รถค่อย ๆ ชะลอตัวลงจนในที่สุดก็จอดสนิท บอดี้การ์ดหันไปมองตรงเบาะด้านหลังเพื่อบอกเจ้านายว่าถึงแล้ว แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าคนที่เขากำลังจะเรียกหลับอยู่ ที่น่าแปลกใจคือปกติเจ้านายของเขาไม่เคยหลับระหว่างที่นั่งรถเลยสักครั้ง แต่ทำไมวันนี้...“บอสครับ” เขาเอ่ยเรียกเบา ๆ “ถึงแล้วครับบอส”“...”“หลับสนิททั้งคู่เลยแฮะ” บอดี้การ์ดมีท่าทีลังเล “เอาวะ...บอสคร๊าบบบบ!”เสียงแหลม ๆ ของบอดี้การ์ดหนุ่มทำให้ไคล์สะดุ้งตื่น เขามองไปรอบ ๆ ก่อนสายตาจะมาหยุดอยู่ที่คนขับรถ เมื่อนึกอะไรบางอย่างได้ก็รีบกระชับกอดคนที่อยู่ในตัก“ถึงนานแล้วยัง” ขณะพูดก็จัดแจงเสื้อโค้ทที่คลุมตัวน้ำตาลให้เข้าที่เข้าทาง เพราะดูเหมือนว่าตอนที่เขาเผลอหลับไป เสื้อที่คลุมอยู่ตรงไหลมันหล่นลงมาจนอวดไหล่ขาว ๆ ของเธอ“เพิ่งถึงครับ” เมื่อเห็นท่าทางของเจ้านาย บอดี้การ์ดก็รีบหันกลับไป‘อะไรวะเนี่ย’ บอดี้การ์ดหนุ่มเริ่มทำตัวไม่ถูก ทำไมค่ำคืนนี้มีแต่เรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นกันนะ ‘กับคุณหลินหลิน เป็นแบบนี้หรือเปล่า ทำไมจำไม่ได้วะ หรือเพราะไม่เคยเห็น’“ลงไปเปิดประตูสิ” เมื่อเห็นว่าบอดี้การ์ดยังนั่งเหม่ออยู่ในรถไคล์จึงออกคำสั่ง“ครับ ๆ”ไคล์ค่อย ๆ ล
“ขอร้องเถอะ อย่าทำแบบนี้เลย”“ทำไมล่ะ ไม่ชอบแบบนี้เหรอ” เขาเหยียดตัวตรงแล้วมองใบหน้าแดงก่ำนั้น มือหนาค่อย ๆ ปลดตะขอกางเกงแล้วดึงตัวตนออกมาชักรูดต่อหน้าต่อตาของน้ำตาล “งั้นทำแบบอื่นก็ได้นะ เธอชอบแบบไหนล่ะ หืม...”“พอแค่นี้เถอะค่ะ” ตาคู่กลมเบิกโพลงเมื่อเห็นเขากำลังใส่ถุงยาง เธอจึงพูดขึ้นเพื่อหวังให้เขาเปลี่ยนใจ“มาถึงขั้นนี้แล้ว จะบอกให้หยุดก็คงไม่ทันแล้ว”“เราไปทำกันต่อที่บ้านไม่ได้เหรอ ฉันกลัวจะมีคนเข้ามาเห็น” ขณะพูดก็ชำเลืองไปมองทางประตู ต่อให้เขาบอกว่าไม่มีใครกล้าเข้ามาหากเขาไม่เรียกก็เถอะ แต่ใครจะไปรู้ถ้าเกิดมีเรื่องด่วนขึ้นมา พวกเขาก็ต้องพรวดพราดเข้ามาอยู่แล้ว“รอบเดียวก็ได้ ฉันทนไม่ไหวแล้ว”“นี่คุณ...อึก” ไม่ทันที่น้ำตาลจะได้โต้แย้ง ไคล์ก็จ่อเอ็นร้อนไปตรงกลีบกุหลาบของเธอแล้วดันเข้ามาในคราวเดียว “อ๊ะ ๆ คุณอย่าขยับนะ อ๊า...”“อ่าส์ ไม่นานหรอกนะ ไม่นาน” เขาก้มลงไปกระซิบข้างหูของน้ำตาลราวกับต้องการให้เธอคล้อยตามเขา “อย่าเกร็งสิ มันรัดแน่นจนฉันปวดแล้วนะ”“...” น้ำตาลหลับตาแน่น เสียงของเขาที่กระซิบอยู่ข้างหู ทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวกว่าเดิม“เพราะไม่ทำกันนานมันเลยแน่นเหมือนเดิมสินะ...อ่
