”
เธอส่ายหัวสองสามครั้งตอบกลับมา
เอาไงดีวะ
ถ้าเกิดว่าจะทำให้เธอตัดใจ บางอาจจะต้อง…
คิดได้ดังนั้นจึงก้มมองยัยตัวเล็กข้างกาย ผมอาจจะขอโทษเธอทีหลังเรื่องนี้ ไม่ก็พาไปกินไอศกรีมอร่อยๆ เจ้าดังเป็นค่าตอบแทน
“งั้นดูนี่”
พูดจบก็ดันนับดาวออกห่างเล็กน้อย ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้เชยคางมนขึ้น เธอส่งยิ้มไร้เดียงสาให้ผม แล้วยกมือลูบใบหน้าผมเบาๆ สองที
“ทำไร…อุบ”
และก่อนที่จะได้พูดต่อ ผมก็ประกบริมฝีปากลงไปทีกลีบปากนุ่มของเธอแล้ว
[Vincent’ s POV]ผมเคยคิดเล่นๆ นะว่าชีวิตคนเรามันดราม่าได้สักแค่ไหนกันเชียว จนกระทั่งวันหนึ่งรุ่นพี่ที่ตัวเองชอบและพึงใจมานานมาภาพรักในตอนที่เธอกำลังไปเรียนต่อต่างประเทศ แล้วหลังจากนั้นก็มีรุ่นน้องมาบอกว่าชอบในเวลาไล่เลี่ยกัน เธอไม่ได้ขอสถานะ ขอแค่ให้ได้มีผมอยู่ข้างๆ ก็พอดีและผมก็ตอบรับมันอย่างเต็มใจในวันนั้นผมคบกับเธอแบบไม่มีสถานะ เรานอนด้วยกัน ผมเลี้ยงดูเธอเหมือนเลี้ยงผู้หญิงคนหนึ่งไว้ใช้งาน ไม่ได้ให้ใจ ไม่ได้ให้อย่างอื่นนอกจากเงินและเซ็กซ์ดีๆ และเธอก็ยอมรับมัน เข้าใจ ไม่ทำตัวน่ารำคาญ ไม่อยากเลื่อนขั้นแต่อย่างใด“พี่วินซ์… พี่ว่าเราเป็นอะไรกัน”จู่ๆ วันหนึ่งเธอก็ถามผมขึ้นในขณะที่กำลังบรรจงจูบเธออย่างดูดดื่มท่ามกลางแสงจันทร์“คู่ขา คู่นอน อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่แฟน”“อ้อ อย่างนั้นเหรอคะ ดีใจจังที่ได้รู้”เธอตอบแบบยิ้มๆ ไม่ได้มีท่าทีผิดหวังแต่อย่างใด ทั้งยังกอดผม เรียกชื่อผมทั้งคืนอีกต่างหาก ทว่าเมื่อตอนเช้ามาถึง ตัวเล็กๆ กลับหายไป ไม่ทิ้งแม้กระทั่งความอบอุ่นบนเตียงเอาไว้วันแรกที่เธอหาย ผมรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้เสียใจแต่อย่างใดสัปดาห์ต่อมาก็ยังไม่รู้สึกว่าขาดอะไรไปกระทั่งหหนึ่งเดือนผ่าน อยู
[Valton’ s Pov]ผมคือหนึ่งในลูกที่ครอบครัวตั้งความหวังมากเกินไป และตามใจจนเสียนิสัย เป็นคนเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ ดูผิวเผินผมอาจจะเป็นลูกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ดูเปราะบางน่าทะนุถนอมเหมือนหญิงสาว แต่เนื้อในผมไม่ใช่อย่างนั้น ผมไม่ใช่คนที่ยอมใครง่ายๆ ดื้อรั้น ชอบทำตามใจตัวเองเสียจนเคยตัว มีอยู่ไม่กี่คนหรอกที่ผมจะยอมก้มหัวให้ และพวกนั้นก็คือเพื่อนในกลุ่มเรา นั่นคือ คิน นับดาว และวินเซนต์เท่านั้นพ่อผมเป็นชาวเอสโตเนีย เป็นผู้มีอิทธิพลในเมืองเมืองหนึ่ง ท่านทำธุรกิจหลากหลาย ทั้งเทา และขาวสะอาด เดินทางไปรอบโลกเพื่อติดต่อเจรจาหาคู่ค้าอยู่เสมอจนมาหยุดที่นี่ ที่เมืองไทย เมื่อเจอแม่ผมเข้า ทั้งสองแต่งงานมีลูก และเลิกราเพราะพ่อเจอคนที่ถูกใจกว่าในตอนไปติดต่อการค้าในประเทศอื่นถึงอย่างนั้นพ่อก็ยังส่งเสียเลี้ยงดูผมตลอด เงินไม่เคยขาดมือ อยากได้อะไรก็ประเคนให้ เพราะเหตุผลเดียวเลยคือ ท่านเป็นหมันหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ไม่สามารถมีลูกได้อีก นั่นหมายถึง ผมคือทายาทคนเดียวที่มียังไงล่ะพ่อตั้งความหวังไว้กับผมสูงมาก อยากให้ผมเรียนวิศวกรรมการบิน เพราะจะได้สานต่อธุรกิจที่มี แต่ผมที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยแม่เพี
เที่ยงคืนหลังจากที่เราแยกย้ายห้องใครห้องมัน ฉันกับคินก็จูงมือกันออกมาขับรถเล่นที่บ่อกุ้งของเพื่อระลึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ค่ำคืนอันแสนเร่าร้อนที่เราเกือบมีอะไรกันตรงท่าน้ำฉันหย่อนตัวลงนั่งที่เดิมพร้อมไม้ตกกุ้ง ไม่นานคินก็นั่งลงตาม แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้เว้นระยะห่างเหมือนเคย ขยับเข้ามาเบียดฉันทั้งยังโอบไหล่หลวมๆ“ไม่ต้องมาเบียดขนาดนั้นก็ได้มั้ง คืนนี้ไม่ได้หนาว” ขยับเข้าชิดเขา แต่ปากคือไล่ ฉันก็แค่เป็นพวกปากไม่ตรงกับใจอ่ะนะ เรื่องนี้คินรู้ดีเลยไม่ถือสา“ก็อยากกอดแฟน” พูดทั้งยังเกยคางบนหัวฉัน “อยากกอดแบบนี้ไปนานๆ อยากกอดตลอดไปเลย”“พูดดีไปเถอะ เดี๋ยววันหนึ่งก็เบื่อกันอยู่ดี”คินผละออกมามองหน้าฉัน ก่อนหยิกแก้มด้วยความมันเขี้ยว “ทำไมกล้าพูดว่ากูจะเบื่อมึงอ่ะ นี่คบกันมากี่ปีแล้ว”“ไม่รู้สิคิน แค่คิดว่าพอสถานะเปลี่ยน ทุกอย่างก็เปลี่ยน วันหนึ่งกูอาจจะคาดหวังกับมึงมากเกินไปแล้วมึงรำคาญก็ได้ใครจะรู้”คินยิ้มเหมือนรู้อยู่แล้วว่าฉันกังวลเรื่องนี้ บางทีตอนพูดกับพ่อเมื่อตอนกลางวันเขาคงแอบได้ยินมันเลยไม่ได้ตกใจอะไรกับคำพูดฉันมาก“ก็ไม่เห็นเปลี่ยนนี่ เรารักกันเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำไม่เห็นเหรอ”“ก็เห็น” คินแสดง
