3
หม่ำๆ กันคุณ
สรุปว่าฉันต้องเป็นคนขับรถให้หมอนั่นนั่งสบายใจเฉิบจนมาถึงคอนโดฉันนี่แหละ ระหว่างทางคนที่เรียกตัวเองว่า ‘พี่ตุ่นคนจริง’ ก็ตะโกนแหกปากร้องเพลงจนลั่นรถไม่ได้เกรงใจเจ้าของรถอย่างฉันเลยสักนิด พอบอกให้หยุดหมอนั่นก็เพิ่มระดับเสียงจนฉันยอมแพ้ในที่สุด
ไอ้บ้านี่มันฟังฉันเสียที่ไหน!
“นายเดินนำไปก่อนเลยนะ” ฉันว่าขึ้นเมื่อเราสองคนก้าวออกมาจากลิฟต์
“ทำไมอะคุณ”
“ก็ฉันไม่อยากให้น้องก้อยเห็นว่ามากับนาย”
“น้องก้อยไม่ว่าอะไรหรอก”
ฉันจ้องหน้านายตุ่นนิ่งเมื่อเขาไม่ยอมฟังที่ฉันบอก ฉันจึงส่งกระแสความกดดันผ่านสายตาเรียบเฉยจนนายนั่นล่าถอยไปในที่สุด ยอมตั้งแต่ทีแรกก็หมดเรื่องทำไมต้องชอบให้ทำหน้าดุด้วยก็ไม่รู้
ฉันที่รอให้นายตุ่นเดินเข้าไปในห้องน้องก้อยก่อนแล้วค่อยออกไปต้องย่นคิ้วขึ้นมาเมื่อนายตุ่นยังยืนอยู่ที่เดิมทั้งๆ ที่ประตูห้องก็เปิดแล้วแท้ๆ
เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า...
“ว่าแล้วทำไมถึงปิดเครื่อง”
“...”
“ที่แท้รับแขกอยู่นี่เอง”
ด้วยความที่อยู่ไม่ไกลกันมากนักฉันจึงได้ยินถ้อยคำของนายตุ่นค่อนข้างที่จะชัดเจน น้ำเสียงเย็นเยือกดังขึ้นตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะในลำคอคล้ายจะเย้ยหยันตัวเอง
ฉันที่รอไม่ไหวกะเดินเนียนๆ เข้าห้องไปกลับต้องชะงักเมื่อตอนที่เดินผ่านหลังนายตุ่นไปนั้นสายตาเจ้ากรรมเดินเหลือบไปเห็นบุรุษที่มีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันเอวเอาไว้ยืนพิงประตูอยู่ นี่มันอะไรกัน น้องก้อยพาผู้ชายคนอื่นเข้าห้องงั้นเหรอ
รักสามเส้าไหมล่ะ!
ฉันหยิบคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋าด้วยมืออันสั่นเทา ตอนนี้ฉันตกใจมากที่ต้องมาเจอสถานการณ์ตึงเครียดแบบนี้ นายนั่นคงเงิบน่าดูเลยแหละ
“ขอโทษนะคะ” นั่นคือคำพูดของน้องก้อยก่อนที่เสียงปิดประตูจะดังขึ้น
ฉันถอนหายใจออกมาเมื่อบังคับมือให้เสียบคีย์การ์ดตรงช่องไม่ได้ ก่อนจะตัดสินใจหันหลังไปมองร่างของนายตุ่นที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ฉันควรไปหาเขาไหมหรือปล่อยให้เขาอยู่เงียบๆ ดี
“นะ..นายโอเคใช่ไหม” ฉันตัดสินใจถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“ไม่อะ” นายนั่นเงยหน้าขึ้นมามองฉันแล้วตอบ
“ไม่เป็นไรเนอะ”
“เป็นสิคุณ! ตอนนี้ผมโมโหมาก” นายตุ่นพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน ฉันก้าวถอยหลังเล็กน้อยอย่างหวาดๆ มือกำคีย์การ์ดไว้แน่น
“นาย...นายก็ไปหาผู้หญิงใหม่สิ”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น ผมหมายถึงตอนนี้ผมโมโหหิวมาก!”
“ห้ะ”
“ผมอุตส่าห์หิ้วท้องมาขอข้าวน้องก้อยเขากิน เป็นไงล่ะเจอแจ็กพอตดังบึ้ม! ห้องคุณมีไรกินบ้างอะผมหิวจนจะกินคุณได้ทั้งตัวอยู่แล้ว”
“ไอ้บ้า! ไอ้ลามก!”
“คุณมาว่าผมทำไมเนี่ย ผมแค่ขอกินข้าวที่ห้องคุณเฉยๆ เองนะ ไม่ให้ก็บอกไม่ให้ดิทำไมต้องด่ากันด้วยวะ ผู้หญิงใจดำ!”
