Masukบทที่4 มื้อค่ำ
ไฟสีส้มอบอุ่นส่องทั่วห้องอาหารใหญ่โต๊ะยาวหรูหราที่เคยดูว่างเปล่า วันนี้กลับดูมีชีวิตเล็ก ๆ แค่เพราะมีคนสองคน..ที่ไม่รู้จะเรียกกันว่าอะไรดี ริน เดินลงมาจากห้องในชุดลำลองสบาย ๆ สีฟ้าอ่อนผมยาวถูกรวบหลวม ๆ ราวกับไม่ได้ตั้งใจแต่งตัวมากนัก แต่กลับดูดีแบบที่ทำให้คิงส์เงยหน้าขึ้นมองทันที เขานั่งรออยู่ก่อนแล้ว มือใหญ่ยังคงถือช้อนค้างไว้ก่อนจะยกยิ้มมุมปากอย่างที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นบ่อยนัก “ลงมาพอดี กำลังจะเริ่มกิน” รินพยักหน้าเบา ๆ แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม เธอไม่ได้เอ่ยอะไรนอกจากตักข้าวในจานเงียบ ๆ เสียงช้อนส้อมกระทบจานเบา ๆ ดังขึ้นในความเงียบจนคิงส์เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อนอย่างไม่ทันตั้งตัว “เริ่มอยู่ที่นี่ชินรึยัง?” รินเงยหน้ามองเขาแววตาของเธอนิ่ง แต่รอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนมุมปาก กลับเจือไปด้วยความประชด “ก็...กำลังปรับตัวอยู่ค่ะ” “อย่างน้อยก็เริ่มรู้ว่าเวลาไหนควรพูด เวลาไหนควรเงียบ” คำตอบนั้นทำให้คิ้วคิงส์ขมวดเล็กน้อย แต่เขากลับยังถามต่อ โดยพยายามไม่เปลี่ยนสีหน้า “แล้วมีอะไรไม่ชอบไหม?” “ถ้ามี ก็บอกได้” รินเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยเบา ๆ “ถ้าจะให้บอกหมดเดี๋ยวพี่จะกินข้าวไม่ลงเอา” น้ำเสียงเธออ่อนโยน แต่กลับเฉือนลึก คิงส์วางส้อมลงทันที เสียงกระแทกกับจานเซรามิคดังขึ้นกลางโต๊ะ เสียงนั้นทำให้ห้องอาหารเงียบสนิทในวินาทีเดียว รินชะงักไปเล็กน้อยแต่ยังคงแววตาแน่วแน่ ไม่หลบสายตาเขาแม้แต่นิดเดียว “รินพูดอะไรผิดเหรอคะ?” เธอถามกลับเสียงนิ่ง “หรือพี่แค่ไม่ชอบเวลารินพูดความจริง?” เขากำมือแน่น…แต่กลับไม่พูดอะไรต่อเหมือนกับกำลังพยายามควบคุมอะไรบางอย่างในตัวเองอยู่ รินถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะวางช้อนส้อมลงข้างจานอย่างสงบ “งั้นรินขอตัวนะคะ จะขึ้นไปอาบน้ำ” “เบื่อ... ไม่อยากกินแล้ว” เสียงเก้าอี้เลื่อนครูดกับพื้นเบา ๆ เธอลุกขึ้นเดินออกจากห้อง โดยไม่หันหลังกลับมามอง คิงส์นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น สีหน้าแข็งกระด้างและตึงเครียดเขามองจานข้าวตรงหน้าตัวเองที่จู่ ๆ ก็รู้สึกไม่อยากแตะมันอีกต่อไป