LOGINเด็กหญิงมิเชลเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จากประถมเข้าสู่มัธยม ส่วนผมยังทำหน้าที่พี่ชายคนโปรดได้เป็นอย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่อง ในบรรดาเฮียๆ ทั้งหมด ผมเป็นคนที่เธอให้ความสนิทสนมและไว้ใจมากที่สุด นั่นคงเป็นเพราะผมตามใจและใช้เวลาอยู่กับเธอมากกว่าคนอื่นๆ ถึงงานจะรัดตัวแค่ไหน ก็สามารถละทิ้งทุกอย่างเพื่อมาหาเธอได้เสมอ
ครั้งนี้ก็ด้วย…
ฝีเท้าผมหยุดชะงักทันทีที่เห็นร่างเล็กในชุดพละโรงเรียนเอกชนชื่อดัง นั่งฟุบหน้าลงกอดเข่าตัวเองอยู่บริเวณบันไดหน้าศูนย์วิชาการใจกลางเมือง แล้วก้าวไปหยุดยืนต่อหน้าเธอบนขั้นบันไดที่ต่ำกว่า
หัวใจผมกระตุกวูบ เมื่อเด็กสาวเงยหน้าขึ้นพร้อมคราบน้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง เธอยกหลังมือขึ้นปาดเช็ดแบบลวก ๆ ขณะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แต่ก็ยังเทียบผมไม่ได้ หน้าผากมนเอนมาแอบอิงบนแผงอกข้างซ้ายของผม คล้ายกับเธออยากหาที่พักพิงในตอนที่กำลังหมดแรง
“ฮะ…เฮีย เราทำไม่สำเร็จ ฮึก” น้ำเสียงสั่นปนสะอื้นที่พยายามเปล่งออกมาให้จับใจความได้นั้น ทำผมชาวาบไปทั้งตัว นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นน้ำตาของเด็กหญิงที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยแรกรุ่น
ไม่เข้าใจทำไมผมรู้สึกมีก้อนตีขึ้นจุกอยู่กลางอก บ้าฉิบ…
เหมือนความเจ็บปวดทั้งหมดถูกส่งต่อมาถึงผม ผ่านไอร้อนจากหน้าผากที่เป็นจุดสัมผัสเดียวในตอนนี้
เธออุตส่าห์รวบรวมความกล้าก้าวข้ามความกลัว เพื่อลงประกวดวาดภาพตามที่ผมเสนอ แต่ด้วยความที่ผลลัพธ์ไม่เป็นดั่งใจหวัง เธอทำมันไม่สำเร็จ เด็กน้อยคงยังจัดการกับความผิดหวังครั้งแรกไม่ได้ และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอร้องไห้ฟูมฟาย ดูเหมือนเธอยังไม่โตพอที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ว่าชีวิตมันไม่ได้สวยงามขนาดถึงขั้นที่จะทำอะไรแล้วสำเร็จไปซะทุกอย่าง
“ไม่เป็นไร ครั้งหน้ายังมี” ผมเลื่อนฝ่ามือขึ้นลูบผมนุ่มสลวยอย่างอ่อนโยน หลุบมองไหล่บางที่สั่นไหวเล็กน้อย พลางถอนหายใจ แล้วแสร้งมองไปทางอื่นแทน นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ผมไม่อยากเห็นมากที่สุด
“แต่เราตั้งใจมากๆ” ถึงน้ำตาจะหยุดไหล แต่ยังติดอาการที่เรียกว่า สะอื้น ซึ่งเกิดจากการโหมร้องไห้อย่างหนัก
“อือ เฮียรู้” ผมเลื่อนมองมือเล็กข้างขวาที่ทิ้งแนบลำตัว ก่อนจะเอื้อมแตะสัมผัสเบา ๆ บริเวณใจกลางฝ่ามือ “มือน้องก็ยังเจ็บอยู่ แค่นี้ก็เก่งมากแล้วนะ”
