“แม่จ๋า เดี๋ยวหนูจะรีบกลับมาหาแม่นะ” เสียงอ่อนโยนเอ่ยบอกมารดาที่ยังคงไม่ได้สติ เธอแนบใบหน้าลงกับมืออุ่นๆ ที่เหี่ยวย่นเล็กน้อย ฝ่ามือหยาบกร้านจากการทำงานหนักมาตลอดหลายสิบปี
ความฝันของออเดียน่าคือการมีบ้านและได้พาแม่ไปอยู่ด้วยกันสองคน ไม่อยากให้แม่ต้องลำบากอยู่ในบ้านหลังนั้นอีกต่อไป แม้ตอนนี้เธอจะเพิ่งเรียนอยู่มหา’ลัยชั้นปีที่สามก็ตาม แต่ต่อให้ลำบากยังไงก็จะพาแม่ออกมาจากบ้านหลังนั้นให้ได้
หญิงสาวปาดน้ำตาที่ไหลคลอเบ้า ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนและตัดใจเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย ตรงไปยังหน้าโรงพยาบาลตามที่นัดหมายกับธีร่าไว้
“สวัสดีครับ คุณออเดียน่าใช่ไหมครับ” ชายสวมชุดดำคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอ ด้านหลังมีรถตู้ของบ้านแวนเดรลกำลังจอดรออยู่
“ใช่ค่ะ” เธอพูดพลางพยักหน้า
“เชิญทางนี้ครับ” ชายหนุ่มผายมือไปยังรถตู้คันหรูที่ผลิตขึ้นในยุโรปและราคาหลายสิบล้านบาท ซึ่งออเดียน่าก็ไม่เคยคิดว่าเธอจะได้มีโอกาสนั่งรถหรูๆ แบบนี้ด้วย
ภายในรถยนต์มีเพียงแค่คนขับรถที่สวมเครื่องแบบเหมือนกับผู้ชายคนเมื่อกี้ ออเดียน่าเข้าไปนั่งยังจุดที่ตัวเองคิดว่าจะไม่เกร็ง ก็คงไม่พ้นฝั่งริมหน้าต่างด้านใน
กระเป๋าเป้ใบโปรดมีเสื้อผ้าอยู่เพียงไม่กี่ชุด เพราะธีร่าบอกว่างานนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะมีลับลมคมในเต็มไปหมด
‘สิ่งแรกที่เธอต้องทำคือ... ห้ามให้ใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอ’ คำสั่งของธีร่ายังคงวนเวียนอยู่ในหัว เธอจำมันได้ขึ้นใจว่าจะให้อีกฝ่ายรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเธอไม่ใช่เอลล่าตัวจริง
‘สอง! นี่คือยาพิษที่เธอต้องใช้ในการฆ่ามัน ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม ยาพิษนี้จะออกฤทธิ์ภายในสี่สิบแปดชั่วโมง ถ้าหากปริมาณมากพอ เธอต้องทำให้มันสูดดมยาพิษนี่เข้าไปให้ได้มากที่สุด และยาพิษนี้ไม่มีอันตรายต่อผิวหนัง จะป้ายบนตัวของมัน หรือจะใช้บนตัวของเธอก็ได้นะ... ยังไงแม่ของเธอก็น่าจะสำคัญที่สุดไม่ใช่เหรอ’ เธอยังคงจำน้ำเสียงเย้ยหยันนั่นได้ดี ธีร่ากำลังชี้แนะให้เธอใช้ตัวเข้าแลกกับคนคนนั้นเพื่อฆ่าเขา ถึงจะโมโหกับคำพูดเหล่านั้นแค่ไหนก็ต้องเก็บงำเอาไว้ในใจตัวเอง
‘อย่าลืมว่าแม่เธอคงรอนานไม่ได้ ถ้าฉันยังไม่ได้ข่าวการตายของมัน ก็อย่าหวังว่าแม่ของเธอจะได้ผ่าตัดเลย’
ประโยคสุดท้ายนี้ยังคงจำได้ขึ้นใจ ถ้าหากเธอทำไม่สำเร็จ ไม่ใช่เพียงแค่ตัวเธอที่จะต้องเดือดร้อน แต่ยังมีแม่อีกคนที่กำลังรอรับการผ่าตัดอยู่ที่โรงพยาบาล
รถยนต์หรูแล่นไปตามเส้นทางอันแสนยาวไกลเป็นเวลาเกือบสามชั่วโมง ออเดียน่านอนหลับตลอดทางจนกระทั่งมาถึงยังโรงแรมหรูที่อยู่ใกล้กับท่าเรือที่เธอจะต้องไปขึ้นเรือสำราญในวันพรุ่งนี้
