“อย่าคิดว่าหนีไปแล้วจะจบ…”
“ทุกวินาทีที่ฉันเฝ้าคิดถึงเธอ…”
“…เธอจะต้องจ่าย...ด้วยตัวเธอเอง”
คีรินทร์ครางต่ำในลำคอ ร่างหนากระแทกกระทั้นอีกครั้งในจังหวะหนักหน่วง ไม่ให้โอกาสเธอได้พักหายใจ มือแกร่งตรึงขาเรียวขึ้นแนบไหล่ แล้วดันลึกจนสุดราวกับต้องการบดขยี้ลมหายใจของเธอให้ดับสิ้น
เมลินร้องเสียงหลง ดวงตาพร่ามัวด้วยน้ำตาและแรงปรารถนาที่ท่วมท้น เธอเหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทัน แต่ชายหนุ่มไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
เขาไม่คิดหยุด
ครั้งแล้ว…ครั้งเล่า…
แม้เธอจะตัวสั่นไปหมด ร่างกายแทบรับไม่ไหว เขาก็ยังฝืนกระแทกใส่เธอด้วยความต้องการที่เหมือนสัตว์ป่าบ้าคลั่ง ร้อนแรง รุนแรง จนเสียงร่างกายที่ปะทะกันดังสะท้อนกับผนังห้อง
“อึ่ก…เมลิน…เธอมัน...”
เสียงหอบพร่าของเขาแหบเครือ มือที่เคยแน่นหนาบีบจับอย่างไร้ปรานีเริ่มสั่นคล้ายจะสิ้นเรี่ยวแรง
สุดท้าย...ในครั้งสุดท้าย
เขากระแทกลึกในจังหวะสุดท้าย ดวงตาคมหลับแน่นในขณะที่ปลดปล่อยอย่างรุนแรงออกมาอีกระลอกหนึ่ง…เต็มลึกภายในของเธอ
ทว่า...
“เมลิน…”
เขาเรียกชื่อเธอเบา ๆ เมื่อสัมผัสถึงความผิดปกติ
เธอไม่ขยับ…ไม่หายใจแรง…ไม่มีเสียงคราง ไม่มีการดิ้น ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นอีกต่อไป
คีรินทร์ผละออกทันที แล้วพลิกตัวเธอขึ้นมาในอ้อมแขน ดวงตาคมดุดันสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็น
ใบหน้าหวานนั้นซีดเซียว เปียกชื้นไปด้วยน้ำตาและเหงื่อเย็น ริมฝีปากที่เคยครวญครางตอนนี้นิ่งสนิท ร่างเล็กหลับตาพริ้มอย่างไร้สติ
“เมลิน...” เขาเรียกเสียงเบา แต่มือใหญ่กลับสั่นระริก
“…เวรเอ๊ย!”
เขาดึงเสื้อคลุมผืนหนามาสวมให้เธออย่างลนลาน ในวินาทีนั้นเอง…เขาเพิ่งรู้ตัวว่า ความรักของเขามันน่ากลัวขนาดไหน
ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อใหม่ให้เธอด้วยสองมือที่ไม่มั่นคงอย่างเคย ทุกการสัมผัสตอนนี้…แตกต่างจากก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง
มันเต็มไปด้วยความสับสน และ...ความรู้สึกผิด
เขาแตะหน้าผากเธอ สัมผัสได้ถึงไข้อ่อน ๆ และชีพจรที่เต้นแผ่วบาง
“ไอ้คิน! มานี่เดี๋ยวนี้…” เขาหยิบโทรศัพท์แล้วกดเบอร์ฉุกเฉิน
“…มาดูเมลินที เธอสลบไป...ฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นอะไร!”
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินวนไปมารอบเตียง คีรินทร์เงยหน้ามองร่างบางบนเตียงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยอะไรบางอย่าง…ที่เขาไม่กล้าเรียกมันว่า ‘เสียใจ’
เขาไม่ได้ข่มเหงเธอเพราะแค่เกลียด
เขาทำลงไป...เพราะความรักของเขามันเปลี่ยนเป็นความเกลียดที่บ้าคลั่ง
เพราะเขายังรักเธอ
แต่เขายังเจ็บ...เพราะเขายังสงสัย
—เธอเข้ามาในชีวิตเขาทำไมกันแน่?
