2. รับผิดชอบ
ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่สดชื่น นี่แหละน้าเค้าบอกว่าจิตเป็นนายกายเป็นบ่าว แค่รู้ว่าจะได้ไปเจอคุณหมอ หัวใจมันก็รู้สึกชุ่มชื่นอย่างบอกไม่ถูก ฉันอาบน้ำแต่งตัวแต่งตัว แต่งหน้าอย่างพิถีพิถันจะได้ไปเจอคุณหมอทั้งที ฉันต้องสวยจากภายนอกสู่ภายใน สวยทั้งกายและใจ จนคุณหมอซันสุดหล่อไม่กล้ามองใครที่ไหน ฉันเดินลงมาจากชั้นบนซึ่งทำเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่นซึ่งมีจอทีวีขนาดใหญ่และชุดมินิโฮมเทียเตอร์ไว้สำหรับดูหนังโดยเฉพาะ ห้องน้ำขนาดใหญ่ซึ่งมีอ่างจากุชชี่เพราะฉันชอบนอนแช่น้ำอุ่น จุดเทียนหอม ฟังเพลงชิลๆ หลังปิดร้าน
“คุณหนูตื่นเช้าจังเป็นยังไงบ้างคะ” ป้าแก้วเปิดประตูเข้ามา ในมือถือปิ่นโตอาหารมาด้วย ป้าแก้วจะมาช่วยงานที่ร้านในตอนกลางวัน พอปิดร้านก็กลับไปบ้านใหญ่ ซึ่งคุณพ่อของฉันพักอยู่ที่นั่น ส่วนฉันขอพักอยู่ที่ร้านเพราะเวลาที่ฉันคิดสูตรขนมหรืออาหารใหม่ๆได้ ก็จะลงมาที่ห้องครัวขนาดใหญ่ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ทำอาหารราคาแพง และมีทุกอย่างครบครัน แรกๆ พ่อก็เป็นห่วงที่ฉันอยู่ที่นี่คนเดียว แต่ที่นี่อยู่ศูนย์กลางความเจริญในจังหวัดโรงพยาบาลรัฐก็อยู่ตรงข้าม ที่สำคัญกล้องวงจรปิดหน้าร้านเชื่อมต่อกับที่บ้านใหญ่หากพบอะไรผิดปกติ พี่เชิดจะสั่งลูกน้องที่อยู่ใกล้ๆ ออกมาที่ร้านทันที
“ดีขึ้นแล้วค่ะป้าแก้ว นั่นมีอะไรทานบ้างคะอะไรคะเยอะแยะเลย หิวจัง” เมื่อคืนฉันเป็นคนรบเร้าให้ป้าแก้วกลับบ้านใหญ่เพราะอยากให้ป้าแก้วดูแลทางโน้นมากกว่า ป้าแก้วจะเป็นหัวหน้าแม่บ้านดูแลเรื่องอาหารการกินของคุณพ่อและความสะอาดในบ้านใหญ่ ส่วนฉันหลังจากกินยาก็ดีขึ้นมากทีเดียว ฉันเอามือกุมท้อง ฝีมือการทำอาหารไทยของป้าแก้วไม่เป็นสองรองใคร กลิ่นหอมของอาหารเรียกน้ำย่อยของฉันได้ดี
“วันนี้ป้าทำข้าวต้มทรงเครื่อง มีผัดยอดฟักแม้วหมูสับด้วยค่ะ” ป้าแก้วเดินเข้าไปเอาถ้วยชามในครัวและเตรียมอาหารเช้าให้ฉัน เสียงเคาะประตูกระจกดังขึ้น ฉันหันไปตามเสียง
“นั่นคุณสไมล์นี่คะ มาแต่เช้าเลย” สมหมาย หรือชื่อในวงการสไมล์ ชายหนุ่มหัวใจสาว เพื่อนรักของฉันสมัยมัธยม ตอนนี้นางเป็นถึงอาจารย์มหาวิทยาลัย จึงต้องแอ๊บแมนเพื่ออยู่ในสังคม แต่นางจะมาปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริงกับฉันเท่านั้น
“เฮ้ ชะนี ได้ยินว่าป่วย เป็นไงบ้าง” สไมล์เดินเข้ามานั่งข้างๆ ฉัน