“ก็นายบอกว่าจะกินฉันนี่!” ฉันเหวใส่เสียงดัง
“มันคือคำเปรียบเปรย คุณครูที่โรงเรียนไม่เคยสอนหรือไง” นายตุ่นอธิบายเสียงขุ่น
“เขามีแต่หิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวต่างหาก นายนั่นแหละตอนเด็กๆ คงหลับในห้องเรียนสินะ”
“โหคุณอย่างกับมีญาณทิพย์อะ รู้ได้ไงเนี่ย อ้อคุณตอนนี้ผมก็ยังหลับในห้องเรียนอยู่นะ”
“มันใช่เรื่องที่ต้องมาอวดไหม!”
“ผมภูมิใจจะตาย” เขายืดอกพูดด้วยน้ำเสียงยียวน แล้วพูดต่อว่า “แล้วตกลงห้องคุณมีอะไรกินไหม นี่ผมหิวจริงจังเลยนะ อีกหน่อยคงเป็นโรคกระเพาะแน่ๆ เลย”
“มี แต่ไม่ให้เข้า”
“ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะใจดำเหมือนที่ผมพูดออกไปจริงๆ”
“นายจะว่าอะไรก็ว่าเถอะแต่ฉันจะไม่ยอมให้ผู้ชายที่เจอกันแค่สามครั้งแถมนิสัยแบบนายเข้าห้องฉันแน่ๆ”
นายตุ่นเงียบไปเลยหลังจากฉันพูดเสร็จ ฉันพูดตรงไปงั้นเหรอ? ก็ไม่นะในเมื่อนายนี่ดูไม่น่าไว้ใจจริงๆ นี่น่า ใครจะบ้ากล้าพาเข้าห้องขนาดพ่อฉันยังไม่เคยได้เข้าเลย
“....ร้านอาหารใกล้ๆ ก็ได้คุณ”
“หือ”
“นี่ผมจริงจังเลยนะ คือตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวผมมีศูนย์บาท คุณช่วยเลี้ยงข้าวผมหน่อยได้ไหมถือว่าทำทานก็ได้นะคุณ หรือคุณจะมองผมว่าเป็นขอทานก็ได้ ผมไม่เกี่ยงอยู่แล้ว”
“นายหิวขนาดนั้นเลยเหรอ” ฉันถามเสียงเรียบใช้นัยน์ตาโตจ้องมองนายตุ่นอย่างจับผิด
“แม่ผมไม่อยู่ไง ผมก็เลย...”
“พอๆ ไม่ต้องพูดแล้วๆ” ฉันยกมือขึ้นห้ามก่อนที่ร่างสูงจะพร่ำพูดอะไรที่มันน่าเวทนาออกมาได้อีก ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น “...ก็ได้”
ฉันพานายตุ่นมาที่ร้านอาหารร้านหนึ่งย่านคอนโดของฉันนี่แหละ นายตุ่นดูเหมือนจะชอบใจมากตั้งแต่เดินเข้าร้านมายังยิ้มไม่หุบเลย
“นายชอบร้านนี้ขนาดนั้นเชียว” ฉันถามขึ้นหลังจากที่เราเลือกโต๊ะนั่งได้แล้ว
“ชอบสิ ร้านนี้ดูแพงดูไฮโซดี ผมตื่นเต้นๆ” นายตุ่นว่าก่อนจะตาลุกวาวเมื่อเปิดเมนูอาหาร “แพงจริงด้วย ที่จริงคุณน่าจะพาผมไปกินร้านตามข้างทางก็พอ”
“ฉันไม่เคยกินร้านแบบนั้น = =”
“คุณนี่นะใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย”
“ถ้าใช้คุ้มแล้วต้องเป็นเหมือนนายฉันขอบายดีกว่า” ฉันว่าก่อนจะก้มมองเมนูเพื่อเป็นการตัดบทแต่ก็ยังได้ยินเสียงนายตุ่นชวนคุยด้วยอยู่เนืองๆ แต่ฉันก็เลือกที่จะไม่ตอบจนอีกฝ่ายเงียบลงไปในที่สุด
โล่งหูขึ้นเยอะ
“ทวนรายการอาหารนะครับ ของคุณผู้หญิงเป็นสลัดผลไม้กับน้ำส้ม ส่วนของคุณผู้ชายเป็นผัดกะเพราหมู แกงเขียวหวานไก่ กุ้งอบหม้อดิน ปลาช่อนลุยสวนพร้อมกับเบียร์หนึ่งกระป๋องนะครับ”
“ครับ ตามนั้นเลย”
ไอ้หมอนี่มัน...ฮึ่ย!!
“ว่าแต่คุณชื่ออะไร” นายตุ่นถามขึ้นเมื่อพนักงานเดินพ้นไปแล้ว
“จำเป็นต้องบอกไหม” ฉันถามเขากลับเสียงราบนิ่งพลางจ้องหน้าใบหน้านายตุ่นด้วยแววตาเรียบเฉยอย่างที่ชอบทำจนเคยชิน
“ก็จำเป็นอยู่นะ”
“ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีความจำเป็นตรงไหน”
“คุณนี่ไร้มนุษยสัมพันธ์ม๊ากมาก”
“ถ้าฉันเป็นแบบนั้นจริงฉันคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก จะพูดอะไรนี่ช่วยคิดด้วย” ฉันเหน็บอย่างหมั่นไส้ เป็นคนที่ต้องเจียมตัวแท้ๆ กลับมาถามนั่นนี่ น่ารำคาญ
“ผมควรมอบโล่ให้คุณไหม” นายตุ่นเลิกคิ้วสูงไม่ได้สะทกสะท้านกับคำพูดของฉันเลยสักนิด
“นายอย่ากวนประสาทฉันได้ไหม”
“ผมกวนตรงไหน ผมแค่ถามชื่อคุณเองนะ”
“ไม่บอกโอเคไหม!”
