เมื่อได้เห็นเอกสารที่ต้องการจริง ๆ หญิงสาวแทบจะยกเท้าก่ายหน้าผากตนเอง ตอนนี้บริษัทกำลังขาดสภาพคล่องอย่างที่พี่ชายกล่าว แต่แซนด์ไม่คิดว่ามันจะหนักหนาถึงขั้นอาจจะล้มละลายเร็ว ๆ นี้
เธอได้มีการหารือกับภูธเนศอย่างเคร่งเครียดจึงได้รู้ว่าบริษัทประสบปัญหานี้มาตั้งแต่พ่อยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ท่านพยายามประคองบริษัทให้ตลอดรอดฝั่ง โดยการกู้เงินจากคนรู้จักของท่าน หรือที่เรียกว่าเงินกู้นอกระบบ
ตอนที่ภูวสิษฏ์มีชีวิตอยู่ก็ส่วนหนึ่ง แต่เมื่อเสียชีวิตไปหนี้สินจึงตกมาอยู่ที่ทายาท มรดกในส่วนที่ภูธเนศได้รับก็นำไปใช้หนี้สินดังกล่าวจนหมดแล้ว
แม้หนี้สินจะหมดไปแต่บริษัทก็ยังระส่ำระสาย เพราะอย่างนั้นภูธเนศจึงเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหาวิธีการเดียวกับภูวสิษฏ์อีกครั้ง
“เฮ้อ…” หญิงสาวถอนหายใจเสียงดังอย่างคิดไม่ตก พลางโยนเอกสารในมือลงบนโต๊ะในร้านกาแฟ
“แกถอนหายใจร้อยรอบแล้วนะแซนด์ เป็นไรเนี่ย” น้ำหวาน เพื่อนสนิทของแซนด์ถามอย่างนึกสงสัย หล่อนเห็นเพื่อนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตั้งแต่เจอหน้า ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบห้าปี ล่าสุดพบกันตอนน้ำหวานไปเที่ยวอังกฤษ
“มีเรื่องให้คิดน่ะ”
“ไหนบอกว่าไม่ได้คิดเรื่องว่าที่สามีแกแล้วไง”
“ก็ไม่ได้คิดเรื่องนั้น” หญิงสาวรู้สึกแสลงหูเมื่อได้ยินคำว่า ‘ว่าที่สามี’ เพราะเธอรู้สึกเกลียดชังณดล ไม่ใช่เพราะเขาเป็นเกย์ แต่เกลียดที่เขาหลอกลวงและนอกใจเธอต่างหาก
“แล้วคิดเรื่องอะไร แกเพิ่งกลับมาแหม็บ ๆ เองนะ” นอกจากเรื่องความรักที่เพิ่งล้มเหลวของเพื่อน ก็นึกไม่ออกแล้วว่าคนที่เพียบพร้อมอย่างแซนด์จะประสบปัญหาเรื่องใดได้อีก
“เรื่องบริษัทพ่ออะสิ”
“ทำไมอะ” น้ำหวานก้มมองเอกสารที่เพื่อนโยนลงบนโต๊ะด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“การเงินบริษัทติดลบ มีสิทธิ์ล้มละลายสูงมาก” แซนด์ยอมบอกเพื่อนรักไปตามตรง ด้วยเพราะสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว พวกเธอสามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและระบายปัญหาให้กันและกันฟังได้เสมอ
“แล้วพี่ชายแกอะ?”
“ก็ช่วยกันแก้ปัญหาอยู่เนี่ยแหละ แต่ยังไงก็คือต้องหาเงินมาหมุนให้บริษัทเดินต่อไปได้” รวมถึงต้องหาเงินหนึ่งร้อยล้านมาชำระหนี้ให้ครบภายในสองอาทิตย์ ซึ่งถ้าเธอทุ่มเงินหมดหน้าตักก็ยังขาดอีกสามสิบกว่าล้าน
“แล้วแกคิดออกยังว่าจะเอาไง”
“ฉันมีเงินเก็บจำนวนหนึ่ง แต่มันก็ยังไม่พอใช้หนี้อยู่ดี”
“แกขาดอีกเท่าไรล่ะ ฉันมีเงินเก็บอยู่นิดหน่อย”
“ถ้าเอาแบบฉันไม่หมดตัวก็น่าจะขาดอีกสี่สิบล้าน”
“โห…” น้ำหวานถึงกับปิดปากร้องครางอย่างตื่นตระหนก ก่อนจะขมวดคิ้วเครียดไปกับเพื่อน เพราะเงินเก็บนิดหน่อยของเธอยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนหนี้ของเพื่อนเลย “ฉันมีเงินเก็บยังไม่ถึงหกล้านเลยแกเอ๊ย”
“ฉันไม่ยืมเงินแกหรอก ยังไม่อยากเสียเพื่อน” แซนด์พูดติดตลก
“ฉันเครียดแทนเลยว่ะ แล้วจะไปหาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหน”
“สมองโคตรตื้อ เวลามันกระชั้นชิดด้วย ไม่รู้ว่าพี่ภูจะหาเงินส่วนนั้นได้รึเปล่า ฉันถึงต้องหาแผนสำรองเนี่ย”
“เออ ฉันเพิ่งนึกออก”
“เรื่อง?”