“พอดี คุณสไมล์เจอป้าที่ตลาด ป้าเลยบอกน่ะค่ะ เดี๋ยวป้าขอไปทำความสะอาดห้องคุณหนูนะคะ” ป้าแก้วบอกและเดินขึ้นไปชั้นบนปล่อยให้ฉันอยู่กับเพื่อนตามลำพัง
“ดีขึ้นแล้วแก กินข้าวเช้าด้วยกันสิ แกรีบไหม”
“ไม่รีบเท่าไหร่ วันนี้ไม่มีสอนเช้าแต่มีประชุมตอนสิบเอ็ดโมง”
“มีเรื่องเม้าท์” ฉันทำหน้าเขินๆ กัดปากอมยิ้ม สไมล์หรี่ตามองฉันอย่างสงสัย
“เรื่องผู้ล่ะสิ ร้อยวันพันปีเคยชอบใครซะทีไหน ถ้าไม่รวมไอ้ต้น” พูดถึงต้นเพื่อนชายสมัยมัธยม บุคคลที่ทำให้ชีวิตฉันมีรอยร้าว ฉันอึ้งไป เพราะแทบจะลืมชื่อนี้ออกไปจากความทรงจำแต่พอมีใครสะกิดเผลอเก่าขึ้นมาอีก มันก็รู้สึกหน่วงๆ ไม่น้อย สไมล์จึงรีบขอโทษขอโพย
“เฮ้ยๆ ขอโทษ เล่ามาสิ ใครทำให้คุณหนูลักษณ์นาราหวั่นไหวถึงขนาดนี้” นางทำแววตาใคร่รู้
“เมื่อคืนฉันตัวร้อนมาก ป้าแก้วพาฉันไปที่โรงพยาบาลแล้ว....แล้ว.....” ฉันกุมมือบิดตัวไปมา เขินจนพูดไม่ออก ราวกับสาวน้อยที่กำลังมีความรัก แต่พูดก็พูดเถอะตอนนี้อายุไม่ใช่สาวน้อยแล้ว สไมล์มองอย่างหมั่นไส้ที่ฉันมัวอ้ำอึ้งไม่ยอมพูดอะไรต่อสักที
“อีบ้า! มัวบิดอยู่นั่นแหละ กว่าแกจะเล่าฉันฟังคงไปถึงมหา’ลัยแล้ว ชาตินี้จะได้ฟังไหมเนี่ย แล้วไงเจอผู้เป็นเวรเปลไรงี้เหรอ”
“อ่าวอีนี่ ไปโรงพยาบาลก็เจอหมอสิ” พวกเรามักจะคุยกันเป็นภาษาดอกไม้ (สีทอง) เพราะสนิทกันมากจนรู้ไส้รู้พุง ตอนที่ฉันไปเรียนที่สถาบันทำอาหารที่ฝรั่งเศสเราก็ติดต่อกันตลอด สไมล์จึงเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของฉัน
“แล้วไง หมอหล่อบอกต่อด้วยไรงี้เหรอ” นางคาดเดาซึ่งก็เป็นคำตอบที่ถูกต้อง
“ไม่ใช่หล่อธรรมดานะแก หล่อมาก คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ปากสีกุหลาบน่าจุ๊บ สูงโปร่ง ขาวจนทะลุหลอดไฟนีออนเลยแก โอ้ยใจบาง” ฉันหน้าแดงเมื่อนึกถึงดวงตาสีเข้มที่มองมาที่ฉัน รอยยิ้มหวานละลายใจนั่นอีกคนอะไรก็ไม่รู้น่ากินไปทั้งตัว
“ที่แกพูดนั่นคนหรือหลอดไฟแอลอีดี สูงโปร่ง ขาวออร่า” อีบ้า! พูดซะเห็นภาพหลอดไฟ หมดมู้ดเลย
“ถ้าแกเจอหมอ แกต้องคิดเหมือนฉัน คนอะไรหล่อจนต้องร้องขอชีวิต ฮือ...”
“ฉันว่าแกตัดใจเหอะ หมอไม่ได้มีเวลามาทำสวีททำซึ้งกับแกนะเว้ย เค้าขึ้นเวรแถมอาจโดนเรียกตัวตลอด แกจะทำยังไง กำลังจะจึ๊กกะดึ๋ย โดนพยาบาลโทรตาม"
“เพี้ยะ!” ฉันตีแขนเพื่อนรักอย่างแรงด้วยความเขิน มาพูดเรื่องจึ๊กกะดึ๋ย บ้าไร ฮึ่ย!!!
