สีหน้าไม่สู้ดีของ ‘คุณนายธีร่า’ แห่งตระกูลแวนเดรลเต็มไปด้วยความกังวลและร้อนรนในใจอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่ผู้นำตระกูลอย่าง ‘เอดิสัน’ ซึ่งมีศักดิ์เป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของธีร่ากำลังจะถูกดำเนินคดีเพราะดันพลาดหลงโดนกับดักที่ศัตรูวางเอาไว้ ทำให้ตำรวจเข้ารวบตัวในระหว่างที่กำลังส่งของให้กับลูกค้าที่มาซื้ออาวุธเถื่อน
มูลค่าความเสียหายนับร้อยล้านทำเอาธีร่าแทบล้มทั้งยืน เพราะรู้ดีว่าเงินทั้งหมดของตระกูลที่เอาไปลงทุนค้าอาวุธเถื่อนได้มลายหายไปในชั่วพริบตา
“ต้องเป็นเพราะพวกมัน!” ธีร่าตวาดเสียงดังลั่นห้องพลางทำลายข้าวของภายในบ้านด้วยความโมโห
เหตุการณ์ในครั้งนี้คงไม่ใช่ศัตรูที่ไหน แต่เป็นอดีตพันธมิตรที่กลับมาแก้แค้นหลังจากที่โดนแวนเดรลตลบหลังเพื่อแย่งชิงอำนาจไปเมื่อสิบปีก่อน
ธีร่ารู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังหมายที่จะกลับมาแก้แค้นพวกเขาที่ทำให้ตระกูลแบล็คเคลล็อกก์เกือบล่มสลายเพราะผู้นำใหญ่ถูกลอบฆ่าโดยพันธมิตรในกลุ่มเดียวกัน
ซึ่งคนที่ว่าก็ไม่พ้นเอดิสันกับเพื่อนพ้องที่ร่วมมือกันกำจัดตระกูลแบล็คเคลล็อกก์ที่กำลังเป็นผู้นำกลุ่มพันธมิตรในตอนนั้น ความอิจฉาริษยาของแวนเดรลนำมาสู่การแก้แค้นของศัตรูในตอนนี้
“คุณแม่คะ...” ร่างบอบบางของหญิงสาววัยสิบเก้าปีเดินเข้ามาภายในห้องด้วยสีหน้าตกใจ สภาพห้องเละเทะ แจกันแตกละเอียด และข้าวของที่ถูกปาขว้างจนเสียหายไปหมด
เอลล่ามองมารดาอย่างไม่เชื่อสายตา เธอถูกเลี้ยงมาด้วยความทะนุถนอม ไม่เคยเห็นธีร่าในสภาพที่เกรี้ยวกราดขนาดนี้มาก่อน
“เอลล่า... ออกไปรอข้างนอกก่อนนะลูกรัก”
“ค่ะ” ร่างบางถอยหลังและเดินออกไปจากห้องอย่างว่าง่าย แม้ในใจยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยมากมายที่ผุดขึ้นมาในหัว
กระทั่งพี่เลี้ยงยังต้องรีบมาพาเอลล่าออกห่างจากห้องของมารดาที่กำลังตกอยู่ในสภาวะคร่ำเครียดหนักมานานหลายวัน นับตั้งแต่รู้ข่าวว่าเอดิสันถูกตำรวจรวบตัวได้
“คุณแม่เป็นแบบนี้มาตลอดเลยเหรอคะ”
“เอ่อ... เฉพาะตอนที่คุณหนูไม่อยู่บ้านเท่านั้นแหละค่ะ แต่ครั้งนี้คุณนายคงจะเครียดมาก”
“เอลล่าไม่เคยเห็นคุณแม่เป็นแบบนี้มาก่อนเลยค่ะ”
ไม่มีเลยสักครั้งที่ธีร่าจะแสดงท่าทีดุร้ายต่อหน้าลูกสาว หรือกระทั่งตลอดเวลาที่เอลล่าอยู่ภายในบ้าน ตั้งแต่เด็กจนโตเอลล่าถูกสอนให้ทำตัวเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้ ไม่ทำตัวนอกเหนือจากกรอบที่มารดาวางไว้ให้ กิริยาและมารยาทก็ต้องไม่บกพร่อง มีจิตใจที่ดี ทว่า... เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านิสัยที่แท้จริงของมารดาเป็นอย่างไร