เนื่องจากหลายวันก่อนเธอบอกผมว่ารู้สึกขัด ๆ เวลาขยับข้อมือ น่าจะเกิดจากตอนเล่นกีฬาที่โรงเรียน และผมคิดว่านี่น่าจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เธอพลาดรางวัลในการประกวดครั้งนี้ อีกทั้งยังมีการกำหนดเวลามาเป็นตัวกดดัน
“ไม่มีรางวัลไปฝากคุณยูริเลย” ความกังวลแรกคือแม่บุญธรรม ซึ่งเธอกำชับไม่ให้ผมบอกเด็ดขาด เพราะอยากเอารางวัลไปเซอร์ไพรส์ท่าน
“ท่านไม่ได้อยากได้รางวัลขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าน้องกลับไปสภาพนี้ คุณยูริต้องเสียใจมากกว่าแน่ ๆ” ผมพูดไปตามความจริง แต่ดูเหมือนความกังวลจะยังไม่หมดไปจากสาวน้อย
“เฮียผิดหวังไหม”
คราวนี้เป็นผมแล้วซินะ…
ผมค่อยๆ ดันร่างเล็กออก โน้มตัวลงเล็กน้อยให้อยู่ในระดับเดียวกัน
“ไม่เลย ภูมิใจมากๆ ด้วย” หัวแม่มือทำหน้าที่ในการเกลี่ยเช็ดคราบน้ำตาที่ยังหลงเหลืออย่างอ่อนโยน “เดี๋ยวคราวหน้าค่อยมาลงแข่งใหม่นะ”
“...” เจ้าของดวงตาบอบช้ำสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“ไปกินไอติมกันดีกว่า เฮียเลี้ยงเอง” กระเป๋าสะพายหลังถูกผมหยิบออกมาถือไว้เอง
ริมฝีปากบางคลี่ยิ้ม แต่ก็ยังไม่วายกังวลเกี่ยวกับงานของผม “เฮียไม่รีบไปเข้าเวรเหรอ”
“ยังมีเวลาอยู่” ผมว่า หลังจากที่ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา แต่ถึงไม่มีเวลา ผมก็หาให้น้องสาวคนเดียว คนนี้ได้อยู่ดี…
ไหล่เล็กของเพื่อนรักไหวขึ้นหนึ่งครั้ง แล้วสะบัดหน้ากลับมาจดจ่อในสนาม ฉันกับพี่พลอยใสสบตากันโดยไม่พูดอะไรและพากันโฟกัสจุดเดียวกับที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจจากตอนแรกที่ยืนดูแบบชิลๆ กลายเป็นลุ้นระทึกตัวเกร็ง เงินสี่หมื่นเยอะมากนะถ้าจะต้องมาเสียให้ใครก็ไม่รู้โดยใช่เหตุ ฉันเริ่มหนักใจกับความกล้าได้กล้าเสียของเพื่อนตัวดีขึ้นมาแล้วละและแล้วเวลาสำคัญก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ด้วยการนับถอยหลังอีกไม่กี่วินาทีปึง!! เอี๊ยดดดดด…เสียงเบรกลากยาวดังลั่นสนาม“เฮ่ย!!” ชายแปลกหน้านั่นโพล่งออกมาไล่เลี่ยกับเสียงอุทานของเพื่อนสนิท“เชี่ย!...”“เวรแล้วไง” ปิดจบด้วยเสียงพึมพำของพี่พลอยใส ส่วนฉันยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองในตอนที่รถคันที่คาดเดาเข้าเส้นชัยจริงๆ แต่มันผิดจากสิ่งที่คิดไปเยอะพอสมควร เนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยที่ดูไม่ปกติเกิดขึ้น รถคันดำที่นำหน้ามาในตอนแรกเครื่องยนต์ติดขัดจนความเร็วลดลงอย่างเห็นได้ชัด รถคู่แข่งจึงตีเสมอได้และทิ้งท้ายด้วยการตบตกข้างทาง ก่อนเหยียบคันเร่งเข้าเส้นชัยและที่คันขาวดูไม่รีบร้อน นั้
