ออเดียน่าสะบัดหัวไล่ความกังวลออกไป ก่อนจะรีบเปิดดูด้านในกล่องของขวัญที่ถูกส่งมา ด้านในมีของที่ห่อไว้ด้วยกระดาษสีขาวสะอาดที่ถูกด้วยเชือกป่านเป็นโบว์ไว้
ด้านบนวางทับไว้ด้วยกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินและรองเท้าส้นสูงขนาดไซส์พอดีกับเท้าของเธอเป๊ะราวกับวัดมาล่วงหน้า ยิ่งเห็นของด้านใน คิ้วเรียวก็พลันขมวดเข้าชิดกันมากกว่าเดิม
“สร้อยเพชร!” หญิงสาวแทบไม่เชื่อสายตา ด้านในกล่องผ้ากำมะหยี่เป็นสร้อยเพชรราคาแพง เพียงแค่มองตาเปล่ายังรู้ว่าเป็นเพชรน้ำดีที่สะท้อนแสงระยิบระยับแม้ว่าจะเป็นเวลากลางวัน สร้อยทั้งเส้นประดับไปด้วยเพชรเม็ดเล็กและใหญ่เรียงสลับกัน
“คงไม่ได้คิดจะใส่ร้ายว่าฉันขโมยเครื่องเพชรหรอกใช่ไหม” ออเดียน่าอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังประทุษร้ายกับเธอหรือเปล่า ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า และสร้อยเพชรชุดนี้ มูลค่ารวมน่าจะสูงพอสมควร
“ไหนบอกว่าอีกฝ่ายเป็นศัตรูไง แล้วทำไมถึงได้... เห้อ~” ความกลัดกลุ้มใจทำให้เธอคิดกับเรื่องนี้ไม่ตก แต่ก็ก้าวเข้ามาในถิ่นของศัตรูขนาดนี้แล้ว จะให้หนีไปคงไม่ใช่เรื่องง่าย
“เป็นไงเป็นกัน เธอทำได้อยู่แล้ว ออดีน” ฝ่ามือเล็กกุมที่หน้าอกพลางค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าออกพยายามตั้งสติให้มั่นคงที่สุด ไม่ว่าจะเจอกับอะไร เธอก็ต้องใจดีสู้เสือเข้าไว้
@โรงพยาบาล
ร่างของหญิงวัยห้าสิบปีนอนไม่ได้สติมานานนับสัปดาห์ หลังจากที่ถูกส่งมาโรงพยาบาลด้วยอุบัติเหตุตกบันได พยาบาลยังคงจำได้ดีว่าลูกสาวของคนไข้คนนี้มาทำเอกสารยินยอมผ่าตัดเมื่อเช้าและบอกไว้ว่าจะมีคนมาจัดการเรื่องเงินต่อภายในวันนี้
ทว่า... เวลาล่วงเลยมาเกือบจะสามทุ่มแล้ว ยังไม่มีใครเข้ามาแสดงตัวว่าจะมาชำระเงินค่าผ่าตัดเลย พิมพ์พรยังคงนอนหายใจโรยรินอยู่บนเตียง
ตื๊ด! ตื๊ด! ตื๊ด!
เสียงเครื่องช่วยหายใจดังต่อเนื่องกันหลายครั้ง พยาบาลและแพทย์ต่างก็รีบวิ่งมาดูคนไข้ที่นอนแน่นิ่งอยู่ภายในห้องพักผู้ป่วยวิกฤต ก่อนจะรีบติดต่อหาญาติเพื่อหวังจะแจ้งข่าว แต่กลับไม่มีใครสามารถติดต่อญาติได้เลย แม้กระทั่งลูกสาวเพียงคนเดียวที่มักจะมาหามารดาทุกวัน แต่วันนี้กลับมาเพียงแค่ช่วงเช้าและขาดการติดต่อไป...
