“ทำไมตาบวม” แตงกวาเพื่อนในกลุ่มถาม
ใช่ค่ะ แตงกวาคนนั้นแหละ
เราเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันและเราใช้ผู้ชายคนเดียวกัน แค่สถานะของเราต่างกัน แตงกวาเป็นแฟนออยล์ แฟนที่ออยล์ถนอม แฟนที่ออยล์ให้ความชัดเจน ขณะที่ฉันเป็นแค่เพื่อนนอน เป็นแค่คนในมุมมืด ใจฉันรู้ดีว่าฉันควรเลิกโง่ได้ตั้งนานแล้ว ทนแบบนี้ไปเพื่ออะไร
ทว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างใจคิด เพราะที่ผ่านมาฉันหมกมุ่นกับออยล์มากเกินไป มากซะจนฉันลืมไปว่าไม่ควรฝากความรู้สึกไว้กับใครมากขนาดนี้
“อ่านนิยาย” เพื่อนรู้ดีว่าการอ่านนิยายเป็นสิ่งที่ฉันชอบทำเวลาว่าง อ่านแล้วก็อินคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกอยู่เรื่อย ในนิยายพระเอกเถื่อนมันกร้าวใจ แต่ชีวิตจริงขอไม่เจออะไรแบบนั้นนะ
แค่ที่เจออยู่ชีวิตรักก็รันทดจนไม่รู้จะรันทดยังไงแล้ว ก็รู้นะว่าโทษใครไม่ได้เพราะว่าฉันทำตัวเองล้วน ๆ
“คนเก่งนี่ดีจริง ๆ จะสอบอยู่แล้วก็ยังมีเวลาอ่านนิยาย ไม่เหมือนเรา อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เข้าหัว” แตงกวาเอ่ย
หึ การทำตัวโง่นี่ได้ใจผู้ชายสินะ
“กวามีข้อไหนไม่มั่นใจก็ให้เพ้นท์มันติวให้สิ” ออยล์พูดพลางจับแก้มแตงกวาเล่น
คนที่ไม่รักมักจะไม่ถนอมน้ำใจกัน ทั้งที่พูดกับฉันขนาดนั้น ไม่คิดว่าฉันจะเสียใจบ้างหรือไง ยังจะให้ฉันติวให้คนรักของมันอีก คิดว่าเมื่อก่อนฉันยอมแล้วตอนนี้ฉันต้องยอมงั้นเหรอ
หลังจากที่หมกตัวอยู่บ้านเป็นเวลาสามวัน วันนี้ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะเดินออกมาจากความสัมพันธ์เป็นพิษนี้
ต่อหน้าเพื่อนทุกคนเราสองคนเป็นเพียงเพื่อนที่โตมาด้วยกัน ต่อหน้าเพื่อนออยล์มันแสดงได้ดีมาก เมื่อย้อนคิดดูฉันเองก็เหมือนกันมั้ง ฉันแสดงได้อย่างดีมาตลอด ถึงได้ไม่มีใครรู้ว่าเราสองคนแอบกินกันมานานเป็นปี ๆ
“จริงเหรอ แต่กวาเกรงใจเพ้นท์น่ะสิ” แตงกวาทำหน้ายิ้มก่อนจะหันมองฉันด้วยสีหน้าเกรงอกเกรงใจ
“เพ้นท์มันว่างอยู่แล้ว ยังไงมันก็ติวให้ออยล์ ใช่ไหมเพ้นท์” หึ จะให้กูยกทุกอย่างที่กูมีมอบให้คนรักของมึงหมดเลยหรือไง
ฝันไปเถอะ กูคนนี้ไม่เอาแล้ว ไม่อยากโง่แล้ว
