4
ยิ่งหนียิ่งเจอ
ฉันไม่คิดว่าผู้ชายแบบนายตุ่นที่ดูห่ามๆ จะพูดคะขาเป็นกับเขาด้วย มีคนบอกไว้ว่าผู้ชายที่พูดคะขาถ้าไม่เป็นคนที่อบอุ่นมากก็เป็นคนที่เจ้าชู้มากเช่นกัน ซึ่งในกรณีแบบนี้นายตุ่นจัดอยู่ในประเภทหลังอย่างไม่มีข้อสงสัย ฉันไม่น่าไปสงสารเขาเลยจริงๆ
“ผมไปก่อนนะคุณ” นายตุ่นพูดขึ้นหลังจากฟาดอาหารบนโต๊ะจนหมดเกลี้ยงอย่างที่ลั่นวาจาไว้ ฉันนี่อึ้งไปเลยตอนที่เห็นเขาสวาปาม สงสัยคงจะหิวจริงๆ นั่นแหละ
“นายจะกลับยังไง”
“เดี๋ยวเพื่อนมันมารับ ส่งไลน์ไปบอกมันแล้วไม่ต้องเป็นห่วงนะคุณ”
“ใครห่วงนาย!” ฉันว่าเสียงเข้ม หมอนี่ต้องสอบตกวิชาภาษาไทยเรื่องการตีความแน่ๆ “แล้วทำไมไม่บอกเพื่อนนายตั้งแต่ทีแรก จะให้ฉันเลี้ยงข้าวนายทำไม”
“เพื่อนผมมันก็จน เมื่อวานมันยังไปแคะกระปุกซื้อมาม่าต้มกินอยู่เลย” นายตุ่นไหวไหล่เล็กน้อยราวกับเรื่องที่พูดมันเป็นเรื่องปกติ “แต่ผมดันไม่มีกระปุกให้แคะไง”
“พวกนายใช้ชีวิตกันได้ยังไง” ฉันถามเสียงฉงน ถ้าเป็นอย่างที่นายตุ่นบอกจริงๆ ก็ไม่แปลกที่เขาจะเขมือบอาหารสามสี่อย่างไปคนเดียวแบบนี้
“ก็อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้นี่แหละ”
“อืม” ฉันรับคำในลำคอก่อนจะเรียกพนักงานเพื่อเปลี่ยนเรื่อง ฉันไม่ชอบอะไรที่มันหดหู่แบบนี้น่ะ พอฟังแล้วอดย้อนนึกถึงตัวเองไม่ได้ทุกที
“น้องคะเดี๋ยวขอข้าวผัดอะไรก็ได้ใส่กล่องมาซักสี่กล่องนะคะพร้อมเช็กบิลล์มาเลยนะคะ”
“คุณสั่งไปกินมื้อดึกเหรอ” นายตุ่นเลิกคิ้วถามขึ้นเมื่ออยู่กันสองคน
“เปล่า ฉันสั่งให้นายกับเพื่อนนาย ฉันจะบอกว่าพวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปน่ะมันไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าพวกนายไม่มีเงินจริงๆ ก็น่าจะซื้อพวกไข่ไก่มาทอด ส่วนข้าวก็ไปซื้อมาสักห้าบาทสิบบาทตามร้านอาหารตามสั่งอะ ฉันคิดว่าเขาคงขายให้นะ” ฉันขมวดคิ้วเพราะเริ่มไม่แน่ใจว่าพวกร้านอาหารเขาจะยอมแบ่งขายข้าวเปล่าทีละนิดหรือเปล่า
“ยุ่งยากจังคุณ แต่ก็เอาเถอะผมจะลองดู”
“อ่าหะ” ฉันพยักหน้าเบาๆ แล้วนั่งเงียบจนกว่าพนักงานจะเดินเข้ามาอีกครั้งพร้อมข้าวกล่อง
“หนึ่งพันสามร้อยยี่สิบบาทครับ” ฉันหยิบเงินสดให้พนักงานไป เขาดูแปลกใจเล็กน้อยที่ฉันเป็นคนจ่ายในขณะคนที่ควรจะอายกลับหยิบไม้จิ้มฟันมาแคะฟันเฉย