พี่เลี้ยงสาวได้แต่ส่ายหัวไปมาเบา ๆ แต่ก็เข้าใจความรู้สึกของเจ้านาย ณ ตอนนี้ คงจะกำลังเครียดที่สามีโดนตำรวจจับไปกะทันหัน อีกทั้งเงินประกันตัวก็สูงลิบลิ่ว หากเป็นเมื่อก่อนก็คงจะเอาเงินไปประกันตัวได้ไม่ยาก แต่ตอนนี้สถานการณ์การเงินที่ย่ำแย่ทำให้ไม่อาจทำได้อย่างง่ายดาย
“แล้วพี่ออดีนล่ะคะ”
“คุณออเดียน่าไปเฝ้าแม่พิมพ์พรที่โรงพยาบาลค่ะ”
“พี่ออดีนคงจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยสินะคะ เพราะเธอไม่รู้...” นัยน์ตากลมโตเศร้าลงไปเมื่อนึกถึงพี่สาวต่างมารดาที่ไม่เคยรับรู้ว่าพ่อของตนคือใคร แต่เอลล่ากลับรู้ทุกอย่างดี เพราะเคยได้ยินแม่ทะเลาะกับพ่อด้วยเรื่องนี้
“ตอนนี้พิมพ์พรยังไม่ได้สติ คุณออเดียน่าก็คงยังทุกข์ใจอยู่ไม่น้อยไปกว่าคุณหนูหรอกค่ะ” พี่เลี้ยงช่วยพูดให้คุณหนูของตนเข้าใจ
“...” เมื่อได้ยินแบบนั้น เธอกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังเห็นแก่ตัวขึ้นมาทันที ทั้งที่ไม่เคยยื่นมือเข้าไปช่วยแต่กลับหวังจะให้เขามาทุกข์ใจเรื่องนี้ด้วย มันเป็นไปได้ที่ไหนกัน...
“คุณออเดียน่า เธอไม่รู้เรื่องนี้ คุณหนูก็อย่าได้ให้คุณนายจับได้เด็ดขาดนะคะว่ารู้เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นพี่คงจะโดนตำหนิที่ดูแลคุณหนูได้ไม่ดี” พี่เลี้ยงสาวแอบเสียวสันหลังไม่น้อย หากธีร่ารู้เข้าว่าเธอปล่อยให้เอลล่ารู้เรื่องนี้เข้า คงมีหวังได้โดนไล่ออกหรือไม่ก็โดนปิดปากแน่นอน
“ค่ะ เอลล่าเข้าใจค่ะ”
เบื้องหลังตระกูลที่ไม่ได้สวยงามเหมือนภาพลักษณ์ที่สร้างไว้บังหน้า เอลล่ารู้ทุกอย่างดีอยู่แล้วแต่ไม่เคยพูดหรือถามอะไรกับมารดาสักครั้ง
“เอลล่าลูกรัก”
ทั้งคุณหนูและพี่เลี้ยงต่างก็รีบทำตัวให้เป็นปกติ ก่อนจะหันไปมองตามเสียงของธีร่าที่กำลังเดินลงมาจากชั้นบนของบ้านด้วยใบหน้าที่แสร้งยิ้ม แต่แววตากลับกำลังทุกข์เศร้าอย่างชัดเจน
“คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ”
“ขอโทษนะจ๊ะที่ทำให้ลูกตกใจ พอดีว่าแม่กำลังเครียดเรื่องพ่อของลูกน่ะ” เธอเอ่ยพลางลูบศีรษะของลูกสาวอย่างปลอบประโลม หางตาปรายมองพี่เลี้ยงคนสนิทของลูกสาวที่ยังคงยืนอยู่ด้วยความไม่พอใจ
“ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“เดี๋ยว!” เสียงของธีร่ารั้งพี่เลี้ยงเอาไว้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันกลับมาพลางก้มหน้ารอฟังคำสั่งของเจ้านาย
“โทรตามนังนั่นกลับมาที่บ้านด้วย” ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าเจ้าของชื่อที่ถูกแทนสรรพนามด้วย ‘นังนั่น’ คือใคร
“ค่ะ” รีบพยักหน้ารับและเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นทันที
เอลล่าหันมามองมารดาที่มักจะเข้มงวดและดุกับทุกคนในบ้านนี้เสมอ เว้นแค่เธอกับพ่อที่ไม่เคยเจออะไรแบบนี้
“คุณแม่มีอะไรกับเธอคะ” ความสงสัยที่มีมากจนอดที่จะเอ่ยถามธีร่าไม่ได้
“อะ เอ่อ... พอดีว่าแม่มีเรื่องต้องคุยกับมันจ้ะ” ท่าทีเลิ่กลั่กกับน้ำเสียงที่พูดอย่างไม่มั่นใจเหมือนคนกำลังโกหกไม่มีผิด เอลล่ารู้ดีว่าธีร่าไม่มีทางพูดความจริง หากเรื่องนั้นเป็นเรื่องไม่ดี แต่ก็ทำได้เพียงเก็บงำความสงสัยเอาไว้กับตัวเองคนเดียว
“แล้วเรื่องคุณพ่อล่ะคะ” อีกเรื่องที่เธอก็ยังกังวลไม่ตกเช่นเดียวกัน ผู้นำครอบครัวและผู้นำตระกูลที่ถูกตำรวจจับได้คาหนังคาเขาจนกลายเป็นข่าวฉาวดังไปทั่วภายในข้ามคืน
“แม่มีหนทางแล้วล่ะ เราต้องช่วยคุณพ่อได้แน่นอน ขอแค่ลูกไม่ขัดคำสั่งของแม่ก็พอ” ธีร่าเอ่ยเป็นนัยๆ รู้ดีว่าหากเล่าแผนการให้ลูกสาวฟังก็จะต้องโดนขัดขวางแน่นอน ด้วยนิสัยไม่เห็นแก่ตัวที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเด็ก
“ค่ะ” รอยยิ้มบางๆ ส่งให้กับมารดา ก่อนที่จะโผเข้ากอดด้วยความรัก แม้จะรู้ดีว่าแม่ของเธอไม่ใช่คนดี แต่สำหรับคนเป็นลูกแล้วยังไงแม่ก็คือแม่
กริ๊งงง! นาฬิกาปลุกตั้งโต๊ะบริเวณหัวเตียงสั่นกระดิ่งส่งเสียงรัวต่อเนื่องกันจนคนที่กำลังนอนหลับสบายสะดุ้งโหยงตื่นขึ้นด้วยความตกใจ มือเรียวยกขึ้นทาบที่อกเอาไว้พลางถอนหายใจหนัก ๆ ด้วยความหงุดหงิดปนโล่งอกที่เป็นเสียงของนาฬิกา“คุณผู้หญิงคะ อีกยี่สิบนาทีจะถึงเวลารับประทานอาหารเช้าแล้วนะคะ” ภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลียนเอ่ยขึ้น แม้ฟังดูจับใจความได้ยากกว่าปกติเล็กน้อย แต่ออเดียน่าก็สามารถเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดได้ในไม่ช้าร่างบางดันตัวลุกขึ้นจากเตียงโดยไร้ท่าทีขี้เกียจหรืองอแงไม่อยากตื่น อาจเพราะเธอเคยชินกับการต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปทำงานพิเศษอยู่บ่อยครั้งจนติดเป็นนิสัยแล้วออเดียน่าหยุดยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นสภาพของเธอในตอนนี้ ดวงตาที่สะท้อนความรู้สึกบางอย่างซึ่งเธอรู้อยู่แก่ใจดี ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ อีกครั้งให้กับความคิดที่ฟุ้งซ่านไปเรื่อยยี่สิบนาทีผ่านไป หญิงสาวรีบออกมายังห้องอาหารทันที โดยมีมาเฟียหนุ่มที่นั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว บนโต๊ะอาหารเรียงรายไปด้วยอาหารไทยที่เธอคุ้นเคยจนน่าแปลกใจ“วิเวียนเคยทำอาหารไทยอยู่หลายอย่าง ถ้าอยากกินอะไรก็บอกกับวิเวียนแล้วกัน” เขาเอ่ยแนะนำหญิ
“ว้ายยย!” จังหวะเดียวกับที่ออเดียน่ากำลังเดินออกมาจากห้องน้ำในขณะที่สวมเพียงชุดคลุมอาบน้ำ ถึงมันจะปกปิดเอาไว้ได้ทั้งตัวแต่ก็อดตกใจที่มาเฟียหนุ่มเปิดประตูโผงผางเข้ามาในตอนที่เธอไม่ทันตั้งตัวไม่ได้ “...” ชายหนุ่มไม่ทันได้พูดอะไรก็พลันรีบถอยกลับออกไปพร้อมกับปิดประตูห้อง มือเรียวยกขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบหันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อเห็นว่าตอนนี้ผ่านมาเกือบยี่สิบนาทีแล้ว