2
หรือจะเอา?
ฉันเบิกตากว้างอย่างนึกไม่ถึงว่าจะเจอผู้ชายคนนี้ในสภาพแบบนี้ และเหมือนนายนั่นก็ดูจะตกใจไม่แพ้กันแต่เหมือนจะเพียงแค่แว๊บเดียวเท่านั้นแหละก่อนจะแปรเปลี่ยนมาเป็นหน้าตายียวนตามเดิม
“เอ้าคุณ คิดถึงผมรึไง เก่งนะเนี่ยตามมาถูกด้วย” นายนั่นพูดพลางตบมือแปะๆ ทั้งที่ผู้หญิงของเจ้าตัวยังยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้แท้ๆ
“ใครบอกว่าฉันตามนายมาห้ะ”
“แล้วคุณมาทำไม”
“ฉัน...ฉัน...” จู่ๆ ฉันก็เกิดอาการติดอ่างขึ้นมาเสียอย่างนั้น ก็จะให้บอกได้ยังไงล่ะว่าที่มาที่นี่เพราะได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ นั่นอะ
“พูดไม่ออก แถมหน้ายังแดงอีกนี่คุณตามผมมาจริงๆ อย่างงั้นเหรอ” พูดเสร็จนายนั่นก็ทำหน้าตาเหลอหลาตกอกตกใจจนน่าหมั่นไส้!
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไงเล่า!”
“งั้นคุณก็ต้องตอบได้สิว่ามาโผล่หน้าห้องได้ยังไง”
ฉันส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ละสายตาจากผู้ชายหื่นกามนั่นมามองใบหน้าเล็กของผู้หญิงที่ยังคงมองฉันสลับกับนายนั่นอย่างงงๆ
“คือฉันเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ข้างห้องคุณน่ะค่ะ ก็เลยอยากจะมาทักทาย” ฉันฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตร ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยชอบใจในพฤติกรรมของเธอเท่าไหร่นักแต่ฉันไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่าย
“อ๋อค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ แล้วนี่สองคนนี้รู้จักกันมาก่อนเหรอคะ”
“ไม่ค่ะ/ไม่ครับ” ทั้งฉันและนายนั่นเอ่ยปากปฏิเสธพร้อมกันทันที นี่อาจจะเป็นเรื่องเดียวที่เราคิดเหมือนกันก็ได้ คนรู้จักงั้นเหรอ?
แค่ชื่ออะไรยังไม่รู้เลย!
“อ้าว!”
“ช่างเถอะ เดี๋ยวพี่กลับก่อนนะ” นายนั่นว่าอย่างตัดบท ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ชั่วหนึ่งเจ้าของนัยน์ตาสีดำนั่นสบตากับฉันเล็กน้อยก่อนจะบอก “ไปนะคุณ”
“ก็ไปสิ มาบอกฉันทำไม”
“บังเอิญผมเป็นคนมีมารยาทดีไง” นายนั่นยักคิ้ว
“ดีด็อกล่ะสิไม่ว่า! ถ้าแย่กว่านี้คงจะติดเอฟรีเกรดกี่รอบก็ไม่ผ่านหร๊อก!” ฉันสวนกลับพลางทำหน้ายู่ใส่
“คุณสนใจช่วยรีเกรดเป็นเพื่อนผมปะล่ะ”
“ไม่สนย่ะ!” ฉันว่าเสียงแข็ง “งั้นฉันไปก่อนนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ” ว่าแล้วก็เดินฉับๆ เข้าห้องไม่หันมองข้างหลังอีกเลย
ทันทีที่ฉันกลับถึงห้องพลันเสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้นมา ฉันเดินไปนั่งที่โซฟาตัวใหญ่ก่อนจะยกหูกรอกสายไปพลางคิดในใจว่าถ้าเป็นคุณพ่อโทรมาฉันรีบวางสายทันที
“ลูกพิมพ์!”
“คุณแม่!”
