ฉันเหวอ มองเขาที่ตบที่นั่งที่ยังว่างข้างๆ ด้วยสีหน้าเชิญชวน จะเดินออกจากห้องฉันก็ไม่รู้ทางกลับอยู่ดี และถ้าจะให้ไปนั่งข้างๆ เขาหรือนอนค้างห้องเขาล่ะก็... ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกทำอะไรบ้าง
“แต่... เราเพิ่งคุยกันได้แค่สองวันเอง” ฉันยืนนิ่ง แล้วพูดกับเขาด้วยสีหน้าตื่นกลัว “แถมคุณก็เป็นผู้ชายนะคะ หนูนอนค้างที่นี่ไม่ได้หรอก”
“...”
“หนูอยากกลับบ้าน”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย เธอก็ไว้ใจเราดิ” ฉลามดุเลิกคิ้ว ดูเหมือนคำตอบของฉันจะไม่ใช่คำตอบที่เขาอยากฟังเท่าไหร่ ก็ใช่อยู่แล้วล่ะ “นี่มันก็จะเย็นแล้ว เป็นผู้หญิงกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ มันอันตรายไม่ใช่เหรอวะ”
“แต่... หนูมีเรียนตอนสี่โมง” ฉันก้มหน้างุด ไม่รู้ว่าจะทำแบบนั้นไปทำไม
“ไม่เห็นต้องเรียนเลย ขาดสักคาบจะเป็นไรไป”
และเมื่อได้ยินฉลามดุพูดแบบนั้นอย่างไม่แยแส ฉันก็นิ่งอึ้งไปในทันที
“...”
“เงียบ? เป็นไร” เขาถามแล้วลุกขึ้นทำท่าจะเดินเข้ามาหา แล้ววินาทีนั้นจู่ๆ น้ำตาของฉันก็ร่วงเผาะลงมาด้วยความอึดอัดจนเขาแทบผงะถอยหลัง “เฮ้ย ร้องไห้เหรอนิ้ง”
จะเพราะใครอีกล่ะ ก็เขานั่นแหละ
“ฮือ นิ้งอยากกลับบ้าน... ให้นิ้งกลับบ้านเถอะนะ” ฉันชอบเรียกชื่อแทนตัวเองเวลาที่อยากจะอ้อนวอนใครสักคนแบบสุดตัว นั่นก็เพราะฉันอยากกลับบ้านมากจริงๆ
“... นิ้ง”
“ฮึก... นิ้งอยากกลับบ้าน พานิ้งกลับบ้านได้มั้ย”
“โธ่เว้ย!”
“หิวอะไรมั้ย?”
“มะ... ไม่” ฉันตอบเสียงตะกุกตะกัก หลังจากที่ฉันร้องไห้แล้วฉลามดุก็สบถออกมาเสียงดังลั่นห้อง เขาก็ลากฉันเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาให้ ก่อนที่จะลากฉันมานั่งข้างนอกแล้วส่งผ้าให้ฉันเช็ดหน้าตัวเอง จนตอนนี้ฉันชักไม่แน่ใจว่าเขาเห็นฉันเป็นเด็กหรือเขายังเจ็บแขนอยู่จริงๆ มั้ย
“แล้วจะร้องไห้ทำไม” เขาถอนหายใจหนัก เหมือนโล่งใจที่เห็นฉันหยุดร้องไห้ได้ “เราตกใจหมด”
“...”