“อีบ้า แรงคนหรือแรงควายวะ เจ็บนะเว้ย จะเขินอะไรนักหนา เมื่อไหร่จะรู้เรื่อง โอ้ย! คนสวยเซ็ง นี่เพื่อนเตือนดีๆ นะ ถ้าชอบคนมีเวลาให้คนที่เอาใจใส่ดูแลแกได้ตลอด ตัดอาชีพหมอออกไปเลย เค้าเป็นคนของประชาชน เกิดมาเพื่อช่วยเหลือมวลมนุษย์”
“สมหมาย แกพูดซะเค้าเป็นพาวเวอร์เรนเจอร์เลย เค้าก็เป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ต้องการมีรักดีๆ สักคนป่ะวะ” ซึ่งคนนั้นก็คือฉันเอง
“แล้วยังไงต่อ แกเจอหมอก็ปิ๊งปั๊งเลยเหรอ”
“พยาบาลใส่ชาร์ทคนไข้ผิดเตียงฉันเกือบโดนตรวจภายในน่ะสิ โอ้ยพูดแล้วยังเขินอ่า เค้าเห็น เอ่อ! น้องสาวฉันแล้ว ฮือ..พูดแล้วยังอายไม่หาย”
“นี่ข้ามขั้น ถึงกับเห็นจิ๊โบะแกเลยเหรอ” ศัพท์แสงเรื่องใต้สะดือของนางมักจะโผล่มาเรื่อยๆ ฉันพยักหน้าเอามือปิดหน้าด้วยความเขินระดับสิบ
“เห็นมะแก เค้าเหมาะจะเป็นเนื้อคู่ฉันใช่มะ ไม่รู้หล่ะ เค้าเห็นน้องสาวฉันแล้ว ต้องรับผิดชอบ” ฉันพูดเองเออเองและมั่นใจในความคิดของตัวเองสุดๆ คุณหมอต้องรับผิดชอบโดยการเป็นสามีของฉัน
“อีบ้า ขอด่าทีนึงนะ ถ้ามีคนคิดเหมือนแกนี่ หมอคงมีร้อยเมียแหงๆ ยายแก่ๆที่มาตรวจมะเร็งปากมดลูกนั่นก็ด้วย เค้าก็ไม่ได้ตั้งใจป่ะวะ แกก็ลืมๆ มันไปเหอะ ถือว่าให้หมอดูเป็นวิทยาทานศึกษาป่าอเมซอน” ห๊ะ!! นางเปรียบเปรยน้องสาวฉันเป็นป่าอเมซอน นี่ฉันเล็มตลอดนะเว้ย
“นั่นหมอนะ ไม่ใช่ช่างภาพแนชั่นแนลจีโอกราฟฟิค ฉันไม่ได้ให้มาสำรวจป่าอเมซอนฉันง่ายๆนะ”
“แล้วแกจะเอาไง จะจีบหมอว่างั้น”
“ใช่ หมอต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำกับฉัน!!!” ฉันปฏิญาณกับตัวเอง
“นี่แก เค้าแค่เกือบจะตรวจภายใน ไม่ใช่ได้กัน สติค่ะเพื่อนสติ” ถึงนางจะห้ามยังไง ก็ห้ามความรู้สึกที่ฉันมีต่อหมอไม่ได้ ฉันตั้งใจอย่างแน่วแน่
“ฉันจะเป็นภรรยาคุณหมอรังสิมันต์ ตันติเวชไพศาลให้ได้แกคอยดูเหอะ”
“เออ เพื่อนคงดึงสติแกไม่ได้ ฉันมั่นใจว่าไม่นานแกก็หมดความอดทน แล้วเพื่อนจะคอยดูนะจ้ะ กินข้าวเหอะหิวแล้ว” แล้วนางก็ตั้งใจกินข้าวเช้า เราคุยกันสักพักนางก็ขอตัวไปทำงาน ส่วนฉันเข้าครัวเพื่อทำขนมเตรียมขายวันนี้และทำครัวซองต์เนยสดสูตรพิเศษไปฝากคุณหมอสุดที่รัก พอทำเสร็จออกมาที่หน้าร้านก็เจอ น้องเดียร์และน้องมิก พนักงานเสิร์ฟและบาริสต้าของฉัน น้องมิก อายุ 22 ปี เพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยและยังว่างงาน ฉันจึงสอนสูตรการทำเครื่องดื่มและเทรนด์งานให้น้องจนชำนาญ น้องมิกสามารถทำเครื่องดื่มได้ทุกอย่างในร้านและดูแลร้านให้ฉันได้เป็นอย่างดี ส่วนน้องเดียร์ อายุ 20 ปี เนื่องจากฐานะทางบ้านไม่ดีจึงออกมาทำงานเพื่อหาเงินเรียนต่อมหาวิทยาลัย ตอนฉันรับสมัครพนักงานฉันรู้สึกถูกชะตากับน้องทั้งสอง พอได้ฟังประวัติตอนสัมภาษณ์ก็รู้สึกคิดไม่ผิดที่รับน้องทั้งสองคนเข้ามาทำงานในร้าน
