โถงใหญ่ภายในคฤหาสน์ประจำตระกูลเหมบดินทร์คือทางผ่านที่จะทะลุไปยังสระว่ายน้ำด้านหลัง ซึ่งตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นลานปาร์ตี้ขนาดย่อม ประดับประดาด้วยดวงไฟหลากสีและโต๊ะยาวราวสองเมตร ที่นำมาใช้สำหรับวางอาหาร เครื่องดื่มและเหล่าของขวัญน้อยใหญ่
“อาหมอ!!!”
ผมหันไปตามเสียงประสาน คลี่ยิ้มบางและโบกมือให้สามแสบของไอ้ฟิวส์ ไอ้ธามและก็ไอ้ยูตะที่พร้อมใจกันตะโกนเรียกจากกลางสระขณะผมเดินผ่าน โดยที่มีผู้เป็นพ่อคอยประกบอยู่ข้างกายไม่ห่าง ไหนจะพี่โตสุดอย่างสองแฝดของไอ้ดินนั่นอีก ดูวุ่นวายดีจัง ถัดไปก็เป็นโซนหน้าเตาปิ้งย่างและก็มีแม่ครัวประจำกลุ่มคนเดิม เฌอณารีน แถมด้วยลูกมือคนสวยอย่างโรส ส่วนหนูดากับคุณหนู ลลินก็เฝ้าดูลูกน้อยวิ่งเล่นอยู่ในสวน
ด้วยเวลาที่หมุนผ่านไป พวกเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ขึ้นมาก มีสมาชิกตัวเล็กตัวน้อยเพิ่มมาอีกหลายชีวิต และคงจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าพวกมันไม่หยุดผลิตกันสักที
แก้วแอลกอฮอล์ในมือพี่ชายคนโตของบ้าน ไอ้วาโย ยกขึ้นชูใส่ผมเพื่อเป็นการทักทาย ก่อนมันจะผละออกจากวงนักร้องมือสมัครเล่น ที่ประกอบไปด้วย ไอ้ดิน ไอ้แม็กซ์ เพลินตา และมิณ นั่งห้อมล้อมชุดโฮมเธียเตอร์สุดหรูพร้อมจอ LED ขนาดใหญ่และไมค์ลอยที่ต่างพากันจับจองไม่ยอมปล่อย เดินตรงมาหาผมที่กำลังรินบรั่นดีชั้นเลิศใส่แก้ว งานเลี้ยงจัดขึ้นท่ามกลางความเป็นส่วนตัว ทุกอย่างจึงต้องบริการตัวเอง
ดังนั้นผมเลยไม่ได้จัดเต็มแบบเป็นทางการ ยังคงคอนเซ็ปต์เดิม เสื้อยืดสีพื้น กางเกงยีนบวกกับผ้าใบคู่โปรด เหตุผลเพราะมันง่ายและสบาย อีกทั้งยังรวบผมด้านบนขึ้นมัดไว้เล็กน้อย
ถึงจะเป็นหมอก็ใช่ว่าจะต้องแต่งเนี้ยบเสมอไป
“ทำไมช้าจังวะ” คำถามแรกจากเพื่อนรักดังขึ้นในตอนที่มันหยุดยืนขนาบข้าง
“ติดเควสด่วน” ผมตอบ หลังกลืนน้ำสีเหลืองอำพันลงลำคอ พร้อมก้าวเดินไปทิ้งตัวลงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เหล็ก หันหน้าตรงเข้าสระน้ำ ยกขาข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้างในท่าประจำ โดยที่ไอ้วาโยก็เดินตามมานั่งร่วมโต๊ะด้วย