“นึกว่าเธอเป็นอะไร” ฉันมองเขาผ่านผ้าเช็ดหน้า ดูฉลามดุมีสีหน้าจริงจังจนน่ากลัวเลย จนเขาเงยหน้าขึ้นสบตาด้วยฉันถึงได้หลบสายตาไปทางอื่น “เออ เมื่อกี้เธอยังไม่ได้กินไรเลยนี่ เพราะมีเรื่องกับไอ้เด็กพวกนั้น”
ฉันเงียบ หันกลับไปมองเขาที่ยกนาฬิกาขึ้นมาดู
“แล้วนี่ก็เพิ่งบ่ายสอง เดี๋ยวเราพาไปหาไรกิน” พูดจบร่างสูงก็ผุดลุกขึ้น มองฉันที่มองหน้าเขากลับอย่างงุนงงแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากมือฉันก่อนที่จะโยนทิ้งไปทางอื่นอย่างไม่แยแส ในขณะที่จะคว้าข้อมือฉันแล้วดึงให้ลุกขึ้นยืน “บ่ายสองแล้วไม่ได้กินอะไรได้ไง”
“แต่... อะ” ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไร ต้นแขนก็ถูกเขากระชากแล้วดึงทึ้งให้เดินไปด้วยกัน ฉลามดุล็อกห้องอย่างรวดเร็ว แล้วลากแขนฉันลงไปที่ชั้นล่างโดยไม่พูดอะไรอีก จนมาถึงชั้นจอดรถแล้วเขาก็เดินไปสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง
ฉันมองเขาที่ไม่ยอมพูดอะไรเลยด้วยสีหน้าตื่นกลัว พอเขาขับมาทางนี้ฉันก็ผงะถอยหลังไปนิดหน่อย จนฉลามดุที่หยุดรถมองฉันนิ่งๆ ก็เริ่มทำอะไรบางอย่าง
“ร้องไห้อีกแล้วเหรอ” ร่างสูงยกหลังมือขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาให้ฉันที่หางตาเบาๆ ฉันชะงักไป สงสัยเพราะฉันเช็ดออกไม่หมด ก่อนที่เขาจะสวมหมวกกันน็อคให้โดยไม่ทันตั้งตัว “ขอโทษนะที่เอาแต่ใจจนเธอร้องไห้ ขึ้นรถดิ”
“ฉะ หนูไม่ได้...” ฉันตั้งท่าจะแย้ง แต่ก็เงียบเสียงลงแล้วเดินมุ่ยหน้าไปนั่งข้างหลังอย่างว่าง่าย
ฉันไม่ได้ร้องไห้เพราะเขาสักหน่อย
“โอเค เดี๋ยวพาไปหาอะไรกิน เธอจะได้ไม่ร้องไห้อีก” เขาออกตัวรถออกไป แต่คราวนี้ไม่เร็วเหมือนตอนที่ขับมาที่นี่แล้ว ไม่รู้ทำไม... เหมือนเขากำลังเอาใจฉันอยู่เลย “อยากกินอะไรบอกนะ เดี๋ยวเลี้ยง”
“มะ... ไม่เป็นไร”
“เออน่า เดี๋ยวเลี้ยงเอง” เขาพูดซ้ำอีกครั้ง แล้วเลี้ยวรถไปอีกทาง ฉันมองแผ่นหลังของเขาแล้วก็ถอนหายใจอย่างไม่รู้จะทำยังไง
แต่ก็นะ... ชักเริ่มหิวขึ้นมาจริงๆ แล้ว
[พาร์ท : ฉลามดุ]
ผมจอดรถข้างทางเมื่อเห็นร้านอาหาร
มันเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว ผมเห็นว่ามันง่ายๆ ดีเลยจอดรถ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่คนตัวเล็กข้างหลังลงมาจากรถแล้วถอดหมวกกันน็อคออกอย่างทุลักทุเล เหมือนจะกลัวผมแกะออกให้เหมือนเมื่อวาน
เธอส่งหมวกกันน็อคให้ผมด้วยสีหน้าไร้เดียงสา น่ารักชิบหายเลยว่ะ
“หิวเหรอ? รีบลงเนอะ” ผมหยอกเย้า แล้วเธอก็ทำหน้ามุ่ย
“หะ... หิวแล้ว” เธอพูดสั้นๆ แล้วหมุนตัวไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ท่าทางเหมือนงอนๆ ผมอยู่นิดหน่อย แล้วผมก็ดีใจที่เธอไม่เรื่องมากอย่างที่คิด
“เส้นเล็กน้ำตกนะคะ” ขนาดหันไปสั่งคนทำยังน่ารักเลยว่ะ คิดดูละกัน
“เอาเหมือนกันสองที่นะป้า” ผมเองก็สั่งเหมือนกัน ก็อยากกินอะไรเหมือนๆ คนที่ชอบบ้าง มันออกจะน่ารักดีว่ามั้ย
แต่พอคะนิ้งหันมามองผมด้วยสีหน้าเหวอนิดๆ เหมือนจะถามทางสายตาว่าผมจงใจสั่งเหมือนเธอทำไม ผมก็เลยยักไหล่แล้วลากเธอให้ไปนั่งที่โต๊ะด้านหน้า
“รีบสั่งเลยว่ะ ไม่รอกันเลย” พอนั่งลงผมก็แซวเธออีก คะนิ้งหน้าแดงขึ้นมาทันที เห็นเธอเลือกไปนั่งฝั่งตรงข้ามผมด้วย สงสัยคงยังกลัวอยู่ หรือไม่ถ้าเป็นแบบที่ผมคิดไปเองก็คือเธออยากมองหน้าผมให้ถนัดขึ้น “สงสัยจะหิวมาก เราเชื่อแล้ว”
“...!”
