ฉันเหวอ มองเขาที่ตบที่นั่งที่ยังว่างข้างๆ ด้วยสีหน้าเชิญชวน จะเดินออกจากห้องฉันก็ไม่รู้ทางกลับอยู่ดี และถ้าจะให้ไปนั่งข้างๆ เขาหรือนอนค้างห้องเขาล่ะก็... ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะถูกทำอะไรบ้าง
“แต่... เราเพิ่งคุยกันได้แค่สองวันเอง” ฉันยืนนิ่ง แล้วพูดกับเขาด้วยสีหน้าตื่นกลัว “แถมคุณก็เป็นผู้ชายนะคะ หนูนอนค้างที่นี่ไม่ได้หรอก”
“...”
“หนูอยากกลับบ้าน”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย เธอก็ไว้ใจเราดิ” ฉลามดุเลิกคิ้ว ดูเหมือนคำตอบของฉันจะไม่ใช่คำตอบที่เขาอยากฟังเท่าไหร่ ก็ใช่อยู่แล้วล่ะ “นี่มันก็จะเย็นแล้ว เป็นผู้หญิงกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ มันอันตรายไม่ใช่เหรอวะ”
“แต่... หนูมีเรียนตอนสี่โมง” ฉันก้มหน้างุด ไม่รู้ว่าจะทำแบบนั้นไปทำไม
“ไม่เห็นต้องเรียนเลย ขาดสักคาบจะเป็นไรไป”
และเมื่อได้ยินฉลามดุพูดแบบนั้นอย่างไม่แยแส ฉันก็นิ่งอึ้งไปในทันที
“...”
“เงียบ? เป็นไร” เขาถามแล้วลุกขึ้นทำท่าจะเดินเข้ามาหา แล้ววินาทีนั้นจู่ๆ น้ำตาของฉันก็ร่วงเผาะลงมาด้วยความอึดอัดจนเขาแทบผงะถอยหลัง “เฮ้ย ร้องไห้เหรอนิ้ง”
จะเพราะใครอีกล่ะ ก็เขานั่นแหละ
“ฮือ นิ้งอยากกลับบ้าน... ให้นิ้งกลับบ้านเถอะนะ” ฉันชอบเรียกชื่อแทนตัวเองเวลาที่อยากจะอ้อนวอนใครสักคนแบบสุดตัว นั่นก็เพราะฉันอยากกลับบ้านมากจริงๆ
“... นิ้ง”
“ฮึก... นิ้งอยากกลับบ้าน พานิ้งกลับบ้านได้มั้ย”
“โธ่เว้ย!”
“หิวอะไรมั้ย?”
“มะ... ไม่” ฉันตอบเสียงตะกุกตะกัก หลังจากที่ฉันร้องไห้แล้วฉลามดุก็สบถออกมาเสียงดังลั่นห้อง เขาก็ลากฉันเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาให้ ก่อนที่จะลากฉันมานั่งข้างนอกแล้วส่งผ้าให้ฉันเช็ดหน้าตัวเอง จนตอนนี้ฉันชักไม่แน่ใจว่าเขาเห็นฉันเป็นเด็กหรือเขายังเจ็บแขนอยู่จริงๆ มั้ย
“แล้วจะร้องไห้ทำไม” เขาถอนหายใจหนัก เหมือนโล่งใจที่เห็นฉันหยุดร้องไห้ได้ “เราตกใจหมด”
“...”