หลายวันต่อมา…20:30 น.“กูว่าสนามพี่มึงใหญ่แล้วนะ แต่นี่แม่งโคตร…ใหญ่”ฉันกวาดสายตาไล่สำรวจโดยรอบตามประโยคบอกเล่าของเพื่อนสนิทที่ยื่นหน้ามาตรงกลางระหว่างเบาะคนนั่งกับคนขับ หลังจากรุ่นพี่คนสวยหักพวงมาลัยเลี้ยวผ่านประตูเข้าไปยังสนามแข่งรถชื่อดังซึ่งได้รับการแนะนำมาจากลูกชายคนโตของบ้านเหมบดินทร์ก็ใหญ่จริงนั่นแหละ สมกับคำร่ำลือที่เฮียวาโยบอก“คนเยอะจังวะ” พี่พลอยใสบ่นอุบขณะเคลื่อนรถอย่างเชื่องช้าไปตามทางเพื่อหาที่จอด“วันศุกร์ด้วยล่ะมั่ง” การแสดงความคิดเห็นของอีทิก็มีความเป็นไปได้ แต่ฉันคิดว่าน่าจะมีแมตช์สำคัญร่วมด้วย เพราะตอนนี้อัฒจันทร์ขนาดใหญ่ข้างสนามแทบจะไม่หลงเหลือที่ว่าง ลำพังแค่วันสุดสัปดาห์ไม่น่าจะดึงดูดผู้คนมาได้มากมายขนาดนี้ในที่สุดความพยายามของพวกเราก็สำเร็จ เมื่อเพื่อนรักสังเกตเห็นว่าตรงที่เราขับเลยมาแล้วมีรถออกพอดี“นั่น คันนั้นออก”พอรถถูกถอยเข้าจอดสนิท เราก็รีบพากันลงจากรถและเดินไปตามทางโดยให้เกียรติ
มิเชลถกแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นสูง ก่อนจะยืนแขนออกมาให้ผมค่อยๆ เทน้ำใส่เพื่อชำระล้าง แต่มันก็ได้แต่ส่วนที่อยู่นอกร่มผ้า แล้วเสื้อที่เธอสวมใส่อยู่ก็เลอะไปเกือบห้าสิบเปอร์เซ็นต์“ถอดออกเลย เอาเสื้อเฮียไปใส่แทน” ผมเสนอ“แล้วเฮียจะใส่อะไร”“เฮียเป็นผู้ชาย ไม่ใส่ก็ได้ เดี๋ยวแวะซื้ออะไรไปกินที่ห้องเอา” ยังไงก็อยู่แต่ในรถอยู่แล้ว กระจกก็ติดฟิล์มกรองแสงหนาระดับหนึ่ง ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร“แต่ว่า…”“เข้าไปถอดในรถ” ผมแทรกขึ้นพร้อมดึงประตูฝั่งคนนั่งเปิดออก คนได้รับคำสั่งอิดออดนิดหน่อยในตอนที่ผมใช้มือดุนแผ่นหลังเล็กให้เข้าไปในรถ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมอยู่ดี ขวดเปล่าถูกโยนใส่ไว้ตรงที่วางเท้าก่อนผมจะผลักประตูปิดและเดินอ้อมไปนั่งหลังพวงมาลัย“เดี๋ยวค่ะ” มิเชลเอื้อมมาจับมือผมที่กำลังปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวเอง “เราว่ามันก็ไม่เป็นไรนะ เรานั่งไปแบบนี้ก็ได้ แป๊บเดียวเอง”ข้อเสนอเธอถูกปัดตกด้วยการที่ผมทำตามความตั้งใจของตัวเอง ไอ้แบบนี้ที่เธอว่า หมายถึงการนั่งเกร็งตัวตรงอยู่ปลา
“เฮีย กลับกันค่ะ”“อีกแป๊บนะ” ผมเหลือกตามองปลายเท้าเจ้าของเสียงหวานที่มาหยุดยืนตรงหน้าได้เพียงเสี้ยววินาที ก็ต้องหลุบลงโฟกัสหน้าจอสี่เหลี่ยมในมือตามเดิม เนื่องจากเกมรอบสองกำลังเข้าสู่จุดเดือดจนผมไม่สามารถละสายตาหรือทิ้งเพื่อนออกไปกลางคันตอนนี้ได้ นอกจากจะโดนแบนแล้วยังเสี่ยงโดนด่าอีกด้วย“งั้นกินน้ำไหมคะ”“ไม่ครับ เดี๋ยวก็ไปแวะกินข้าวแล้ว”“โอเคค่ะ”เก้าอี้เหล็กสีดำตัวข้างๆ ถูกลากออกจนเกิดเสียงครืด ร่างเล็กหย่อนก้นลงนั่งพร้อมกับหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาไถไปพลางๆ โดยที่ผมยังลอบสังเกตรีแอคชั่นคนรอเป็นระยะทางหางตา