“หิวจนขนาดต้องร้องไห้เลย น่ารักดี” คะนิ้งหน้าแดงแล้วหน้าแดงอีก ผมกลั้นยิ้มจนเจ็บปากไปหมดแล้วให้ตายเหอะ ผู้หญิงอะไรวะแม่ง ขนาดเขินยังน่ารัก ร้องไห้ก็ยังน่ารัก ทำหน้าบึ้งก็ยังน่ารัก จะทำให้ชอบให้หลงไปถึงไหนวะ “จะเอาของเราไปก่อนมั้ย เดี๋ยวเราสั่งเพิ่มอีกก็ได้”
“พะ... พอแล้ว” เสียงเธอเบามาก ผมก็เลยเอียงหน้าเข้าไปหาอย่างพยายามเงี่ยหูฟัง “ตอนนั้นไม่ได้ร้องไห้เพราะหิวสักหน่อย”
“...”
“ก็... ก็คุณบอกให้นอนค้างที่ห้องคุณอ่ะ หนูเป็นผู้หญิงก็เลยกลัว” เธอพูดเสียงเบามาก แต่ผมได้ยินชัดทุกคำ แล้วอยู่ๆ ก็รู้สึกผิดขึ้นมา
เออว่ะ สงสัยผมจะรีบร้อนเกินไปจริงๆ แหละมั้ง
“เราขอโทษละกัน เราแค่แกล้งเธอเล่นๆ” ผมโกหก ความจริงตอนนั้นผมคิดจริงจังเลยด้วยซ้ำ ใครจะไม่อยากอยู่ใกล้ๆ ผู้หญิงที่ชอบบ้างวะ “ไม่คิดว่าจะทำเธอร้องไห้ เราผิดเองที่เร่งเธอเกิน”
“...”
“เราจะไม่ทำให้เธอร้องไห้แล้ว หายโกรธเราได้ยัง?” คะนิ้งก้มหน้างุด เธอไม่กล้าสบตาผมเพราะผมมองหน้าเธอแบบโคตรเว้าวอนสุดๆ เท่าที่ผู้ชายอย่างผมจะทำได้ คิดว่าพูดแค่ปากมันคงไม่พอ ผมจะต้องแสดงให้เธอเห็นด้วยว่าผมทำได้ไม่ใช่แค่พูด
“...”
“งั้นถ้าเธออยากได้อะไรบอกเราเลยดิ” สุดท้ายวิญญาณป๋าก็เข้าสิง ผมพูดพร้อมกับยืดอก ในขณะที่คะนิ้งเงยหน้าขึ้นมามองผมทันที “จะขออะไรเราให้ทุกอย่างเลย แทนคำขอโทษละกัน”
เธอทำสีหน้าครุ่นคิด ก่อนที่จะส่ายหน้า “ไม่เอาหรอก”
“อะไรนะ”
“หนูไม่อยากได้อะไรหรอก” เธอสบตาผม “แค่คุณเลี้ยงครั้งนี้หนูก็เกรงใจจะแย่แล้ว ไม่ได้อยากได้อะไรไปมากกว่านี้”
ผมนิ่งไปเมื่อได้ยินแบบนั้น มองเธอที่มองชามก๋วยเตี๋ยวของตัวเองที่วางลงตรงหน้าด้วยสีหน้าซื่อๆ เหมือนไม่รู้ว่าคำพูดเมื่อกี้ของตัวเองจะทำให้คนฟังใจเต้นขนาดไหน ก่อนที่คนตัวเล็กจะกินแบบไม่ปรุงเลย เธอคงไม่ชอบกินเผ็ด แต่ทำไมก็ไม่รู้ว่ะ
ผมมีความสุขโคตรๆ เลย จะน่ารักไปถึงไหนวะนิ้ง จะทนไม่ไหวแล้วนะเว้ย
“ได้แล้วครับ” ผมชะงักเมื่อเด็กเสิร์ฟที่เป็นผู้ชายวางชามก๋วยเตี๋ยวลงตรงหน้า มัวแต่มองหน้าผู้หญิงตรงหน้าเพลินจนลืมมองมันไปเลย เห็นเมื่อกี้ไอ้เด็กเวรนี่มันมองหน้านิ้งอยู่ด้วย มองนานมาก เหมือนเธอสวยจนสะกดสายตาคนรอบข้าง
และคงไม่ได้มีแค่มัน
ผมเงยหน้ามองมันที่หันกลับไป ถอนหายใจหนักอย่างรำคาญแล้วเริ่มตักเครื่องปรุงใส่อย่างไม่อยากคิดอะไรมาก ผมตักพริกป่นมาช้อนใหญ่ๆ และคะนิ้งก็มองมันพร้อมกับทำหน้าเหวอ