คุณนายธีร่าที่กลัดกลุ้มใจมานานหลายวัน แต่วันนี้กลับนั่งสบายใจมองดูละครในโทรทัศน์ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และรอคอยให้สามีกลับมาบ้าน หลังจากที่ส่งออเดียน่าไปจนถึงมือของศัตรูแล้ว
“คุณ...” ชายวัยห้าสิบปีปรากฏตัวพร้อมกับลูกน้องคนสนิทที่ติดตามมาด้วย ทันทีที่เห็นภรรยาตามกฏหมายกำลังนั่งดูโทรทัศน์ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย
“กลับมาแล้วเหรอคะคุณ ฉันเตรียมกระเป๋าและของเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”
“คุณใช้วิธีไหนทำให้ผมถูกปล่อยตัวออกมา” สิ่งเดียวที่ยังค้างคาใจตั้งแต่ถูกปล่อยตัว เอดิสันไม่คิดว่าศัตรูจะยอมปล่อยเขามาง่ายๆ หากไม่มีอะไรแลกเปลี่ยน
“ฉันทำได้ทุกอย่างเพื่อคุณค่ะ”
“ผมว่ารีบเตรียมตัวหนีกันก่อนดีกว่าครับ อย่าเพิ่งมัวคุยเรื่องอื่นเลย” ลูกน้องคนสนิทอย่างอีธานรีบตัดบทเจ้านายด้วยกลัวว่าศัตรูจะย้อนกลับมาแว้งกัดอีก
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นค่ะ เรารีบไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันไปตามลูกก่อนนะคะ”
เอดิสันไม่ทันจะได้พูดคุยอะไรกับภรรยา ก็ต้องรีบขึ้นไปเตรียมข้าวของที่จะต้องเอาไปด้วย ลึกๆ ในใจยังคงแอบมองหาคนรักที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาสักพักใหญ่ แต่เวลานี้ทุกคนคงจะนอนกันหมดแล้ว
“คุณพ่อ!” ร่างบางโผเข้ากอดคนเป็นพ่อด้วยความคิดถึง เช่นเดียวกับเอดิสันที่รีบกอดตอบลูกสาวเช่นกัน
“ไม่มีเวลาแล้วครับ ค่อยไปคุยกันบนรถดีกว่า” อีธานรีบพาเจ้านายพร้อมกับครอบครัวไปยังรถตู้ที่เตรียมเอาไว้ล่วงหน้า และเลือกที่จะไม่ใช้รถของตระกูลด้วยกลัวว่าจะโดนศัตรูตามเจอ
เอดิสันอดลังเลใจไม่ได้ จนต้องหันกลับไปมองบ้านหลังใหญ่ที่เขาเคยมีความทรงจำที่ดีมากมายกับคนรัก ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต
ธีร่าหันกลับมามองสามีที่ยังคงลังเล พลางรีบดึงแขนให้เอดิสันรีบไปขึ้นรถด้วยกัน
“อย่าห่วงเลยค่ะ สองคนนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณอย่างเปิดเผยสักหน่อย”
“...” คำพูดของธีร่าทิ่มแทงความรู้สึกของเขาไม่น้อย แต่หากเขาพาสองคนนั้นไปด้วยก็จะกลายเป็นว่ากำลังพาไปเสี่ยงอันตรายด้วย
คิดได้ดังนั้นก็พลันรีบวิ่งไปที่รถตู้ของอีธานทันที เอลล่าลอบมองพ่อของตนด้วยความรู้สึกมากมายไม่ต่างกัน เธอรู้ว่าพ่อกำลังลังเลใจเพราะยังมีคนรักและลูกสาวอีกคน แต่พ่อคงจะไม่ยอมหนีไปด้วยกันหากรู้ว่าพิมพ์พรนอนโคม่าอยู่ในโรงพยาบาล
“คุณพ่อคะ”
“มีอะไรเหรอลูก” เอดิสันหันไปมองลูกสาวที่กำลังมองมาที่เขาด้วยสายตาลังเลราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
เอลล่าเม้มริมฝีปากแน่น ในใจยังคงเห็นแม่ของตนไม่น้อยเช่นกัน
“...เปล่าค่ะ หนูแค่คิดถึงคุณพ่อมาก”
สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่ยอมบอกความจริงเรื่องพิมพ์พรกับคนเป็นพ่อ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นก็เป็นเพราะแม่ของเธอด้วยเช่นกัน
แต่จะให้เธอทำยังไง ในเมื่อคนหนึ่งก็แม่ของเธอ ส่วนอีกคนเป็นเพียงแค่คนรักตัวจริงของพ่อ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลยสักนิด
‘ขอโทษนะพี่ออดีน แต่ฉันไม่อยากให้คุณพ่อทิ้งคุณแม่ไป...’