“มิกทำชาเขียวเย็นหวานน้อยแล้วก็มอคค่าเย็นหวานน้อยให้พี่ด้วยสองแก้ว” น้องมิกยิ้มรับ น้องเดียร์กำลังเช็ดโต๊ะและเตรียมเปิดร้าน
“ใครสั่งแต่เช้าอ่าพี่” น้องเดียร์ถามเพราะตอนนี้เพิ่งเก้าโมง ร้านเพิ่งจะเปิด ฉันโทรบอกน้องทั้งสองว่าฉันไม่ค่อยสบายให้เปิดร้านสายๆหน่อย น้องจะได้ไม่ต้องรีบมา เพราะฉันต้องใช้เวลาทำขนมสำหรับขายวันนี้ด้วย
“พี่จะเอาไปส่งที่โรงพยาบาล” ฉันยิ้มเขิน
“ทำไมพี่หน้าแดงอ่า ยังไม่หายดีเหรอ” น้องมิกถาม พลางชงชาเขียว
“พี่สบายดีจ้า สงสัยอากาศร้อนอ่า วันนี้ร้อนแต่เช้าเลยเนอะ” ฉันยิ้มแหยๆ ห่อขนมครัวซองต์ใส่กล่องสวยงาม ฝากคุณหมอซันและพยาบาลจิ๋ว ฉันเข้าโปรแกรมไลน์ หารายชื่อพี่พยาบาลจิ๋วและส่งข้อความ
Primrose : สวัสดีค่ะพี่จิ๋ว พริมนะคะ ^_^
รอประมาณยี่สิบนาทีได้พี่จิ๋วถึงอ่านและตอบ ซึ่งน้องมิกทำเครื่องดื่มเสร็จพอดี น้องเอาแก้วพลาสติกซึ่งบรรจุเครื่องดื่มตามออเดอร์ฉันใส่พร้อมส่ง
Jew Aunchalee : ค่ะน้องพริม ว่าไงคะ?
Primrose : พริมจะเอาขนมไปฝากพี่จิ๋วค่ะ พี่จิ๋วอยู่ไหน พอจะว่างสักครู่ไหมคะ
Jew Aunchalee : พี่อยู่ตึกสูตินรีเวชค่ะ
Primrose : แล้วเจอกันนะคะ อีห้านาทีพริมไปถึงค่ะ
ฉันหอบหิ้วขนมและเครื่องดื่มเดินข้ามถนน ลัดเลาะไปตามทางเดิน ป้ายบอกทางไปตึกสูตินรีเวชให้เลี้ยวขวา ฉันใช้เวลาไม่นานก็ถึงที่หมาย ช่วงเก้าโมงกว่าผู้คนเดินกันขวักไขว่ คนไข้ ญาติคนไข้ หมอและพยาบาลเดินสวนไปสวนมา ฉันขึ้นบันไดไปชั้นที่สองของแผนกที่พี่จิ๋วทำงาน สายตาสอดส่ายหาพยาบาลสาว ขณะที่ฉันกำลังจะเดินไปถามพยาบาลที่อยู่ตรงเคาท์เตอร์ พี่จิ๋วก็เดินเข้ามาหาก่อน
“พี่จิ๋ว ทานข้าวรึยังคะ พริมเอาครัวซองต์สูตรพิเศษของร้านมาฝากมีชาเขียวเย็นหวานน้อยด้วย” ฉันส่งกล่องขนมและเครื่องดื่มเย็นๆ ที่แยกเอาไว้ให้พี่จิ๋ว
“ขอบคุณมากนะคะน้องพริม แหมทั้งสวยและใจดี” พี่พยาบาลยิ้มรับขนมมาและอวยฉัน ขุ่นพี่คะ เมื่อคืนคำพูดของเราฟาดฟันกันจนเกือบตายไปข้างนะคะ แต่ก็ช่างเถอะตอนนี้เราคือพันธมิตร เรื่องที่ผ่านมาแล้วไงใครแคร์
“ส่วนอันนี้พริมอยากให้หมอซันนะคะ อยากจะขอบคุณ คุณหมอด้วยตัวเอง ถ้าไม่ได้คุณหมอพริมต้องแย่แน่ค่ะ” ฉันพูดแล้วทำตาบลิ้งๆ ให้พยาบาลจิ๋วเห็นใจ เล่นใหญ่ไปนิดระดับรางวัลตุ๊กตาทองยังอาย