—เธอคือคนที่วางแผนให้ศัตรูฆ่าคริสจริง ๆ หรือเปล่า?
—แล้วเด็กคนนั้น...น้องน็อต
ดวงตากลม ๆ ที่เขาเห็นในห้องเด็กวันนั้น...ทำไมมันถึงสะท้อนเงาของตัวเขาเอง?
เขาสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ พยายามไม่ให้ความรู้สึกถาโถมมากไปกว่านี้
“เธอไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้นแล้ว…และฉันก็ไม่ใช่ผู้ชายคนเดิม”
เขากระซิบเย็นเยียบ แม้ในแววตานั้นจะมีเงาของความเจ็บปวดบางอย่างซ่อนลึกอยู่ภายใต้ความแข็งกระด้างของชายที่ชื่อคีรินทร์
เสียงฝีเท้าหนักแน่นของอคินดังสะท้อนในโถงยาวใต้ดิน ขณะเดินผ่านบอดี้การ์ดที่ยืนเฝ้าหน้าห้อง เมื่อลับสายตาพวกนั้นลง เขาก็ผลักบานประตูเข้าไปทันทีโดยไม่ขออนุญาต
“เธอเป็นอะไร?”
เขาหันไปถามคีรินทร์ที่ยืนอยู่ปลายเตียง สายตาที่ยังมีแววไม่ยอมไว้ใจเพื่อนสนิทกระแทกใส่เต็มแรง
คีรินทร์ไม่ตอบในทันที เขาเพียงยืนนิ่ง ร่างสูงเงียบงันราวกับก้อนหินที่ไร้ใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ
“ฉันอาจ…ล้ำเส้นไปหน่อย”
อคินกวาดสายตามองหญิงสาวที่ยังนอนไม่ได้สติบนเตียง แก้มซีด ผิวซีด ปากแห้งแตก สภาพร่างกายมีรอยแดงที่ดูออกว่าเกิดจากการทำดูดดุนอย่างรุนแรงอยู่หลายจุด และ…ไม่ต้องสงสัย ต้องเป็นฝีมือของเพื่อนของเขาอย่างแน่นอน
“นายทำอะไรเมลิน?” น้ำเสียงของเขาเย็นลงอย่างอันตราย
“ฉันไม่ได้ทำร้ายเธอ…” คีรินทร์กัดฟัน “แต่ฉัน…ไม่ได้หยุดด้วยเหมือนกัน”
อคินเดินไปตรวจร่างกายหญิงสาวอย่างละเอียด ก่อนจะถอนหายใจหนักๆ
“เธอไม่ได้หมดสติเพราะบาดเจ็บรุนแรง แต่เพราะอ่อนเพลียเกินขีดจำกัด ร่างกายขาดน้ำ ขาดอาหาร…และโดน...บีบคั้นเกินไป”
เขาหันขวับมาทางเพื่อน “นายน่าจะรู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงเมื่อหลายปีก่อนคนนั้น ตอนนี้เธอยังเป็นแม่คนแล้ว”
คีรินทร์ไม่พูดอะไร แม้สีหน้าจะยังไร้อารมณ์ แต่ดวงตาสีเข้มกลับสะท้อนความรู้สึกที่ยากจะตีความ
“นายต้องคิดให้ดี” อคินกล่าวขณะหยิบยาบำรุงวางไว้บนโต๊ะหัวเตียง
“อย่าทำตามอารมณ์ เพราะวันหนึ่ง…มันอาจจะสายเกินไป”
เขาเดินผ่านคีรินทร์ไปอย่างเงียบงัน ทิ้งให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
คีรินทร์นั่งลงข้างเตียง มองใบหน้าอ่อนล้าที่แม้ยามหลับตาก็ยังเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเมลิน มือใหญ่ยื่นออกไปสัมผัสแก้มเธอเบาๆ