“ถึงแล้วครับ เชิญคุณออเดียน่าทางนี้ครับ” การปรนนิบัติราวกับเจ้าหญิงทำให้ออเดียน่าแอบเขินอายเล็กน้อย เพราะสายตาของคนแถวนั้นที่มองมา แต่ก็กลบเกลื่อนไว้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ร่างเพรียวเดินตามหลังชายชุดดำทั้งสองคนเข้าไปยังด้านในของโรงแรมห้าดาวที่หรูหราและใหญ่โตสมกับฐานะของคนที่เธอปลอมตัวมาแทน
คีย์การ์ดห้องพักถูกยื่นให้กับออเดียน่าพร้อมรอยยิ้มของพนักงานสาวที่มองเธออย่างเป็นมิตร ตามมาด้วยชายหนุ่มทั้งสองคนที่เดินขนาบข้างถือกระเป๋าเป้และกระเป๋าเดินทางที่ธีร่าเป็นคนจัดเตรียมไว้ให้
“หมดหน้าที่ของพวกผมแล้วครับ พรุ่งนี้คุณต้องนั่งรถตู้กับทางโรงแรมไปขึ้นเรือสำราญตอนเก้าโมงเช้านะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ” เธอรีบรับกระเป๋าและเอ่ยขอบคุณชายหนุ่มทั้งสองคน ก่อนจะแตะคีย์การ์ดและเข้าไปในห้องพักทันที
‘ระหว่างที่อยู่โรงแรม ห้ามบุ่มบ่ามออกไปไหนเด็ดขาด’ คำสั่งห้ามของธีร่ายังคงจำได้ชัดเจน แต่อีกฝ่ายไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไมถึงห้ามไม่ให้เธอออกไปไหน
สายตาของหญิงสาวมองผ่านระเบียงออกไปยังชายหาดสีทองและทะเลสีฟ้าครามที่กระทบกับแสงแดดจนเป็นประกายระยิบระยับ เป็นครั้งแรกที่เธอได้มาเห็นทะเลกับตาของตัวเอง
“อดใจไว้ก่อนสิ” เธอพยายามจะหักห้ามใจที่อยากจะลงไปสัมผัสกับทะเลด้านล่างใจจะขาด แต่ยังไงเธอก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาเที่ยว เอาไว้มีโอกาสค่อยมากับแม่ก็ยังไม่สาย
ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มบาง ๆ เมื่อจินตนาการถึงภาพที่เธอได้มาเที่ยวทะเลกับแม่ ความสุขที่กำลังใกล้เข้ามาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อิสรภาพที่กำลังจะมาถึง ขอเพียงแค่เธอทำสำเร็จ...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังต่อเนื่องกัน ร่างบางสะดุ้งโหยงรีบหันไปมองยังประตูห้องของตัวเอง ขาเรียวก้าวฉับ ๆ ตรงไปยังประตูพลางส่องมองคนด้านนอกผ่านตาแมว
พนักงานของโรงแรมกำลังยืนอยู่หน้าห้อง ทำให้เธอไม่รีรอที่จะรีบเปิดประตูออกไป
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“พอดีว่ามีคนให้ดิฉันมาส่งของให้กับคุณค่ะ” กล่องของขวัญขนาดสี่เหลี่ยมทำมาจากกระดาษสีเบจประดับด้วยโบว์สีขาว หน้ากล่องแนบการ์ดข้อความขนาดเท่าฝ่ามือมาด้วย
“ขอบคุณค่ะ” ออเดียน่ารับกล่องไว้ แม้จะยังสงสัยว่าด้านในกล่องคืออะไร
ร่างบางหมุนตัวกลับเข้ามาในห้อง ก่อนจะวางกล่องของขวัญลงบนเตียงและมองมันอย่างไม่ไว้ใจสักเท่าไหร่ ขณะที่ชั่งใจอยู่นานก็ตัดสินใจเปิดการ์ดข้อความหน้ากล่อง
‘พรุ่งนี้เจอกันที่ดาดฟ้าของเรือ เวลา 20.00 น.’