“ลูกอยู่ที่นั่นจริงๆ ด้วยสินะ รู้ไหมว่าตอนนี้แม่เป็นห่วงลูกมากแค่ไหน กลับบ้านเถอะนะ ลูกพ่อเขายอมลูกแล้วนะพิมพ์”
“คุณแม่อย่ามาโกหกพิมพ์หน่อยเลย ยังไงพิมพ์ก็ไม่กลับจนกว่าคุณพ่อจะเลิกหาทางจับคู่ดูตัวให้พิมพ์สักที พิมพ์เป็นลูกนะคะไม่ใช่สินค้า”
“พ่อเขาไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ” คุณแม่แก้ต่าง
“เลิกเข้าข้างคุณพ่อสักทีเถอะค่ะ ได้โปรดเห็นใจพิมพ์บ้าง พิมพ์ทนอยู่ในกรงทองที่คนในบ้านพร้อมที่จะยกไปขายให้ใครอีกแล้วนะคะ”
“พิมพ์”
“พิมพ์รักแม่นะคะ” ฉันว่าเสร็จก็ชิ่งวางสายไป ยอมรับว่าฉันรู้สึกผิดที่ทำให้คนเป็นแม่ต้องเป็นห่วง แต่ขอสักครั้ง...
ขอให้ฉันเลือกใช้ชีวิตในอย่างที่ตัวเองต้องการบ้าง...แค่สักครั้ง
มหาวิทยาลัย
ฉันเดินออกจากตึกเรียนมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีคนของคุณพ่ออยู่แถวนี้แล้วจริงๆ ฉันก็รีบชิ่งวิ่งขึ้นไปยังรถไฟฟ้าที่ผ่านมาตรงหน้าคณะพอดี
“คณะวิศวะค่ะลุง”
ฉันบอกลุงคนขับก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง สงสัยล่ะสิว่าทำไมฉันถึงไปคณะนั้น ก็เพราะว่าฉันจอดรถทิ้งไว้ที่นั่นน่ะสิ พอดีฉันกลัวว่าคุณพ่อจะให้คนมาดักรอที่รถน่ะเลยต้องเลือกจอดที่คณะไกลๆ และต้องเป็นที่ที่ไม่ว่าใครก็ตามที่รู้จักตัวฉันต้องคาดไม่ถึง
ตอนนี้เวลาเกือบหกโมงเย็นเข้าไปแล้วแต่ก็ยังมีพวกเสื้อช็อปเดินวนเวียนกันอยู่ให้ควั่ก นี่ขนาดฉันอยู่ในชุดนักศึกษาธรรมดาที่ไม่ใช่เสื้อกาวน์ยังโดนมองเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมเลยอะ แล้วนี่ถ้าฉันใส่เสื้อกาวน์มาคงได้ตาถลนออกมาแน่ๆ
เพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตานานฉันเลยรีบเร่งฝีเท้าไปยังลานจอดรถที่อยู่หลังตึกสูงของคณะนี้ รถมินิคูเปอร์จอดเด่นอยู่ท่ามกลางรถกระบะพลันเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
“ฮัลโหล ว่าไง” ฉันกรอกเสียงทักทายยัยส้มเพื่อนสนิทตั้งแต่ประถม เราสองคนเรียนห้องเดียวกันมาตลอดจะแยกกันก็ตอนที่ยัยที่เกิดติสท์หนีไปเรียนมหาวิทยาลัยเล็กๆ ในต่างจังหวัดนี่แหละ
“ได้ข่าวว่าหนีออกจากบ้าน”
“คุณแม่โทรไปบอกแกอะดิ”
“ก็ท่านไปห่วงแกไง แต่ฉันก็เข้าใจนะ เป็นฉันฉันก็จะหนีออกมาเหมือนกัน” พูดแบบนี้คุณแม่คงเล่าให้ฟังหมดแล้วแน่ๆ
“ที่จริงฉันกะย้ายตอนปีสี่อยู่แล้วเพราะยังไงมันก็สะดวกกว่าตอนขึ้นวอร์ด แต่นี่ดันเกิดเรื่องมาก่อนไง”