“โทษที ช่วงนี้ไม่ว่าง กูคงไม่ได้ติวให้มึงด้วยนะออยล์”
สามคืนที่ผ่านมาระหว่างที่ปั่นจักรยานจากร้านเหล้าเพื่อกลับบ้านตอนเที่ยงคืนฉันก็ได้คิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วก็ได้คำตอบว่าฉันควรเลิกใช้ชีวิตแบบนี้ เลิกเอาชีวิตที่แม่มอบให้มาให้ผู้ชายย่ำยีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันควรเลิกโง่ เลิกพาตัวเองมาเจ็บกับความสัมพันธ์ที่ไม่มีทางไปต่อ
“เห็นไหม เพ้นท์ไม่ว่าง ไม่เป็นไรนะเพ้นท์เดี๋ยวเราอ่านหนังสือเองได้ เราจะพยายาม” แตงกวายิ้ม
เอาจริงนะเท่าที่รู้จักมาเป็นเวลาหนึ่งปีที่เธอเข้ามาอยู่ในกลุ่มฉัน แตงกวาน่ะดูเป็นคนดี เป็นผู้ดีอะ เธอค่อนข้างถูกเลี้ยงดูมาแบบลูกคุณหนู
เธอไม่ผิดหรอก เพราะว่าเธอไม่รู้ว่าฉันกับออยล์เป็นอะไรกัน ฉันเชื่อว่าถ้าเธอรู้เธอไม่มีทางตอบตกลงเป็นแฟนออยล์
เรื่องบิดเบี้ยวพวกนี้ฉันเองก็มีส่วนผิด จะมีสิทธิ์อะไรมาไม่พอใจแตงกวา
อย่างที่ออยล์มันพูดอะเนอะ ฉันทำตัวทุเรศ ฉันควรเลิกทำแบบนั้นได้แล้ว ฉันไม่ควรปล่อยให้ตัวเองเดินไปไกลกว่านี้
เลิกย่ำอยู่กับที่
“เมื่อคืนมึงกลับบ้านกี่โมง” หว่าหวาเพื่อนที่ฉันค่อนข้างสนิทมาก ๆ กระซิบถาม เมื่อคืนหว่าหวาทักมาถามเรื่องเรียน ฉันจึงถ่ายรูปแก้วเหล้ากับบรรยากาศร้านไปให้เพื่อนดู
“เที่ยงคืน”
“อีนี่ ชอบปั่นจักรยานตอนมืดค่ำ มันอันตรายนะ เตือนกี่ครั้งไม่เคยฟัง” อ่า ใช่ ฉันชอบปั่นจักรยานไปร้านเหล้า ปั่นเพราะมันใกล้บ้าน ไม่เปลืองน้ำมันรถ รณรงค์เมาไม่ขับ ฉะนั้นปั่นจักรยานจ้า แล้วก็ไม่ได้กินให้เมาจนไม่รู้เรื่อง กินเมาพอประมาณจากนั้นปั่นจักรยานกลับบ้านก็เริ่มสร่าง ที่ผ่านมาเจ็บจากออยล์เมื่อไหร่ฉันก็ปั่นจักรยานไปร้านเหล้าตลอด ก็ถือว่าปั่นบ่อยนะ เจ็บบ่อยอะ
“พี่เซ้นต์มาอีกแล้วว่ะเพ้นท์” ฟินฟินมองไปยังผู้ชายสี่คนที่เดินมาทางศาลาจุดประจำกลุ่มพวกฉัน
“อืม” ฉันมองตามฟินฟิน ในนั้นมีเฟย์ ทู ทรีเพื่อนในกลุ่ม
กลุ่มเรามีกันแปดคนเป็นเพื่อนที่รู้จักกันตอนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ความที่นิสัยคล้ายกันก็เลยคบกันได้ ส่วนแตงกวาเธอเข้ากลุ่มเราก็เพราะออยล์ชวนเข้า เพราะลูกคุณหนูอย่างเธอมีเหรอจะเข้ากับพวกฉันได้
คนที่ฉันรักเป็นคนแสนดีใช่ไหมล่ะ เหอะ!