ข้อความระบุในการ์ดไว้อย่างชัดเจน คลายความสงสัยเกี่ยวกับเจ้าของกล่องของขวัญชิ้นนี้ นั่นก็หมายความว่าเขาก็อาจจะอยู่ที่นี่ด้วยเหมือนงั้นเหรอ!?
นัยน์ตาสีอัลมอนด์คล้ายกำลังเศร้าลงแต่ก็แฝงไปด้วยความหวังลึก ๆ เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตนี้จะต้องมาทำอะไรแบบนี้ และถ้าหากว่าเธอทำไม่สำเร็จ ทุกอย่างอาจจะพังทั้งหมดเลยก็ได้
กริ๊งงง! นาฬิกาปลุกตั้งโต๊ะบริเวณหัวเตียงสั่นกระดิ่งส่งเสียงรัวต่อเนื่องกันจนคนที่กำลังนอนหลับสบายสะดุ้งโหยงตื่นขึ้นด้วยความตกใจ มือเรียวยกขึ้นทาบที่อกเอาไว้พลางถอนหายใจหนัก ๆ ด้วยความหงุดหงิดปนโล่งอกที่เป็นเสียงของนาฬิกา“คุณผู้หญิงคะ อีกยี่สิบนาทีจะถึงเวลารับประทานอาหารเช้าแล้วนะคะ” ภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลียนเอ่ยขึ้น แม้ฟังดูจับใจความได้ยากกว่าปกติเล็กน้อย แต่ออเดียน่าก็สามารถเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดได้ในไม่ช้าร่างบางดันตัวลุกขึ้นจากเตียงโดยไร้ท่าทีขี้เกียจหรืองอแงไม่อยากตื่น อาจเพราะเธอเคยชินกับการต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อไปทำงานพิเศษอยู่บ่อยครั้งจนติดเป็นนิสัยแล้วออเดียน่าหยุดยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นสภาพของเธอในตอนนี้ ดวงตาที่สะท้อนความรู้สึกบางอย่างซึ่งเธอรู้อยู่แก่ใจดี ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ อีกครั้งให้กับความคิดที่ฟุ้งซ่านไปเรื่อยยี่สิบนาทีผ่านไป หญิงสาวรีบออกมายังห้องอาหารทันที โดยมีมาเฟียหนุ่มที่นั่งรออยู่ก่อนหน้าแล้ว บนโต๊ะอาหารเรียงรายไปด้วยอาหารไทยที่เธอคุ้นเคยจนน่าแปลกใจ“วิเวียนเคยทำอาหารไทยอยู่หลายอย่าง ถ้าอยากกินอะไรก็บอกกับวิเวียนแล้วกัน” เขาเอ่ยแนะนำหญิ
“ว้ายยย!” จังหวะเดียวกับที่ออเดียน่ากำลังเดินออกมาจากห้องน้ำในขณะที่สวมเพียงชุดคลุมอาบน้ำ ถึงมันจะปกปิดเอาไว้ได้ทั้งตัวแต่ก็อดตกใจที่มาเฟียหนุ่มเปิดประตูโผงผางเข้ามาในตอนที่เธอไม่ทันตั้งตัวไม่ได้ “...” ชายหนุ่มไม่ทันได้พูดอะไรก็พลันรีบถอยกลับออกไปพร้อมกับปิดประตูห้อง มือเรียวยกขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบหันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อเห็นว่าตอนนี้ผ่านมาเกือบยี่สิบนาทีแล้ว จึงไม่แปลกใจที่เห็นเขาเปิดประตูเข้ามาพอดี ใช้เวลาไม่ถึงห้านาที ออเดียน่าก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย แล้วจึงรีบออกมาหาคนที่กำลังยืนรอเธออยู่ด้านนอก ร่างสูงโปร่งยังคงเก็บอารมณ์เอาไว้อย่างมิดชิดจนดูแทบไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ คำถามมากมายในหัวของเธอกำลังผุดขึ้นมาราวกับเห็ด แต่แม้ว่าจะอยากคุ