“นึกว่าเธอเป็นอะไร” ฉันมองเขาผ่านผ้าเช็ดหน้า ดูฉลามดุมีสีหน้าจริงจังจนน่ากลัวเลย จนเขาเงยหน้าขึ้นสบตาด้วยฉันถึงได้หลบสายตาไปทางอื่น “เออ เมื่อกี้เธอยังไม่ได้กินไรเลยนี่ เพราะมีเรื่องกับไอ้เด็กพวกนั้น”
ฉันเงียบ หันกลับไปมองเขาที่ยกนาฬิกาขึ้นมาดู
“แล้วนี่ก็เพิ่งบ่ายสอง เดี๋ยวเราพาไปหาไรกิน” พูดจบร่างสูงก็ผุดลุกขึ้น มองฉันที่มองหน้าเขากลับอย่างงุนงงแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากมือฉันก่อนที่จะโยนทิ้งไปทางอื่นอย่างไม่แยแส ในขณะที่จะคว้าข้อมือฉันแล้วดึงให้ลุกขึ้นยืน “บ่ายสองแล้วไม่ได้กินอะไรได้ไง”
“แต่... อะ” ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไร ต้นแขนก็ถูกเขากระชากแล้วดึงทึ้งให้เดินไปด้วยกัน ฉลามดุล็อกห้องอย่างรวดเร็ว แล้วลากแขนฉันลงไปที่ชั้นล่างโดยไม่พูดอะไรอีก จนมาถึงชั้นจอดรถแล้วเขาก็เดินไปสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง
ฉันมองเขาที่ไม่ยอมพูดอะไรเลยด้วยสีหน้าตื่นกลัว พอเขาขับมาทางนี้ฉันก็ผงะถอยหลังไปนิดหน่อย จนฉลามดุที่หยุดรถมองฉันนิ่งๆ ก็เริ่มทำอะไรบางอย่าง
“ร้องไห้อีกแล้วเหรอ” ร่างสูงยกหลังมือขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาให้ฉันที่หางตาเบาๆ ฉันชะงักไป สงสัยเพราะฉันเช็ดออกไม่หมด ก่อนที่เขาจะสวมหมวกกันน็อคให้โดยไม่ทันตั้งตัว “ขอโทษนะที่เอาแต่ใจจนเธอร้องไห้ ขึ้นรถดิ”
“ฉะ หนูไม่ได้...” ฉันตั้งท่าจะแย้ง แต่ก็เงียบเสียงลงแล้วเดินมุ่ยหน้าไปนั่งข้างหลังอย่างว่าง่าย
ฉันไม่ได้ร้องไห้เพราะเขาสักหน่อย
“โอเค เดี๋ยวพาไปหาอะไรกิน เธอจะได้ไม่ร้องไห้อีก” เขาออกตัวรถออกไป แต่คราวนี้ไม่เร็วเหมือนตอนที่ขับมาที่นี่แล้ว ไม่รู้ทำไม... เหมือนเขากำลังเอาใจฉันอยู่เลย “อยากกินอะไรบอกนะ เดี๋ยวเลี้ยง”
“มะ... ไม่เป็นไร”
“เออน่า เดี๋ยวเลี้ยงเอง” เขาพูดซ้ำอีกครั้ง แล้วเลี้ยวรถไปอีกทาง ฉันมองแผ่นหลังของเขาแล้วก็ถอนหายใจอย่างไม่รู้จะทำยังไง
แต่ก็นะ... ชักเริ่มหิวขึ้นมาจริงๆ แล้ว
[พาร์ท : ฉลามดุ]
ผมจอดรถข้างทางเมื่อเห็นร้านอาหาร
มันเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว ผมเห็นว่ามันง่ายๆ ดีเลยจอดรถ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่คนตัวเล็กข้างหลังลงมาจากรถแล้วถอดหมวกกันน็อคออกอย่างทุลักทุเล เหมือนจะกลัวผมแกะออกให้เหมือนเมื่อวาน
เธอส่งหมวกกันน็อคให้ผมด้วยสีหน้าไร้เดียงสา น่ารักชิบหายเลยว่ะ
“หิวเหรอ? รีบลงเนอะ” ผมหยอกเย้า แล้วเธอก็ทำหน้ามุ่ย
“หะ... หิวแล้ว” เธอพูดสั้นๆ แล้วหมุนตัวไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ท่าทางเหมือนงอนๆ ผมอยู่นิดหน่อย แล้วผมก็ดีใจที่เธอไม่เรื่องมากอย่างที่คิด
“เส้นเล็กน้ำตกนะคะ” ขนาดหันไปสั่งคนทำยังน่ารักเลยว่ะ คิดดูละกัน
“เอาเหมือนกันสองที่นะป้า” ผมเองก็สั่งเหมือนกัน ก็อยากกินอะไรเหมือนๆ คนที่ชอบบ้าง มันออกจะน่ารักดีว่ามั้ย
แต่พอคะนิ้งหันมามองผมด้วยสีหน้าเหวอนิดๆ เหมือนจะถามทางสายตาว่าผมจงใจสั่งเหมือนเธอทำไม ผมก็เลยยักไหล่แล้วลากเธอให้ไปนั่งที่โต๊ะด้านหน้า
“รีบสั่งเลยว่ะ ไม่รอกันเลย” พอนั่งลงผมก็แซวเธออีก คะนิ้งหน้าแดงขึ้นมาทันที เห็นเธอเลือกไปนั่งฝั่งตรงข้ามผมด้วย สงสัยคงยังกลัวอยู่ หรือไม่ถ้าเป็นแบบที่ผมคิดไปเองก็คือเธออยากมองหน้าผมให้ถนัดขึ้น “สงสัยจะหิวมาก เราเชื่อแล้ว”
“...!”