“ฉันรู้จักรุ่นน้องอยู่หนึ่งคน เขาเป็นเจ้าพ่อเงินกู้ที่คิดดอกเบี้ยไม่แพง บางคนก็ไม่คิดดอกเบี้ยเลย แกสนใจมั้ยล่ะ ถ้าสนใจจะติดต่อให้”
อันที่จริงการกู้เงินนอกระบบมันค่อนข้างน่ากลัวสำหรับเธอ ต้นเหตุที่ทำให้ลำบากกันอยู่ตอนนี้ก็เพราะวิธีแก้ปัญหานั้น แซนด์ไม่อยากวนลูปแบบเดียวกับพ่อและพี่ชาย
ทว่าหญิงสาวมีความจำเป็นให้ต้องหยุดคิดแวบหนึ่ง เพราะคำว่าดอกเบี้ยไม่แพงกับไม่คิดดอกเบี้ย ถ้าเจ้าพ่อเงินกู้คนนั้นรู้ว่าน้ำหวานเป็นคนแนะนำเธอมา เขาอาจจะเห็นใจเธอก็ได้
“แกลองกลับไปคิดดูก่อนก็ได้นะ เผื่อไม่สะดวกใจ”
“ถ้ามันจำเป็นจริง ๆ ฉันก็คงต้องเลือกทางนั้น” ในเมื่อเธอมีแรงและหนทางพอที่จะช่วยเหลือบริษัทที่พ่อรัก ดังนั้นเธอจะพยายามให้สุดความสามารถจนกว่าจะไม่ไหวแล้ว
“ยังไงก็บอกฉันแล้วกัน เขาใจดี”
“แล้วแกไปรู้จักกับเจ้าพ่อเงินกู้ได้ยังไง”
“ฮีเป็นรุ่นน้องสมัยป. โทของฉัน แล้วก็เป็นคนเดียวกันกับที่ให้ฉันยืมเงินมารักษาแม่ตอนป่วยเป็นมะเร็งน่ะ”
จำได้ว่าสามปีก่อนแม่ของน้ำหวานป่วยเป็นมะเร็งเต้านม ตอนนั้นหล่อนเครียดเรื่องเงินค่ารักษา แซนด์จึงออกปากว่าจะให้ยืมเงินแล้วถ้ามีเมื่อไรก็ค่อยเอามาคืน แต่ไม่กี่วันน้ำหวานก็ส่งข้อความกลับมาพร้อมกับบอกว่ามีเงินรักษาแม่แล้ว
แซนด์รู้สึกแปลกใจจึงถามไถ่ตามปกติ ซึ่งเพื่อนก็ยอมบอกความจริงว่ามีคนให้ยืมเงินก้อนหนึ่งโดยไม่คิดดอกเบี้ย โดยที่ตอนแรกคนคนนั้นไม่คิดจะเอาเงินคืนด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะความเกรงใจของน้ำหวานถึงได้เสนอขอแบบไม่มีดอกเบี้ยแทน
“อ้อ คนคนนั้น”
“เขาชอบช่วยเหลือคนน่ะ แต่แกต้องรีบตัดสินใจหน่อยนะ เพราะเขาชอบเดินทางไปต่างประเทศ”
เป็นไปได้ก็อยากให้พี่ชายรับผิดชอบตรงนี้มากกว่า แต่ถ้ามันจนตรอกจริง ๆ เธอทำตามที่เพื่อนแนะนำ
“อื้อ ฉันขอดูท่าทีพี่ภูอีกทีแล้วจะให้คำตอบนะ คงไม่เกินหนึ่งอาทิตย์หรอก”
หลายอาทิตย์ต่อมา...ปุ้ง!“ยินดีต้อนรับกลับมาค่ะคุณจีน่า” แซนด์ดึงพลุกระดาษพร้อมกับกล่าวอย่างสดใส ทำเอาจีน่าที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องทำงานของคลื่นถึงกับสะดุ้งตกใจ“ตกใจหมดเลยค่ะคุณแซนด์ แต่ขอบคุณนะคะ”นี่เป็นวันแรกของการกลับทำงานหลังจากที่หล่อนลาพักร้อนไปเกือบเก้าเดือน ดีใจที่ทุกคนให้การต้อนรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเจ้านายหนุ่มที่ยอมให้คนรักตนเองทำอะไรเช่นนี้“วันนี้คุณจีน่ามาทำงาน แปลว่าฉันคงต้องลาออกแล้วล่ะค่ะ”“คุณแซนด์ทำงานต่อไปก็ได้นี่คะ ดิฉันว่าท่านประธานน่าจะอยากให้ทำแบบนั้น”“คุณคลื่นบอกว่าถ้าฉันอยากทำงานที่นี่ต่อก็จะไล่คุณจีน่าออก”จีน่าหันไปเลิกคิ้วมองผู้เป็นเจ้านายที่ทำหน้าเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะดึงความสนใจกลับไปที่หญิงสาวอีกคน “ถ้างั้นเชิญคุณแซนด์เลยค่ะ”“คุณจีน่าจะออกเหรอคะ”“เชิญคุณแซนด์ไปลาออกกับเอชอาร์ตอนนี้เลยค่ะ ลูกดิฉันยังเล็ก”“ฮ่า ๆ” ประโยคนั้นทำเอาแซนด์ถึงหลุดหัวหัวเราะ “ล้อเล่นค่ะ ฉันทำหน้าที่นี้ได้ไม่ดีเท่าคุณจีน่าหรอก อีกอย่างฉันว่าจะกลับไปอังกฤษสักพักด้วย”พรึ่บ!“กลับไปทำไมครับ” คลื่นผุดลุกจากเก้าอี้อย่างแรง ก่อนจะเดินมาหาแฟนสาวของตนเอง “ตอบผมสิครับ”“พี่จะกล
เช้าวันต่อมา…หญิงสาวมีอาการเจ็ตแล็กจนเผลอหลับไปตั้งแต่ช่วงเย็นของเมื่อวานและตื่นขึ้นมาอีกทีตอนตีสี่ ไม่อยากรบกวนแฟนหนุ่มที่ยังนอนหลับสบาย จึงพาตนเองมาล้างหน้าล้างตาแล้วถือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลงมาที่ห้องครัวเพราะมีใครบางคนเสียบปลั๊กกาต้มน้ำร้อนเอาไว้ ทำให้แซนด์เดาว่าน่าจะมีคนตื่นแล้ว แต่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหน เธอกดน้ำร้อนใส่ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้วเดินออกมานั่งที่โต๊ะนอกบ้าน“ตื่นแต่เช้าเลยนะ”“อ๊ะ! คุณตา” หญิงสาวสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลังตน เป็นฟาบริโอที่เดินผ่านพุ่มไม้มาพร้อมกับกรรไกรตัดแต่งต้นไม้ “สวัสดีตอนเช้าค่ะ”“อืม เจ้าเด็กนั่นยังไม่ตื่นเรอะ”“ยังเลยค่ะ หนูนอนก่อนก็เลยตื่นก่อนค่ะ”“กินของไม่มีประโยชน์ตั้งแต่เช้า สุขภาพมันจะแย่เอา” ชายสูงวัยมองถ้วยบะหมี่บนโต๊ะเล็กน้อย ก่อนจะหันมาเตือนแฟนสาวของหลานชายด้วยความหวังดี“หนูไม่แน่ใจว่าทำอะไรทานได้บ้างก็เลยคิดว่าบะหมี่น่าจะง่ายสุดค่ะ”“ที่นี่ทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ คิดซะว่าเป็นบ้านตัวเอง”“ขอบคุณค่ะ แล้วคุณตาจะไปไหนแต่เช้าเหรอคะ”“ว่าจะเข้าไร่ไปเก็บองุ่นมาให้เจ้าคลื่นมันกินนั่นแหละ เด็กนั่นมันชอบ”“อ้อ หนูขอไปด้วยได้มั้ยคะ”
ครอบครัวของคลื่นอาศัยอยู่แทบชานเมืองเซียน่าในแคว้นทัสคานีของประเทศอิตาลี ตลอดเส้นทางจะสังเกตได้ว่าล้อมรอบไปด้วยไร่องุ่น ตัวบ้านที่ปลูกสร้างด้วยอิฐสีแดงสไตล์อิตาลีการมาเยือนประเทศอิตาลีคราวนี้เป็นครั้งที่สองแล้วก็จริง แต่กลับรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบกับครอบครัวของแฟนหนุ่ม แซนด์ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคลื่นบอกครองขวัญไปแล้วหรือยังว่าตอนนี้เขากับเธอเป็นอะไรกันหญิงสาวเปิดประตูลงมาจากรถยนต์ ก่อนจะยกมือไหว้ผู้ใหญ่ที่ไม่ได้พบเจอกันมาตั้งสิบกว่าปี ซึ่งท่านก็ออกอาการตกใจเมื่อเห็นหน้าเธอ“สวัสดีค่ะน้าครองขวัญ”“หนูแซนด์เหรอ…” ครองขวัญเอ่ยถามด้วยภาษาไทยสำเนียงต่างชาติ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไม่บอกกล่าวเธอเลยว่าจะพาแซนด์มาด้วยกัน“ใช่ค่ะ”“โตเป็นสาวแล้วสวยเชียว” หญิงวัยห้าสิบปีคลี่ยิ้มอย่างยินดีที่ได้พบกัน ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาโอบไหล่เด็กสาวรุ่นลูก “ทำไมมาด้วยกันได้ล่ะฮึ”“คลื่นยังไม่ได้บอกคุณน้าเหรอคะ”“เจ้าตัวดีมันบอกอะไรน้าที่ไหนกัน แถมยังจะยืนหน้ามึนอีก”“เซอร์ไพรส์ไงครับ” ชายหนุ่มยิ้มน้อย ๆ แล้วอ้อมรถยนต์มาหาแฟนสาวกับแม่ของตน แต่โน้มเข้าไปกระซิบข้างหูแม่ให้ได้ยินกันสองคน “…ผมเอาลูกสะใภ้มาฝาก”“คล
“คนเก่งหันมายิ้มหน่อยครับ”“หือ…” เมื่อหันไปเห็นว่าแฟนหนุ่มถือสมาร์ตโฟนอยู่ หญิงสาวจึงคลี่ยิ้มตามที่เขาต้องการ “ถ่ายสวยมั้ย”“นางแบบสวย ถ่ายยังไงก็สวยครับ”ติ๊ง~K.Da : พี่หนึ่งกับพี่สองกำลังไปที่บ้านนะK.Da : แกยังอยู่ที่นั่นมั้ยคลื่นตอบข้อความของพี่สาวกลับไปแค่สั้น ๆ ก่อนจะเก็บสมาร์ตโฟนใส่กระเป๋ากางเกง จังหวะนั้นมีชายวัยกลางคนเดินเข้ามาหา“สวัสดีครับท่านทั้งสอง”“สวัสดีครับ”“กระผมชื่อโอลิวิเยร์ เป็นผู้ดูแลคฤหาสน์แห่งนี้ครับ”“คิมหันต์ครับ” คลื่นแนะนำตนเองกลับไปเป็นภาษาฝรั่งเศส“อีกครู่หนึ่งจะมีคนนำของว่างและชามาเสิร์ฟนะครับ ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มเติมสามารถแจ้งกระผมได้”“ขอบคุณครับ แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว” ชายหนุ่มโคลงศีรษะเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะเดินกลับมาหาแฟนสาวตนเองไม่นานสาวใช้ประจำปราสาทก็นำอาฟเตอร์นูนทีมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะกลางสวนดอกไม้ ก่อนจะเดินออกไปยืนห่าง ๆ เพื่อให้สองชายหญิงดื่มด่ำกับบรรยากาศกันตามลำพังช่วงเย็นบริเวณสวนดังกล่าวถูกจัดตกแต่งด้วยโต๊ะรับประทานอาหารแบบยาว พร้อมทั้งเสิร์ฟอาหารไฟน์ไดน์นิงที่ส่งตรงมาจากเชฟมิชลินสตาร์เป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปีที่คลื่นร่วมรับประทานอาหา