เราสองคนออกจากร้านพร้อมกัน ในขณะนั้นก็มีรถบีเอ็มสีดำขับเข้ามาพร้อมกับเสียงเบรกรถดังเอี๊ยด ฉันย่นคิ้วเล็กน้อยกับเสียงของมันที่ชวนให้ปวดหัวพอๆ กับเสียงบิดมอเตอร์ไซค์ของพวกนักบิด
“ผมไปก่อนนะคุณ เพื่อนผมมาแล้ว”
“เพื่อน? ไหนนายบอกเพื่อนนายจนไง แต่ขับบีเอ็มนี่นะ” ฉันเลิกคิ้วถามเสียงสูง
“อ้อที่มันจนเพราะคืนก่อนดันไปทะเลาะกับคู่อริจนร้านเหล้าเขาพังอะเลยต้องชดเชยค่าเสียหาย” นายตุ่นพูดด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อนในขณะที่ฉันเริ่มหน้าแดงก่ำเพราะความโมโห
“ไอ้บ้าเอ๊ย!” โดยที่นายตุ่นไม่ทันตั้งตัว ฉันปลดกระเป๋าที่คล้องบ่าเอาไว้จัดการเหวี่ยงไปที่หลังของเขาอย่างเต็มแรงแล้วยัดถุงข้าวกล่องใส่มือให้เขาแล้วรีบย่ำเท้าเดินออกมา
“คุณตีผมทำไม!” ฉันได้ยินนายตุ่นตะโกนไล่หลังมา แต่ฉันไม่สนใจหรอกยังเดินฉับๆ ไปที่รถแล้วเข้าไปนั่งก่อนจะสตาร์ตรถออกมาด้วยความเร็วค่อนข้างจะสูงตามแรงอารมณ์
ฉันจะไม่หลงสงสารผู้ชายคณะนี้อีกแล้ว!
Tun’ s part
“อะ เอาไป” ผมเปิดประตูรถก่อนจะโยนกล่องข้าวให้ไอ้ริที่รับไปอย่างมึนๆ
“อะไร”
“ข้าวไง”
“มึงซื้อ?” ไอ้ริเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
“ผู้หญิงคนที่เดินออกมาพร้อมกูอะซื้อให้” ผมตอบมันด้วยท่าทีหงุดหงิด ความเจ็บจากการโดนกระเป๋าราคาแพงนั่นฟาดเข้าสร้างความเจ็บใจให้ผมไม่น้อย
“นี่มึงเกาะผู้หญิงกินเหรอวะ”
“ไอ้ห่าน! กระเป๋าตังค์กูอยู่ในรถ”
“แล้วนี่พวกกูให้มึงไปจัดการกับคนที่ด่าคณะ ทำไมมึงถึงหายหัวแล้วโผล่มาอยู่ที่นี่ได้วะ หรือว่า...”
“เออ! ผู้หญิงคนนั้นแหละเป็นคนพูด แล้วไม่ต้องไปบอกพวกที่เหลือล่ะ เพราะกูจัดการเอาคืนยัยนั่นไปแล้ว” ผมกำชับเสียงจริงจัง
ที่จริงตอนนั้นผมกับพวกเพื่อนมาสุมหัวสูบบุหรี่กันอยู่ตรงนั้น พลันหูก็ไปได้ยินเสียงของผู้หญิงที่พูดเหมือนว่าไม่ชอบคณะผมเข้า ไอ้พวกนั้นได้ยินก็ร่ำๆ จะไปสั่งสอนในขณะที่ผมคัดค้านและอาสาขอไปเองเพราะผมดันจำเสียงผู้หญิงคนนั้นได้
“ไอ้พวกนั้นมันไม่ได้เคียดแค้นอะไรมากหรอก ยิ่งสวยแบบนั้นกูว่าพวกมันน่าจะสยบแทบเท้ามากกว่า แต่หน้าแม่งหยิ่งฉิบ เออแล้วทำไมถึงโดนคนสวยนั่นฟาดเอาวะ”
“กูก็ไม่รู้ว่ะ มือหนักฉิบ”
“สมน้ำหน้า!”