ห้องอาหารค่อย ๆ เงียบลง เหลือเพียงเสียงนาฬิกาแขวนผนังที่เดินเป็นจังหวะ คิงส์ยังนั่งอยู่ที่เดิม มือใหญ่กำแน่นบนโต๊ะ จนเส้นเลือดบนหลังมือปูดขึ้นชัด ดวงตาคมของเขาจ้องมองจานอาหารตรงหน้าราวกับมันคือศัตรู ก่อนจะถอนหายใจแรง ๆ แล้วผลักเก้าอี้ออกจากตัว "เวรเอ๊ย..." เสียงสบถต่ำในลำคอหลุดออกมาแบบไม่ตั้งใจ ชายหนุ่มลุกขึ้นเต็มความสูง แล้วเดินก้าวยาวไปยังห้องเก็บไวน์ข้างห้องนั่งเล่น ไฟสีส้มสลัวจากโคมระย้าส่องสะท้อนแก้วไวน์ใบใหญ่เขาหยิบขวดโปรดออกมา เปิดจุกไม้ก๊อกด้วยความคุ้นมือเทของเหลวสีแดงเข้มลงในแก้วทรงสูง ก่อนจะยกขึ้นจิบ กลิ่นไวน์ฉุนติดจมูกแต่กลับไม่ได้ช่วยให้จิตใจสงบลงแม้แต่น้อย เขาทิ้งตัวลงบนโซฟาหนังแท้เหม่อมองไปยังบันไดที่ทอดยาวขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน...ที่เธออยู่บนนั้น เสียงในหัวเริ่มดังขึ้นอย่างชัดเจน “ถามดีๆ ยังจะมากวนประสาทอีก” “อยู่ดี ๆ จะพูดแบบนั้นทำไมวะ?” “อยู่ดีๆ ก็ชม... ทั้งที่กูแม่ง...ไม่เคยปฏิบัติดีเลยด้วยซ้ำ” เขาหยิบแก้วไวน์ขึ้นจิบอีกแต่รสขมกลับยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงในอก “แล้วพอคุยดีด้วยกับประชดประชัน...เอาไงกันแน่ว่ะ?” “แล้วจะโกหกพ่อแม่ตัวเองทำไมวะ?” ริมฝีปากเขาเม้มแน่นก่อนจะเอนหลังพิงโซฟา มองเพดานเงียบ ๆ “ริน...แม่งเอ้ย” เขาพูดเบา ๆ กับตัวเอง ราวกับอยากจะกลืนคำพูดกลับ ใบหน้าหวานของรินลอยวนอยู่ในหัว ภาพเธอนั่งกินน้ำส้ม เงียบ เรียบร้อย ไม่ปริปากบ่น ภาพเธอพูดแทนเขาให้ดูดีในสายตาพ่อแม่ ภาพเธอเถียงเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแต่ก็ไม่ยอมแพ้... “ทำไมต้องมองฉันแบบนั้นด้วยวะ…” เสียงในหัวกลับมาดังกว่าเดิม เขาก้มมองแก้วไวน์ในมือตัวเอง สะท้อนภาพดวงหน้าหงุดหงิดของเขาชัดเจน “ชักจะไปกันใหญ่แล้วมั้ง…” เขายิ้มมุมปาก กลั้นหัวเราะเยาะตัวเอง “จะสนใจทำไมวะ... ก็แค่คนที่พ่อแม่ยัดเยียดมาให้” “แค่สวย...ก็นั่นแหละ มันก็แค่ร่างกาย” “...ใช่เหรอ?” คำถามสุดท้ายโผล่ขึ้นมาจากความเงียบ และมันไม่มีคำตอบ เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจ...