@โรงพยาบาล
ร่างผอมบางนอนกุมฝ่ามือของมารดาที่ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงมานานเกือบสัปดาห์ ในใจยังคงเฝ้ารออย่างมีความหวังว่าแม่จะฟื้นกลับมาหาเธอ
Rrrr~ Rrrr~ Rrrr~
โทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงสีซีด ก่อนที่หญิงสาวจะรีบเดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วย พลางขมวดคิ้วและรับสาย
“ค่ะพี่แวว” เสียงหวานเอ่ยตอบรับคนปลายสายด้วยความสงสัย ก่อนที่เสียงของอีกฝ่ายจะเอ
“คุณออเดียน่าคะ คุณนายสั่งให้กลับมาที่บ้านค่ะ”
“เฮ้อ~ ค่ะ เดี๋ยวหนูจะรีบกลับไป” ลมหายใจผ่อนลงอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนที่จะตอบตกลงไปโดยไม่มีทางเลือกอื่น
ชีวิตของเธอถูกกำหนดให้อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลแวนเดรลโดยไม่มีทางหลุดหนีไปได้เลย ออเดียน่าเคยคิดที่จะพาแม่ออกไปอยู่ที่อื่นหลายครั้ง ทว่า...แม่กลับไม่ยอมออกไปจากที่นี่ ทั้งยังสั่งไม่ให้เธอขัดคำสั่งของคุณๆ ในบ้านอีก ถ้าหากไม่เห็นแก่แม่ คนอย่างออเดียน่าไม่มีทางยอมอยู่ให้กดขี่ไปตลอดหรอก
“คุณพยาบาลคะ พอดีว่าฉันต้องออกไปทำธุระ ฝากดูแลแม่ของฉันด้วยนะคะ แล้วฉันจะรีบกลับมาค่ะ” ออเดียน่าไม่ลืมที่จะแจ้งกับพยาบาลไว้ก่อนว่าเธอจะออกไปข้างนอก พลางหันไปมองแม่ที่ยังคงนอนนิ่งสงบ ภายในใจได้แต่ภาวนาให้แม่ฟื้นอยู่ตลอดเวลา
เส้นทางระหว่างบ้านตระกูลแวนเดรลกับโรงพยาบาลอยู่ห่างกันเกือบสิบกิโลเมตร ออเดียน่าจึงต้องขึ้นรถประจำทางมาลงที่ปากซอยทางเข้าของหมู่บ้าน
เดินเท้าเข้ามาอีกเพียงไม่กี่ร้อยเมตรก็เจอกับบ้านหลังใหญ่ที่อาจจะเรียกว่า คฤหาสน์ เลยก็ว่าได้ คนสวน คนขับรถ และแม่บ้านต่างก็ทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง
หญิงสาวเดินผ่านเข้ามายังห้องโถงใหญ่ของบ้านที่มีร่างของคุณนายธีร่ากำลังนั่งรออยู่ที่โซฟา ก่อนจะลุกขึ้นยืนและตวัดสายตามองมาที่เธอตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เรียกฉันมา มีอะไรคะ”
“หึ เป็นแค่ลูกคนใช้แต่กล้าชูคอเถียงเจ้านายงั้นเหรอ? คิดว่าออกจากบ้านไปแค่สองปีจะไม่ต้องเคารพกันแล้วหรือยังไง” ธีร่าอดโมโหไม่ได้ ปกติแล้วทุกคนในบ้านจะต้องก้มหัวให้กับเธอเสมอ ไม่เว้นแม้แต่พิมพ์พรที่เป็นแม่ของออเดียน่า
ทว่าออเดียน่ากลับแตกต่างไป ตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยยอมก้มหัวให้กับเธอเลยสักครั้ง แม้ว่าจะโดนด่าโดนตีแต่คนอย่างออเดียน่ากลับไม่เคยรู้สถานะของตัวเองเลย
“แค่ฉันยอมกลับมาที่นี่ตามคำสั่งของคุณนายก็นับว่าให้ความเคารพมากแล้วนะคะ อันที่จริงฉันไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของคุณนายด้วยซ้ำ”