“ทำอะไรของคุณเนี่ย”“ขี้หนาวไม่ใช่เหรอ ใส่ชุดนี้แล้วไม่หนาวหรือไง”น้ำตาลเอียงหน้ามองชายหนุ่มตรงหน้า เธอจำได้ว่าไม่เคยพูดให้เขาฟังว่าตัวเองเป็นคนขี้หนาว เขาเป็นคนช่างสังเกตขนาดนั้นเลยเหรอ“มันก็หนาวอยู่หรอก แต่นี่มันเป็นยูนิฟอร์มของร้านคุณไม่ใช่เหรอ ใครเป็นคนออกแบบกันนะ โรคจิตจริง ๆ” น้ำตาลบ่นพึงพำ“เธอคิดว่าพนักงานที่นี่ควรใส่ชุดทักซิโด้มาทำงานอย่างนั้นเหรอ” เขาได้ยินเสียงบ่นของเธอชัดเต็มสองหู“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่ให้มันมิดชิดกว่านี้หน่อย แบบนี้เดินก็ลำบาก”“เธอรู้หรือเปล่าว่าคนที่ใส่ชุดแบบนี้ถูกจัดอยู่ในพนักงานประเภทไหน”“ที่นี่แบ่งประเภทของพนักงานด้วยเหรอ”“ชุดแบบนี้แค่ลูกค้าเห็นก็พร้อมใจกันควักเงินในกระเป๋าแล้ว” เขาไล่มือไปตามใบหน้าของน้ำตาลแล้วเลื่อนลงมาหยุดที่เนินอกของเธอ “ใส่น้อยชิ้นแบบนี้จะได้ถอดง่ายไง”“แล้วคุณก็ส่งฉันมาทำงานนี้เนี่ยนะ คุณตั้งใจใช่มั้ย” น้ำตาลโวยวายพลางดิ้นไปมา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะยังคงนั่งอยู่บนตักของเขา ยิ่งเธอดิ้นก้นเธอก็มักจะโดนบางอย่างที่มันนูนขึ้นมา เธอจึงยอมนั่งนิ่ง ๆไคล์เอื้อมมือกดกริ่งที่วางอยู่บนโต๊ะ เพียงไม่นานเซียวหม่าก็เปิดประตูเข้ามา สิ่
ไคล์พาน้ำตาลกลับมาที่ห้องอย่างคนเอาแต่ใจ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้รู้สึกหงุดหงิดแบบนี้ ยิ่งผู้หญิงที่นั่งรถมาด้วยเอาแต่นิ่งเงียบแล้วมองออกไปนอกรถ ไม่ยอมพูดจาหรือตอบคำถามของเขา เธอทำราวกับว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นเขาเป็นคนผิดทั้ง ๆ ที่เธอเป็นคนยั่วโมโหเขาก่อนด้วยซ้ำ“อย่าหวังว่าจะได้ไปเจอมันอีก” เขาหันมาชี้หน้าน้ำตาล“อะไรของคุณ” เธอรู้ว่าเขาไม่พอใจแต่มันใช่เรื่องที่เขาจะมาห้ามซะหน่อย“เธอคิดจะขอให้หมอนั่นช่วยเธอใช่มั้ย อย่าลืมนะว่าฉันยังไม่สะสางเรื่องที่เธอทำไว้”“เรื่องที่เกิดขึ้นฉันไม่ขอแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะฉันทำผิดต่อคุณ แต่หากคุณไม่อนุญาตให้ฉันกลับประเทศไทย คุณช่วยอนุญาตให้ฉันทำงานเถอะนะ ฉันอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรไม่ได้หรอก และฉันก็มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อโทรศัพท์มือถือ”“ไม่!” ไคล์ปฏิเสธทันควัน “จะเอาไว้ติดต่อกับหมอนั่นเหรอ”“เปล่านะคะ” น้ำตาลปฏิเสธ “มีคนที่รอให้ฉันกลับไป ฉันต้องติดต่อเขา หรือไม่อย่างนั้นคุณช่วยคืนโทรศัพท์ให้ฉันเถอะ”“ใคร เธอจะติดต่อหาใคร” เขาตวัดสายตามองน้ำตาล“เขาคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน”“...” ไคล์นิ่งไป สำคัญขนาดไหนกันถึงได้ดิ้นรนเพ