ผมเป็นคนชอบกินเผ็ดแบบจัดๆ ไง สะใจดี
“มองไร?” ผมเลิกคิ้วถาม แล้วเธอก็สั่นหน้า
“เปล่านะ” เธอยอมกินเงียบๆ ในขณะที่ดวงตานั้นก็จ้องมองผมที่ตักเครื่องปรุงใส่ในปริมาณมากอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งผมคนมันเข้าด้วยกันแล้วยกกิน เธอก็ยังคงจ้องผมด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นอยู่แบบนั้น
ผมมองเธอกลับ แล้วคะนิ้งก็รีบหลุบตาลงมองชามของตัวเองเหมือนถูกจับได้
“ลองกินมั้ย” ผมกระตุกยิ้มแล้วตัดสินใจถามเธอ แล้วคะนิ้งก็มองหน้าผม
“เอ่อ... ได้เหรอ” ผมตักมันใส่ช้อนเล็กแล้วยื่นไปจ่อที่ปากของเธอโดยไม่พูดอะไร คะนิ้งมองมัน แล้วก็ช้อนสายตาขึ้นมองผม “เผ็ดมั้ยอ่ะ”
“นิดหน่อย” ผมคิดงั้นจริงๆ แต่ไม่รู้จะเผ็ดสำหรับเธอรึเปล่า “ลองกินดู เดี๋ยวป้อน”
เธองับช้อนในมือผมแบบไม่ต้องคิด ผมนิ่งไป ก่อนที่คะนิ้งจะสำลักออกมาทันที
“ผะ... เผ็ด” เธอพึมพำแล้วมองหาน้ำด้วยสีหน้าแดงจัด ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่ามันจะเผ็ดขนาดนั้น จนต้องหันไปสั่งน้ำให้เธอเอง
“น้อง! เอาน้ำให้หน่อย” เด็กเสิร์ฟคนเดิมทำสีหน้าลนลานในขณะที่หยิบขวดน้ำเย็นมาให้อย่างรวดเร็ว มันตั้งท่าจะป้อนคะนิ้งด้วยทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ขอ ผมก็เลยกระชากขวดน้ำออกมาแล้วเปิดฝาป้อนคะนิ้งเอง
ร่างเล็กมีสีหน้าดีขึ้นแล้ว แต่ตาผมกลับจ้องเขม็งไปที่เด็กเสิร์ฟเวรนี่อย่างหงุดหงิดด้วยสายตาประมาณว่า ‘คนนี้ของกู อย่ามาแตะ’ มันก็เลยทำหน้าเหวอแล้วเดินหลบฉากไปที่อื่นอย่างรวดเร็ว
[พาร์ท : ฉลามดุ]“ใครต่อยท้องเมียมึง?”“ไอ้เหี้ยโช” ผมพูดชื่อมันตอนที่ขับรถไปรับไอ้เดี่ยวที่อู่เจ๊เพท หน้าผมตอนนี้มันตึงเครียดมากจนไอ้เดี่ยวไม่คิดที่จะกวนส้นอะไร มันเอารถใหญ่มา ผมเป็นคนขับ ในขณะที่ต่อมาเจ๊เพทจะขึ้นมานั่งด้วย“เด็กๆ ของอีอักใช่มั้ยวะ” เจ๊เพทถาม เธอดูแค้นแทนผมมาก “กูเล่นเอง ไอ้เด็กเวรนี่มันไม่คณามือหรอก”“กูเอาค้อนมา” ผมพูดสั้นๆ คิดไว้แล้วว่าจะเล่นมันยังไง“เฮ้ย เดี๋ยวก็ได้เข้าตารางไปเจอพ่อมึงอีกหรอก” ไอ้เดี่ยวปรามผมทันที แน่นอนว่ามันคงกลัวผมถูกจับขังดัดสันดานอีกเพราะมันรู้ว่าผมเวลาเอาจริงเป็นยังไง ผมยิ่งไม่ค่อยดีกับที่บ้าน ถ้าเจอเรื่องนี้อีกคงต่อไม่ติด“เออ อีหลาม ใจเย็นๆ ดีกว่านะ” เจ๊เพทก็คิดแบบนั้น