“นังเนรคุณ! ฉันอุตส่าห์ให้ที่อยู่ที่กินกับแกและแม่ของแก แต่คิดจะปีกกล้าขาแข็งกับฉันเหรอ”
“เหรอคะ? แล้วฉันกับแม่อยู่ที่นี่ฟรีๆ เหรอคะ คุณนายอย่าคิดว่าฉันจะจำไม่ได้ว่าคุณนายเคยทำอะไรเอาไว้กับฉันและแม่บ้าง” สำหรับเธอแล้ว ตระกูลแวนเดรลไม่ใช่เจ้าชีวิต ถึงจะให้งาน เงินเดือน และที่อยู่ แต่เรื่องกดขี่ข่มเหงก็เลวร้ายไม่แพ้กัน ทุกเหตุการณ์ภายในบ้านหลังนี้ เธอล้วนจดจำมันได้ดี
“หึ! เพราะแกเป็นลูกมันไง ช่วยไม่ได้!” หากไม่ใช่เพราะออเดียน่าเป็นลูกสาวของพิมพ์พร ธีร่าก็คงไม่คิดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนต่ำต้อยระดับล่างนั่นหรอก หากแต่ออเดียน่าเปรียบเสมือนหนามทิ่มแทงใจที่ตอกย้ำว่าสามีไม่เคยรักเธอเลย
“ตกลงว่าคุณนายเรียกฉันให้กลับมาบ้านเพราะอยากจะพูดเรื่องพวกนี้เหรอคะ”
“เปล่าหรอก แต่ฉันมีข้อเสนอดีๆ เพื่อแลกกับชีวิตของแม่แก” ธีร่าข่มอารมณ์ ก่อนจะดึงเข้าสู่เรื่องที่เธอเรียกให้ออเดียน่ากลับมาที่บ้านวันนี้ แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่เรื่องสำคัญนี้ต้องใช้คนตรงหน้าเป็นคนทำได้เพียงคนเดียว
“...” ออเดียน่ายืนมองคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่เชื่อใจ แต่ก็ยังคงตั้งใจฟังในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะพูด
“ได้ข่าวว่าแม่ของแกต้องผ่าตัดไม่ใช่เหรอ ฉันจะช่วยจ่ายค่าผ่าตัดให้แลกกับการที่แก... ทำงานให้กับฉัน”
“งานอะไรคะ” การที่คุณนายธีร่าจะยอมจ่ายค่าผ่าตัดให้กับแม่ของเธอไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว นั่นหมายความว่างานนี้จะต้องมีอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก ไม่อย่างนั้นคนอย่างคุณนายธีร่าไม่มีทางยอมเสียเงินให้ใครอย่างแน่นอน
“ฉันต้องการให้แกปลอมตัวเป็นเอลล่าและจัดการกับศัตรูให้ฉัน” ริมฝีปากแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีแดงเลือดหมูเหยียดยิ้มเล็กน้อยพลางตวัดสายตามองมายังลูกสาวของคนใช้ที่เธอจงเกลียดจงชังมาโดยตลอด
“ยังไงคะ”
“แกน่าจะรู้ดีนะว่าแวนเดรลเป็นยังไง และสิ่งที่แกจะต้องทำคือการกำจัดศัตรู”
“กำจัดใครคะ? แล้วฉันจะไปในฐานะคุณเอลล่าได้ยังไง?” ดูเหมือนเรื่องที่ธีร่าต้องการให้เธอทำจะไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นัก
“มันต้องการให้เอลล่าไปล่องเรือสำราญด้วยในอีกสองวันข้างหน้านี้แลกกับการยอมปล่อยตัวของเอดิสัน แต่ฉันต้องการให้เธอกำจัดมันด้วย ก่อนที่เรือจะเทียบท่า” ธีร่าเน้นย้ำที่ประโยคสุดท้ายว่านอกจากการที่จะต้องไปล่องเรือสำราญในฐานะเอลล่าแล้ว ออเดียน่ายังต้องลงมือฆ่าคนคนนั้นด้วยตัวเอง
“....”