ถึงกาลเวลาจะไม่สามารถทำลายมิตรภาพของพวกเราได้ แต่ด้วยความที่ทุกคนมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น ในฐานะหัวหน้าครอบครัว การสังสรรค์จึงน้อยลงไปโดยปริยาย และดูเหมือนผมจะเป็นคนเดียวที่ยังใช้ชีวิตเหมือนตอนเป็นวัยรุ่น ถึงอายุกำลังจะย่างเข้าสามสิบเจ็ด ก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นจากเดิมมากเท่าไหร่ หรืออาจเพราะผมยังตัวคนเดียวด้วยนั่นแหละ
ผมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดโฟกัสเจ้าภาพของงานเฉลิมฉลองจบการศึกษาอย่างเป็นทางการในวันนี้ เด็กน้อยของผม กำลังก้าวเข้าสู่วัยทำงานเต็มตัว
โลกของเธอกว้างใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่โลกของผมถูกบีบให้แคบลง…
มิเชล มิรินดา หญิงสาวลูกครึ่งโซนเอเชียตะวันออก ที่ถูกรับเข้ามาเป็นบุตรบุญธรรมของบ้านเมื่อหลายปีก่อน เธอเติบโตขึ้นมาท่ามกลางความรักและการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากทุกคนรอบตัว ด้วยความที่เป็นน้องเล็กสุด
แน่นอนว่าผมคือหนึ่งในนั้น…
ร่างอรชรที่สูงไม่ถึงร้อยหกสิบเซนติเมตรในชุดแสนเรียบง่าย เสื้อกล้ามรัดรูปสีดำถูกสวมทับด้วยเชิ้ตขาวตัวโคร่ง พับแขนขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ติดกระดุมสักเม็ด และกางเกงยีนผ้าดิบตามสไตล์สาวสายลุย ผมลอนยาวที่ไม่ถึงกับดำสนิทถูกรวบขึ้นหลวม ๆ แบบไม่ใส่ใจ เพราะปอยผมหลายส่วนยังหลุดลุ่ยจนเจ้าตัวเกิดความรำคาญ นิ้วเรียวเล็กเกลี่ยมันขึ้นทัดหูทีละข้างในตอนที่กำลังโน้มตัวลงไปเล่นกับหลานชายคนเล็กในสระน้ำ
ทุกการเคลื่อนไหวเหมือนมนต์สะกด สายตาผมไม่หลุดโฟกัสแม้แต่วินาทีเดียว
ยิ่งตอนได้มองใบหน้าหวานราวตุ๊กตาชัดเจนในรอบสามเดือน นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนธรรมชาติ บวกกับจมูกเล็กทรงหยดน้ำสูงโด่ง และริมฝีปากบางรูปหัวใจเปื้อนรอยยิ้มสดใส ถึงทุกอย่างมันจะขัดกับบุคลิกและไลฟ์สไตล์ของคนตัวเล็ก แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความสวยเธอดรอปลงเลย
นี่คือนิยามของคำว่ายิ่งโตยิ่งสวยของจริง
“มึงตกจากการเป็นพี่ชายคนโปรดแล้วเหรอวะ” เสียงจากไอ้วาโยปลุกให้ผมตื่นจากภวังค์ พลางหลุบมองน้ำในแก้วที่เริ่มเคลื่อนช้าลงจากการหยุดแกว่งกะทันหัน ด้วยความตกใจที่คำถามของไอ้เพื่อนรักจี้ตรงจุดก็ส่วนหนึ่ง แต่สำคัญกว่านั้นคือคนถูกจับจ้องรู้ตัวเสียแล้ว แวบหนึ่งเธอเหลือกตาขึ้นมองผม
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่เกิดอาการประหม่าขนาดนี้