“หิวจนขนาดต้องร้องไห้เลย น่ารักดี” คะนิ้งหน้าแดงแล้วหน้าแดงอีก ผมกลั้นยิ้มจนเจ็บปากไปหมดแล้วให้ตายเหอะ ผู้หญิงอะไรวะแม่ง ขนาดเขินยังน่ารัก ร้องไห้ก็ยังน่ารัก ทำหน้าบึ้งก็ยังน่ารัก จะทำให้ชอบให้หลงไปถึงไหนวะ “จะเอาของเราไปก่อนมั้ย เดี๋ยวเราสั่งเพิ่มอีกก็ได้”
“พะ... พอแล้ว” เสียงเธอเบามาก ผมก็เลยเอียงหน้าเข้าไปหาอย่างพยายามเงี่ยหูฟัง “ตอนนั้นไม่ได้ร้องไห้เพราะหิวสักหน่อย”
“...”
“ก็... ก็คุณบอกให้นอนค้างที่ห้องคุณอ่ะ หนูเป็นผู้หญิงก็เลยกลัว” เธอพูดเสียงเบามาก แต่ผมได้ยินชัดทุกคำ แล้วอยู่ๆ ก็รู้สึกผิดขึ้นมา
เออว่ะ สงสัยผมจะรีบร้อนเกินไปจริงๆ แหละมั้ง
“เราขอโทษละกัน เราแค่แกล้งเธอเล่นๆ” ผมโกหก ความจริงตอนนั้นผมคิดจริงจังเลยด้วยซ้ำ ใครจะไม่อยากอยู่ใกล้ๆ ผู้หญิงที่ชอบบ้างวะ “ไม่คิดว่าจะทำเธอร้องไห้ เราผิดเองที่เร่งเธอเกิน”
“...”
“เราจะไม่ทำให้เธอร้องไห้แล้ว หายโกรธเราได้ยัง?” คะนิ้งก้มหน้างุด เธอไม่กล้าสบตาผมเพราะผมมองหน้าเธอแบบโคตรเว้าวอนสุดๆ เท่าที่ผู้ชายอย่างผมจะทำได้ คิดว่าพูดแค่ปากมันคงไม่พอ ผมจะต้องแสดงให้เธอเห็นด้วยว่าผมทำได้ไม่ใช่แค่พูด
“...”
“งั้นถ้าเธออยากได้อะไรบอกเราเลยดิ” สุดท้ายวิญญาณป๋าก็เข้าสิง ผมพูดพร้อมกับยืดอก ในขณะที่คะนิ้งเงยหน้าขึ้นมามองผมทันที “จะขออะไรเราให้ทุกอย่างเลย แทนคำขอโทษละกัน”
เธอทำสีหน้าครุ่นคิด ก่อนที่จะส่ายหน้า “ไม่เอาหรอก”
“อะไรนะ”
“หนูไม่อยากได้อะไรหรอก” เธอสบตาผม “แค่คุณเลี้ยงครั้งนี้หนูก็เกรงใจจะแย่แล้ว ไม่ได้อยากได้อะไรไปมากกว่านี้”
ผมนิ่งไปเมื่อได้ยินแบบนั้น มองเธอที่มองชามก๋วยเตี๋ยวของตัวเองที่วางลงตรงหน้าด้วยสีหน้าซื่อๆ เหมือนไม่รู้ว่าคำพูดเมื่อกี้ของตัวเองจะทำให้คนฟังใจเต้นขนาดไหน ก่อนที่คนตัวเล็กจะกินแบบไม่ปรุงเลย เธอคงไม่ชอบกินเผ็ด แต่ทำไมก็ไม่รู้ว่ะ
ผมมีความสุขโคตรๆ เลย จะน่ารักไปถึงไหนวะนิ้ง จะทนไม่ไหวแล้วนะเว้ย
“ได้แล้วครับ” ผมชะงักเมื่อเด็กเสิร์ฟที่เป็นผู้ชายวางชามก๋วยเตี๋ยวลงตรงหน้า มัวแต่มองหน้าผู้หญิงตรงหน้าเพลินจนลืมมองมันไปเลย เห็นเมื่อกี้ไอ้เด็กเวรนี่มันมองหน้านิ้งอยู่ด้วย มองนานมาก เหมือนเธอสวยจนสะกดสายตาคนรอบข้าง
และคงไม่ได้มีแค่มัน
ผมเงยหน้ามองมันที่หันกลับไป ถอนหายใจหนักอย่างรำคาญแล้วเริ่มตักเครื่องปรุงใส่อย่างไม่อยากคิดอะไรมาก ผมตักพริกป่นมาช้อนใหญ่ๆ และคะนิ้งก็มองมันพร้อมกับทำหน้าเหวอ