หลังจากที่ชายหนุ่มเดินหายกลับเข้าไปในห้องนอนก็ทิ้งให้เธอนั่งอยู่ห้องนั่งเล่นเพียงคนเดียว สมองยังคงครุ่นคิดหาวิธีที่จะกลับไปหามารดาที่กำลังรอคอยให้เธอกลับไป แต่ตอนนี้กลับรู้สึกมืดไปหมดทั้งแปดด้าน หรือบางทีเธออาจจะต้องทำข้อแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างกับเขา ค่ำคืนที่อบอวลไปด้วยความอึดอัดและความรู้สึกอีกมากมายที่ตีกันไม่หยุดทำให้ออเดียน่าจำต้องฝืนข่มตาหลับอีกครั้งอย่างไม่มีทางเลือกอื่น ท้องฟ้าที่มืดสนิทเริ่มเปลี่ยนสีไปทีละน้อย กระทั่งแสงของพระอาทิตย์เริ่มสาดส่องเข้ามาภายในห้องผ่านกระจกใสที่มักจะถ่ายทอดบรรยากาศที่สวยงามให้คนด้านในชื่นชมทุกเวลา ร่างบางนอนขดอยู่บนโซฟาตัวยาวพร้อมกับผ้าห่มอีกหนึ่งผืน ซึ่งก่อนที่เธอจะนอนหลับก็จำได้ว่าผ้าห่มผืนนี้ไม่เคยปรากฏวางอยู่ตรงไหนสักที่หนึ่งในบริเวณโซฟา เว้นเสียแต่ว่ามีใครบางคนเอามันมาให้เธอ ชายเจ้าของใบหน้าสงบนิ่งยังคงเดินออกมาจากห้องนอนด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำที่เขาสวมใส่มาตั้งแต่เมื่อคืนยับยู่ยี่เล็กน้อย ก่อนที่จะถกแขนเสื้อขึ้นไปเหนือข้อมือพลางก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้กับร่างบางที่กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟา
“ฉันควรทำยังไงกับเธอดีนะ?” เขาถามพลางเลิกคิ้ว ดวงตาเจ้าเล่ห์กำลังสบตากับคนที่กำลังพยายามจะดิ้นหนีจากแขนแกร่งที่ไม่ยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระ“คุณควรจะปล่อยฉันก่อนต่างหาก”“หึ งั้นเธอก็ควรจะเชื่อฟังฉันสิ”“ฉันเป็นคนที่จะฆ่าคุณนะ จะให้ฉันเชื่อฟังคุณได้ยังไงกัน” ออเดียน่าประชดกลับแทน การกระทำของเขาไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งจะจับได้ว่าโดนหลอกเลยสักนิด ก็จริงอยู่ที่เขาอาจจะรู้เรื่องนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ใช่ท่าทีของคนที่กำลังจะจัดการกับคนที่กำลังจะฆ่าตัวเองเลยสักนิด“เดี๋ยวก็รู้ว่าฉันจะทำให้เธอยอมเชื่อฟังได้ไหม” จบประโยค ร่างบางก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระอีกครั้ง ออเดียน่ารีบถอยหนีไปจนติดริมฝั่งหน้าต่าง เว้นระยะห่างจากมาเฟียหนุ่มเอาไว้ราวกับรังเกียจเขาโซเรนแสยะยิ้มเล็กน้อย เขาอดหัวเราะเบา ๆ ในลำคอไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางดื้อรั้นแต่ยังคงแฝงไปด้วยความกลัวของหญิงสาวตรงหน้า ก่อนที่เขาจะละสายตาจากเธอและหันไปส่งสายตาให้คนขับรถพลางพยักหน้าเป็นสัญญาณที่รู้กันเพียงสองคนเจ้าของใบหน้าหวานผล็อ