“โอเคคุณไม่บอก ว่าแต่ชื่อแปลกจังเลยน้า”
“นายตุ่น!!” ฉันเรียกชื่อเขาด้วยความโมโห ผู้ชายคนนี้เป็นคนแรกที่ทำให้ฉันอารมณ์ขึ้นได้อย่างง่ายดายแบบนี้ ปกติฉันจะมีใบหน้าที่เรียบเฉยติดออกจะหยิ่งด้วยซ้ำ
“โอ๊ะ คุณรู้ชื่อผมด้วย” นายนั่นยกมือขึ้นปิดปากแสร้งทำสีหน้าตกใจ
=_______=
“อ้อผมแนะนำตัวไปแล้วนี่น่า พี่ตุ่นคนจริง ฮ่าๆๆ”
=_________=
“คุณนี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย” นายนั่นนั่งเท้าคางกับโต๊ะพลางมองหน้าฉันด้วยอารมณ์เซ็งๆ “ถ้าคุณไม่บอกชื่อ ผมจะเรียกคุณว่าคุณนมแบน”
“ไม่เอานะ” ฉันรีบแหวใส่ ส่งสายตาจิกกัดไปให้นายตุ่นอย่างเคืองๆ
“งั้นก็บอกมา”
“...พิมพ์ ฉันชื่อพิมพ์”
“ก็เท่านี้แหละ เก็บอมไว้อย่างกับดอกพิกุลจะร่วงโรยลงมาอย่างั้นแหละ”
Tun’ s part
ผมมองหน้าผู้หญิงคนที่ผมบังเอิญเจอในบาร์อย่างนึกตลก แม่คุณเป็นคนปากร้ายชอบทำหน้าตายแถมยังปรายตามองผมอย่างกับตัวอะไรสักอย่างอีก พอเห็นแบบนั้นเข้าผมเลยนึกอยากจะกวนประสาทขึ้นมา ได้ผลนะ เธอค่อนข้างโมโหผมเชียวล่ะ
สนุกดีออกกก
“คุณนี่ผู้หญิ๊งผู้หญิงเนอะ แต่งตัวดูเนี๊ยบรูปร่างอ้อนแอ้นมีรถคันแบ๊วแถมยังกินอย่างกับแมวดมทั้งๆ ที่ผมจนจะเห็นกระดูกอยู่แล้ว”
“มันเรื่องของฉัน” เธอตอบพลางจิ้มสลัดของเธอต่อไป เห็นแล้วนี่รู้สึกขาดสารอาหารแทน “คุณลองทานผัดกะเพราดู อร่อยนะ”
“อ้วน”
“เรื่องมากนะคุณ” ผมเอ็ดเสียงล้อ แต่ถึงจะอย่างนั้นผมก็พูดจริงนะ ผมค่อนข้างไม่ชอบผู้หญิงประเภทที่จะกินอะไรสักทีต้องมานั่งคำนวณแคลอรีอะ ดูเยอะ
“นายกินของนายไปเถอะ อย่าให้เหลือนะ”
“ผมจะไม่ทำให้คุณต้องเสียตังค์ฟรีแน่นอน” ผมพูดขึ้นพลางตักนั่นกินนี่เข้าปากไปเรื่อยจนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมานั่นแหละถึงจะหยุด
-ไอ้แจ้-
“ว่าไงคะ” ผมกรอกเสียงลงไป แวบหนึ่งคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับผมปรายสายตาขึ้นมองด้วยความสงสัยปนประหลาดใจ
“สวัสดีค่ะ แป้งร่ำฝากมาถามว่าพี่ตุ่นได้ชีทโจทย์วิชาได...ได...”
“ไดนามิกส์ค่ะ”
“ใช่ค่ะวิชานั้นเลย”
“ยังเลยค่ะ”
“ว่าแล้ววว” น้องเทคของผมลากเสียงยาวก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “หนูขี้เกียจบ่นพี่แล้วอะ บ่นไปก็เท่านั้นแหละ แต่พยายามอย่าขาดเรียนนะคะ งั้นเดียวหนูจะบอกให้แป้งร่ำถ่ายชีทเผื่อนะคะ”
“ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่กวนละน้า บ๊ายบาย” พูดจบกุญแจซอลหรือที่ผมเรียกติดปากว่าไอ้แจ้ก็ชิ่งตัดสายไป บางครั้งผมก็คิดนะว่ามีน้องหรือมีแม่กันแน่
“มองไรคุณ” ผมถามเจ้ามือที่เลี้ยงผมในวันนี้อย่างสงสัยก็เล่นจ้องตาไม่กะพริบขนาดนั้น
“ปะ...เปล่า”