เธอปรามผมเสียงเข้มขึ้นตอนที่ผมสตาร์ทรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว “เรื่องนี้ให้พวกกูจัดการเหอะ”แต่ผมไม่สน เพราะมันกล้าเข้ามาถึงในห้องนิ้ง กล้าต่อยเธอ แปลว่ามันต้องเตรียมใจไว้แล้วไม่พิการมันก็ต้องตาย ผมคิดได้แค่นี้ผมถามสายที่อยู่แถวๆ นั้น มันบอกว่าหลังจากไอ้โชออกไปจากหอพักของคะนิ้ง มันก็ไปนอนค้างบ้านแฟนมันแถวๆ รัชดาพิเษกผมไม่ทำอะไรผู้หญิงหรอก ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้หน้าตัวเมี
[พาร์ท : ฉลามดุ]สมเพชตัวเองดีทำตัวอ่อนแอต่อหน้านิ้งเพื่ออะไร? ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันตอนนี้คนตัวเล็กหลับไปแล้ว เธอกอดผมเอาไว้แน่นจนผมไม่รู้ว่าเธออยากกอดผมจริงๆ หรือแค่ละเมอ ตอนแรกผมเจ็บที่เธอดูกลัวเรื่องที่ผมถาม มันทำให้ผมเคว้ง ผมไม่แน่ใจว่าควรบอกเรื่องนั้นดีมั้ย เพราะขนาดครอบครัวแท้ๆ ยังรับไม่ได้ แล้วคะนิ้งเป็นอะไรเธอไม่ใช่แฟนผมด้วยซ้ำ แล้วก็ไม่รู้ว่าเธอจะชอบผมรึเปล่าเอาเป็นว่าผมจะไม่คาดหวังอะไร ถ้าถึงวันนั้นอดีตของผมมันแตกแล้วเธอรับมันไม่ไหว เธออยากจะเดินออกไป ผมจะไม่รั้งเธอไว้ผมเข้าใจ ทำใจไว้แล้วผมมองหน้าร่างเล็กตอนที่กำลังหลับสนิท คะนิ้งน่ารัก เธอเป็นผู้หญิงที่ผมอยากดูแล เป็นผู้หญิงที่ผมรักมาก ผมไม่เคยอยากปกป้องผู้หญิงคนไหนมากเท่าเธอมันไม่สำคัญว่าผมรักนิ้งมานานแค่ไหน ผมแค่คิดว่าเธอใช่สำหรับผม นอกนั้นแม่งก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จำเป็นแล้วผมลูบแก้มของเธอเบาๆ แล้วตัดสินใจดึงมือของเธอออกแล้วผุดลุกออกไป ผมคิดว่าตัวเองควรจะจัดการอะไรให้มันจบ ผมไม่อยากมานั่งอึดอัดเพราะไอ้เรื่องบัดซบนี่ แล้วผมจะบอกนิ้งทุกอย่างเองว่าทำไมผมถึงถามคำถามนั้นตอนนั้นก็คงต้องรอดูว่าเธอจะรับได้มั้ยผมกดส่ง
ฉันตัวชาไปหมดเมื่อเขาถามออกมาแบบนั้น ชะงักมือที่จะเช็ดผมของเขาไว้ ฉลามดุไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา ฉันก็เลยไม่รู้ว่าเขากำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ ไม่รู้ว่าที่เขาพูดมันเรื่องจริงจังหรือแค่หยอกฉันเล่นกันแน่“ละ... ล้อเล่นเหรอ” ฉันพูดเสียงสั่น ผละมือออกในทันที ฉลามดุเงยหน้าขึ้นมองฉันที่มีท่าทีตื่นกลัว เขาชะงักไปนิดหน่อย ก่อนที่ต่อมาจะขบกรามแน่น“เออ ใช่ เราล้อเล่น” เขาพูดออกมาพร้อมกับหัวเราะ ฉันก็เลยถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่กลับเห็นว่าแววตาของเขาที่มองฉันมันกลับดูเจ็บปวด“อย่าล้อเล่นเรื่องแบบนี้อีกนะ” ฉันเอ็ดเขา ในขณะที่ฉลามจะหัวเราะออกมาอีก แต่มันดูเหมือนเขาฝืนทำซะมากกว่า“โอเค ไม่ทำแล้ว” เขาพูด ในขณะที่ฉันพยักหน้าแล้วทำท่าจะเช็ดผมให้เขา แต่ฉลามดุกลับผละตัวออกมา เขาหันเสี้ยวหน้าด้านข้างให้ฉัน แล้วพูดสั้นๆ “ไม่ต้องเช็ดแล้วนิ้ง เดี๋ยวมันก็แห้งเอง”ฉันไม่รู้ว่าเขาพูดด้วยน้ำเสียงแบบนั้นทำไม ฉลามดุไม่มองหน้าฉันเลย เขาพิงศีรษะตัวเองลงกับพนักพิงด้านหลัง เงยหน้าขึ้นมองเพดานแล้วพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงที่นิ่งขึ้น “ไปนอนเหอะ เดี๋ยวเราจะนอนข้างนอก”“เป็นอะไรรึเปล่า” ฉันถามเขา แต่ฉลามดุไม่ตอบ เขาแค่หลับตาลง“แค่ง
ย้อนไปเมื่อไม่กี่วันก่อน“แกก็น่าจะรู้นะฉลาม พ่อไม่ได้มีแกเพื่อให้มาก่อเรื่องซ้ำๆ ซากๆ”“ผมก็บอกแล้วว่าแค่ป้องกันตัว มันหมาหมู่กับผม จะให้ทำไง?” ผมย้อนถามพ่อที่นั่งอยู่ตรงหน้าในชุดตำรวจเต็มยศ ห้องที่เรานั่งเผชิญหน้ากันคือห้องไว้สอบสวนคนร้าย ผมไม่คิดว่าพ่อจะเรียกผมมาคุยที่นี่ มันคือหลักฐานว่าไม่ว่ายังไงพ่อก็ยังคงมองผมเหมือนเดิมหกปีที่ผ่านมาพ่อไม่เคยไว้ใจผม ข้อนี้ผมรู้ดี“แกจำสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เหรอ ที่แก...”“มันผ่านไปแล้วพ่อ” ผมพูดแทรกขึ้นมาเพราะไม่อยากฟัง “ก็บอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ผมชดใช้ทุกอย่างแล้ว”“แต่แกฆ่าคนตายนะฉลาม แกเป็นลูกของตำรวจแท้ๆ เป็นบุตรสีกากี แต่แกทำตัวแบบนั้น... แกคิดว่ามันจะเป็นแผลในชีวิตพ่อบ้างมั้ย?”พ่อผมค่อนข้างเป็นคนใจเย็นมากกว่าแม่ของผม เขาพยายามแล้วที่จะระงับอารมณ์แล้วคุยกับผมดีๆ แต่ผมก็รู้ว่าสายตาที่พ่อมองผมมันไม่เคยเปลี่ยนไปจากเดิม... พ่อยังเห็นผมเป็นไอ้ลูกไม่รักดี เป็นฆาตกรฆ่าคนตายที่ทำให้ครอบครัวของเราถูกมองเสียๆ หายๆเพราะผมอยากให้พ่อแม่ยอมรับกับเรื่องบัดซบนี่ ผมเลยออกมาใช้ชีวิตคนเดียว เรียนอาชีวะ ซ่อมเครื่องยนต์ หาเงินส่งตัวเองเรียนโดยไม่ขอพ่อแม่สักบ