กริ๊งงง! นาฬิกาปลุกตั้งโต๊ะบริเวณหัวเตียงสั่นกระดิ่งส่งเสียงรัวต่อเนื่องกันจนคนที่กำลังนอนหลับสบายสะดุ้งโหยงตื่นขึ้นด้วยความตกใจ มือเรียวยกขึ้นทาบที่อกเอาไว้พลางถอนหายใจหนัก ๆ ด้วยความหงุดหงิดปนโล่งอกที่เป็นเสียงของนาฬิกา“คุณผู้หญิงคะ อีกยี่สิบนาทีจะถึงเวลารับประทานอาหารเช้าแล้วนะคะ” ภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลียนเอ่ยขึ้น แม้ฟังดูจับใจความได้ยากกว่าปกติเล็กน้อย แต่ออเดียน่าก็สามารถเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดได้ในไม่ช้าร่างบางดันตัวลุกขึ้นจากเตียงโดยไร้ท่าทีขี้เกียจหรืองอแงไม่อยากตื่น อาจเพราะเธอเคยชินกับการต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปทำงานพิเศษอยู่บ่อยครั้งจนติดเป็นนิสัยแล้วออเดียน่าหยุดยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นสภาพของเธอในตอนนี้ ดวงตาที่สะท้อนความรู้สึกบางอย่างซึ่งเธอรู้อยู่แก่ใจดี ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ อีกครั้งให้กับความคิดที่ฟุ้งซ่านไปเรื่อยยี่สิบนาทีผ่านไป หญิงสาวรีบออกมายังห้องอาหารทันที โดยมีมาเฟียหนุ่มที่นั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว บนโต๊ะอาหารเรียงรายไปด้วยอาหารไทยที่เธอคุ้นเคยจนน่าแปลกใจ“วิเวียนเคยทำอาหารไทยอยู่หลายอย่าง ถ้าอยากกินอะไรก็บอกกับวิเวียนแล้วกัน” เขาเอ่ยแนะนำหญิ
“ว้ายยย!” จังหวะเดียวกับที่ออเดียน่ากำลังเดินออกมาจากห้องน้ำในขณะที่สวมเพียงชุดคลุมอาบน้ำ ถึงมันจะปกปิดเอาไว้ได้ทั้งตัวแต่ก็อดตกใจที่มาเฟียหนุ่มเปิดประตูโผงผางเข้ามาในตอนที่เธอไม่ทันตั้งตัวไม่ได้ “...” ชายหนุ่มไม่ทันได้พูดอะไรก็พลันรีบถอยกลับออกไปพร้อมกับปิดประตูห้อง มือเรียวยกขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบหันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อเห็นว่าตอนนี้ผ่านมาเกือบยี่สิบนาทีแล้ว จึงไม่แปลกใจที่เห็นเขาเปิดประตูเข้ามาพอดี ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที ออเดียน่าก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย แล้วจึงรีบออกมาหาคนที่กำลังยืนรอเธออยู่ด้านนอก ร่างสูงโปร่งยังคงเก็บอารมณ์เอาไว้อย่างมิดชิดจนดูแทบไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ คำถามมากมายในหัวของเธอกำลังผุดขึ้นมาราวกับเห็ด แต่แม้ว่าจะอยากคุ
หลังจากที่ชายหนุ่มเดินหายกลับเข้าไปในห้องนอนก็ทิ้งให้เธอนั่งอยู่ห้องนั่งเล่นเพียงคนเดียว สมองยังคงครุ่นคิดหาวิธีที่จะกลับไปหามารดาที่กำลังรอคอยให้เธอกลับไป แต่ตอนนี้กลับรู้สึกมืดไปหมดทั้งแปดด้าน หรือบางทีเธออาจจะต้องทำข้อแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างกับเขา ค่ำคืนที่อบอวลไปด้วยความอึดอัดและความรู้สึกอีกมากมายที่ตีกันไม่หยุดทำให้ออเดียน่าจำต้องฝืนข่มตาหลับอีกครั้งอย่างไม่มีทางเลือกอื่น ท้องฟ้าที่มืดสนิทเริ่มเปลี่ยนสีไปทีละน้อย กระทั่งแสงของพระอาทิตย์เริ่มสาดส่องเข้ามาภายในห้องผ่านกระจกใสที่มักจะถ่ายทอดบรรยากาศที่สวยงามให้คนด้านในชื่นชมทุกเวลา ร่างบางนอนขดอยู่บนโซฟาตัวยาวพร้อมกับผ้าห่มอีกหนึ่งผืน ซึ่งก่อนที่เธอจะนอนหลับก็จำได้ว่าผ้าห่มผืนนี้ไม่เคยปรากฏวางอยู่ตรงไหนสักที่หนึ่งในบริเวณโซฟา เว้นเสียแต่ว่ามีใครบางคนเอามันมาให้เธอ ชายเจ้าของใบหน้าสงบนิ่งยังคงเดินออกมาจากห้องนอนด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำที่เขาสวมใส่มาตั้งแต่เมื่อคืนยับยู่ยี่เล็กน้อย ก่อนที่จะถกแขนเสื้อขึ้นไปเหนือข้อมือพลางก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้กับร่างบางที่กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟา
“ฉันควรทำยังไงกับเธอดีนะ?” เขาถามพลางเลิกคิ้ว ดวงตาเจ้าเล่ห์กำลังสบตากับคนที่กำลังพยายามจะดิ้นหนีจากแขนแกร่งที่ไม่ยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระ“คุณควรจะปล่อยฉันก่อนต่างหาก”“หึ งั้นเธอก็ควรจะเชื่อฟังฉันสิ”“ฉันเป็นคนที่จะฆ่าคุณนะ จะให้ฉันเชื่อฟังคุณได้ยังไงกัน” ออเดียน่าประชดกลับแทน การกระทำของเขาไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งจะจับได้ว่าโดนหลอกเลยสักนิด ก็จริงอยู่ที่เขาอาจจะรู้เรื่องนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ใช่ท่าทีของคนที่กำลังจะจัดการกับคนที่กำลังจะฆ่าตัวเองเลยสักนิด“เดี๋ยวก็รู้ว่าฉันจะทำให้เธอยอมเชื่อฟังได้ไหม” จบประโยค ร่างบางก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระอีกครั้ง ออเดียน่ารีบถอยหนีไปจนติดริมฝั่งหน้าต่าง เว้นระยะห่างจากมาเฟียหนุ่มเอาไว้ราวกับรังเกียจเขาโซเรนแสยะยิ้มเล็กน้อย เขาอดหัวเราะเบา ๆ ในลำคอไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางดื้อรั้นแต่ยังคงแฝงไปด้วยความกลัวของหญิงสาวตรงหน้า ก่อนที่เขาจะละสายตาจากเธอและหันไปส่งสายตาให้คนขับรถพลางพยักหน้าเป็นสัญญาณที่รู้กันเพียงสองคนเจ้าของใบหน้าหวานผล็อ
นานกว่าหนึ่งชั่วโมงที่ออเดียน่าต้องเดินทางไปพร้อมกับเป้าหมายที่ต้องกำจัด หากแต่เธอกลับยิ่งงุนงงกับสถานการณ์ในตอนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนการที่วางไว้เลยสักนิดเฮลิคอปเตอร์จอดลงบนตึกดาดฟ้าแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง คาดว่าน่าจะเป็นตึกแห่งใดแห่งหนึ่งในประเทศสิงคโปร์ จากที่ได้ยินโซเรนคุยกับลูกน้องคร่าว ๆ“เราจะไปที่ไหนกันคะ” เธออดเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ จึงหันไปถามคนตัวสูงที่กำลังมองตรงไปยังเส้นทางข้างหน้าและไม่ได้อธิบายอะไรให้เธอฟังเลยสักอย่างเขาหยุดชะงักพลางหันกลับมามองเธออีกครั้ง รอยยิ้มที่มุมปากบ่งบอกถึงความไม่น่าไว้ใจของเจ้าตัวอย่างชัดเจนจนออเดียน่าเริ่มหวั่นใจแทน“ออเดียน่า” คำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักทำเอาคนฟังถึงกับเบิกตากว้าง ฝ่ามือเรียวกำหมัดเอาไว้แน่นพยายามสะกดความหวาดกลัวในใจเอาไว้“คะ? คุณพูดว่าอะไรคะ” เธอทวนถามซ้ำอีกครั้ง ดวงตากลมโตแอบสั่นไหวเบา ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับตื่นตระหนกริมฝีปากเหยียดยิ้มเล็กน้อยพลางสบตากับเธออย่างจงใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรี
เครื่องเพชรที่เป็นจุดสนใจที่สุดคงหนีไม่พ้นสร้อยเพชรที่ตั้งอยู่ในกล่องกระจกใสกลางเวที แสงไฟจากด้านบนสะท้อนเข้ากับตัวเรือนทองคำขาวบริสุทธิ์ที่สลักลวดลายอย่างประณีต เพชรเม็ดงามขนาดมหึมาประดับอยู่ตรงกลาง รูปร่างคล้ายกับหยดน้ำเปล่งประกายไปตามเหลี่ยมมุมของแสง ล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดเล็กทรงกลมวางเรียงชิดกันเสียงกระซิบดังไปทั่วทั้งห้องเมื่อพิธีกรประกาศมูลค่าประเมินเบื้องต้นที่สูงลิบลิ่ว แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนจับจ้องไม่ใช่แค่ราคา หากแต่เป็นความลึกลับของสร้อยเส้นนี้ที่ว่ากันว่ามีประวัติยาวนานถึงสามศตวรรษ เคยอยู่ในครอบครองของราชวงศ์ยุโรป และถูกนำออกสู่สายตาสาธารณะเป็นครั้งแรกในค่ำคืนนี้ป้ายประมูลเริ่มยกขึ้นเสนอราคากันอย่างต่อเนื่อง ดุเดือดกว่าเครื่องเพชรก่อนหน้านี้ทั้งหมด แม้ว่าราคาจะพุ่งขึ้นสูงแค่ไหนก็ไม่มีท่าทีว่าการประมูลจะจบลงโดยเร็ว“สองร้อยล้านบาท”“สองร้อยห้าล้านบาท”“สองร้อยสิบล้านบาท”การประมูลครั้งนี้เปรียบเสมือนกับศึกใหญ่ที่ต่างก็ไม่มีใครยอมแพ้ เพราะการครอบครองสร้อยเพชรเส้นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ดูมี