“มึงขับรถไปเลย ไม่ต้องมายุ่ง”
รู้อะไรไหมว่าสองสามวันที่ผ่านมามันค่อนจะเงียบมากไปหน่อย ฉันใช้ชีวิตโดยสงบไม่มีสิ่งใดมารบกวนอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก นี่มันเข้าข่ายที่เขาเรียกกันว่าคลื่นใต้น้ำไหมนะ
คุณแม่โทรมาบอกฉันว่าคุณพ่อท่านยอมฉันแล้วจริงๆ ฉันสามารถอยู่ที่ไหนก็ได้ตามใจชอบและยังบอกว่าจะโอนเงินให้ฉันใช้เหมือนเดิมด้วย แปลก...คุณพ่อฉันเป็นคนดื้อรั้นและฉันได้นิสัยส่วนนี้มาค่อนข้างจะมาก มันไม่มีทางเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะทำแบบนี้
นอกจากท่านมีแผนอะไรเอาไว้ในใจ
“ยางแบน!” ฉันโพล่งขึ้นเมื่อเดินมาถึงรถ หลังจากวันนั้นฉันก็มาจอดรถที่คณะวิศวะเหมือนเดิมนี่แหละ แค่เปลี่ยนเป็นหลังตึกอื่นเท่านั้น
ฉันขมวดคิ้วเดินเวียนรอบรถเมื่อล้อทั้งสี่แบนอย่างจงใจเกินไป มีใครเล่นตลกกับฉันอีกเนี่ย คนยิ่งเหนื่อยๆ อยู่ ฉันคิดในใจพลางสาวเท้าไปยังบนตึกของคณะเพื่อดูกล้องวงจรปิด ยังไงฉันก็จะไม่อยู่เฉยแน่ๆ เล่นแกล้งกันกลางวันแสกๆ แบบนี้มันชักจะได้ใจเกินไปแล้ว
“ขอโทษนะคะ มีเรื่องรบกวนหน่อยค่ะ” ฉันเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาถึงห้องเล็กๆ ที่กั้นด้วยกระจกใส ภายในห้องนั้นมีจอมอร์นิเตอร์ที่กำลังฉายภาพวงจรปิดอยู่
“มีอะไรครับนักศึกษา” ลุงยามที่เฝ้าห้องอยู่ถามขึ้น
“คือพอดีรถหนูล้อมันแบนทั้งสี่ล้อเลยค่ะ หนูก็เลยคิดว่าอาจจะมีใครแกล้ง รบกวนช่วยเช็กภาพจากกล้องวงจรปิดได้ไหมคะ”
“ช่วงเวลาไหนครับ”
“วันนี้ค่ะ ตอนประมาณเจ็ดนาฬิกาถึงสี่โมงเย็น ทะเบียนรถ พต 2468”
“รอสักครู่นะครับ”
ฉันพยักหน้าพึมพำขอบคุณเสียงเบาก่อนจะยืนอยู่บริเวณหน้าห้องนั่นแหละ สายตาก็สอดส่องผ่านกระจกใสเพื่อมองจอมอร์นิเตอร์ไปด้วย
หรือว่าคุณพ่อจะเป็นคนทำ...
ผ่านๆ ไปราวเกือบหนึ่งชั่วโมง ท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีส้มหม่นเพราะความมืดเริ่มคืบคลาน ฉันยืนพิงกับผนังกระจกใสพลางยกมือขึ้นกอดอกอย่างรอคอยแต่ก็ยังไม่มีเบาะแสใดๆ แสดงออกมา
ฉันขมวดคิ้วจนย่นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนจำนวนไม่น้อยแว่วเข้ามา ก่อนจะเจอกับบรรดานักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ลงมาจากตึกเรียน เสียงเกรียวกราวที่ดังจนฟังไม่ออกว่าเป็นของใครต่อของใครทำให้ฉันหรี่ตาแคบอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก
พอมองดีๆ ก็คล้ายกับเด็กช่างที่เตรียมยกพวกกันไปต่อยตีกันมากกว่า
“อ้าวคุณ มาดักรอผมเหรอ” เสียงยียวนดังขึ้นอย่างจงใจทำให้ฉันลอบถอนหายใจ ตั้งท่าว่าจะเบือนหน้าหนีแต่นายตุ่นกลับเดินเข้ามาหยุดที่ตรงหน้าฉันเสียก่อน
“เปล่า” ฉันตอบเสียงเรียบ ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ นอกจากความเบื่อหน่ายที่ต้องมาเจอหน้าผู้ชายคนนี้เท่านั้น ฉันยังเจ็บใจไม่หายเลยนะ
“หรือมาหาแฟน”
“นายลืมไปแล้วรึไงว่า...” ฉันไม่ชอบเด็กคณะนี้
ฉันกลืนคำประโยคต่อท้ายลงในลำคอเมื่อจู่ๆ นายตุ่นก็เข้ามาประชิดตัวแถมยังเอาแขนพาดไว้บนไหล่ฉันอีกด้วย แต่นั่นก็ไม่เท่ากับที่หมอนี่ส่งสายตาดุให้มาประมาณบอกฉันให้เงียบพลางเชิดหางตาไปด้านหลังที่มีกลุ่มคนที่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนของเขายืนแปลกใจกันอยู่
“โทษทีๆ ผมลืมไปว่าคุณไม่มีแฟน”
“=_=”
“ผู้หญิงเขาไม่ชอบให้พูดแบบนี้กันสินะ”
“ปล่อย!” ฉันว่าพร้อมกับสะบัดตัวออกจากแขนหนักนั่นพร้อมกับส่งตาขวางไปให้
“อย่าทำหน้าเหมือนผมแต๊ะอั๋งคุณได้ปะ”
“ก็เมื่อกี้นาย...”