“ยอมใจแกจริง แล้วนี่อยู่ไหน”
“อยู่วิศวะ”
“ห้ะ!!” ยัยส้มร้องขึ้นอย่างตกใจจนฉันต้องเอามือถือออกห่าง “แกนี่นะไปเหยียบวิศวะ ไหนว่าไม่ชอบไง มีแต่พวกเถื่อนๆ หยาบคายบ้างล่ะ ติดเหล้าบ้างล่ะ”
“ฉันแค่เอารถมาจอดที่นี่เพื่อไม่ให้คุณพ่อหาเจอเท่านั้นเอง แล้วฉันก็ยังยืนยันคำเดิมว่าฉันไม่ชอบพวกเด็กคณะนี้เลยสักนิด”
“อย่าพูดเสียงดังไป แกอยู่ถิ่นเขาอยู่นะพิมพ์”
คำพูดของเพื่อนสนิททำให้ฉันหันไปมองรอบๆ ตัวอย่างนึกสำรวจว่าจะมีใครมาแอบได้ยินประโยคเมื่อกี้ที่ฉันพูดไปบ้างหรือเปล่า ก็พอรู้มาบ้างว่าเด็กคณะนี้เขารักชื่อเสียงของคณะยิ่งชีพ ถ้าเกิดมีใครมาได้ยินที่ฉันพูดเข้ามีหวังได้โดนฆ่าโบกปูนแน่ๆ
“ไม่มีหรอกแก...อย่าหะ...”
สวบ!
พูดยังไม่ทันขาดคำเสียงคนเหยียบใบไม้ก็ดังขึ้นมา ฉันหันไปตามเสียงนั้นด้วยสัญชาตญาณก่อนจะเจอผู้ชายในเสื้อช็อปเดินย่ำเท้าเข้ามา ในมือเขายังมีก้นบุหรี่ที่ใกล้จะหมดคีบไว้อยู่ทั้งที่มีป้ายเขียนไว้ว่า ‘ห้ามสูบบุหรี่’ ติดไว้ที่ต้นไม้ใหญ่มองเห็นได้ชัดเจนแล้วแท้ๆ
“อ้าวคุณ สนใจลงหลุมฝังกลบหน่อยไหม”
ไอ้บ้าลามกนั่นอีกแล้ว!!!
ฉันกดวางสายจากยัยส้มแล้วมองหน้าผู้ชายที่เดินตรงเข้ามาหาฉันอย่างหวาดๆ นี่ฉันคงไม่ได้รู้สึกกลัวนายนี่หรอกใช่ไหม ไม่หรอก...ฉันปลอบใจตัวเอง แต่รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังก็ชนเข้ากับประตูรถเสียแล้ว
“คุณดูกลัวๆ นะ”
“คะ..ใครกลัว! ฉันไม่ได้กลัวนายสักหน่อย” ฉันว่าเสียงแข็ง เชิดคอหน้าตั้งก่อนจะย่นจมูกเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นบุหรี่ลอยมา
“โกหกไม่เนียนเลยนะคุณ”
“ฮึ่ย!”
หมอนี่กดยิ้มมุมปากเมื่อฉันไม่สามารถต่อกรกับเขาได้ ขายาวสืบเท้าเข้ามาก่อนจะยกนิ้วที่คาบบุหรี่แล้วดูดเข้าปอดจนแก้มตอบมองฉันด้วยสายตานึกสนุก
ฟู่ววววว
มันพ่นควันใส่หน้าฉัน T [] T
“แค่กๆ ไอ้บ้า นายทำอะไร แค่กๆ จะฆ่าฉันรึไง” ฉันพูดไปสำลักควันไปเพราะไม่ได้ทันตั้งตัวเลยเผลอสูดเข้าไปเต็มปอด
“อย่ามาสำออยน่าคุณ” ฉันเบิกตากว้าง เมื่อกี้ฉันโดนผู้ชายด่าใช่ไหม
“ฉันแพ้ควันบุหรี่ต่างหากล่ะไอ้บ้า” ฉันแหวใส่
เขาชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่ฉันพูด ตอนแรกเหมือนเขาจะรู้สึกผิดนะแต่ไม่เลย นายนั่นยักไหล่อย่างไม่แคร์ก่อนจะทิ้งก้นบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้มันบดมันไปมา