สองเดือนต่อมา…@ฝรั่งเศสคำขอร้องจากปากพี่สาวต่างแม่ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจเดินทางมาร่วมงานแต่งงานของเธอ เพราะอย่างไรเสียก็ไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกัน ยังอยู่ในสถานะพูดคุยกันได้ตามปกติ เพียงแต่ไม่สนิทใจที่จะพูดคุยกันทุกเรื่องเบื้องหน้าของเขาเป็นพิธีแต่งงานซึ่งจัดขึ้น ณ โบสถ์ทางศาสนาคริสต์ในแคว้นหนึ่งของฝรั่งเศส ถึงจะไม่ได้แสดงสีหน้าปีติยินดีออกมา แต่ลึก ๆ คลื่นก็รู้สึกแบบนั้นอยู่ในใจคราแรกคิดว่าตนเป็นสายเลือดคนเดียวที่มางาน แต่ที่ไหนได้กลับมีทั้งพี่ชายคนโตและคนรองมาด้วย คลื่นไม่ได้เข้าไปกล่าวทักทาย ส่วนทั้งสองคนนั้นก็ไม่กล้าหันมาสบตาหลังพิธีจบลงอย่างเป็นทางการ ‘ดา ดลยา’ ผู้เป็นเจ้าสาวก็เดินมาหาน้องชายต่างแม่ของตน เพื่อชวนเขาไปร่วมถ่ายภาพด้วยกัน“คลื่นไปถ่ายรูปกับพี่สิ”“พี่ไปถ่ายเถอะ”“เร็ว ๆ อย่าทำตัวเป็นเด็ก” ดลยาดึงแขนน้องชายให้ลุกจากเก้าอี้ ในขณะที่แซนด์ก็ต้องลุกพร้อมกันเมื่อคลื่นดึงเธอไปด้วย “…แวงซ็องต์คะ นี่น้องชายคนเล็กของฉันค่ะ”“สวัสดีครับ” เจ้าบ่าวหันมาทักทายอย่างสุภาพ พลางยื่นมือไปตรงหน้าน้องชายของภรรยา“สวัสดีเช่นกันครับ” คลื่นโคลงศีรษะเล็กน้อยพร้อมกับยื่นมือไปเช็กแฮนด์ตาทมาร
“ลงมาจากโต๊ะครับ”แซนด์หย่อนปลายเท้าลงมายืนบนพื้น ก่อนจะหันหลังแล้วเอนกายไปด้านหน้า เริ่มรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินอีกฝ่ายหยิบบัตต์ปลั๊กอะลูมิเนียมที่มีกระดิ่งห้อยออกมาลิ้นชักโต๊ะทำงาน“เตรียมมาตรงนี้มาพร้อมแล้วเหรอครับ”“…ค่ะ” หลังจากวันนั้นที่คลื่นทำกับช่องทางด้านหลังเธอครั้งแรก เธอก็รู้ว่าต้องทำอย่างไรกับมันบ้าง“สมกับเป็นคนเก่งของผมจังนะครับ” ชายหนุ่มเลื่อนเก้าอี้เข้าไปใกล้บั้นท้ายกลมกลึง ก่อนจะโน้มลงไปพรมจูบอย่างหลงใหล โดยใช้สองมือบีบไว้แน่น แล้วเริ่มตวัดปลายลิ้นเลียร่องตรงหน้าด้วยความนุ่มนวลเขาไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนเพอร์เฟกต์ได้เท่าแซนด์มาก่อน ทั้งที่เขาไม่ชอบสีชมพู แต่กลับรู้สึกคลั่งไคล้เมื่อมันอยู่บนตัวเธอ มากไปกว่านั้นถ้าเปลี่ยนเป็นสีแดงจะดีมาก“คุณเลขาครับ”“ว่าไงคะ”“เรามีเวลาสักสิบห้านาทีมั้ย”“จะเสร็จทันก่อนสิบห้านาทีเหรอคะ”“น่าจะทันนะครับ”“ถ้าคิดว่าทันก็เอาเลยค่ะ” แซนด์ก็รู้สึกมีอารมณ์ไม่ต่างจากคนข้างหลัง อดทนอดกลั้นมาตั้งแต่เช้าจนป่านนี้บ่ายเข้าไปแล้ว แต่คลื่นก็ยังไม่คิดจะหยุดแกล้งเธอเสียที“แค่ถามตรงนี้ก็ไหลเยิ้มกว่าเดิมแล้วนะครับ ถ้าผมไม่สนอง คงไปร่านในห้องประชุมให้