“แกต้องเลือก... จะช่วยแม่ของแกหรือจะทำตามแผนของฉัน” สายตาของคุณนายมองมาที่เธอด้วยความกดดัน ความคิดมากมายตีกันในหัวไปหมด แต่ถ้าหากเธอต้องสูญเสียแม่ไปก็คงไม่เหลือใครอีกแล้ว
“...ค่ะ ฉันตกลง” หนทางที่ไม่อาจเลือกได้ทำให้เธอตัดสินใจตกลงที่จะทำตามแผนการของธีร่าแทน โดยที่ไม่รู้เลยว่าเบื้องหลังของแผนการนั้นคืออะไร
กริ๊งงง! นาฬิกาปลุกตั้งโต๊ะบริเวณหัวเตียงสั่นกระดิ่งส่งเสียงรัวต่อเนื่องกันจนคนที่กำลังนอนหลับสบายสะดุ้งโหยงตื่นขึ้นด้วยความตกใจ มือเรียวยกขึ้นทาบที่อกเอาไว้พลางถอนหายใจหนัก ๆ ด้วยความหงุดหงิดปนโล่งอกที่เป็นเสียงของนาฬิกา“คุณผู้หญิงคะ อีกยี่สิบนาทีจะถึงเวลารับประทานอาหารเช้าแล้วนะคะ” ภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลียนเอ่ยขึ้น แม้ฟังดูจับใจความได้ยากกว่าปกติเล็กน้อย แต่ออเดียน่าก็สามารถเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดได้ในไม่ช้าร่างบางดันตัวลุกขึ้นจากเตียงโดยไร้ท่าทีขี้เกียจหรืองอแงไม่อยากตื่น อาจเพราะเธอเคยชินกับการต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปทำงานพิเศษอยู่บ่อยครั้งจนติดเป็นนิสัยแล้วออเดียน่าหยุดยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นสภาพของเธอในตอนนี้ ดวงตาที่สะท้อนความรู้สึกบางอย่างซึ่งเธอรู้อยู่แก่ใจดี ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ อีกครั้งให้กับความคิดที่ฟุ้งซ่านไปเรื่อยยี่สิบนาทีผ่านไป หญิงสาวรีบออกมายังห้องอาหารทันที โดยมีมาเฟียหนุ่มที่นั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว บนโต๊ะอาหารเรียงรายไปด้วยอาหารไทยที่เธอคุ้นเคยจนน่าแปลกใจ“วิเวียนเคยทำอาหารไทยอยู่หลายอย่าง ถ้าอยากกินอะไรก็บอกกับวิเวียนแล้วกัน” เขาเอ่ยแนะนำหญิ
“ว้ายยย!” จังหวะเดียวกับที่ออเดียน่ากำลังเดินออกมาจากห้องน้ำในขณะที่สวมเพียงชุดคลุมอาบน้ำ ถึงมันจะปกปิดเอาไว้ได้ทั้งตัวแต่ก็อดตกใจที่มาเฟียหนุ่มเปิดประตูโผงผางเข้ามาในตอนที่เธอไม่ทันตั้งตัวไม่ได้ “...” ชายหนุ่มไม่ทันได้พูดอะไรก็พลันรีบถอยกลับออกไปพร้อมกับปิดประตูห้อง มือเรียวยกขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบหันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อเห็นว่าตอนนี้ผ่านมาเกือบยี่สิบนาทีแล้ว จึงไม่แปลกใจที่เห็นเขาเปิดประตูเข้ามาพอดี ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที ออเดียน่าก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย แล้วจึงรีบออกมาหาคนที่กำลังยืนรอเธออยู่ด้านนอก ร่างสูงโปร่งยังคงเก็บอารมณ์เอาไว้อย่างมิดชิดจนดูแทบไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ คำถามมากมายในหัวของเธอกำลังผุดขึ้นมาราวกับเห็ด แต่แม้ว่าจะอยากคุ