ผมเป็นคนชอบกินเผ็ดแบบจัดๆ ไง สะใจดี
“มองไร?” ผมเลิกคิ้วถาม แล้วเธอก็สั่นหน้า
“เปล่านะ” เธอยอมกินเงียบๆ ในขณะที่ดวงตานั้นก็จ้องมองผมที่ตักเครื่องปรุงใส่ในปริมาณมากอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งผมคนมันเข้าด้วยกันแล้วยกกิน เธอก็ยังคงจ้องผมด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นอยู่แบบนั้น
ผมมองเธอกลับ แล้วคะนิ้งก็รีบหลุบตาลงมองชามของตัวเองเหมือนถูกจับได้
“ลองกินมั้ย” ผมกระตุกยิ้มแล้วตัดสินใจถามเธอ แล้วคะนิ้งก็มองหน้าผม
“เอ่อ... ได้เหรอ” ผมตักมันใส่ช้อนเล็กแล้วยื่นไปจ่อที่ปากของเธอโดยไม่พูดอะไร คะนิ้งมองมัน แล้วก็ช้อนสายตาขึ้นมองผม “เผ็ดมั้ยอ่ะ”
“นิดหน่อย” ผมคิดงั้นจริงๆ แต่ไม่รู้จะเผ็ดสำหรับเธอรึเปล่า “ลองกินดู เดี๋ยวป้อน”
เธองับช้อนในมือผมแบบไม่ต้องคิด ผมนิ่งไป ก่อนที่คะนิ้งจะสำลักออกมาทันที
“ผะ... เผ็ด” เธอพึมพำแล้วมองหาน้ำด้วยสีหน้าแดงจัด ผมเบิกตากว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่ามันจะเผ็ดขนาดนั้น จนต้องหันไปสั่งน้ำให้เธอเอง
“น้อง! เอาน้ำให้หน่อย” เด็กเสิร์ฟคนเดิมทำสีหน้าลนลานในขณะที่หยิบขวดน้ำเย็นมาให้อย่างรวดเร็ว มันตั้งท่าจะป้อนคะนิ้งด้วยทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ขอ ผมก็เลยกระชากขวดน้ำออกมาแล้วเปิดฝาป้อนคะนิ้งเอง
ร่างเล็กมีสีหน้าดีขึ้นแล้ว แต่ตาผมกลับจ้องเขม็งไปที่เด็กเสิร์ฟเวรนี่อย่างหงุดหงิดด้วยสายตาประมาณว่า ‘คนนี้ของกู อย่ามาแตะ’ มันก็เลยทำหน้าเหวอแล้วเดินหลบฉากไปที่อื่นอย่างรวดเร็ว
“เราจะมั่นใจได้ยังไง... ว่าเราจะไม่ร้องไห้เพราะฉลามอีกอ่ะ?” เพราะฉันใจอ่อนง่ายทุกครั้งพอเป็นเขา ทะเลาะกันหนักๆ ฉลามก็แค่เดินมาพูดอะไรสักอย่าง จนฉันรู้สึกว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้น แต่ก็ไม่เคยแสดงออกมาจริงๆ เลยว่ามันจะดีขึ้นกว่าเดิม “... เราจะมั่นใจได้ยังไงว่าหลังจากนี้ทุกอย่างจะดีขึ้น”“...”