เขากัดฟันแน่น วางแก้วไวน์ลงบนโต๊ะอย่างแรง ก่อนจะลุกพรวดขึ้น เดินวนไปมาหน้าชั้นหนังสือราวกับควบคุมความคิดตัวเองไม่อยู่ แต่ไม่ว่าจะเดินกี่รอบ ภาพในหัวก็ยังเป็นใบหน้าของเธอ และเสียงหวาน ๆ ที่บอกกับพ่อแม่ทางโทรศัพท์ว่า... “พี่คิงดูแลรินดีค่ะ” หัวใจเขาเต้นแรงกว่าปกติ จนเขาต้องหยุดเดิน ถอนหายใจอีกครั้ง แล้วพึมพำกับตัวเองเสียงเบา “กูเป็นบ้าอะไรเนี่ย...” แล้วคิงส์ก็เดินขึ้นบันไดทีละขั้น แบบที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่า “จะขึ้นไปทำไม” แต่ขากลับไม่หยุดใจมันก็เลยหยุดไม่ได้เหมือนกัน เสียงลูกบิดหมุนเบาๆ ประตูห้องเปิดออก เขาเดินเข้ามาเงียบเชียบ… คิงส์ชะงักทันทีเมื่อสายตาคมสบกับภาพตรงหน้า รินนั่งอยู่ที่โซฟาข้างเตียง ชุดนอนผ้าซาตินสีอ่อนพริ้วแนบลำตัวอย่างไม่ได้ตั้งใจ เธอหันไปมองเขาเล็กน้อยก่อนจะก้มลงไปเปิดหนังสือในมือต่อ ไม่ได้พูดอะไรเลย เขากะพริบตาเหมือนไม่แน่ใจว่าภาพตรงหน้านั้นจริงหรือหลอนจากไวน์ แสงไฟอ่อนในห้องนอนขับผิวเธอให้ดูนุ่มละมุนราวต้องมนตร์ ผมยาวปล่อยสยายยุ่งนิด ๆ บนไหล่เปลือยเปล่า กับขาเรียวที่นั่งด้วยท่าทางธรรมดาแต่กลับดูเซ็กซี่ ทำเอาคิงส์ต้องกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว “จะนอนที่นั่นอีกแล้วเหรอ?” เขาถามเสียงต่ำ แหบเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้นช้า ๆ “ที่เดิม ก็สบายดีนะคะ” เสียงหวานของเธอตอบกลับมาเรียบง่าย แต่แววตานั้นกลับแฝงความรู้สึกซับซ้อนที่เขาอ่านไม่ออก คิงส์เดินเข้าไปใกล้ใกล้จนเธอรับรู้ถึงกลิ่นไวน์จาง ๆ ผสมกับกลิ่นกายอุ่นร้อนจากชายตรงหน้า เขายืนมองเธอเงียบๆ อยู่นาน นานเกินกว่าจะเรียกว่าปกติ เธอขยับตัวเล็กน้อย พยายามทำทีเป็นอ่านหนังสือต่อ ทั้งที่ใจเต้นแรงจนเกินจะเพิกเฉย “รู้ตัวไหม… ว่าชุดนี้มัน…ไม่ค่อยปลอดภัย” เสียงเขาต่ำลงอีก นุ่มแต่น่ากลัวในคราวเดียวกัน เธอกัดริมฝีปากเบา ๆ “อยู่ในห้องพี่คิง รินจะปลอดภัย...ไม่ใช่เหรอค่ะ?” คำพูดนั้น…แทงเข้าไปในใจเขา คิงส์เม้มริมฝีปากแน่นแล้วเบือนหน้าหนี เหมือนกำลังต่อสู้กับอะไรบางอย่างในตัวเอง “งั้นก็นอนตรงนั้นอย่าลืมห่มผ้าด้วย” เขาพูดทิ้งท้ายเสียงเบาก่อนเดินอ้อมไปอีกด้าน แต่ก่อนจะก้าวถึงเตียง เขาหันกลับมาอีกครั้ง จ้องมองเธออย่างลึกซึ้ง มองนานจนเธอเริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งร่าง “แล้วอย่าทำให้ฉันอยากโดยไม่ตั้งใจแบบนี้อีก” เขาทิ้งคำนั้นไว้ พร้อมแววตาที่เธอไม่เคยเห็นจากเขามาก่อน จากนั้นคิงส์ก็เดินขึ้นเตียงนอนหันหลังให้เธอโดยที่หัวใจยังเต้นแรงไม่หยุด