แต่ตอนนี้ ใช่…เป็นแบบนั้น สถานะผมถูกลดลง หลังจากเหตุการณ์วันนั้น เธอพยายามหลีกเลี่ยงการพบเจอ ตัดการติดต่อทุกช่องทาง เรียกได้ว่าแทบจะกลายเป็นคนไม่รู้จักไปแล้ว
และที่ผมสามารถก้าวเข้ามาอยู่ในงานนี้ได้ก็เพราะคำเชิญจากพี่ชายเธอที่นั่งอยู่ข้างๆ เนี่ยแหละ
“หรือมึงทำอะไรให้น้องกูโกรธ”
ผมชะงัก พยายามเก็บอาการเลิ่กลั่กอยู่ภายใน นี่คงเป็นเรื่องเดียวที่ผมไม่สามารถพูดออกไปตรง ๆ ได้
“กูทั้งเรียน ทั้งทำงาน ก็เลยไม่ค่อยมีเวลา” ดีที่ยังดึงข้ออ้างเรื่องเรียนต่อมาใช้ได้ แต่ใช่ว่าคนแสนฉลาดอย่างไอ้วาโยจะเชื่อ
“เรอะ? กูเห็นเมื่อก่อนถึงมึงจะยุ่งแค่ไหน ก็สละเวลาให้น้องสาวสุดที่รักได้อยู่ดี” ที่มันพูดก็ถูก…
“ก็ช่วงนี้กูยุ่งมากไง” ผมปรายตามองเพื่อนสนิทเล็กน้อย แค่จะดูรีแอคชั่น เพื่อจะได้รู้ว่าควรเลี่ยงไปทางไหนต่อ
“มึงมีหญิง?” จังหวะนี้มันเลื่อนหน้าเข้าใกล้พลางหรี่ตามองอย่างจับผิด
ถ้ามันรู้ว่า ‘หญิง’ ที่อยู่ในประโยคคือ น้องสาวคนเล็กของบ้าน จะเป็นยังไงนะ…
“เอาเวลาที่เสือกเรื่องของกู ไปดูลูกมึงนู่น” ผมใช้มือดันกลางหน้าผากให้ออกห่าง ก่อนจะชี้ไปที่ อชิ ลูกชายวัยห้าขวบหัวแก้วหัวแหวนที่กำลังขวักมือเรียกผู้เป็นพ่ออยู่ฝั่งตรงข้าม
พอเห็นแบบนั้นมันก็ละความสนใจจากทุกอย่าง พุ่งตรงไปที่ยอดดวงใจของตัวเองทันที
ลมหายใจพ่นยาวผ่านปลายจมูกออกมาอย่างโล่งอก โชคดีที่ทุกคนมีสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากกว่าการมานั่งซักไซ้เรื่องของชาวบ้าน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมต้องตายคาที่แน่ ๆ
ระหว่างที่กรอกเครื่องดื่มมึนเมาเข้าสู่ร่างกาย ผมยังลอบมองแผ่นหลังบางที่หายเข้าไปในตัวบ้าน
เกิดคำถามเดิม ๆ ที่ว่าเธอตั้งใจจะตัดผมออกจากชีวิตจริง ๆ เลยใช่ไหม
ความอ่อนหวานบนใบหน้าไม่ได้ส่งต่อไปถึงหัวใจเลยสักนิด ใจแข็งฉิบ…
พอถูกปฏิเสธบ่อยครั้ง เรื่องความเสี่ยงที่น้องสาวคนเดียวของกลุ่มร้องขอก็เงียบหายไปโดยปริยาย มิเชลไม่เคยพูดถึงสนามแข่งรถของพี่ชาย รวมถึงไม่รบเร้าให้ผมสอนขับรถด้วย จนการศึกษาในช่วงมัธยมปลายของเธอใกล้สิ้นสุดลงเต็มที และดูเหมือนนี่จะเป็นเหตุผลที่ช่วงหลัง ๆ มานี้ สาวน้อยเงียบหายไป คงจะกำลังเคร่งเครียดกับการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยและตอนนี้ผมเองกำลังเสียเวลาในการตามหาตัวสมาชิกในกลุ่ม ไม่รู้หายหัวไปไหนกันหมด ไลน์เงียบกริบ ที่ผับก็ไม่มี จนมาถึงห้องรวมตัว ณ สนามแข่งรถของเพื่อนรักก็ไม่เจอแม้แต่เงา ห้องทำงานมันก็ไร้วี่แววสุดท้ายผมเดินลงมายังขอบสนาม สมาร์ทโฟนที่อยู่ในมือซึ่งแสดงหน้ารายชื่อถูกกดล็อกและเก็บเข้ากระเป๋าตามเดิม เมื่อเห็นสมาชิกในกลุ่มยืนออกันเกือบครบองค์ประชุม น่าแปลกที่มีนัดสำคัญ แต่ผมกลับไม่รู้เรื่อง“ไอ้วา…”“เชี่ย!!” เจ้าของสถานที่สะดุ้งโหย่ง หันมาพร้อมกับใบหน้าตกใจสุดขีด หลังจากที่ผมแค่แตะไหล่เรียกเบาๆ ทำเอาผมสะดุ้งไปด้วยเลย“ตกใจเหี้ยอะไรขนาดนี้” ผมว่า พลางหรี่ตาไล่มองไอ้ยูตะ ไอ้แม็กซ์ ไอ้ดินและไอ้ธาม ตามลำดับ ที่หันมาโดยพร้อมเพรียงด้วยสีหน้าไม่แตกต่างกันทำไมต้องตกใจกับการปรา
@ร้านไอศกรีม“เอาอันนี้ค่ะ” นิ้วเรียวเล็กจิ้มไปที่ไอศกรีมรสช็อกโกแลตมินต์สุดโปรดปรานในเมนู แต่ยังไล่มองบนแผ่นกระดาษเคลือบใส ก่อนจะปิดจบที่รสวานิลลา ซึ่งน่าจะเป็นของผม “แล้วก็นี่ด้วยค่ะ”เธอยื่นเมนูคืนให้พนักงานหญิง ก่อนจะหันกลับมาหาผม“เราสั่งให้เฮียแล้วนะ”“อือ” ผมครางรับ หลังจากนั้นก็เอื้อมไปคว้ามือเล็กข้างขวาที่วางอยู่บนโต๊ะมาสำรวจ แน่นอนว่ามันไม่ได้เกิดร่องรอยบาดเจ็บให้เห็นเด่นชัดจากภายนอก ผมจำเป็นจะต้องขยับข้อมือเธอเพื่อดูรีแอคชั่น แต่เธอยังเก็บอาการได้ดีเสมอเพราะไม่อยากให้ผมกังวล“มันไม่ค่อยเจ็บแล้ว” คนตัวเล็กรีบออกปาก“ได้ทายาที่เอาให้รึเปล่า”“ทาค่ะ คุณยูริ…”“มิเชล”เจ้าของชื่อหยุดพูดกะทันหัน ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นตามเสียงเรียก ผมเองก็เลื่อนสายตาไปโฟกัสผู้มาเยือนใหม่เช่นกัน ปรากฏร่างเด็กชายในชุดพละแบบเดียวกันกับคนตัวเล็กที่ยังนั่งนิ่งอยู่ตรงข้ามผม“...” ไม่มีสัญญาณตอบกลับจากคนที่ถูกทักทาย แม้แต่รอยยิ้ม มิหนำซ้ำยังเบือนหน้าหนี ส่งผลให้คนเอ่ยทักหน้าเจื่อนไปทันที ก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยการหันมายกมือไหว้ผมแทน“สวัสดีครับคุณลุง”ผมตวัดตาคาดโทษไอ้เด็กนรกที่ใช้สรรพนามไม่เข้าหูด้วยความหงุดห
เด็กหญิงมิเชลเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จากประถมเข้าสู่มัธยม ส่วนผมยังทำหน้าที่พี่ชายคนโปรดได้เป็นอย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง ในบรรดาเฮียๆ ทั้งหมด ผมเป็นคนที่เธอให้ความสนิทสนมและไว้ใจมากที่สุด นั่นคงเป็นเพราะผมตามใจและใช้เวลาอยู่กับเธอมากกว่าคนอื่นๆ ถึงงานจะรัดตัวแค่ไหน