พี่เซ้นต์ที่เพื่อนพูดถึงเป็นเพื่อนของรุ่นพี่แถวบ้านของเฟย์ เขาคนนี้พยายามจีบฉันมาปีกว่าแล้ว ชอบทักข้อความมาหาฉันบ่อย ๆ ทว่าฉันไม่เล่นด้วย ถามคำตอบคำพอเป็นมารยาท ไม่เคยคิดสานต่อ
ไม่ใช่พี่เซ้นต์มีข้อเสีย เป็นฉันเองที่รักออยล์จนไม่มองใคร
แน่นอนว่าการเอาตัวเองออกมาจากสัมพันธ์เป็นพิษฉันเลือกดึงพี่เซ้นต์เข้ามาในชีวิต เมื่อคืนเขาทักมาฉันก็เลยชวนเขาคุยหลายอย่าง ชวนคุยเยอะมาก ๆ ต่างจากทุกครั้งที่เขาทักมา
การชวนคุยแปลว่าเราเป็น ‘คนคุย’
สรุปง่าย ๆ ฉันทอดสะพานให้เขาแล้ว
“กินข้าวมาหรือยัง” พี่เซ้นต์หยุดตรงหน้าฉัน คำถามนี้เขาถามฉันแน่ ๆ
ฉันเงยหน้ามองเขาที่ยืนมองฉันอยู่ “ไม่ได้กินค่ะ”
“เข้าเรียนเก้าโมงใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“เหลือครึ่งชั่วโมง ไปกินข้าวกัน”
“เพ้นท์ไม่หิว”
“เดี๋ยวปวดท้อง”
“...ค่ะ ไปโรงอาหารนะ” ฉันไม่ได้หิวและไม่ได้สนคำชวนของพี่เซ้นต์ เพียงคิดแค่ว่าไปกับพี่เซ้นต์ก็คงดีกว่าอยู่ตรงนี้ ดีกว่ามองคนสองคนรักกัน
การที่จะเดินออกมาจากความสัมพันธ์เป็นพิษฉันต้องเริ่มจากการเปลี่ยนตัวเอง เริ่มมองคนใหม่ สนใจคนใหม่ การมีคนใหม่จะทำให้เราลืมรักเก่า ฉันอ่านสูตรมูฟออนมา แน่นอนว่ามีหลายสูตร ฉันหยิบอันนี้ขึ้นมาก่อนเพราะคิดว่ามันน่าจะเป็นทางเลือกที่ได้ผลเร็วที่สุดสำหรับตัวฉันที่หมกมุ่นแต่กับออลย์มาหลายปี
“ครับ” แน่นอนว่าคำตอบของฉันทำให้พี่เซ้นต์ยิ้มพอใจ
“เจอกันที่ห้องนะพวกมึง” ลุกขึ้นพลางบอกกับเพื่อนที่งงกับท่าทีของฉัน ที่มีต่อพี่เซ้นต์
“เค ๆ” ฟินฟินกับหว่าหวาและแตงกวาขานรับ ฉันเดินออกมาพร้อมพี่เซ้นต์โดยไม่ได้มองไปที่ออยล์ ฉันมั่นใจว่ามันไม่ได้สนใจฉันหรอก
และมันดีใจด้วยซ้ำที่ฉันเลิกคลั่งมัน
“ปกติไม่ชอบกินข้าวเช้าเหรอ” พี่เซ้นต์ถามหลังจากที่สั่งข้าวราดแกงมานั่งกินที่โต๊ะของโรงอาหาร เป็นมื้อแรกที่เรานั่งกินข้าวด้วยกัน เขารู้สึกยังไงฉันไม่รู้ แต่ว่าฉันที่ยังไม่รู้สึกอะไรกับเขานั้นเฉย ๆ มื้อนี้ก็ไม่ได้เป็นมื้อที่พิเศษอะไร
“ค่ะ มันยุ่งยาก” อยู่บ้านคนเดียวซะส่วนใหญ่จะกินอะไรนักล่ะ ตื่นมาเรียนได้ก็ถือว่าดีแล้ว
“งั้นต่อไปพี่เอาข้าวเช้ามาให้ได้ไหม”
“ลำบากพี่” อย่าพยายามขนาดนั้นเลย
“กับคนที่พี่ชอบพี่ไม่เคยคิดว่าลำบาก” เขายิ้มละมุน