คิงส์นอนหงายบนเตียง ผ้าห่มยังคลุมไม่ถึงอก แววตาคมจ้องเพดานมืดๆ อย่างไร้จุดหมาย แขนขาเกร็งแน่นไม่ต่างจากสมองที่หมุนวนด้วยภาพของหญิงสาวที่นอนอยู่ไม่ห่าง "บ้าเอ๊ย..." เขาสบถเบา ๆ กับตัวเอง เสียงพลิกตัวบนเตียงเกิดขึ้นเป็นรอบที่ร้อย เขาทำทุกอย่างเพื่อไล่ภาพเธอออกจากหัว ไม่สำเร็จสักครั้ง ความคิดวนซ้ำซาก ผิวเนียน ชุดนอนที่ขับผิวขาวและแทบจะปิดอะไรไม่ได้เลย กับท่าทางที่เธอพูดดีใส่เขาต่อหน้าพ่อแม่ ทั้งที่เขาทำกับเธอไว้ขนาดนั้น ทำไมเธอถึง... “แม่งเอ๊ย…” เขาหยัดตัวลุกนั่ง หยิบหมอนอีกใบมาวางบนตัก เอามือทึ้งผมตัวเองแรง ๆ จังหวะนั้นเอง ตุบ! เสียงอะไรบางอย่างลั่นในความมืด ก่อนร่างนุ่ม ๆ จะล้มทับเขาเต็มแรง “อ๊ะ! กรี๊ดด” “เฮ้ย ริน!?” รินหน้าตาตื่น เธอกำลังจะลุกไปเข้าห้องน้ำ แต่เผลอสะดุดพรมข้างเตียง ล้มมาเต็ม ๆ ใส่คิงส์ หัวเธอกระแทกหน้าอกเขาเต็มแรงมือของเขาคว้าเอวเธอไว้โดยอัตโนมัติ และนั่นก็กลายเป็นกับดักที่ทำให้ร่างเธอทั้งร่างแนบชิดเขาไปอีกขั้น “ขอโทษค่ะ รินไม่ได้ตั้งใจ…” เสียงเธอเบาหวิว “ไม่เจ็บใช่มั้ย?” เขาถาม สายตายังคงจ้องตาเธอแบบไม่ละสาย รินเบิกตาเล็กน้อย พยายามจะดันตัวออก แต่เขาไม่ปล่อย กลับค่อย ๆ ใช้มืออีกข้างพยุงเธอขึ้น ก่อนจะเลื่อนตัวเองขยับไปด้านข้างบนเตียง แล้วดึงเธอมากอดไว้อีกที คราวนี้บนฟูกนุ่มข้างกัน “นอนได้แล้ว” เสียงของเขาอ่อนลงอย่างที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน “อย่าซุ่มซ่ามอีก เดี๋ยวหัวแตกขึ้นมา” เธอค่อย ๆ เอนตัวลงไปนอนข้างเขา ใจเต้นแรงกว่าตอนล้มอีก มือของเขายังโอบอยู่รอบเอวเธอ “พี่คิง...จะกอดแบบนี้ทั้งคืนเลยเหรอคะ”บทที่46 ตอนพิเศษ2 NCแม้แดดในอาวีญงจะร้อนอบอ้าวในบางจุด แต่ลมเย็นจากแม่น้ำโรนที่ไหลเลียบเมืองเก่า ทำให้สายนี้ดูสดใสกว่าทุกวัน รินที่อุ้มกล้องขึ้นบ่าตัวเองอย่างคล่องแคล่วกำลังเดินอยู่บนสะพาน Pont Saint-Bénézet หรือที่คนท้องถิ่นเรียกกันว่า “สะพานอาวีญง” พร้อมเจ้าตัวเล็กฝาแฝดที่อยู่ในรถเข็นคู่กัน สีหน้าตื่นตาตื่นใจมองซ้ายขวาตลอดเวลา“ป๊าาา! ปลาาาา!”