ก็สามารถละทิ้งทุกอย่างเพื่อมาหาเธอได้เสมอครั้งนี้ก็ด้วย…ฝีเท้าผมหยุดชะงักทันทีที่เห็นร่างเล็กในชุดพละโรงเรียนเอกชนชื่อดัง นั่งฟุบหน้าลงกอดเข่าตัวเองอยู่บริเวณบันไดหน้าศูนย์วิชาการใจกลางเมือง แล้วก้าวไปหยุดยืนต่อหน้าเธอบนขั้นบันไดที่ต่ำกว่าหัวใจผมกระตุกวูบ เมื่อเด็กสาวเงยหน้าขึ้นพร้อมคราบน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง เธอยกหลังมือขึ้นปาดเช็ดแบบลวก ๆ ขณะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แต่ก็ยังเทียบผมไม่ได้ หน้าผากมนเอนมาแอบอิงบนแผงอกข้างซ้ายของผม คล้ายกับเธออยากหาที่พักพิงในตอนที่กำลังหมดแรง“ฮะ…เฮีย เราทำไม่สำเร็จ ฮึก” น้ำเสียงสั่นปนสะอื้นที่พยายามเปล่งออกมาให้จับใจความได้นั้น ทำผมชาวาบไปทั้งตัว นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นน้ำตาของเด็กหญิงที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยแรกรุ่นไม่เข้าใจทำไมผมรู้สึกมีก้อนตีขึ้นจุกอยู่กลางอก บ้าฉิบ…เหมือนความเจ็บปวดทั้งห
“เดี๋ยวไปโรงเรียน ก็เจอเพื่อนใหม่ เดี๋ยวก็ไม่เหงาแล้ว”“ไม่อยากมีเพื่อน” เธอสวนกลับด้วยประโยคที่เหนือความคาดหมาย“ทำไมละ” หัวคิ้วผมย่นเข้าหากันจนแนบชิด“เพื่อนไม่ชอบเรา…อุ๊บ”“เป็นอะไร” ผมตกใจ เอียงคอมองเด็กน้อยที่อยู่ๆ ก็ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเธอเลื่อนมือออกแล้วอธิบาย “ขอโทษค่ะ พี่มิณบอกไม่ให้แทนตัวเองแบบนี้กับผู้ใหญ่ มันไม่น่ารัก”ผมหลุดยิ้ม “น่ารักดีออก ใช้กับเฮียได้ คิดซะว่าเฮียเป็นเพื่อนก็ได้”“ได้ไงคะ เฮียอายุมากกว่าตั้งเยอะ”อึก! รู้สึกเหมือนถูกทุบกลางหลังอย่างแรง จุกอยู่นะ นี่ผมไม่ได้กำลังโดนหลอกด่าอยู่ใช่ไหม เด็กน้อยไร้เดียงสาตรงหน้ากะพริบตามองผมปริบๆ“เหอะ…” ผมทำได้แค่ยิ้มแห้ง “เป็นเพื่อนไม่ได้จำกัดอายุสักหน่อย”“จริงเหรอคะ” นี่เป็นประโยคแรกที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของน้ำเสียง“อือ”“เฮียอยากเป็นเพื่อนกับเราเหรอ” เสียงสดใสและตื่นเต้นขึ้นเรื่อย ๆ“ใช่ เฮียอยากเป็นเพื่อนกับน้อง”“แล้วทำไมเรียกเราว่าน้องละ” ตุ๊กตาในอ้อมกอดเริ่มไม่จำเป็นอีกต่อไป เธอคลายมันออกโดยที่ไม่รู้ตัว“ก็น้องยังเรียกเราว่าเฮียเลย” ผมตอบริมฝีปากบางฉีกยิ้มหวานให้ผมเป็นครั้งแรก นี่สิถึงเหมาะสมกับใบหน้าอ่อนหวา