“ฉัน…ไม่เคยลืม แต่เธอเองก็เปลี่ยนไปมาก…”
ไม่นานหลังจากนั้น ร่างบางก็ค่อยๆ ขยับตัว เปลือกตาที่หนักอึ้งลืมขึ้นอย่างช้าๆ สายตาของเธอพร่ามัว ก่อนจะเห็นเงาใครบางคนอยู่ข้างเตียง
“ขอ…น้ำ…”
คีรินทร์ลุกไปหยิบขวดน้ำเย็นและรินใส่แก้วทันที ก่อนจะช่วยประคองร่างเธอขึ้นเล็กน้อยแล้วส่งแก้วให้
เมลินเบิกตาขึ้นนิดหน่อย เมื่อเห็นว่าเขาเป็นคนให้ เธอชะงักเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะตัดสินใจรับไปดื่มอย่างเงียบๆ
ไม่มีคำพูด ไม่มีน้ำตา มีเพียงความเงียบและสายตาเด็ดเดี่ยวที่ค่อยๆ กลับมาฉายในดวงตาของเธอ
“ฉันขอเจอลูก…” เธอเอ่ยเบาๆ แต่น้ำเสียงนั้นหนักแน่นกว่าครั้งไหนๆ
คีรินทร์หรี่ตาเล็กน้อย “เธอยังไม่แข็งแรง”
“แต่ฉันเป็นแม่ของเขา ฉันอยากอยู่กับเขา”
เธอพูดเสียงสั่น แต่มั่นคง ดวงตาเปล่งประกายแห่งความเป็นแม่ที่พร้อมจะต่อสู้แม้กระทั่งกับมาเฟียทั้งโลก
เขามองใบหน้าซีดเซียวของเธอแล้วเงียบไปนาน…ก่อนจะตอบเสียงเย็น
“ทานข้าว ทานยาให้หมดก่อน แล้วฉันจะพาเธอไปดูเขา”
เมลินพยักหน้าช้าๆ อย่างยอมรับข้อตกลงนั้น
เวลาผ่านไปจนถึงกลางคืน หลังเธอทานข้าวและยาเรียบร้อย คีรินทร์จึงพาเมลินขึ้นบันไดลับจากใต้ดินไปยังชั้นบนสุดของตัวตึก เขาพาเธอเข้าไปในห้องหนึ่งที่ดูเหมือนห้องควบคุมแคบๆ มีผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกขนาดใหญ่
“ที่นี่…?” เธอหันมามองเขาอย่างงงงัน
“ห้องสังเกตการณ์” คีรินทร์ตอบเรียบๆ ก่อนเดินไปเปิดม่านบางที่กั้นกระจกไว้
เมื่อม่านเลื่อนออก ภาพห้องอีกฝั่งก็ปรากฏชัดเจน…
ห้องเด็กเล็กตกแต่งอย่างอบอุ่น แสงไฟสลัวให้บรรยากาศสงบ น้องน็อตนอนอยู่บนเตียงไม้เล็กๆ พร้อมตุ๊กตาตัวโปรดที่เคยหอบหิ้วไปโรงเรียนเสมอ
เมลินแทบทรุดลงตรงนั้น เธอกลั้นเสียงสะอื้นไว้ไม่ไหว
ใจของเธอเหมือนจะทะลุออกไปจากอก... อยากจะวิ่งไปกอดลูกแน่น ๆ แต่ร่างกายกลับหมดแรงแม้แต่จะยืน
มือบางแนบลงบนกระจก เย็นเฉียบจนชา…แต่ก็ไม่อาจดับความร้อนรุ่มในใจ
“เขาหลับแล้ว” คีรินทร์พูดช้าๆ “ฉันไม่อยากให้เขาตกใจหรือสับสน ถ้าเห็นเธอในสภาพแบบนี้…”
เมลินไม่เถียง เธอรู้ดี…ว่าเขาพูดถูก เด็กชายตัวเล็ก ๆ ไม่ควรรับรู้ความปวดร้าวของผู้ใหญ่
“น็อต…ลูกต้องรอดจากเงานี้นะลูก” เธอกระซิบเบา ๆ ทั้งที่น้ำตาไหลเงียบไม่หยุด
คีรินทร์ยืนอยู่ด้านหลัง มองภาพแม่ที่แนบมือกับกระจกใสมองลูกด้วยสายตาเต็มไปด้วยความรัก…และเจ็บปวด
เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ในแววตาที่แสนเย็นชา…เหมือนบางอย่างกำลังร้าวลึกลงทีละนิด
เสียงร้องไห้โหยหวนดังก้องไปทั่วห้องนอนใต้ดินหรูที่ถูกออกแบบให้ดูสวยงามในรูปแบบคฤหาสน์ชั้นสูง หากแต่กลิ่นอายของการกักขังก็ยังไม่สามารถปกปิดได้หมด — โดยเฉพาะเมื่อคนที่ถูกขังอยู่คือเมลิน ผู้หญิงที่กำลังจะเสียสติเพราะถูกพรากลูกไป“ปล่อยฉันออกไป! ได้ยินไหม! ฉันต้องไปหาน้องน็อต! ลูกฉันกำลังป่วย!” เสียงร้องของเธอปนเปื้อนด้วยน้ำตาและความเจ็บปวด มือทุบประตูอย่างสิ้นหวังบนชั้นบน ลิซ่า เลขาคนสนิทที่ฟื้นขึ้นมาเรียบร้อย เดินตรงเข้าไปหานายของตนที่ยืนกอดอกอยู่ปลายเตียง มองดูเด็กชายตัวน้อยที่นอนดิ้นไปดิ้นมาไม่ยอมให้หมอตรวจอยู่กลางเตียงด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เด็กอาจจะไม่รอดนะคะคุณคีรินทร์” ลิซ่าพูดตรง ๆ แม้จะรู้ว่าอาจโดนสายตานั้นเฉือนให้เลือดซึม“…”คีรินทร์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ลึกลงไปในอกมีบางอย่างกระตุกวูบ ความรู้สึกที่เขาพยายามฝังกลบมันไว้ใต้บาดแผลของความแค้นพลันถูกรบกวน“พาเธอมาหาลูก” เขาออกคำสั่งเสียงเบาแต่เฉียบขาดไม่นานนัก เมลินก็ถูกพาตัวมายังห้องนอนใหญ่ เด็
ใต้ดิน…ในห้องนอนที่ดูหรูหราแต่ไร้ซึ่งความรู้สึกอบอุ่น เมลินยังคงถูกขังไว้ที่นั่น วันที่เท่าไรแล้วเธอไม่รู้ รู้เพียงว่าทุกเช้าและเย็น คีรินทร์จะเปิดประตูเข้ามาพร้อมแววตาแข็งกร้าว"บอกฉัน…ว่าเธอทำไปทำไม"ประโยคนั้นซ้ำซากราวกับบทสวด คีรินทร์ยังคงสงสัยว่าเมลินมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของน้องชายเขาเมื่อหลายปีก่อน เขาเชื่อว่าเธอคือจุดเชื่อมโยงกับสปายที่ทำให้ทุกอย่างพังเมลินเงียบ…ดวงตานิ่งสงบซ่อนแผลในใจเอาไว้ เธอไม่เคยตอบอะไรมากไปกว่าเดิม"ฉันไม่ได้เกี่ยวข้อง ฉันแค่ต้องไป…เพราะมีเหตุผลของฉัน"ทุกเย็น เขาจะพาเธอไปยังห้องกระจกอีกห้องหนึ่ง ที่ซึ่งเธอจะได้มองลูกชายของเธอ—น้องน็อต—ผ่านกระจกหนา เด็กน้อยนั้นผอมลงทุกวัน เธอเห็นได้จากเงาร่างที่เคยสดใส เริ่มหม่นหมองลงอย่างชัดเจน เขาไม่พูด ไม่เล่น เพียงนั่งเหม่อจ้องออกไปอย่างเงียบงันเมลินเจ็บ…เจ็บจนแทบขาดใจ“นายมันอำมหิต!” เสียงเธอสั่นพร่า “แค่เพราะความเชื่อที่ไม่มีหลักฐาน นายถึงกับพรากแม่ออกจากลูก?”คีรินทร์ขบกรามแน่น ดวงต