“ฮึก... ฉลามจะให้เราเชื่อได้จากตรงไหนเหรอ” สุดท้ายฉันก็แพ้ให้ความอ่อนแอขี้แยของตัวเอง ฉันร้องไห้ออกมาตรงนั้นเพราะเจ็บจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว น้ำตาบังฉันจนมองไม่ออกว่าฉลามกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่“ไปคุยที่รถได้มั้ยวะ”ฉันได้ยินเสียงเขาตอบกลับมา ก่อนที่ข้อมือฉันจะถูกเขาจูงให้เดินตามไปด้วยกัน ฉันสะอื้นออกมาตอนที่ถูกใส่หมวกกันน็อคแล้วติดที่ล็อคตรงใต้คางให้ แล้วฉลามก็สตาร์ทรถมอเตอร์ไซต์ของเขา“ระ... เราไม่กลับกับฉลามนะ ไม่เอา” ฉันพูดทั้งน้ำตา แล้วเขาก็จ้องหน้าฉันนิ่ง ตอนแรกฉันก็คิดว่าฉลามจะขับรถออกไปเลย ไม่ก็ว่าฉันว่างี่เง่า ดื้อ เป็นผู้หญิงน่ารำคาญ แต่ต่อมาทั้งตัวของฉันก็ถูกเขาดึงเข้ามากอดไว้“กลับเหอะ” เขากระซิบเสียงหนักข้างหูฉันที่เบิกตาโต แล้วกอดฉันแน่นขึ้น“...”“มีเรื่องจะคุย”สุดท้ายฉันก็นั่งรถไปกับเขา
[... โห ปกติพี่บอกรักนิ้งยังงี้เลยเหรอ]ผมนิ่งไปหลังจากที่พูดกับนิ้งไปตรงๆ แล้วเสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่นิ้งแต่เป็นส้ม“นิ้งไม่อยู่เหรอวะ” ผมถามตรงประเด็นทันที แล้วปลายสายก็ตอบกลับมา[ใช่ค่ะพี่ วันนี้ส้มหยุดอ่ะเลยได้นอนอยู่ที่ห้อง นิ้งเค้าไปเรียน สงสัยจะลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้อง]“...”[ว่าแต่นี่พี่โทรมาง้อนิ้งเหรอ ดีแล้วแหละ]“แล้วนิ้งยังอยู่นั่นปะ เลิกกี่โมง? วันนี้เรียนวิชาไร?” ผมไม่สนเรื่องยิบย่อยแล้วถามกลับไป ส้มเงียบไป ส่วนผมก็ร้อนใจแทบบ้า จนเธอตอบกลับมา[น่าจะใกล้เลิกแล้วอ่ะพี่ วันนี้เรียนวิชาเดียว] เธอบอก แล้วผมก็ทำท่าจะกดตัดสายแล้วใส่กางเกงจะได้ไปรับเธอที่มหาลัยก่อนที่เธอจะกลับไปก่อน ผมกลัวว่าจะไม่ทัน [แต่พี่หลาม ส้มมีอะไรจะบอกแหละ]“ไว้วันหลังได้ปะ พี่รีบว่ะ”[แต่เป็นเรื่องนิ้งนะ พี่หลามไม่ฟังหน่อยเหรอ] ผมนิ่งไป แล้วรูดซิปกางเกงขึ้น“งั้นพูดมา”[ถ้าพี่หลามจะไปง้อนิ้งรอบนี้อ่ะ ส้มว่าต้องมีแต่ใจล้วนๆ เลยอ่ะ]“...”[นิ้งอ่ะน้อยใจพี่มากเลย ส้มก็ไม่ได้จะบอกว่าพี่ผิดฝ่ายเดียวหรอกนะ ส้มรู้ว่าบางทีคนเป็นแฟนกันก็ชอบใช้อารมณ์เหนือเหตุผล] ผมยืนฟังที่เธอพูดเงียบๆ [ส้มรู้ว่าพี่หลามรักนิ้งมาก
“มึงรู้ปะเจ๊” ผมกระดกแก้วที่สามรวดเดียวแล้วเอียงหน้าไปคุยกับมัน “ตั้งแต่เกิดมา กู... ไม่เคยเจ็บเหี้ยๆ ขนาดนี้กับผู้หญิงคนไหนเลยว่ะ”“เฮ้ย อีหลาม มึงเมายังวะเนี่ย” เจ๊ตบหน้าผม แล้วผมก็ปัดมือมันออก“กูไม่เมา” ผมพูดตรงๆ มันแค่มึนๆ แต่ที่ผมพูดเพราะแม่งเฮิร์ท “กูเจ็บตั้งแต่คำที่เค้าบอกว่ากูไม่เคยเข้าใจเค้า กูเอาแต่ใจ ชอบพูดเหี้ยๆ กับเค้า”“...”