สิบกว่าปีก่อน…@บ้านเหมบดินทร์“เฮ้ย! ไอ้เฮียมึงล่ะ” ผมร้องถามลูกชายคนกลางของบ้าน กึ่งเดินกึ่งวิ่งลงบันไดในชุดแสนสบายสำหรับการเล่นน้ำด้วยความเร่งรีบ หลังจากผมเพิ่งก้าวผ่านวงกบประตูบ้านเข้ามาได้ไม่เท่าไหร่“ข้างบน” มันตอบแบบปัด ๆ โดยไม่หันมอง“รีบห่าอะไรขนาดนั้นวะ” เสียงบ่นพึมพำไล่ตามหลังมัน ก่อนจะพาตัวเองขึ้นบันไดไปยังจุดหมายที่รู้จักเป็นอย่างดีประตูห้องเพื่อนรักถูกดันเข้าไปด้วยความมั่นใจ แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำผมชะงักนิ่ง คนที่อยู่บนเตียงไม่ใช่คนในความคิด แต่เป็นเด็กหญิงที่เพิ่งถูกรับเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวเหมบดินทร์หมาด ๆ วันนี้เลยดูเหมือนผมจะทำให้เธอตกใจจากการพรวดพราดเข้ามาโดยไม่ส่งสัญญาณ ร่างเล็กขยับถอยไปชิดหัวเตียง หน้าตาตื่นตระหนก คว้าตุ๊กตาหมีขาวตัวใหญ่เข้าสู่อ้อมกอดแน่น ราวกับเธออยากใช้มันเพื่อเป็นเกราะกำบังตัวเองจากภัยอันตราย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ เด็กที่มาจากบ้านเด็กกำพร้าล้วนแต่ไม่ได้อยู่ในครอบครัวที่สมบูรณ์แบบกันทั้งนั้น แล้วแต่ว่าใครจะเจอในรูปแบบไหนอีกอย่างอาจเป็นเพราะเธอยังไม่คุ้นชินสถานที่ และเรายังไม่เคยเจอกันสักครั้ง เพราะฉะนั้นตอ
แก้วเปล่าถูกวางลงบนโต๊ะ ก่อนจะตัดสินใจตามผู้หญิงคนเดียวที่จะสามารถให้คำตอบผมได้ไปด้วยความที่ผมเข้าออกที่นี่ราวกับเป็นบ้านตัวเอง จึงไม่มีใครใส่ใจว่าผมจะไปไหนหรือทำอะไร แม้แต่การขึ้นมาถึงห้องหนังสือชั้นบนนี้ก็ด้วยประตูถูกเปิดและปิดลงในเวลาไล่เลี่ย ซึ่งผมยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน เจ้าของห้องตัวน้อยหันกลับมา รอยยิ้มที่มีในตอนแรกหายวับไปกับตา หัวคิ้วบางย่นขึ้นเล็กน้อย“เข้ามาทำไมคะ” คำถามที่เหมือนจะสุภาพ แต่น้ำเสียงแข็งกระด้าง ฟังไม่รื่นหูเลยสักนิด หนังสือที่กำลังจะหยิบออกมาถูกดันกลับเข้าที่เดิม จากจุดที่เธอยืนอยู่ตอนนี้ห่างจากผมประมาณสิบก้าว“ขอคุยด้วยหน่อยสิ” ผมเริ่มขยับปลายเท้าเข้าไปใกล้ขึ้น“เราไม่มีอะไรจะคุย” เจ้าของใบหน้าหงุดหงิดก้าวเดินเช่นกัน แต่ไม่ใช่เพื่อล้นระยะทาง ในขณะที่ผมหยุด แต่เธอยังเดินต่อ ดูเหมือนจุดหมายจะเป็นประตูบานใหญ่ที่ผมเพิ่งทิ้งห่างออกมา“แต่เฮียมี” ผมคว้าข้อมือเล็กในตอนที่กำลังจะผ่านผมไป หวังแค่จะให้เธอหยุดและรับฟัง“อย่ามาโดนตัวเรา” คำสั่งเสียงเครียดดังขึ้นพร้อมกับการสะบัดมือออก ก่อนจะหมุนตัวเดินต่อผมอาศัยช่วงขาที่ยาวกว่า ก้าวเพียงไม่เท่าไหร่ก็พาตัวเองไปขวางหน้าปร