“ลองหัดสูบดิ เผื่อจะหายแพ้ก็ได้”
“นายจะบ้ารึไง นายคิดแล้วใช่ไหมที่พูดออกมาน่ะ” ฉันส่ายหน้าอย่างปวดหัวในความคิดของผู้ชายคนนี้จริงๆ
“ก็ผมบอกว่าเผื่อจะ คุณเข้าใจคำว่าเผื่อจะไหมแบบห้าสิบๆ ไม่ลองไม่รู้ไรงี้”
“กวนประสาท” ฉันกระแทกเสียงใส่ ก่อนจะหมุนตัวกลับเพื่อเปิดประตูรถ ฉันอยากกลับคอนโดไปนอนแล้ว เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว
“เดี๋ยวคุณ”
“อะไรอีกเล่า” ฉันเอี้ยวตัวไปถามอย่างรำคาญ
ที่จริงฉันไม่ได้นิสัยแย่แบบนี้หรอกแต่การเจอกันครั้งแรกของฉันกับเขาไม่น่าจดจำเท่าไหร่นัก เขาไม่พูดคำว่าขอโทษฉันสักคำเลยนะแถมยังทำตัวน่าโมโหพูดจายียวนอีก จะให้ฉันพูดจาคะขากับเขายังไงไหว
“ผมได้ยินนะ ที่คุณคุยโทรศัพท์” จู่ๆ หมอนั่นก็พูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“อะ...อะไร”
“ยังจะถามอีกเหรอ!”
“แล้ว...นายมาตวาดใส่ฉันทำไมเล่า” ฉันพูดเสียงสั่นๆ
“ปากอย่างคุณนี่นะ”
“ทะ ทำไม ปากอย่างฉันมันทำไมห้ะ” พูดเสร็จฉันก็กัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น รู้สึกหาเรื่องใส่ตัวขึ้นมาทันทีแต่ต้องทำหน้าเชิดเข้าไว้เดี๋ยวนายนี่จะได้ใจ
“กลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว ยังทำเป็นปากเก่ง” เจ้าของผมหยักศกพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายจะเย้ยหยัน “ถ้าคุณกลัวขนาดนี้คุณก็ไม่น่าจะพูดแบบนั้นตั้งแต่ทีแรก ทำไม คณะผมมันทำไม”
“ก็ไม่ชอบอะ”
“ก็นั่นแหละไม่ชอบเพราะอะไร! หรือเคยโดนฟันแล้วทิ้ง?”
“ไม่ใช่สักหน่อย!” ฉันว่าพร้อมหลุบตาต่ำ รู้สึกกระดากอายขึ้นมา “ไม่ชอบก็คือไม่ชอบอะ ฉันจะกลับแล้ว ห้ามเรียกอีกนะ ฉันจะไม่หันแล้ว”
“คุณ”
“เรียกทำไมอีก”
“แล้วคุณหันมาทำไมอะ” ฉันย่นคิ้วรู้สึกเสียหน้าขึ้นมาตงิดๆ เมื่อเห็นนายนี่หัวเราะขำออกมา อารมณ์เปลี่ยนไวเหลือเกินนะพ่อคุณ “คุณจะไปคอนโดใช่ปะ ผมไปด้วยดิ”
“แล้วทำไมนายไม่ไปเอง”
“ก็ผมไม่มีคีย์การ์ด น้องก้อยเขาก็ปิดเครื่องด้วยอะ น่าคุณน้ำใจคนไทย”
“ฉันนึกว่านายจะอยู่ที่นั่นเสียอีก”
“พูดไรดูหน้าผมด้วยคุณ นี่ผมควรดีใจใช่ไหมที่ราศีจับสามารถซื้อคอนโดหรูที่นั่นได้อะ ผมอะจนจะตาย นี่ก็ว่าจะไปขอกินข้าวที่ห้องน้องก้อยเขา”
“นี่พูดจริงไหม” ฉันถามเสียงสูงเลิกคิ้วขึ้นอย่างประเมินคำพูด
“คนอย่างผมพูดจริงทำจริงอยู่แล้ว พี่ตุ่นคนจริงน่ะรู้จักไหมคร๊าบบบ”