“...” ฉันยิ้มเจื่อนไปสิ พูดตามตรงฉันน่ะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่เซ้นต์เลยเพราะว่าไม่เคยสนใจเขา ก็เลยไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นตัวตนที่แท้จริงหรือว่ากำลังสร้างภาพเพื่อเอาใจเพราะอยากเอาฉัน
“เลิกเรียนไปไหนไหม รีบกลับบ้านหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ” ไม่ได้ไปไหนแล้ว เมื่อก่อนรอเลิกเรียนเพื่อกลับไปอยู่กับออยล์ที่บ้านเขา แกล้งบอกว่าติว เรื่องติวก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น
“ไปเที่ยวกันไหม”
“ไปไหนคะ”
“ดูหนังไหม”
“ได้นะคะ” ดีกว่ากลับอยู่คนเดียวแล้วใจอ่อนไปขอร้องอ้อนวอนเขาอีก คนอย่างฉันยิ่งชอบทำตัวไร้ค่าอยู่ด้วย ฉันควรทำตัวให้ไม่ว่างเข้าไว้จะได้ไม่ต้องคิดถึงออยล์ ทางที่ดีฉันกับเขาควรเจอกันให้น้อยที่สุดด้วย
ทว่าบ้านเราติดกัน ไม่เจอกันมันเป็นเรื่องยากอยู่นะ
“แปลว่าเพ้นท์ตกลงแล้วนะ”
“ค่ะ ตกลงค่ะ”
ทั้งที่ฉันเฉย ๆ แต่ทำไมพี่เซ้นต์ถึงได้ทำหน้าดีใจขนาดนั้นนะ หรือพี่เซ้นต์จะเหมือนฉันเวลาที่ออยล์มันชอบชวนไปเที่ยวกลางคืนกันสองคน ไม่หรอกน่า พี่เซ้นต์ไม่ได้ชอบฉันขนาดนั้น เขาก็คงแค่เห่อของใหม่ก็เท่านั้น นิสัยผู้ชายก็อย่างนี้ทั้งนั้น
สองปีต่อมาฉันเป็นคุณแม่ลูกสอง ลูกชายคนเล็กชื่ออินทัช ตอนนี้อายุขวบกว่า ใกล้จะสองขวบในอีกสองเดือนข้างหน้า ลูกชายอยู่ในวัยน่ารักน่าชัง ฉันเป็นคุณแม่อย่างเต็มที่ งานของฉันคือหน้าที่แม่ ฉันและพี่เซ้นต์เห็นตรงกันว่าไม่อยากให้ลูกรู้สึกขาดเหมือนที่เรารู้สึก เขาก็เลยเสนอให้ฉันเลี้ยงลูกไปก่อน เมื่อลูกโตเข้าโรงเรียนแล้วหากฉันอยากจะทำงานเขาก็ไม่ขัดฉันเห็นด้วยกับความเห็นของเขา เพราะฉันก็อยากมีเวลาให้ลูกมาก ๆ เหมือนกัน ในเมื่อครอบครัวของเราไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน ฉันก็ควรเป็นคุณแม่ฟูลไทม์ ดูแลเอาใจใส่ลูกและก็ไม่ลืมที่จะเอาใจใส่สามีสุดที่รัก ที่แทบจะทำงานที่บ้านเพื่อช่วยฉันเลี้ยงลูก นาน ๆ เขาจะเข้าบริษัทสักครั้งขณะที่ฉันเลี้ยงลูกอยู่บ้านก็ไม่ได้อยู่นิ่ง ฉันใช้เงินลงทุนกับเพื่อนในธุรกิจต่าง ๆ และยังลงทุนทำร้านกับพี่ต่อที่ตอนนี้มีสาขาเพิ่มอีกที่ มีแววไปได้สวยด้วย“วันนี้มีขนมมาฝากอินทัชอีกแล้วน้า” ยัยหนูอินเลิฟขึ้นมานั่งบนรถได้ก็รีบเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบขนมออกมาให้น้องชายที่นั่งคาร์ซีลอยู่เบาะข้างกัน “นี่จ้า เอริคฝากมาให้อินทัช ชอบเปล่า”“เอริคนี่ขยันฝากขนมจริง ๆ เลยนะ” พี่เซ้นต์ที่เป็นคนขับทำหน้าไ