เสียงแฝดน้อยคนโตส่งเสียงใส ขณะที่ชี้นิ้วไปทางแม่น้ำเบื้องล่าง คิงส์เดินอยู่ข้างๆก้มลงมองลูกแล้วยิ้ม“เห็นปลาเหรอลูก”ส่วนริน... ไม่แม้แต่จะหันมอง เพราะเธอกำลังหมุนกล้องหามุม แสงย้อน เงาตก กระจกสะท้อน ครบทุกเทคนิค“ริน... เมมเต็มยังอะ กล้องน่ะ?” คิงส์ยิ้มกวนๆ เอามือดันหลังเธอเบาๆ“ยัง! กล้องนี้ 1TB เลยนะพี่! ยังไม่เต็มง่ายๆหรอก” เธอพูดพลางหันมายิ้มตาเป็นประกาย แล้วก็ก้มลงถ่ายลูกชายต่อ “ป๊าอุ้มลูกหน่อย อยากได้ภาพที่เห็นสะพานกับสองแสบข้างหน้า”“แสบเหรอเรา” คิงส์อุ้มลูกขึ้นสองข้าง “ถ้างั้นแสบสองชั้นเลยนะ ลูกใครวะเนี่ย หน้าเหมือนพ่อด้วยแฮะ”รินหัวเราะ ก่อนจะยกกล้องขึ้นมาอีกครั้ง แล้วคลิก... คลิก... คลิก… ไม่หยุดหลังจากเดินเที่ยวรอบเมืองเก่า ชมกำแ
บทที่45 ตอนพิเศษพระอาทิตย์เพิ่งลาลับฟ้าไปไม่นาน เมื่อเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของ “ราชันย์ อัครเวทิน” ล้อหมุนออกจากรันเวย์เป็นเส้นทางมุ่งหน้าสู่ปลายทางในฝันของภรรยาสุดที่รัก ปารีส ประเทศฝรั่งเศสในห้องโดยสารสุดหรูที่ตกแต่งด้วยสีครีมทองแบบคลาสสิก พร้อมเตียงนุ่มๆ และโซฟากว้าง มีเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กน้อยสองคนดังไม่ขาดช่วง“คิริน นั่นอะไรอะลูก?”รินถามเบาๆ พลางชี้ไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ของเครื่องบินที่เห็นเพียงทะเลและดวงดาวในยามค่ำคืน“...มืด!”คิรินตอบเสียงแหลม“มืดดดด~” ไคล์พูดตามแล้วหัวเราะออกมาคิงส์หัวเราะเบาๆ พลางหันไปบอกภรรยาที่ตอนนี้นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างลูก“รินอยากไปปารีสไม่ใช่เหรอ พี่ไม่เคยเห็นรินอยากไปที่ไหนขนาดนี้เลยนะ...”รินหันมามองเขาพร้อมยิ้มกว้างในแววตาวิบวับเหมือนเด็กได้ของขวัญ“รินเคยฝันไว้มาตั้งแต่สมัยเรียนค่ะ ว่าอยากมานั่งกินครัวซองต์ริมแม่น้ำแซน อยากเห็นหอไอเฟลด้วยตาตัวเอง แล้วก็...ถ้าได้มาพร้อมครอบครัว มันคงเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตเลย”คิงส์มองเธอนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอื้อมไปจับมือนุ่มของเธอมากุมไว้แน่น“งั้นทริปนี้ ทำให้เป็นที่พิเศษสุดเลยนะครับ... ไม่ใช่แค่
บทที่44 จบNC“พี่คิงส์…”“หืม?”รินถอนหายใจเบาๆ ขณะนั่งอยู่ปลายเตียง พูดกับคิงส์ที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดสบายๆ“รินว่าจะหาพี่เลี้ยงเพิ่มอีกคนค่ะ… เด็กแฝดเริ่มซนมากขึ้นทุกวัน พี่ๆ สามคนก็เหนื่อยกันน่าดู”คิงส์ที่กำลังนั่งพิงหัวเตียง หันมามองเธอด้วยสายตานิ่งๆ แต่เต็มไปด้วยความสนใจ ก่อนจะถามกลับเสียงทุ้ม“แค่พี่เลี้ยงเพิ่มเหรอ? ไม่มีอะไรอยากเพิ่มอีกแล้วเหรอครับ?”รินเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วเงยหน้าสบตาเขา“…รินอยากมีลูกอีกค่ะ”คำพูดสั้นๆ นั้นทำให้หัวใจของราชันย์เต้นแรงขึ้นทันที เขาไม่พูดอะไรต่อ แต่ลุกขึ้นมายืนตรงหน้าเธอ ใช้ปลายนิ้วเชยคางภรรยาขึ้นอย่างแผ่วเบา ดวงตาของเขาหนักแน่น ร้อนแรง และเต็มไปด้วยแรงปรารถนา“พูดเองนะ… งั้นก็อย่ามาห้ามพี่แล้วกัน”ทันทีที่พูดจบ เขาก็โน้มตัวลงจูบริมฝีปากของรินทันที จูบแรกนั้นแผ่วเบาและอ่อนโยน… ก่อนจะกลายเป็นจูบที่ดูดดื่มและดุดันขึ้นทุกวินาที ริมฝีปากของเขาทำงานอย่างแนบแน่น สลับกับเสียงหายใจที่เริ่มหนักและถี่ขึ้นทุกทีมือของคิงส์ลูบไล้ไปตามแผ่นหลังของภรรยา ขณะที่อีกมือหนึ่งเลื่อนมาเกาะเกี่ยวที่เอวบาง ก่อนจะดึงรินเข้ามาแนบชิดกับร่างกายของ
บทที่43 ทำบุญเช้าวันอาทิตย์หลังงานวันเกิดของแฝดได้ไม่นาน…ท้องฟ้าในเช้าวันนั้นใสกว่าทุกวัน รินตื่นเช้ากว่าปกติ ทั้งที่เมื่อคืนเพิ่งนอนดึกหลังกล่อมเด็กแฝด ร่างบางในชุดเรียบสุภาพยืนเงียบๆ หน้ากระจก ดวงตากลมโตมองสะท้อนเงาตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มบางๆ กับตัวเอง“วันนี้รินจะพาลูกไปทำบุญให้พ่อกับแม่นะคะ”เสียงกระซิบเบาๆ ที่ไม่มีใครได้ยิน นอกจากตัวเธอเองไม่นานนัก ทั้งครอบครัวก็ออกเดินทาง รินพาคิงส์ ลูกแฝด พี่เลี้ยงทั้งสาม รวมถึงพ่อแม่สามีขึ้นรถไปยังวัดชื่อดังในย่านพระรามเก้า เธอเตรียมของทำบุญมาล่วงหน้าหลายวัน ทั้งของถวายสังฆทาน ชุดผ้าไตร เครื่องอัฐบริขาร รวมไปถึงอาหารเลี้ยงพระและทำทานแก่คนยากไร้ เรียกได้ว่าเป็นงานบุญใหญ่ที่ตั้งใจจัดขึ้นเพียงเพื่อพ่อแม่ของเธอที่ล่วงลับไปแล้วเมื่อถึงวัด ทุกคนแต่งกายเรียบสุภาพ รินอุ้มคิรินไว้ในอ้อมแขน ส่วนคิงส์ก็อุ้มไคล์เดินเคียงข้างกันเข้าไปในโบสถ์ บรรยากาศเงียบสงบ แสงแดดที่สาดผ่านลายไม้ของหน้าต่างบานใหญ่ทำให้ภาพภายในโบสถ์ยิ่งดูอบอุ่นศักดิ์สิทธิ์พิธีกรรมเริ่มต้นขึ้น พระสงฆ์เริ่มสวดมนต์ ท่ามกลางเสียงสวด รินก็ยกมือไหว้หลับตานิ่ง กุมมือลูกไว้ทั้งสองข้าง