หลังจากที่ชายหนุ่มเดินหายกลับเข้าไปในห้องนอนก็ทิ้งให้เธอนั่งอยู่ห้องนั่งเล่นเพียงคนเดียว สมองยังคงครุ่นคิดหาวิธีที่จะกลับไปหามารดาที่กำลังรอคอยให้เธอกลับไป แต่ตอนนี้กลับรู้สึกมืดไปหมดทั้งแปดด้าน หรือบางทีเธออาจจะต้องทำข้อแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างกับเขา ค่ำคืนที่อบอวลไปด้วยความอึดอัดและความรู้สึกอีกมากมายที่ตีกันไม่หยุดทำให้ออเดียน่าจำต้องฝืนข่มตาหลับอีกครั้งอย่างไม่มีทางเลือกอื่น ท้องฟ้าที่มืดสนิทเริ่มเปลี่ยนสีไปทีละน้อย กระทั่งแสงของพระอาทิตย์เริ่มสาดส่องเข้ามาภายในห้องผ่านกระจกใสที่มักจะถ่ายทอดบรรยากาศที่สวยงามให้คนด้านในชื่นชมทุกเวลา ร่างบางนอนขดอยู่บนโซฟาตัวยาวพร้อมกับผ้าห่มอีกหนึ่งผืน ซึ่งก่อนที่เธอจะนอนหลับก็จำได้ว่าผ้าห่มผืนนี้ไม่เคยปรากฏวางอยู่ตรงไหนสักที่หนึ่งในบริเวณโซฟา เว้นเสียแต่ว่ามีใครบางคนเอามันมาให้เธอ ชายเจ้าของใบหน้าสงบนิ่งยังคงเดินออกมาจากห้องนอนด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำที่เขาสวมใส่มาตั้งแต่เมื่อคืนยับยู่ยี่เล็กน้อย ก่อนที่จะถกแขนเสื้อขึ้นไปเหนือข้อมือพลางก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้กับร่างบางที่กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟา
“ฉันควรทำยังไงกับเธอดีนะ?” เขาถามพลางเลิกคิ้ว ดวงตาเจ้าเล่ห์กำลังสบตากับคนที่กำลังพยายามจะดิ้นหนีจากแขนแกร่งที่ไม่ยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระ“คุณควรจะปล่อยฉันก่อนต่างหาก”“หึ งั้นเธอก็ควรจะเชื่อฟังฉันสิ”“ฉันเป็นคนที่จะฆ่าคุณนะ จะให้ฉันเชื่อฟังคุณได้ยังไงกัน” ออเดียน่าประชดกลับแทน การกระทำของเขาไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งจะจับได้ว่าโดนหลอกเลยสักนิด ก็จริงอยู่ที่เขาอาจจะรู้เรื่องนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ใช่ท่าทีของคนที่กำลังจะจัดการกับคนที่กำลังจะฆ่าตัวเองเลยสักนิด“เดี๋ยวก็รู้ว่าฉันจะทำให้เธอยอมเชื่อฟังได้ไหม” จบประโยค ร่างบางก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระอีกครั้ง ออเดียน่ารีบถอยหนีไปจนติดริมฝั่งหน้าต่าง เว้นระยะห่างจากมาเฟียหนุ่มเอาไว้ราวกับรังเกียจเขาโซเรนแสยะยิ้มเล็กน้อย เขาอดหัวเราะเบา ๆ ในลำคอไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางดื้อรั้นแต่ยังคงแฝงไปด้วยความกลัวของหญิงสาวตรงหน้า ก่อนที่เขาจะละสายตาจากเธอและหันไปส่งสายตาให้คนขับรถพลางพยักหน้าเป็นสัญญาณที่รู้กันเพียงสองคนเจ้าของใบหน้าหวานผล็อ
