“เชิญครับคุณธารา” ชายเจ้าของชื่อวัย 27 ปี ก้าวเท้าเดินตามคนที่เอ่ยเรียกตนไปอย่างไม่เร่งรีบเท่าไหร่นัก ดวงตาคมกล้าที่เป็นดำสนิทดุจท้องทะเลลึกล้ำกวาดมองไปทั่วบริเวณอย่างสนอกสนใจ ตอนนี้เขาอยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย ซึ่งเป็นเกาะขนาดเล็กแถบทะเลอันดามัน เกาะแห่งนี้เป็นเกาะส่วนตัวของครอบครัวเขา ซึ่งเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงไข่มุกเม็ดงามที่จะถูกนำไปทำเป็นเครื่องประดับอันเป็นธุรกิจหลักของครอบครัว
“ตอนนี้หอยเพาะเลี้ยงของเราเติบโตได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยครับ” เสียงของชายผู้ซึ่งเป็นคนดูแลสถานที่แห่งนี้กล่าวขึ้น ก่อนจะยกกระชังที่เพาะเลี้ยงหอยมุกเอาไว้ขึ้นมาให้ดู ธาราย่อตัวลง ใช้มือหยิบคว้าหอยมุกเหล่านั้นขึ้นมาดูใกล้ๆ ก่อนจะเอ่ยถามออกไป
“หอยนี่กี่ปีแล้วครับ?”
“ครบปีพอดีครับ แต่ยังตัวเล็กมากเลย” ธาราพยักหน้ารับ ค่อยๆ วางหอยมุกลงช้าๆ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่มพลิ้วไหวตามแรงลมของทะเล ธาราสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วผ่อนออกช้าๆ กลิ่นอายทะเลลอยฟุ้งในอากาศทำให้หวนคิดถึงความรู้สึกที่เคยได้รับ ความโหยหาอันไร้ที่มาที่ไป......
“ผมขอไปดูศูนย์วิจัยหน่อยครับ”
“เชิญเลยครับ” ชายคนเดิมกล่าวพลางเดินนำไปที่แพเรือ เพราะเขาทำการเพาะเลี้ยงหอยมุก จึงต้องสร้างกระชังเลี้ยงไว้ให้ห่างจากเกาะสักหน่อย เพื่อเป็นการป้องกันเหล่ามนุษย์ที่ไร้จิตสำนึกมารบกวน
เกาะของเขานั้นเป็นเกาะขนาดเล็ก ตรงด้านหน้านั้นเป็นอควาเรียมเอาไว้ต้อนรับนักท่องเที่ยว ที่ตรงกลางจะเป็นศูนย์วิจัยและพัฒนา ถัดมาที่ด้านหลังของเกาะเป็นบ้านพักส่วนตัวของครอบครัวที่ไม่อนุญาตให้คนภายนอกรุกล้ำเข้าไปได้ แม้ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ประจำเกาะก็ตาม เพราะครอบครัวของเขานั้นสร้างบ้านพักไว้ให้ ไม่ไกลจากศูนย์วิจัยเท่าไหร่นัก ส่วนที่ด้านข้าง ห่างออกไปเล็กน้อยจะเป็นสถานที่เพาะพันธุ์และบ่อเพาะเลี้ยง
เขาเคยประสบอุบัติเหตุพลัดตกเรือเมื่อ 7 ปีก่อน ในตอนนั้นเขาจำได้ว่าเขาเข้าร่วมงานเลี้ยงประมูลเครื่องประดับของครอบครัว เขาในฐานะบุตรชายที่บิดามารดาต้องการให้สานต่อธุรกิจจึงต้องเข้าร่วมด้วยอย่างช่วยไม่ได้ เขาเองก็จำไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่นัก รู้แต่เพียงว่าเขานั้นพลัดตกเรือ และครอบครัวของเขาก็ได้ช่วยไว้ โดยพบเขามาลอยติดเกาะอยู่ที่แห่งนี้นี่เอง
ในตอนแรกครอบครัวของเขาไม่ได้เป็นเจ้าของที่นี่ แต่เพราะในตอนนั้น ตอนที่ครอบครัวรับตัวเขากลับมารักษาที่กรุงเทพ พ่อและแม่ของเขาเล่าว่า เขาโวยวายยกใหญ่ ยังไงก็จะกลับมาที่เกาะนี้ให้ได้ จนพ่อและแม่ตกลงที่จะซื้อเกาะนี้เอาไว้ให้ แล้วสัญญาว่าจะพาเขากลับมา พร้อมกับบอกว่าวางแผนจะทำอะไรกับเกาะนี้บ้าง และนั่นทำให้เขาคลุ้มคลั่งทำลายข้าวของและหมดสติไป เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็กลับกลายเป็นจำอะไรไม่ได้เลย........
นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อ 7 ปีก่อน เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากจะกลับมาที่เกาะนี้นักหนา จนกระทั่งเขาหลงลืมเรื่องนี้ไปทุ่มเททั้งเวลาและชีวิตให้กับงานของบริษัท และกว่าที่เขาจะรู้ตัวก็กลับกลายเป็นว่าห้องของเขาเต็มไปด้วยเอกสารมากมายจนหาอะไรไม่เจอ ทำให้เขานั้นต้องทำการจัดห้องรื้อห้องเสียยกใหญ่และนั่นทำให้เขาได้พบกับบางสิ่ง......
บางสิ่งที่ทำให้บิดาของเขาตัดสินใจซื้อเกาะแห่งนี้และทำเป็นบ่อเพาะเลี้ยงหอยมุกขึ้นมา.....
“พ่อครับ พ่อพอจะจำของสิ่งนี้ได้ไหมครับ? ผมไม่รู้ว่าได้มันมาได้ยังไง” ธารายื่นของที่ว่าไปตรงหน้าของบิดา ไข่มุกสีฟ้าเป็นประกายแวววาวหยอกล้อกับแสงไฟจนเกิดประกายระยิบระยับขนาดเท่าหัวแม่มือถูกวางนิ่งอยู่ในกล่องไม้กำมะหยี่สีแดงสด ช่วยขับเน้นให้ไข่มุกเม็ดนั้นมีมูลค่ามีราคามากขึ้นไปอีกจนไม่อาจประมาณได้ ผู้เป็นบิดารับของในมือของบุตรชายไปถือไว้พร้อมรอยยิ้มบาง ก่อนจะเอ่ยบอกด้วยท่าทีที่หวนคำนึงถึงความหลัง
“ตอนนั้นที่ลูกหายไปในทะเล พ่อกับแม่ออกตามหาลูกนานนับปี จนกระทั่งไปเจอลูกอยู่ที่เกาะแห่งหนึ่ง ตอนที่พาตัวลูกกลับมารักษาตัวที่กรุงเทพ ลูกกำไข่มุกเม็ดนี้ไว้ แน่นแถมยังไม่ยอมให้ใครแตะต้องมันอีกด้วย ไม่ว่าพ่อกับแม่จะขอดูมันมากเท่าไหร่ลูกก็ไม่ยอมให้เลย ตอนนอนก็กำมันเอาไว้ในมือ
เพราะลูกเอาแต่บอกว่าจะกลับไปที่เกาะนั้น พ่อเลยบอกว่าจะซื้อเกาะไว้ให้ และเพราะไข่มุกของลูกเม็ดนี้นี่แหละ ที่ทำให้พ่อตัดสินใจทำบ่อเพาะเลี้ยงหอยมุก แต่ไม่ว่ายังไงก็ทำไข่มุกที่มีลักษณะแบบนี้ไม่ได้สักที” พ่อของเขาตอบกลับมาพร้อมกับส่งมันคืนให้เขาไปพลาง
“ลูกหวงไข่มุกเม็ดนี้มาก พ่อกับแม่เลยตัดสินใจเก็บเอาไว้ให้ ไม่ยอมขายมันไป แม้ว่ามูลค่าของมันจะหลายสิบล้านก็เถอะ” ธารารับกล่องเก็บไข่มุกที่ว่านั้นคืนมา ครุ่นคิดไปมาว่าทำไมเขาถึงอยากจะกลับไปที่เกาะแห่งนั้นกัน จนป่านนี้เวลาล่วงเลยมาจนถึง 7 ปี แต่ความรู้สึกบางอย่างที่ขาดหายไปจากใจ อีกทั้งยังมีความอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างก็เป็นตัวผลักดันให้เขาตัดสินใจเก็บกระเป๋าเดินทาง และบอกกับบิดาว่าจะบินลงใต้ไปดูเกาะที่ว่าด้วยตาตัวเองสักครั้งหนึ่ง เพราะไม่มีใครที่จะหาคำตอบนี้ให้เขาได้ นอกจากตัวเขาเอง......