ผมหงุดหงิดเมื่อเปิดมาก็เห็นข้อความของพราวที่เด้งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อคืน รวมถึงที่เธอโทรมาหาผมทางไลน์เพราะผมเปลี่ยนเบอร์ใหม่หนีเธออีก ผมไม่ใช่คนใจดำกับผู้หญิง แต่บางครั้งอดีตที่เธอทำมันก็สอนให้ผมรู้ว่าต้องทำตัวยังไงกับพราวตอนที่เธอทิ้งผมไปหาไอ้อักระ ผมไม่แม้แต่จะรั้งทั้งๆ ที่เจ็บแทบตาย แต่พอเธอจะกลับมา ทำแบบนี้มันง่ายเกินไปมั้ยผมไม่ได้สนใจเธอแล้วผมรักนิ้งผมอ่านแต่ไม่ตอบ ถ้าเธอไม่คิดที่จะให้ไอ้อักระออกมาเคลียร์ก็ไม่มีเรื่องจำเป็นอะไรต้องพูดกันอยู่แล้ว เรื่องมันไว้เดี๋ยวผมจะจัดการเองผมถอนหายใจหนัก ในขณะที่เสียงไลน์ดังขึ้นอีกผมหยิบขึ้นมาดูอย่างอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อยากรู้ว่าพราวจะพิมพ์อะไรส่งมาอีก ถ้าจะขอโทษพร่ำเพรื่อผมจะบล็อกเธอซะแต่ข้อความที่ถูกส่งมาใหม่ของเธอกลับทำให้ผมขมวดคิ้วP’row : อยากเจอกูนักเหรอP’row : ที่ไหนดีล่ะผมแทบจะผุดลุกออกมาจากเตียงที่นอนอยู่ หายปวดหัวทันทีที่เห็นข้อความถูกส่งเข้ามาจากไลน์ของพราว แต่ผมรู้ว่าคนที่พิมพ์มาคือใครไม่ใช่พราวพี่หลามคนจริง : ที่เดิมไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากถ้าเป็นมัน ทันทีที่ผมส่งข้อความกลับไป โทรศัพท์ของผมก็ขึ้นว่ามีสายเรียกเข้าไม
ฉันไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่อยู่ดีๆ น้ำตามันก็เอ่อคลออยู่ที่ดวงตาทั้งสองข้าง เพราะจู่ๆ เขาก็ทำให้ฉันคิดถึงตัวเองตอนยังเด็กในชีวิตของฉันมีแต่คนรายล้อมมากมาย มีแต่คนรักฉันไม่เว้นแม้แต่คนที่ไม่ใช่ครอบครัวที่แท้จริงของฉัน ถึงฉันจะไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ แต่ครอบครัวของพี่คะนองก็ต้อนรับฉันอย่างอบอุ่นเสมอแต่ไม่รู้ทำไม... ทุกครั้งฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ตัวคนเดียวฉันรู้อยู่แก่ใจว่าถึงพวกเขาจะรักฉันยังไง... แต่ครอบครัวนั้นก็เป็นของพวกเขา ไม่ใช่ครอบครัวจริงๆ ของฉันสักหน่อยคุณแม่ทิ้งฉันไปตั้งแต่จำความได้ ในชีวิตของฉันมีแค่คุณพ่อที่แสนดีและอบอุ่น ฉันรักท่านมาก เรามีความทรงจำดีๆ ร่วมกันหลายเรื่อง... จนท่านจากไปฉันก็แค่คิดถึงท่าน ฉันก็แค่อยากกลับไปอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ พร้อมกับคุณพ่อเท่านั้นเอง“ฮึก... ฮือ” ฉลามดุเกลี่ยน้ำตาของฉันออกทันทีที่เห็นว่าฉันร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ฉันเอามือทั้งสองข้างมาปิดหน้าไว้ ฉันไม่อยากให้เขาเห็นเลย“นิ้ง” ฉันได้ยินว่าเขาเรียกชื่อฉัน แต่ฉันกลับหยุดร้องไห้ไม่ได้ ฉันปล่อยโฮออกมาแล้วสะอึกสะอื้นเป็นเด็กๆ เอาหลังมือเช็ดน้ำตาจนแสบหน้าไปหมด ในขณะที่ต่อมาจะถูก