“เซ้นต์ขา เซ้นต์ขามาดูน้องดิ้นเร็วค่า น้องในท้องเพ้นท์ขาดิ้นใหญ่เลยค่า” ลูกสาวคนโตของผมกำลังเอาหน้าแนบที่หน้าท้องกลมนูนของเพ้นท์ภรรยาของผมเพ้นท์ท้องได้เจ็ดเดือนแล้วครับ เป็นโชคดีของเธอที่ไม่แพ้ท้องหนัก ช่วงนี้เธอชอบกินของเปรี้ยวมาก มะม่วงน้ำดอกไม้เปรี้ยว ๆ เธอเอาเข้าปากเหมือนมันเป็นแค่มะม่วงมัน เธอกินอย่างเอร็ดอร่อยทำให้ผมอยากกินตาม แน่นอนว่าพอเอาเข้าปากรสชาติมันไม่น่ากินเลยจริง ๆคงมีแต่เพ้นท์ที่กินได้แบบนั้น“เซ้นต์ขาเร็วค่า เดี๋ยวน้องหนีน้า” น้องอินเลิฟตะโกนเรียกผมอีกครั้ง“มาแล้วครับเซ้นต์มาแล้ว” ผมเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับผลไม้ที่เพิ่งปอกเสร็จ ใบหน้าของอินเลิฟยังคงแนบที่หน้าท้องของเพ้นท์“เร็วค่าเดี๋ยวไม่ทัน” มือเล็ก ๆ ของลูกสาวคนโตรีบกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหาและอยู่ในท่าเดียวกับเธอผมทำตามที่อินเลิฟต้องการ แนบใบหน้าที่หน้าท้องกลมนูนของเพ้นท์ “ไหนครับ ดิ้นให้พ่อดูหน่อย”เหมือนว่าลูกในท้องของผมจะได้ยินที่ผมพูดหรือไม่ก็อาจจะรำคาญถึงได้ขยับตัว นั่นทำให้ท้องเพ้นท์ขยับสิ่งที่ผมสัมผัสได้ผมรู้สึกว่ามันมหัศจรรย์มาก ๆ เพ้นท์ที่ตัวเล็กนิดเดียวกำลังอุ้มท้องลูกของผมอีกคน ข้างในตัวเพ้นท์
หนึ่งเดือนต่อมาในงานแต่งงานของเรา เป็นงานแต่งที่จัดขึ้นอย่างใหญ่โต สมฐานะของสองตระกูล ยัยหนูอินเลิฟยิ้มกว้างแจกจ่ายรอยยิ้มให้แขกที่มาร่วมงาน ผู้คนต่างหลงรักในความน่ารักของลูกสาวฉัน“ยินดีด้วยนะครับพี่” ทรีเอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนจะยินดี แต่ก็ไม่เต็มที่ จากนั้นเขาพูดอีกว่า “ถึงเวลาที่ต้องปล่อยเมียหลวงไปแล้วสินะ”“เพ้นท์เคยเป็นเมียหลวงทรี?” เจ้าบ่าวขี้หึงของฉันรีบหันมาถาม“เป็นแค่คำเรียกที่เรียกแบบนี้ตั้งแต่สมัยเรียนค่ะ”“ต่อไปก็จะเรียกเหรอ พี่ไม่ชอบเลย”“ต่อไปเรียกไม่ได้แล้วครับ คนที่มีสามีแล้วผมไม่นิยม”“ยังจะมีหน้ามาพูด” ทรีนี่จริง ๆ เลย“แซวเฉย ๆ ครับพี่เซ้นต์ ต่อไปไม่มีแล้วครับ” ทรีพูดอีกครั้งก่อนจะหันมาพูดกับฉัน “ดีใจด้วยนะ ต่อไปขอให้มีความสุขมาก ๆ ก่อนจะลงมือทำอะไรก็คิดให้เยอะ ๆ”“ขอบใจมากนะมึง”“มึงจะอวยพรคนเดียวเลยเหรอ หลบเลย” ทูเดินเข้ามาแทรก“อยากมีบทขึ้นมาเลยนะมึง” ทรีโวยวายแต่ก็ยอมหลบทางให้“มีความสุขมาก ๆ เพื่อนรัก ถ้าอีก 15 ปีข้างหน้ากูไม่มีเมียก็ขอฝากตัวเป็นลูกเขยมึงเลยก็แล้วกันเพื่อน”“ไอ้เหี้ย ทำไมกูถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้วะ แม่งเอ๊ย โดนไอ้ทูตัดหน้าว่ะ”“พวกมึงไม่ใครแตะต้อง
“ผมอยากแต่งงานกับน้องครับ” ฉันไม่น่าตามพี่เซ้นต์มาบ้านย่าเขาเลย แล้วนี่ย่าฉันก็ขยันมาเที่ยวเล่นบ้านย่าพี่เซ้นต์เหลือเกิน คนที่อายุมากแล้วทั้งยังมีเงินนี่วัน ๆ เขานั่งคุยกันเรื่องจับคู่ให้หลานให้ลูกสินะสองย่าถึงได้มานั่งวางแผนกันอยู่แบบนี้เหมือนว่ารายต่อไปจะเป็นอาทั้งสองของฉัน ก็ไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้โชคดีคนแรกโทษฐานที่ทิ้งฉันไว้กลางทางฉันจะทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้อาโตแล้วเรื่องนี้เด็กอย่างฉันยุ่งไม่ได้“เพ้นท์ เพ้นท์ เพ้นท์ครับ”“คะ” แรงสะกิดที่แขนจากพี่เซ้นต์ทำให้ฉันรู้สึกตัว ย่าทั้งสองและพี่เซ้นต์กำลังมองหน้าฉันคล้ายต้องการคำตอบ “มีอะไรกันเหรอคะ”“ย่าถามว่าเราสองคนจะแต่งงานกันเมื่อไหร่”“ก็เพ้นท์เคยตอบไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ ทำไมถึงถามอีกรอบ” จู่ ๆ ทำไมถามล่ะ ก่อนหน้านี้ที่ฉันมัวแต่เหม่อทั้งสามพูดอะไรกันนะ“เซ้นต์บอกย่าว่าเซ้นต์เป็นพ่อแท้ ๆ ของอินเลิฟ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงไหม” ย่าของฉันถาม ย่าเอ่ยเสียงเรียบไม่ได้มีท่าทีโกรธเคือง ดูจะดีใจด้วยซ้ำที่รู้เรื่องนี้“จริงค่ะ เพ้นท์กับพี่เซ้นต์เคยคบกันค่ะ”“ไม่เห็นบอกย่าเลย ย่าก็เชียร์ซะออกนอกหน้า นี่ถ้ารู้ว่าเป็นคนรักเก่าก็ไม่จำเป็นต้องดันแรง
“ทำไมกด 40 เพ้นท์อยู่ 36 นะ” กลับจากฉลองกับเพื่อนเราก็คุยกันว่าจะนอนที่คอนโดเพราะว่าใกล้ที่สุดแล้วในตอนนี้ ขับกลับบ้านใครบ้านมันไม่ไหวลึก ๆ ในใจก็อยากแนบชิดแหละ ห่างมานานพออยู่ใกล้ใจก็เริ่มไม่เป็นสุข“คืนนี้ค้างห้องพี่นะ” พี่เซ้นต์ทำหน้าจริงจัง“…” ฉันน่ะยังไม่เคยเห็นห้องเขาเลย