“อย่าคิดว่าหนีไปแล้วจะจบ…”“ทุกวินาทีที่ฉันเฝ้าคิดถึงเธอ…”“…เธอจะต้องจ่าย...ด้วยตัวเธอเอง”คีรินทร์ครางต่ำในลำคอ ร่างหนากระแทกกระทั้นอีกครั้งในจังหวะหนักหน่วง ไม่ให้โอกาสเธอได้พักหายใจ มือแกร่งตรึงขาเรียวขึ้นแนบไหล่ แล้วดันลึกจนสุดราวกับต้องการบดขยี้ลมหายใจของเธอให้ดับสิ้นเมลินร้องเสียงหลง ดวงตาพร่ามัวด้วยน้ำตาและแรงปรารถนาที่ท่วมท้น เธอเหนื่อยจนหายใจแทบไม่ทัน แต่ชายหนุ่มไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเขาไม่คิดหยุดครั้งแล้ว…ครั้งเล่า…แม้เธอจะตัวสั่นไปหมด ร่างกายแทบรับไม่ไหว เขาก็ยังฝืนกระแทกใส่เธอด้วยความต้องการที่เหมือนสัตว์ป่าบ้าคลั่ง ร้อนแรง รุนแรง จนเสียงร่างกายที่ปะทะกันดังสะท้อนกับผนังห้อง“อึ่ก…เมลิน…เธอมัน...”เสียงหอบพร่าของเขาแหบเครือ มือที่เคยแน่นหนาบีบจับอย่างไร้ปรานีเริ่มสั่นคล้ายจะสิ้นเรี่ยวแรงสุดท้าย...ในครั้งสุดท้ายเขากระแทกลึกในจังหวะสุดท้าย ดวงตาคมหลับแน่นในขณะที่ปลดปล่อยอย่างรุนแรงออกมาอีกระลอกหนึ่
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ เดินกระแทกลงบนพื้นไม้ลามิเนตอย่างไร้ความปรานี คีรินทร์ปิดประตูห้องด้วยความแรงจนเมลินสะดุ้งเฮือก หัวใจเต้นรัวเหมือนจะหลุดออกมานอกอก เมื่อแววตาคมดุของเขาตรึงเธอไว้ราวกับถูกล่ามโซ่ไว้กับที่"เธอคิดจะหนีไปอีกไหม?" เสียงทุ้มต่ำลอดไรฟัน ข่มอารมณ์เดือดเอาไว้จนเส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆเมลินเม้มปากแน่น ร่างเล็กถอยกรูดไปติดผนัง แม้สายตาจะไม่ยอมหลบแต่หัวใจในอกกลับเต้นรัวด้วยความกลัวปนเจ็บปวด "ฉันไม่เคยคิดจะหนี ถ้าคุณตั้งใจจะฟังฉันตั้งแต่แรก—""เธอไม่มีสิทธิ์พูด!" เขาตะคอก ร่างสูงใหญ่พุ่งเข้าหาอย่างไม่ให้ตั้งตัว ก่อนจะคว้าข้อมือบางทั้งสองข้างยกขึ้นตรึงไว้เหนือศีรษะติดกับผนังดวงตาคมพร่าด้วยอารมณ์หลากหลาย—ความรัก ความเจ็บ ความแค้น และไฟราคะที่สุมอยู่ในอกจนปะทุออกมาเป็นแรงขับดัน"เธอมีสิทธิ์อะไรไปจากฉัน?!" คำพูดหลุดออกจากริมฝีปากหยักอย่างเจ็บปวด"รู้ไหม…กี่คืนที่ฉันฝันถึงเธอ…กี่ครั้งที่ฉันอยากจะตาย เพราะคิดว่าเธอไม่รัก"น้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตาเมลินทันที แต่เธอกลั้นไว้ ไม่ยอมให้มันไหล เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อน