นานกว่าหนึ่งชั่วโมงที่ออเดียน่าต้องเดินทางไปพร้อมกับเป้าหมายที่ต้องกำจัด หากแต่เธอกลับยิ่งงุนงงกับสถานการณ์ในตอนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนการที่วางไว้เลยสักนิดเฮลิคอปเตอร์จอดลงบนตึกดาดฟ้าแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง คาดว่าน่าจะเป็นตึกแห่งใดแห่งหนึ่งในประเทศสิงคโปร์ จากที่ได้ยินโซเรนคุยกับลูกน้องคร่าว ๆ“เราจะไปที่ไหนกันคะ” เธออดเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ จึงหันไปถามคนตัวสูงที่กำลังมองตรงไปยังเส้นทางข้างหน้าและไม่ได้อธิบายอะไรให้เธอฟังเลยสักอย่างเขาหยุดชะงักพลางหันกลับมามองเธออีกครั้ง รอยยิ้มที่มุมปากบ่งบอกถึงความไม่น่าไว้ใจของเจ้าตัวอย่างชัดเจนจนออเดียน่าเริ่มหวั่นใจแทน“ออเดียน่า” คำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักทำเอาคนฟังถึงกับเบิกตากว้าง ฝ่ามือเรียวกำหมัดเอาไว้แน่นพยายามสะกดความหวาดกลัวในใจเอาไว้“คะ? คุณพูดว่าอะไรคะ” เธอทวนถามซ้ำอีกครั้ง ดวงตากลมโตแอบสั่นไหวเบา ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับตื่นตระหนกริมฝีปากเหยียดยิ้มเล็กน้อยพลางสบตากับเธออย่างจงใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรี
เครื่องเพชรที่เป็นจุดสนใจที่สุดคงหนีไม่พ้นสร้อยเพชรที่ตั้งอยู่ในกล่องกระจกใสกลางเวที แสงไฟจากด้านบนสะท้อนเข้ากับตัวเรือนทองคำขาวบริสุทธิ์ที่สลักลวดลายอย่างประณีต เพชรเม็ดงามขนาดมหึมาประดับอยู่ตรงกลาง รูปร่างคล้ายกับหยดน้ำเปล่งประกายไปตามเหลี่ยมมุมของแสง ล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดเล็กทรงกลมวางเรียงชิดกันเสียงกระซิบดังไปทั่วทั้งห้องเมื่อพิธีกรประกาศมูลค่าประเมินเบื้องต้นที่สูงลิบลิ่ว แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนจับจ้องไม่ใช่แค่ราคา หากแต่เป็นความลึกลับของสร้อยเส้นนี้ที่ว่ากันว่ามีประวัติยาวนานถึงสามศตวรรษ เคยอยู่ในครอบครองของราชวงศ์ยุโรป และถูกนำออกสู่สายตาสาธารณะเป็นครั้งแรกในค่ำคืนนี้ป้ายประมูลเริ่มยกขึ้นเสนอราคากันอย่างต่อเนื่อง ดุเดือดกว่าเครื่องเพชรก่อนหน้านี้ทั้งหมด แม้ว่าราคาจะพุ่งขึ้นสูงแค่ไหนก็ไม่มีท่าทีว่าการประมูลจะจบลงโดยเร็ว“สองร้อยล้านบาท”“สองร้อยห้าล้านบาท”“สองร้อยสิบล้านบาท”การประมูลครั้งนี้เปรียบเสมือนกับศึกใหญ่ที่ต่างก็ไม่มีใครยอมแพ้ เพราะการครอบครองสร้อยเพชรเส้นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ดูมี