“แม่งก็จริงว่ะ กูแม่งเหี้ยแบบนั้นแหละ ผู้หญิงมันเลยชอบทิ้งกูไปไง” ผมพูดแล้วแค่นหัวเราะ “แล้วเดี๋ยวกูก็จะถูกนิ้งทิ้งอีก กูแม่งทำห่าไรก็ล้มเหลวไปหมด”“แล้วมึงรู้ได้ไงว่าน้องจะทิ้งมึง?”“กูแค่คิด ใครแม่งจะทนกับคนอย่างกูวะ”“โอ้ย อีหลาม มึงคิดว่าน้องเค้าเป็นคนแบบอีพวกนั้นรึไงวะ มีสติหน่อย สมองมึงรวนแล้วเหรอ”เจ๊พูดแล้วตบหน้าผมซ้ำอีกให้ตื่น แต่แม่งหยุดไม่ได้แล้วว่ะ ผมกดดัน ผมไม่รู้ว่าต้องทำไง ผมคิดเรื่องเธอในหัวเยอะมาก ที่ผ่านมาในหัวผมมีแต่เรื่องที่ผมเป็นคนแบบนี้แล้วกลัวนิ้งจะทนไม่ไหว ผมรู้ตัวเอง หลังจากทะเลาะตอนนั้นผมก็อยากดีกว่านี้ แต่แม่ง...“คงงั้นมั้ง” ผมตอบลอยๆ แล้วหัวเราะส่งๆ“อีหลาม มึงฟังกูนะ เรื่องพวกนี้มันต้องคุย มึงมานั่งคิดว่าเค้ามองมึงแบบนั
ทันทีที่ฉันพูดจบประโยคนั้น ฉลามก็เงียบไป เขาเงียบไปนานมากจนฉันใจโหวงๆ ฉันถือสายรอเขาตอบกลับมาอยู่แบบนั้นสักพัก ใจเต้นรัวไปหมดเพราะอยากรู้ว่าเขาจะตอบอะไรกลับมา จนสุดท้าย...[โอเค เข้าใจล่ะ] ฉันสะดุ้งน้อยๆ ตอนที่จู่ๆ เขาก็สวนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแปลกๆ [เราแม่งเหี้ยเองว่ะ]“...”[ถ้านิ้งไม่อยากให้เราขับตามเราไม่ไปก็ได้]“...”[แค่นี้นะ]ติ๊ดฉันชะงักไปเมื่อเขาตัดสายฉันทันทีที่พูดจบประโยคนั้น ใจฉันหายวูบไปเลย แล้วมันก็เป็นแบบนั้นไปตลอดทาง... หรือมันจะถึงทางตันแล้วนะผ่านมาสองวันได้แล้วหลังจากนั้น... เราแทบไม่เจอหน้ากันเลยฉันกลับมาถึงห้องกับส้มหวานอย่างปลอดภัยจนถึงเช้าวันต่อมา ฉลามไม่โทรมาหา เขากลับมารึยังฉันก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าหลังจากนี้เราทั้งคู่จะยังเหมือนเดิมอยู่มั้ย ก่อนจะวางสายไปเสียงเขานิ่งมากจนผิดปกติเลย ตอนไปมหาลัยส้มก็ไปส่งเราเลยยิ่งไม่ได้เจอกันเข้าไปใหญ่แต่ฉันรู้แค่ว่าเขากลับมาทำงานแล้วหลังจากที่ได้โทรคุยกับพี่เพทายนั่นล่ะ[อีหลามอ่ะนะ? ก็มาทำงานปกตินี่ ช่วงนี้มันก็อยู่ไม่นานด้วย มันไปสมัครงานเพิ่ม] ฉันนิ่งไปนิดหน่อยตอนที่พี่เพทายอธิบายมาแบบนั้นหลังจากที่เธอโทรม