ดูเหมือนเธอจะทำความเข้าใจได้เป็นอย่างดี ไม่มีท่าทีไม่พอใจหรือหงุดหงิดอะไร ฉะนั้นผมยังเล่นต่อจนจบเกมได้แบบไร้กังวล“คุยเรื่องอะไรกันบ้าง” ผมเริ่มทำลายความเงียบด้วยประเด็นสำคัญ ระหว่างที่รอการเกิดใหม่ของตัวละครในเกม“ก็…บอกรายละเอียดทั่วไปค่ะ”“เรื่องอะไร ที่ต้องเป็นความลับขนาดนั้น” ผมตั้งคำถามอีกครั้งอย่างตรงไปตรงมา เพราะคำต
“เฮียหยุดแทะโลมเราทางสายตาเดี๋ยวนี้เลยนะ”“เปล่าทำแบบนั้นสักหน่อย” ผมปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ถูกสาวน้อยยัดเยียดทันควัน ยอมรับนะว่ามองจริง แต่น้องจะมาใช้คำพูดเหมือนผมเป็นพวกโรคจิตแบบนั้นไม่ได้“หันไปทางนู้นเลย” เธอออกคำสั่งเสียงเข้มโดยที่ใบหน้ายังตั้งตรงไปด้านหน้า“อะไรวะ…” ถึงจะไม่พอใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ยอมลากสายตาไปโฟกัสตึกรามบ้านช่องข้างทางด้วยความจำนนหลังจากนั้นภายในรถก็มีเพียงเสียงเพลงสากลดังคลอเบาๆ ตลอดทางจนเวลาผ่านไปกว่าสี่สิบนาทีเราก็มาถึงศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุ์สัตว์ ซึ่งเพื่อนของหมอเจลเธอเป็นนักวิจัยในแล็บเลือดเกี่ยวกับสัตว์โดยตรงต่อมามีการกระทำอย่างหนึ่งจากคนข้างๆ ที่ดึงดูดจนผมอดไม่ได้ที่จะหันไปมอง สกิลการถอยรถเข้าซองขั้นเทพถูกถ่ายทอดมาจากไอ้วาโย พี่ชายคนโตที่เป็นทั้งเจ้าของสนามและนักแข่งอันดับต้นๆเธอใช้เพียงฝ่ามือขวาข้างเดียวในการหมุนพวงมาลัย ส่วนอีกข้างถูกวางลงบนเบาะที่ผมนั่ง ก่อนจะเอี้ยวตัวไปมองด้านหลังขณะที่รถยังเคลื่อนที่สิ่งนี้ทำให้ผมตกอยู่ในภวังค์ทันที และเพิ
ช่วงเย็นวันจันทร์…“ยังไม่เสร็จงานเหรอคะคุณหมอ”“เหลือผลเทสอีกตัวน่ะครับ” ผมขยับริมฝีปากตอบด้วยภาษาเดียวกับคำถาม ขณะหันมองตามนักวิจัยรุ่นน้องสัญชาติอังกฤษที่กำลังก้าวเดินผ่านหลังผมไปทางหน้าห้องแล็บ สาวในตาสีน้ำข้าวคนนี้คือ ไอร่า ซึ่งเธอถูกส่งมาจากโครงการอื่นภายใต้การดูแลของดอกเตอร์ซอ ก็อย่างที่รู้ๆ กันนั่นแหละว่าบุคคลที่จะขึ้นมาบนเขตหวงห้ามได้ ต้องเป็นผู้ที่ได้รับสิทธิ์โดยตรงหนึ่งในนั้นก็คือผม เอาจริงๆ ว่าตั้งแต่ได้ขึ้นมาประจำด้านบน ผมยังหาคำตอบไม่ได้เลยว่าทำไมถึงเป็นคนที่ถูกเลือก แล้วอะไรที่ทางโครงการอยากปิดไว้เป็นความลับ เท่าที่ดูการทำงานก็ไม่ได้แตกต่างจากข้างล่างมากนัก อาจมีข้อมูลบางอย่างที่เจาะลึกเกินความจำเป็น แต่มันก็ไม่น่าจะสำคัญถึงขั้นต้องเป็นความลับขนาดนี้ไหม…หรือคำตอบจริงๆ มันจะอยู่ในห้องแล็บใหญ่ที่ไม่มีใครเข้าไปได้นอกจากดอกเตอร์ซอกับผู้ช่วยคนสนิทนั่นนะ“ให้ช่วยไหมคะ” สติผมถูกต้อนกลับมาด้วยข้อเสนอของไอร่า“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก”