เราใช้เวลาซื้อของประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนพากันขับรถตรงไปยังบ่อกุ้ง ระหว่างทางฉันก็ตัดสินใจเล่าเรื่องราวในอดีตของตัวเองก่อนเจอกันให้คินฟังเขาเป็นคนรับฟังที่ค่อนข้างดี ไม่ดุ ไม่ว่าที่ฉันทำตัวไม่ดี และที่สำคัญยังชมว่าฉันเก่งที่ก้าวข้ามมันมาได้ฉันรู้ด้วยตัวเองไงว่าอะไรดีอะไรไม่ดี เพราะงั้นหลังจากถูกลงโทษแล้วพ่อส่งไปดัดสันดานกับพี่เดือนที่กรุงเทพฯ เลยไม่ขัดขืน เต็มใจที่จะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ และที่ไม่น่าเชื่อเลยคือ ฉันไปได้ดีมากกับทางใหม่ที่เลือก อาจจะเพราะได้เจอคิน ไม่ก็เพราะสภาพแวดล้อมที่ดีกว่ามากก็ได้ ฉันไม่ได้ว่าที่บ้านไม่ดีอะไรหรอกนะ แต่เพื่อนที่ฉันคบในโรงเรียนพาฉันไปทำในสิ่งที่ไม่น่ารักซะส่วนใหญ่น่ะสิ แล้วเด็กอ่ะนะ ยิ่งมีคนอวยยิ่งได้ใจ ผลลัพธ์ที่ได้ก็อย่างที่เห็น มีคนเกลียดจนถึงทุกวันนี้ แม้จะผ่านไปหลายต่อหลายปีแล้วก็ตาม“มาแล้ว!!”ตู้ม!ร้องเสียงดังวิ่งตรงไปยังบ่อกุ้งของพ่อ กระโดดตูมลงน้ำแบบไม่ฟังพ่อห้ามเลยสักนิด“ไอ้ดาว กุ้งตื่นหมดแล้ว” เสียงเอ็ดนี้ไม่ใช่จากพ่อ แต่เป็นเวลที่ตอนนี้จดจ่อ ตั้งใจสุดๆ กับการลากตาข่ายต้อนเจ้ากุ้งที่แสนน่ารัก“กูอยากช่วย”“ไปไกลๆ เลย กูจะทำเอง กุ้งกูหายหมด
เราเดินทางมายังบ้านพ่อแม่ฉันหลังจากเคลียร์ปัญหา และจัดการเรื่องโปรเจกต์เรียนจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เราสี่คน (ฉัน คิน เวล และเม่า) ยังมีแม่ของคินตามมาด้วยเพื่อมาขออนุญาตให้ลูกๆ ได้คบกันทีแรกฉันบอกท่านแล้วนะว่าไม่ต้องก็ได้ แต่คุณหญิงดื้อมาก ท่านบอกไม่ได้ พูดแบบนั้นไม่ดี (ตำหนิฉันไปอีก) ยังไงผู้ใหญ่ต้องมาพูดเองถึงจะถูก ส่วนเรื่องหมั้นหมายไม่ได้บังคับ แล้วแต่เราทั้งสองเลยเอาตรงๆ นะ ฉันรู้สึกแปลกๆ เหมือนว่าคุณหญิงมาตากำลังเร่งจับฉันแต่งงานกับคินอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งพักหลังมานี้ยิ่งหนัก โทรคุยกับแม่ฉันเป็นวรรคเป็นเวร มีแอบไปได้ยินว่าแพลนจะอุ้มหลานกี่คนด้วยนะคืออีดาวเพิ่งยี่สิบต้นๆ นะ ยังไม่พร้อมเสียสละเวลาไปเลี้ยงเด็กขนาดนั้นแต่ข้อดีคือพวกแม่ๆ ไม่ได้กดดันกันตรงๆ เพียงแค่พูดว่าอยากมีหลาน เพราะครอบครัวฉัน พี่เดือนตอนนี้ก็ยังไม่ท้อง ฉันเองยังเรียนอยู่มีลูกไม่ได้ ส่วนคินเป็นลูกชายคนเดียวในบ้าน ถ้ามันไม่แต่งงานหรือทำผู้หญิงท้องยังไงคุณหญิงก็ไม่มีวันได้เห็นหน้าหลานถึงจะพูดอย่างนั้นมันก็แอบกดดันไม่น้อยอ่ะนะ ถ้าเราสองคนคบกันนานจนขนาดแต่งงานมีลูกได้ก็ค่อยว่ากันอีกที อนาคตไม่