“ฉะ... ฉลามใจเย็นก่อนได้มั้ย” ฉันแทรกขึ้นมา แล้วเม้มริมฝีปากแน่น “เราไม่ได้อยู่ในรถผู้ชายคนไหนหรอก เรากลับกับส้ม เค้าเป็นเพื่อนส้ม”[...]“แล้วที่เราต้องกลับแบบนี้เพราะเราทะเลาะกันไม่ใช่เหรอ ฉลามก็ไล่เราด้วย... เราก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ทำไมอ่ะ”[ก็นิ้งจะไปเองปะ?]“อื้อ... ใช่ เราจะไปเองแหละ เพราะงั้นเราก็จะไปจริงๆ แล้ว” ฉันโพล่งขึ้นมาเพราะเห็นว่าฉลามเองก็ไม่ใจเย็นที่จะคุยกับฉันเลย ฉันเองที่พยายามจะเย็นในตอนแรกๆ ก็ไม่ไหวเหมือนกัน[ก็บอกว่าให้มันวนรถกลับมาไง]“เราเลยมาแล้วนะ วนกลับไม่ได้หรอก”[นิ้ง กลับมา]“...”[ได้ยินมั้ยวะ บอกให้กลับมาไง]ใจฉันวูบไป ความรู้สึกน้อยใจตีตื้นขึ้นมา เพราะฉลามไม่เคยฟังฉันเลย จะเอาแต่ใจตัวเองอยู่อย่างเดียว เขาบังคับให้ฉันทำนู่นทำนี่ตามใจเขา บอกให้ฉันเข้าใจเขา แต่พอถึงทีฉันบ้าง เขากลับไม่เคยเข้าใจอะไรเลย“... ฉลามเห็นเราเป็นอะไรเหรอ?” ฉันโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “ไล่เรากลับ พอเราจะกลับจริงๆ ก็มารั้งเรา... ก่อนหน้านี้ก็อยากให้เรากลับไม่ใช่เหรอ”[ก็มันแม่ง...]“หลายครั้งแล้วนะที่เรายอมลงให้ฉลามตลอด เวลาฉลามหงุดหงิดใส่เราก็พยายามอดทน... เราก็แค่ไม่อยากเลิก อยากอ
[SALAMDU : SIDE]“ทำไมไม่รับสายวะ”ผมพึมพำอย่างหงุดหงิดตอนที่กดโทรศัพท์เข้าเบอร์นิ้งจนจะสามสิบสายได้แล้ว แต่เธอก็ไม่รับ ผมกดตัดสายแล้วโทรออกอยู่ซ้ำๆ ตอนที่พิงรถอยู่ด้านนอกแล้วจุดบุหรี่สูบ พ่นควันออกมาตอนที่เห็นว่าฟ้าเริ่มมืด ผมเงยหน้าขึ้นมอง แล้วดูดมวนบุหรี่อัดควันเข้าปอดตอนที่กดโทรหาเธออีกพอเธอตัดสายไปอีกผมก็พ่นควันบุหรี่ออกมาแรงๆ อย่างขัดใจ ก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปในรถแล้วเปิดกระจกไว้จะได้ดูดบุหรี่ด้านนอก พร้อมกับขับวนหาเธอแถวๆ นั้นไปด้วยผมเห็นมีคนนั่งรถเข้ามา แต่เดินเข้าไปดูแล้วไม่ใช่ผมโทรไปหาไอ้โป้งให้บอกเบอร์โรงแรมห่านั่นให้ผมแล้วเพราะก่อนออกมาผมรีบจัดเลยลืมถามมา แล้วมันก็เป็นคนโทรจองให้ ก่อนหน้านั้นผมโทรถามเบอร์รถโรงแรมคันอื่นแล้วไล่โทรไปทุกสาย แต่มีสองเบอร์ที่โทรไม่ติด นอกนั้นก็ไม่ใช่ผมขับออกไปวนหานิ้งที่สถานีขนส่งไรนี่สองสามรอบได้ เพราะเธอเองก็ไม่น่าจะไปที่ไหนได้นอกจากที่นี่ ตอนนี้ก็อีกรอบ แต่พอไม่เจอผมก็จอดรถทิ้งไว้แถวๆ นั้นแล้วเดินไปนั่งที่ม้านั่งใกล้ๆ เพราะผมไม่รู้จะทำไงพอบุหรี่มันหมดมวนผมก็ทิ้งลงพื้นแล้วใช้ส้นตีนขยี้ ก่อนที่จะหยิบมวนใหม่มาจุดสูบอีกเพราะผมเครียด เกือบจ