“ตอนนี้หมอซันกำลังราววอร์ด นั่นไงคะ” พยาบาลจิ๋วชี้ไปที่ ชายหนุ่มร่างสูงสวมชุดกาวน์แขนสั้น ขนาดด้านหลังยังรู้เลยว่าหล่อ ใจฉันเต้นรัว แค่เห็นไกลๆยังขนาดนี้ ถ้าหมอมายืนใกล้ๆ ฉันคงหัวใจวาย หมอกำลังใช้สเต็ตโทสโคป
ตรวจคนไข้หลังคลอดคนหนึ่ง โดยมีพยาบาลสาวคอยรายงานอาการคนไข้ ฉันยืนรอสักพักจนคุณหมอตรวจคนไข้รายนี้เสร็จ
“หมอซันคะ มาทางนี้สักครู่นะคะ” พี่จิ๋วทำหน้าที่ที่พึงกระทำ อร้ายยยย! หมอมาทางนี้แล้ว ฉันจะตบรางวัลพี่จิ๋วอย่างงาม แพคเกจทานขนมและเครื่องดื่มร้าน C'est très bon. หนึ่งปีเต็ม
“อ้าวคุณพริม หายไข้แล้วเหรอครับ” เสียงทุ้มนุ่มชวนหวั่นไหวเอ่ยถาม หมอส่งยิ้มให้
“ดีขึ้นแล้วค่ะ นี่ครัวซองต์สูตรพิเศษของร้าน แล้วนี่ก็มอคค่าเย็นหวานน้อย ดีต่อสุขภาพและดีต่อใจค่ะ” ฉันหยอดหมอไปทีนึง
“ขอบคุณมากนะครับ เกรงใจคุณพริมแย่เลย” หมอซันยังคงสุภาพและขี้เกรงใจ ปากสีกุหลาบน่าจุ๊บยังคงยิ้ม หมอรับกล่องขนมและเครื่องดื่มจากฉัน ฉันตั้งใจแอบจับมือนิดนึง มือของหมอนุ่มมากแต่หอมรึเปล่าไม่รู้ เดี๋ยวไปถึงร้านจะไม่ล้างมือเลย ปลื้มปริ่มมาก หมอซันพยายามดึงมือของเขาออกมาจากการเกาะกุมของฉัน
“อุ้ย ขอโทษค่ะ ลืมตัวไปหน่อย” ฉันป้องปากหัวเราะพองามพลางใช้มือจับผมทัดหูอย่างมีจริต
“หมอซันคะ เชิญทางนี้หน่อยค่ะ” พยาบาลสาวผู้ร่วมราววอร์ดกับหมอซัน พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ที่หมอซันไม่ยอมกลับไปราววอร์ดต่อ พอฉันกับพยาบาลสาวคนนี้สบตากัน หัวใจฉันแทบตกไปอยู่ตาตุ่ม
“ยัยพริม”
“ยัยเจน”
เจนหรือพยาบาลเจน เพื่อนสมัยมัธยมของฉัน เราไม่ได้เจอกันมาหกปี ตอนที่เรียนด้วยกันเราก็จากกันด้วยไม่ดี จะเรียกว่าไม่ถูกกันก็ได้
“เธอกลับมาจากฝรั่งเศสเมื่อไหร่” ยัยเจนเลิกคิ้วถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ก็กลับมายังไม่ถึงเดือนหรอก ฉันเปิดร้านขนมหน้าโรงพยาบาล ถ้าเธอว่างก็ไปลองชิมได้นะ” ฉันพยายามพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่แอบสั่นเล็กน้อย ความทรงจำตอนสมัยมัธยมปลายที่ฉันพยายามจะลืม กลับจำได้อย่างเด่นชัด ยิ่งมีเพื่อนที่อยู่ในเหตุการณ์อย่างยัยเจน
“คุณหมอคะ เดี๋ยวพริมขอตัวนะคะ ถ้าคุณหมอติดใจขนมเชิญที่ร้าน C'est très bon. หน้าโรงพยาบาลนะคะ” ฉันอยากออกไปจากตรงนี้ การได้เจอยัยเจนทำให้ฉันกลับมาสู่ความรู้สึกเดิมๆ ที่ฉันพยายามจะลืมมันไป