“คิน…”น้ำเสียงเธออ้อนวอนเสียจนใจผมสั่น จัดการจับเรียวขาทั้งสองข้างแยกออกจากกัน ก่อนรูดชั้นในสีดำลายลูกไม้สุดเซ็กซี่ออกจากขาเธออย่างช้าๆ ไปกองไว้ที่ข้อขาข้างหนึ่งผมมองหน้าเธอไม่ละสายตาไปไหน มองจนนับดาวต้องหลบตาไปเองเพราะเขิน“มองเหมือนอยากจะกินกันทั้งตัว…” เธอพูดเบาๆ ในลำคอ“ก็อยากจับกินจริง ไม่ผิดเลยสักนิด”พูดจบก็จุ๊บเบาๆ ตรงข้อเท้าเธอ นับดาวมีปฏิกิริยาทันที เธอขยับตัวหนึ่งครั้ง แล้วหลับตาพริ้มมีความสุขเมื่อผมไล่จูบขึ้นไปตามปลีน่อง ขาอ่อนและมาหยุดตรงส่วนที่น่าหลงใหลที่สุดสะโพกยกขึ้นสูงอย่างไม่ต้องเอ่ยขอ ผมใช้มือช้อนใต้ก้นอวบอัดเธอไว้ ดันขึ้นสูงอีกนิดแล้วฝังหน้าลงไปดูดกินเธออย่างคนหิวกระจาย“อา คิน!”นับดาวไม่เก็บเสียงอีกต่อไป ทันทีที่ลิ้นของผมเลียย้ำๆ ไปยังจุดอ่อนไหวที่สุดเธอก็กรีดร้องเสียงหวาน สะโพกบิดเร่าไปมา เรียวขาทั้งสองเปิดอ้าสลับกับหนีบหัวผมไว้ เห็นดังนั้นผมยิ่งคึกคัก อยากจะช่วยเธอถึงฝั่งฝันให้เร็วขึ้นผมขยับตัวหนีห่างเพื่อมองหน้าเธอเล็กน้อย ตอนนี้แก้มทั้งสองของนับดาวสุกปลั่งราวกับเพิ่งได้ตากแดดมา ริมฝีปากอิ่มสวยอ้าค้าง แลบลิ้นสีสดออกมาเพื่อระบายความร้อนของร่างกายเซ็กซี่เป
[Akirah’ s POV]“ฝันดีฮะแม่ วันศุกร์นี้อย่าลืมนะฮะว่าเราต้องไปบ้านไอ้ดาว”“ไม่ลืมหรอกลูก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้เมีย”“งั้นผมไปนะฮะ”“จ้ะสุดหล่อของมาม้า แต่อย่าลืมนะว่าห้ามเข้าห้องนับดาว”“ไม่เข้าแน่นอนครับ”ผมยิ้มหวาน จุ๊บแก้มแม่เบาๆ บอกฝันดีท่าน ก่อนเดินเร็วๆ ออกจากห้องเพื่อตรงไปยังอีกห้องที่อยู่ชั้นล่าง ซึ่งไม่ใช่ห้องผมแน่นอนวันศุกร์นี้เราจะเดินทางไปยังบ้านนับดาว เพื่อให้ผู้ใหญ่คุยกันเรื่องการคบหาอย่างเปิดเผยที่จริงแม่ผมบอกว่าไม่ได้อยากเร่งเร้า ไม่ได้รีบร้อนหรืออะไรเลย แต่แค่อยากไปพบพ่อกับแม่นับดาวเพราะเหตุผลหลักๆ เลยคือไปจองตัวไว้ อีกอย่างคือท่านรู้ว่าผมได้เสียกับนับดาวแล้ว เลยอยากจะให้เกียรติเธอด้วยการไปบอกกล่าว ผูกแขนเอาไว้ตามวัฒนธรรมคนอีสาน ซึ่งผมเองก็ไม่ได้ขัด นับดาวก็ไม่ได้ว่า เหมือนฝั่งครอบครัวเธอก็ไม่ค้าน สรุปทุกอย่างลงตัว พร้อมเปิดทางให้เราหมดแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมานั่งดราม่าแม่ไม่ชอบเมียเหมือนคนส่วนใหญ่เป็นกัน อาจจะเพราะแม่ผมชอบนับดาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทุกอย่างมันเลยง่ายขึ้นก็คนที่ฉุดกระชาก ดึงผมให้ออกมามีที่หายใจบนโลกนี้ได้ก็คือนับดาวนี่นะ จะไม่ให