จึงไม่แปลกใจที่เห็นเขาเปิดประตูเข้ามาพอดี ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที ออเดียน่าก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย แล้วจึงรีบออกมาหาคนที่กำลังยืนรอเธออยู่ด้านนอก ร่างสูงโปร่งยังคงเก็บอารมณ์เอาไว้อย่างมิดชิดจนดูแทบไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ คำถามมากมายในหัวของเธอกำลังผุดขึ้นมาราวกับเห็ด แต่แม้ว่าจะอยากคุ
หลังจากที่ชายหนุ่มเดินหายกลับเข้าไปในห้องนอนก็ทิ้งให้เธอนั่งอยู่ห้องนั่งเล่นเพียงคนเดียว สมองยังคงครุ่นคิดหาวิธีที่จะกลับไปหามารดาที่กำลังรอคอยให้เธอกลับไป แต่ตอนนี้กลับรู้สึกมืดไปหมดทั้งแปดด้าน หรือบางทีเธออาจจะต้องทำข้อแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างกับเขา ค่ำคืนที่อบอวลไปด้วยความอึดอัดและความรู้สึกอีกมากมายที่ตีกันไม่หยุดทำให้ออเดียน่าจำต้องฝืนข่มตาหลับอีกครั้งอย่างไม่มีทางเลือกอื่น ท้องฟ้าที่มืดสนิทเริ่มเปลี่ยนสีไปทีละน้อย กระทั่งแสงของพระอาทิตย์เริ่มสาดส่องเข้ามาภายในห้องผ่านกระจกใสที่มักจะถ่ายทอดบรรยากาศที่สวยงามให้คนด้านในชื่นชมทุกเวลา ร่างบางนอนขดอยู่บนโซฟาตัวยาวพร้อมกับผ้าห่มอีกหนึ่งผืน ซึ่งก่อนที่เธอจะนอนหลับก็จำได้ว่าผ้าห่มผืนนี้ไม่เคยปรากฏวางอยู่ตรงไหนสักที่หนึ่งในบริเวณโซฟา เว้นเสียแต่ว่ามีใครบางคนเอามันมาให้เธอ ชายเจ้าของใบหน้าสงบนิ่งยังคงเดินออกมาจากห้องนอนด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำที่เขาสวมใส่มาตั้งแต่เมื่อคืนยับยู่ยี่เล็กน้อย ก่อนที่จะถกแขนเสื้อขึ้นไปเหนือข้อมือพลางก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้กับร่างบางที่กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟา
“ฉันควรทำยังไงกับเธอดีนะ?” เขาถามพลางเลิกคิ้ว ดวงตาเจ้าเล่ห์กำลังสบตากับคนที่กำลังพยายามจะดิ้นหนีจากแขนแกร่งที่ไม่ยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระ“คุณควรจะปล่อยฉันก่อนต่างหาก”“หึ งั้นเธอก็ควรจะเชื่อฟังฉันสิ”“ฉันเป็นคนที่จะฆ่าคุณนะ จะให้ฉันเชื่อฟังคุณได้ยังไงกัน” ออเดียน่าประชดกลับแทน การกระทำของเขาไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งจะจับได้ว่าโดนหลอกเลยสักนิด ก็จริงอยู่ที่เขาอาจจะรู้เรื่องนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ใช่ท่าทีของคนที่กำลังจะจัดการกับคนที่กำลังจะฆ่าตัวเองเลยสักนิด“เดี๋ยวก็รู้ว่าฉันจะทำให้เธอยอมเชื่อฟังได้ไหม” จบประโยค ร่างบางก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระอีกครั้ง ออเดียน่ารีบถอยหนีไปจนติดริมฝั่งหน้าต่าง เว้นระยะห่างจากมาเฟียหนุ่มเอาไว้ราวกับรังเกียจเขาโซเรนแสยะยิ้มเล็กน้อย เขาอดหัวเราะเบา ๆ ในลำคอไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางดื้อรั้นแต่ยังคงแฝงไปด้วยความกลัวของหญิงสาวตรงหน้า ก่อนที่เขาจะละสายตาจากเธอและหันไปส่งสายตาให้คนขับรถพลางพยักหน้าเป็นสัญญาณที่รู้กันเพียงสองคนเจ้าของใบหน้าหวานผล็อ