สองวันแล้ว...เมลินยังคงถูกขังอยู่ในห้องเดิม ห้องที่ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีนาฬิกา ไม่มีอะไรบอกเวลา มีเพียงแสงไฟเพดานจาง ๆ กับผนังสีเทาอึมครึมที่แทบไม่สะท้อนอารมณ์อะไรนอกจากความอ้างว้าง อาหารและน้ำถูกส่งมาให้ตรงเวลา แต่เธอแทบไม่แตะต้องมันเลย หญิงสาวเพียงกอดเข่าตัวเองอยู่ตรงมุมห้อง เงียบงัน และเปล่งเสียงร้องไห้เบา ๆ อยู่กับตัวเอง"ลูกของแม่...น้องน๊อต..." เสียงกระซิบเจือสะอื้นดังแทบไม่ได้ยิน เธอหลับตาแน่น กัดริมฝีปากกลั้นสะอื้น ความคิดถึงลูกกัดกินหัวใจไม่ต่างจากเข็มพันเล่มที่ทิ่มแทงซ้ำ ๆ ทุกนาทีแต่ทั้งหมดนั้น...อยู่ในสายตาของเขาชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าเย็นชา คิรินทร์ กัลย์พิทักษ์ นั่งกอดอกเงียบ ๆ อยู่หน้าจอมอนิเตอร์หลายจอในห้องควบคุมส่วนตัว สายตาเย็นจับจ้องภาพหญิงสาวในห้องขังนิ่ง ๆ“จะใจแข็งไปได้สักแค่ไหน…” เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาคมเฉียบไหววูบเพียงเล็กน้อย“บอสค่ะ”เสียงเรียกของเลขาสาวคนสนิท ลิซ่า ทำให้เขาหันขวับ“ลูกของเธอ...อาการไม่ค่อยดีนะคะ”คิรินทร์ขมวดคิ้วแน่นทันที“
ห้องใต้ดินที่ถูกดัดแปลงให้คล้ายห้องนอนทั่วไปกลับเย็นเยียบจนแทบหยุดลมหายใจ เมลินรู้สึกเหมือนถูกจองจำอยู่ในคุกที่โหดร้ายยิ่งกว่าคุกจริง—คุกที่กล่อมเธอด้วยม่านหนา เตียงนุ่ม และแสงไฟหลอกตา หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ที่มุมเตียง กอดเข่าตัวเองเอาไว้แน่น ดวงตาแดงช้ำบวมเป่งจากการร้องไห้ไม่หยุดตั้งแต่ถูกจับแยกจากลูกชายที่สนามบิน“น๊อต...” เธอพึมพำชื่อเขาแผ่วเบา ปลายนิ้วเย็นเฉียบกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อหนัง เธอไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังกลัวหรือร้องไห้หรือเปล่า เด็กชายวัยสี่ขวบที่ไม่ค่อยเข้าใจโลกใบนี้มากนัก เติบโตมากับแม่เพียงคนเดียว ไม่มีญาติ ไม่มีใคร แม้แต่พ่อของเขา...คนที่ควรจะรักเขาเป็นคนแรก ก็ไม่เคยแม้แต่จะถามถึงตอนที่ถูกชายแปลกหน้าลากตัวเธอขึ้นรถ เมลินดิ้นสุดแรงแต่ไร้ประโยชน์ และภาพสุดท้ายที่เธอเห็นก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไปก็คือเด็กชายในอ้อมแขนของชายคนหนึ่ง เขาถูกอุ้มขึ้นรถอีกคันที่จอดรออยู่ แววตากลมโตของลูกชายที่เต็มไปด้วยความตื่นกลัว ฝังลึกอยู่ในหัวใจของเธอราวกับแผลสาหัสที่ไม่มีวันสมาน“หนูจะต้องไม่เป็นอะไร... แม่จะหาทางไปหาหนู