คินพาฉันมาที่บ้านใหม่แม่เขาประมาณสองสัปดาห์ต่อมา วันนี้เป็นวันขึ้นบ้านใหม่ พ่วงด้วยปาร์ตี้สละโสดของคุณหญิงมาตา จะไม่มาแสดงความยินดีในฐานะว่าที่สะใภ้ (เขิน~) คงไม่ได้ฉันแต่งตัวให้น่ารักที่สุด ใช้ชุดที่ท่านซื้อให้ จ้างช่างแต่งหน้าทำผมมาโดยเฉพาะเพื่อไม่ให้คุณหญิงเสียหน้า รู้ว่าสังคมของท่านคงมีแต่คนรวย จะมาทำตัวเป็นอีสร้อยอีแซวคงไม่ได้ ฉันรู้จักกาลเทศะดีแต่ถึงอย่างนั้นพอก้าวเข้ามาในงาน ก็ไม่วายโดนตีราคาว่าเป็นผู้หญิงชั้นต่ำมาเกาะบ้านคุณหญิงกินอยู่ดี เอาจริงๆ มันก็ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่เป็นแบบนั้น เพื่อนคุณหญิงส่วนใหญ่น่ารักกันหมด มีเพียงแค่ประมาณสองถึงสามคนที่มองฉันแบบเปิดเผยว่ารังเกียจนั่นทำให้ฉันกลัวไหม?ก็ไม่อีกนั่นแหละ มองแรงมา อีนี่ก็มองแรงกลับ เบะปากใส่ฉันเพราะหมั่นไส้ อีนี่ก็เบะปากใส่เป็นพี่กิ๊ก สุวัจนี เหมือนกัน หลายคนพอเห็นฉันตอบโต้กลับ ก็ไม่นึกกล้าเสนอหน้าออกมาให้ด่า ไม่ก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าน้องนับดาวคนนี้เอาเรื่องพอตัว“คิน หนูคินคะ”ขณะที่เรากำลังเดินไปยังซุ้มเครื่องดื่มหลังจากทักทาย มอบของขวัญให้คุณแม่คินเสร็จแล้ว อยู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาทักคิน เธอคนนั้นรูปร่างหน้าตา
“เหมือนตอนเด็กๆ เราจะเคยเล่นด้วยกันน่ะ แม่น้องเป็นเพื่อนกับแม่กู ชอบพาลูกมาเล่นด้วยกันบ่อยๆ เหมือนผู้ใหญ่ก็ยุว่าจะจับหมั้นบ้าง จับให้คู่กันบ้าง โตขึ้นจะผูกแขนให้เป็นแฟนกันบ้าง นานเข้าๆ เด็กมันคงคิดลึก คิดว่าจะได้กับกูเลยฝังใจ เริ่มตามกูแบบเงียบๆ มาตั้งแต่ตอนคบกับมึงใหม่ๆ จำได้ไหมช่วงมอปลายที่เรารู้จักกัน”“อือ” นับดาวพยักหน้าตอบเบาๆ “เหมือนเคยเห็นหน้าโรงเรียนบ่อยๆ ทีแรกนึกว่ามาหาใคร ที่แท้มาหามึงนี่เอง”“ใช่ เด็กนั่นมาดักรอกู แค่ให้เห็นหน้าแล้วเขาก็ไปแค่นั้น”นับดาวครางเสียงต่ำในลำคอ เกาคางตัวเองครุ่นคิดกับอะไรบางอย่างอยู่ น่าจะกำลังระลึกชาติ ทบทวนความจำตัวเอง ส่วนสองคนที่เหลือแค่นั่งพิงโซฟาด้วยท่าทีสบายๆ รอฟังเท่านั้น ไม่ได้เอายถามหรือทำอะไรมากกว่านี้“มีช่วงเข้ามหาลัยปีสามปีสี่นี่แหละเริ่มหนักสุดเพราะกูกับมึงเล่นกันถึงเนื้อถึงตัวมากขึ้น เด็กนั่นคงหึงเลยเริ่มตามกูไปทุกที่ ทำตัวเป็นสต็อกเกอร์ จ่ายใต้โต๊ะกับคอนโดฯ ที่กูอยู่เพื่อให้ได้คีย์การ์ดเปิดห้อง จ่ายให้กับทุกคนเพื่อเข้าถึงตัวกู ดีว่าตอนนั้นกูระแคะระคายก่อนเลยยังปลอดภัย ไม่อย่างนั้นวันนี้ไม่รู้จะเป็นยังไง”“มึงควรเอาเรื่องคอนโดฯ ม