“ถ้าเมื่อกี้เรียกว่าแต๊ะอั๋ง ผมคงแต๊ะอั๋งผู้หญิงทั้งคณะแล้วล่ะคุณ” น้ำเสียงขบขันดังขึ้นจากปากเข้มนั่น มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นพวกติดบุหรี่ขนาดหนัก
“=___=”
“อ้อ แต่ถ้าตอนที่เราเจอกันที่บาร์ก็ว่าไปอย่าง”
“ไอ้...!” ฉันอ้าปากค้างอย่างตกใจเพราะไม่คิดว่านายตุ่นจะพูดเรื่องคืนนั้นขึ้นมาอีก คืนที่ฉันลบมันออกจากความทรงจำไปแล้วแท้ๆ
“หืม? แกไปทำอะไรคุณคนสวยเขาวะ” ผู้ชายผิวขาวไว้ผมยาวกว่านายตุ่นพูดขึ้น
“คือข้าเผลอ...”
“อย่าพูดนะไอ้บ้า!”
ฉันโพล่งออกไปก่อนจะเตรียมฟาดหน้านายตุ่นด้วยกระเป๋าของฉันอีกครั้ง แต่นายนั่นดันรู้ทันรีบคว้ากระเป๋าฉันเอาไว้กระตุกเพียงนิดร่างของฉันก็ถลาไปข้างหน้าจนต้องรีบปล่อยกระเป๋าให้หลุดมือไปก่อนที่จะล้ม
“ถ้าคุณตีผมอีกผมแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกายแน่ รอยที่คุณทำเอาไว้ที่หลังผมยังไม่หายเลย”
“รอยอะไรวะ คิสมาร์กเหรอ”
“คิสมาร์กป้าแกสิไอ้ขวาน รอยกระเป๋าที่ฟาดกูนี่แหละ” น้ำเสียงโมโหปนหงุดหงิดว่าขึ้นจนคนที่ชื่อขวานหน้าจ๋อยถอยร่นไป
“เอากระเป๋าฉันคืนมา!” ฉันแหวใส่
“ตอบผมมาก่อนว่ามาที่นี่ทำไมอีก” หมอนี่คงคิดว่าหลังจากวันนั้นฉันคงจะกลัวหัวหดจนไม่กล้ามาที่นี่อีกสินะ คิดผิดไปสิบชาติ - -
“ไม่ได้มาหานายก็แล้วกัน” ฉันว่าจบเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ลุงยามเดินออกมาพร้อมกับใบหน้าที่เหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดเพราะคงจ้องมองจอมอร์นิเตอร์นานเกินไป “ได้เรื่องอะไรไหมคะ”
“ไม่มีคนที่น่าสงสัยเลยครับ”
“ไม่มีเลยเหรอคะ”
“ครับ” ฉันถอนหายใจออกมาอย่างคิดไม่ตกกับคำยืนยันนั่น มันจะเป็นไปได้เหรอที่ล้อรถทั้งสี่มันจะพร้อมใจกันแบน ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว...
“ขอบคุณนะคะ” ฉันยกมือไหวลุงยามก่อนจะเลื่อนสายตามามองนายตุ่นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน “ขอกระเป๋าฉันคืนเถอะนะ”
“มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าคุณ” หมอนั่นเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย
ฉันไม่ตอบก่อนจะใช้จังหวะที่นายตุ่นไม่ระวังตัวรีบกระชากกระเป๋าออกมาไว้กับตัวแล้วเดินดุ่มๆ ไปที่ลานจอดรถอีกครั้งอย่างไม่คิดแม้จะหันหลังกลับไปมองพวกนายตุ่นเลยแม้แต่น้อย