ถ้าไปด้วยนี่จะเป็นครั้งแรกที่จะเห็นแม้ปรับความเข้าใจกันแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับนะว่ายังเคือง ๆ อยู่อะ คือมันไม่ได้จะหายไปหมดใช่ปะเข้าใจอารมณ์ไหม รักเขา แต่ก็โกรธเขาด้วยแต่ก็อยากรักเขาอยู่ดีความรู้สึกตรงนี้คงต้องใช้เวลารักษาเยียวยา“เบบี๋ไม่อยากไปเหรอ”ในเมื่อเขาถามตรง ๆ ฉันก็จะตอบตรง ๆ เลยเหมือนกัน การพูดตรง ๆ บางครั้งมันก็เจ็บจึก แต่ก็ดีกว่าเก็บไว้แล้วอึดอัด ทั้งยังทำให้เราคิดไปเอง ปล่อยให้เรื่องบานปลายซึ่งฉันเคยได้รับบทเรียนมาแล้ว ไม่อยากเดินซ้ำรอยเดิมอีก“แค่เจ็บจี๊ดนิดหน่อยตอนนึกขึ้นได้ว่าพี่ก็อยู่ที่นี่มาตลอด พี่แนบเนียนมาก” หลอกเก่งมากจ้า ขนาดว่าเลิกกันแล้วยังจับไม่ได้อะ“ต่อไปไม่มีเรื่องปิดบังอีกแล้ว เชื่อพี่อีกสักครั้งนะครับ”“ให้จริงเถอะ ไม่ใช่ว่าแอบมีผู้หญิงแล้วไม่บอกนะ ถ้ามีรีบบอกเลย ก่อนที่เรื่องขอ
“เซ้นต์ขาทำอาราย” ในตอนเช้าอินเลิฟออกมาจากห้องนอนก็รีบวิ่งตรงไปหาพี่เซ้นต์ที่กำลังทำมื้อเช้า“ทำอาหารอร่อย ๆ ให้เลิฟกับเพ้นท์ขาทานครับ”“ว้าว น่าทานจังเลยค่า ต้องอร่อยมากแน่ ๆ เลย”“เดี๋ยวก็ได้ชิมแล้วครับ ใกล้เสร็จแล้ว”“เมนูไรค้า”“เกี๊ยวกุ้งครับ เพ้นท์ขาบอกว่าน้องเลิฟชอบกินกุ้ง เซ้นต์ก็เลยจะทำเกี๊ยวกุ้งให้ทานครับ”“ขอบคุณค่า ใจดีที่สุดเลย”“อ้อนแบบนี้เซ้นต์จะทำให้กินตลอดเลยดีไหมครับ”“ดีค่า ทำให้เพ้นท์ขากินด้วยนะค้า”“ได้เลยครับ”“เซ้นต์ขาใจดีมาก ๆ”“อ้อนเกินไปแล้วนะคะอินเลิฟ”“เซ้นต์ขาเป็นแฟงเพ้นท์ขา ย่าทวดบอกว่าอ้อนได้ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”“ย่าทวดบอกแบบนั้นเหรอคะ”“ใช่แย้ว” ย่านี่จริง ๆ เลยกลัวฉันขายไม่ออกถึงได้ใช้แผนอินเลิฟมาช่วย เสียงเจื้อยแจ้วของลูกสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เราเป็นครอบครัวเดียวกันหรือเปล่าค้า”“เป็นครับ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เพ้นท์ขาเป็นแม่ของน้องอินเลิฟ เซ้นต์ขาเป็นพ่อของน้องอินเลิฟ จากนี้เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปครับ แบบนี้ดีไหมครับ”“ดีค่า แบบนี้ดีมาก เยิฟชอบ” ยัยหนูอินเลิฟของฉันยิ้มแป้นตาปิดหมดแล้ว มีความสุขมากจริง ๆ สินะอินเลิฟเมื่อคืนนี้เราจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