น้ำตาลไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงลุกขึ้นมาลากเธอออกจากร้านด้วยใบหน้าบึ้งตึงแบบนั้น เธอทำอะไรผิดอีกอย่างนั้นเหรอ“เลือกร้านสิ” ไคล์บอกน้ำตาลหลังจากที่ออกมายืนอยู่นอกร้านแล้ว“ร้านอะไรคะ”“เสื้อผ้าไง”“ฉันมีแล้วค่ะ”“เสื้อผ้าเก่า ๆ พวกนี้นะเหรอ”“ใช่ค่ะ เสื้อผ้าเก่า ๆ พวกนี้มันเป็นของที่ฉันซื้อมาด้วยเงินที่ฉันหามาได้ด้วยตัวเอง ต่อให้คนอื่นมองว่ายังไง ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของฉันเลยสักนิด”ไคล์ไม่ได้ต่อปากต่อคำกับน้ำตาล แต่กลับพาเธอเดินเข้าไปในร้านเสื้อผ้าอีกร้านหนึ่ง“ร้านนี้คงมีชุดที่เธอถูกใจ” เพราะดูจากชุดที่โชว์ในหุ่นแล้ว ใกล้เคียงกับชุดที่น้ำตาลใส่มากที่สุดแล้ว[ยินดีต้อนรับค่ะ] พนักงานสาวในชุดยูนิฟอร์มสีครีมเอ่ยต้อนรับ เธอเคยเห็นไคล์มาเดินห้างกับแฟนสาวอยู่หลายครั้ง แต่เขาไม่เคยซื้อเสื้อผ้าจากร้านของเธอเลยสักครั้ง[หาชุดที่เหมาะกับผู้หญิงคนนี้][ได้ค่ะ] พนักงานสาวพยักหน้า [เชิญคุณผู้หญิงทางนี้ค่ะ]เมื่อเห็นพนักงานสาวผายมือให้ เหมือนกับว่ากำลังเชิญให้เธอเดินไป น้ำตาลก็หันไปมองไคล์“เข้าไปสิ” ไคล์จ้องหน้าน้ำตาลน้ำตาลเดินตามพนักงานเข้าไปในห้องลองชุด เธอหายเข้าไป
“เราจะไปไหนกันคะ”เมื่อเห็นรถวิ่งไปบนถนนที่สองข้างทางเต็มไปด้วยศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่น้ำตาลก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา เขาอารมณ์ดีถึงขนาดพาเธอมาเดินเที่ยวห้างอย่างนั้นเหรอ“ฉันจะพาเธอไปซื้อของเข้าตู้เย็น”“คือฉันมีเรื่องจะถามค่ะ”“ว่ามา”“คุณจะขังฉันไว้ที่นี่อีกนานมั้ยคะ” นี่คือสิ่งที่เธอทำใจยอมรับตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอเชื่อว่าเขายังคงโกรธเธอ และมีโอกาสน้อยมากที่เขาจะปล่อยให้เธอกลับบ้าน“ถามทำไม เธอคิดจะหาทางหนีอย่างนั้นเหรอ”“ฉันไม่ได้คิดจะหนีนะ ฉันแค่อยากทำงาน” และอีกอย่างเธออยากจะติดต่อหาน้องชาย ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง เวลานี้เขาคงตามหาเธอไปทั่ว“เธอเดือดร้อนเรื่องเงินหรือไง”“...” เธอไม่กล้าบอกเขา แค่นี้เขาก็ดูถูกเธอมากเกินพอแล้ว“ฉันถาม” เขาเผลอพูดเสียงดังจนน้ำตาลสะดุ้ง เมื่อรู้ตัวว่ากำลังทำให้อีกคนกลัวเขาก็ลดระดับเสียงลง “ฉันแค่อยากรู้เหตุผล”“ตอนนี้ฉันไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท เลยคิดว่าจะหางานทำค่ะ” การพูดความจริงอาจจะทำให้เขาเห็นใจเธอ“งานของเธอก็สำเร็จแล้วนิ เธอไม่ได้ค่าจ้างเหรอ” เขาเข้าใจมาตลอดว่างานที่เธอรับมานั้น ค่าจ้างคงจะสูงพอตัว แต่น้ำตาลกลับบอกว่าตัวเอ