นานกว่าหนึ่งชั่วโมงที่ออเดียน่าต้องเดินทางไปพร้อมกับเป้าหมายที่ต้องกำจัด หากแต่เธอกลับยิ่งงุนงงกับสถานการณ์ในตอนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนการที่วางไว้เลยสักนิดเฮลิคอปเตอร์จอดลงบนตึกดาดฟ้าแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง คาดว่าน่าจะเป็นตึกแห่งใดแห่งหนึ่งในประเทศสิงคโปร์ จากที่ได้ยินโซเรนคุยกับลูกน้องคร่าว ๆ“เราจะไปที่ไหนกันคะ” เธออดเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ จึงหันไปถามคนตัวสูงที่กำลังมองตรงไปยังเส้นทางข้างหน้าและไม่ได้อธิบายอะไรให้เธอฟังเลยสักอย่างเขาหยุดชะงักพลางหันกลับมามองเธออีกครั้ง รอยยิ้มที่มุมปากบ่งบอกถึงความไม่น่าไว้ใจของเจ้าตัวอย่างชัดเจนจนออเดียน่าเริ่มหวั่นใจแทน“ออเดียน่า” คำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักทำเอาคนฟังถึงกับเบิกตากว้าง ฝ่ามือเรียวกำหมัดเอาไว้แน่นพยายามสะกดความหวาดกลัวในใจเอาไว้“คะ? คุณพูดว่าอะไรคะ” เธอทวนถามซ้ำอีกครั้ง ดวงตากลมโตแอบสั่นไหวเบา ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับตื่นตระหนกริมฝีปากเหยียดยิ้มเล็กน้อยพลางสบตากับเธออย่างจงใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรี
เครื่องเพชรที่เป็นจุดสนใจที่สุดคงหนีไม่พ้นสร้อยเพชรที่ตั้งอยู่ในกล่องกระจกใสกลางเวที แสงไฟจากด้านบนสะท้อนเข้ากับตัวเรือนทองคำขาวบริสุทธิ์ที่สลักลวดลายอย่างประณีต เพชรเม็ดงามขนาดมหึมาประดับอยู่ตรงกลาง รูปร่างคล้ายกับหยดน้ำเปล่งประกายไปตามเหลี่ยมมุมของแสง ล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดเล็กทรงกลมวางเรียงชิดกันเสียงกระซิบดังไปทั่วทั้งห้องเมื่อพิธีกรประกาศมูลค่าประเมินเบื้องต้นที่สูงลิบลิ่ว แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนจับจ้องไม่ใช่แค่ราคา หากแต่เป็นความลึกลับของสร้อยเส้นนี้ที่ว่ากันว่ามีประวัติยาวนานถึงสามศตวรรษ เคยอยู่ในครอบครองของราชวงศ์ยุโรป และถูกนำออกสู่สายตาสาธารณะเป็นครั้งแรกในค่ำคืนนี้ป้ายประมูลเริ่มยกขึ้นเสนอราคากันอย่างต่อเนื่อง ดุเดือดกว่าเครื่องเพชรก่อนหน้านี้ทั้งหมด แม้ว่าราคาจะพุ่งขึ้นสูงแค่ไหนก็ไม่มีท่าทีว่าการประมูลจะจบลงโดยเร็ว“สองร้อยล้านบาท”“สองร้อยห้าล้านบาท”“สองร้อยสิบล้านบาท”การประมูลครั้งนี้เปรียบเสมือนกับศึกใหญ่ที่ต่างก็ไม่มีใครยอมแพ้ เพราะการครอบครองสร้อยเพชรเส้นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ดูมี