นานกว่าหนึ่งชั่วโมงที่ออเดียน่าต้องเดินทางไปพร้อมกับเป้าหมายที่ต้องกำจัด หากแต่เธอกลับยิ่งงุนงงกับสถานการณ์ในตอนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนการที่วางไว้เลยสักนิดเฮลิคอปเตอร์จอดลงบนตึกดาดฟ้าแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง คาดว่าน่าจะเป็นตึกแห่งใดแห่งหนึ่งในประเทศสิงคโปร์ จากที่ได้ยินโซเรนคุยกับลูกน้องคร่าว ๆ“เราจะไปที่ไหนกันคะ” เธออดเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ จึงหันไปถามคนตัวสูงที่กำลังมองตรงไปยังเส้นทางข้างหน้าและไม่ได้อธิบายอะไรให้เธอฟังเลยสักอย่างเขาหยุดชะงักพลางหันกลับมามองเธออีกครั้ง รอยยิ้มที่มุมปากบ่งบอกถึงความไม่น่าไว้ใจของเจ้าตัวอย่างชัดเจนจนออเดียน่าเริ่มหวั่นใจแทน“ออเดียน่า” คำพูดที่หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักทำเอาคนฟังถึงกับเบิกตากว้าง ฝ่ามือเรียวกำหมัดเอาไว้แน่นพยายามสะกดความหวาดกลัวในใจเอาไว้“คะ? คุณพูดว่าอะไรคะ” เธอทวนถามซ้ำอีกครั้ง ดวงตากลมโตแอบสั่นไหวเบา ๆ แต่ก็ไม่ถึงกับตื่นตระหนกริมฝีปากเหยียดยิ้มเล็กน้อยพลางสบตากับเธออย่างจงใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรี
เครื่องเพชรที่เป็นจุดสนใจที่สุดคงหนีไม่พ้นสร้อยเพชรที่ตั้งอยู่ในกล่องกระจกใสกลางเวที แสงไฟจากด้านบนสะท้อนเข้ากับตัวเรือนทองคำขาวบริสุทธิ์ที่สลักลวดลายอย่างประณีต เพชรเม็ดงามขนาดมหึมาประดับอยู่ตรงกลาง รูปร่างคล้ายกับหยดน้ำเปล่งประกายไปตามเหลี่ยมมุมของแสง ล้อมรอบด้วยเพชรเม็ดเล็กทรงกลมวางเรียงชิดกันเสียงกระซิบดังไปทั่วทั้งห้องเมื่อพิธีกรประกาศมูลค่าประเมินเบื้องต้นที่สูงลิบลิ่ว แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนจับจ้องไม่ใช่แค่ราคา หากแต่เป็นความลึกลับของสร้อยเส้นนี้ที่ว่ากันว่ามีประวัติยาวนานถึงสามศตวรรษ เคยอยู่ในครอบครองของราชวงศ์ยุโรป และถูกนำออกสู่สายตาสาธารณะเป็นครั้งแรกในค่ำคืนนี้ป้ายประมูลเริ่มยกขึ้นเสนอราคากันอย่างต่อเนื่อง ดุเดือดกว่าเครื่องเพชรก่อนหน้านี้ทั้งหมด แม้ว่าราคาจะพุ่งขึ้นสูงแค่ไหนก็ไม่มีท่าทีว่าการประมูลจะจบลงโดยเร็ว“สองร้อยล้านบาท”“สองร้อยห้าล้านบาท”“สองร้อยสิบล้านบาท”การประมูลครั้งนี้เปรียบเสมือนกับศึกใหญ่ที่ต่างก็ไม่มีใครยอมแพ้ เพราะการครอบครองสร้อยเพชรเส้นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ดูมี