บทที่42 สองแฝดเช้าแรกของวันเกิดครบรอบ 1 ขวบของแฝดน้อยในบ้านอัครเวทิน เรียกได้ว่าเริ่มต้นด้วยเสียงโหวกเหวกของเหล่าพี่เลี้ยงที่แทบจะวิ่งเป็นลมวนรอบบ้านกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดีนัก เพราะแฝดน้อยทั้งสอง ไคล์กับคิริน ดันตื่นเช้ากว่าปกติ แถมยังตื่นมาแบบโหมด “นักสำรวจ” เต็มกำลัง พลังงานทะลุปรอท!“ไม่เอาาา คิริน อย่าดึงผมพี่ไคล์!!” เสียงหวีดเบาๆ ของพี่เลี้ยงคนหนึ่งดังขึ้น ขณะพยายามแยกตัวน้อยที่กำลังยื้อยุดฉุดกระชากกันตั้งแต่ยังอยู่ในเตียงเด็ก!“แง๊งงงงงงงงง!!” ไคล์ก็ไม่ยอม แถมยังโวยเสียงดังแล้วหยิบตุ๊กตาหมีประจำกอดแน่นพลางชี้หน้าคนน้องอย่างเอาเรื่องคิรินไม่พูดพร่ำทำเพลง อ้าปากจะงับตุ๊กตาพี่ทันที นี่มันศึกย่อมๆ แต่เช้าเลยจ้าพี่เลี้ยงทั้งสามที่เพิ่งจะได้ยกแก้วกาแฟไปครึ่งเดียวพากันวิ่งวุ่นไปรวบตัวแฝดแยกออกจากกัน แล้วจู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากชั้นบน...“เสียงอะไรแต่เช้า หืม?” คิงส์เดินลงบันไดมาพร้อมรอยยิ้มกร้าวใจ หัวฟูหน่อยๆ เพราะเพิ่งตื่น“คุณพ่อขาาาา มาช่วยหน่อยค่า แฝดกำลังเปิดศึก!” พี่เลี้ยงคนหนึ่งตะโกนลั่น“โอเคๆ พ่อมาแล้วครับ ใครแกล้งใครก่อนเนี่ย หื้มม ไคล์? หรือคิริน?”สองแฝดหยุดเลยทันท
บทที่41 ป๊ะป๊า ม๊ะม๊า...แม่เวลาได้ล่วงเลยผ่านไปบรรยากาศภายในห้องทำงานส่วนตัวของประธานใหญ่ไทยแบงค์ยังคงอบอุ่นเหมือนเดิมโซฟาตัวใหญ่ในมุมห้องวางเบาะนุ่มสำหรับเจ้าตัวแฝดไว้เรียบร้อย พี่เลี้ยงสองคนกำลังสาละวนกับของเล่น เสียงกุ๊งกิ๊งของโมบายแขวนกับเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กๆ ดังแทรกเสียงเอกสารพลิกไปมาของคิงส์รินนั่งข้างสามี บนโต๊ะเล็กมีน้ำผลไม้กับขนมสำหรับเธอ และข้าวบดสำหรับลูก ๆ เธอกำลังหยิบช้อนป้อนแฝดคนโตอยู่ ขณะคิงส์อ่านเอกสารสำคัญบนตัก พร้อมๆ กับใช้มือลูบหัวลูกชายคนเล็กที่กำลังนั่งพิงหมอนอย่างสบายใจ“อ้าปากครับ…งั่ม~”รินป้อนข้าวแฝดคนโต ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ เมื่อลูกชายอ้าปากรับอย่างว่าง่าย“ดีมากเลยครับคนเก่งของแม่”คิงส์เงยหน้าขึ้นจากเอกสาร ยิ้มมุมปาก“แฝดบ้านนี้กินเก่งเหมือนแม่แหง ๆ เลย”“อ้าว! ใครบอกคะ พี่ต่างหากที่กินเก่งจนลูกซึมซับ”ทันใดนั้นเอง...เสียงแผ่ว ๆ แต่ชัดเจนก็ดังขึ้นมาจากเจ้าตัวเล็กฝั่งซ้ายที่กำลังดูดนิ้วอยู่“ปะ…ป๊า…”รินกับคิงส์หันขวับมองหน้ากันทันที!“เมื่อกี้พี่ได้ยินใช่มั้ยคะ!? ลูกพูดว่า ‘ปะป๊า’ !!” รินเสียงตื่นเต้นจนมือไม้สั่นคิงส์แทบทำเอกสารหล่น รีบยื่นหน้าไปใกล้