ธาราก้าวขายาวๆ เดินไปตามทิศทางที่มีป้ายบอกไว้ชัดเจน โดยมีชายชราเดินนำหน้าอยู่ไม่ห่าง คอยแนะนำส่วนต่างๆ ของเกาะแห่งนี้ให้เขาฟังไปพลาง จากตอนแรกที่คิดว่าจะไปดูศูนย์วิจัย กลับต้องเปลี่ยนแผนใหม่เมื่อมาถึงเกาะจริงๆ เพราะเขาคิดว่าเดินดูให้ทั่วในคราวเดียว จากด้านหน้าไปจนถึงด้านหลัง น่าจะย่นระยะเวลาได้มากกว่าและเสียเวลาเพียงครั้งเดียว
ดังนั้นแล้วธาราจึงแวะเข้าไปดูที่อควาเรียมก่อนเป็นอันดับแรก ทันทีที่ก้าวขาเข้าไป ก็รู้สึกราวกับตนเองตกอยู่ภายใต้ท้องทะเล เหล่าฝูงปลาทะเลตัวเล็กตัวน้อยแหวกว่ายอยู่ใต้ผิวน้ำ และนั่นทำให้เขารู้ว่าอควาเรียมของครอบครัวเขานั้นแตกต่างจากที่อื่น
นั่นก็เพราะอควาเรียมของครอบครัวเขามีทั้งปลาที่ถูกจับใส่ตู้โดยการซื้อพันธุ์ปลามาเพาะเลี้ยงอย่างถูกกฎหมาย และอื่นส่วนหนึ่งนั้นยื่นออกไปนอกเกาะ เป็นการมองดูสิ่งมีชีวิตใต้น้ำที่แหวกว่ายไปมาอย่างอิสระ ไม่มีตู้กระจกใส ไม่มีคนคอยให้อาหาร มันคือธรรมชาติของแท้ที่เราทำได้เพียงมองจากอุโมงค์แคบๆ นี้เท่านั้น ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเราจะได้เจอกับสิ่งมีชีวิตใด ถือเป็นความสนุกและความตื่นเต้นเล็กๆ น้อยๆ ที่มอบให้กับนักท่องเที่ยว
ธารายืนอยู่ในอุโมงค์ที่ว่าเพียงลำพัง ชายชราที่เป็นผู้นำทางขยับออกไปยื่นห่างๆ ที่ด้านหลัง ซึ่งเขาทราบชื่อในภายหลังว่าชื่อบาซิม หลังจากเรียกว่าคุณลุงมาตลอดทริปการเดินทาง ชายหนุ่มกวาดสายตามองใต้ท้องทะเลด้วยความหลงใหล เขารู้สึกเงียบสงบเมื่อยืนอยู่ใต้สายน้ำ อันมีเพียงอุโมงค์กั้นบางเบา จนเกิดความคิดอยากจะลงไปแหวกว่ายขึ้นมาวูบหนึ่ง
ธาราหลุดหัวเราะและส่ายศีรษะไปมาแผ่วเบาให้กับความคิดนั้น หากเขาจะลงไปว่ายน้ำจริงก็ต้องสวมใส่สกูบาลงไปด้วย ไม่มีทางที่เขาจะลงไปแหวกว่ายโดยไร้อุปกรณ์ช่วยหายใจ คิดพลางขยับเท้าออกจากจุดที่ยืนอยู่ หมุนกายหันกลับไปหาลุงบาซิมเพื่อชมส่วนอื่นๆ ของอควาเรียม ซึ่งก็มีส่วนที่เป็นการแสดงสัตว์น้ำที่มีครูฝึกสอน และปลาชนิดต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในตู้ขนาดเล็กขนาดใหญ่กระจายกันไป นอกจากนี้ยังมีโดมอควาเรียมซึ่งเป็นปลาเลี้ยงมีคนให้อาหารและคอยเล่นกับฝูงปลาให้กับผู้ชมได้ดู
ธาราเดินออกจากอควาเรียมและมุ่งตรงไปที่ศูนย์วิจัย ระหว่างทางไปลุงบาซิมก็ชี้บอกถึงที่พักอาศัยของเจ้าหน้าที่ทุกคนที่อาศัยอยู่ภายในเกาะแห่งนี้ว่าบ้านพักนั้นตั้งอยู่ที่ด้านข้าง ธาราทำเพียงพยักหน้ารับเล็กน้อยเชิงรับรู้ ก่อนจะก้าวขาก้าวเดินต่อไป มุ่งตรงเข้าสู่ตัวอาคาร
เขาได้รับเสียงทักทายจากพนักงานที่กำลังทำหน้าที่ของตนอยู่ข้างใน ที่ส่วนหน้าของอาคารเปิดให้เป็นแหล่งเรียนรู้และมีช็อปสำหรับขายผลิตภัณฑ์จากไข่มุกซึ่งทำเป็นเครื่องประดับชนิดต่างๆ แต่ละชิ้นมีมูลค่ามหาศาลจนต้องมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เซนเซอร์ และกล้องวงจรปิดกระจายอยู่ทั่วทุกพื้นที่ เรียกได้ว่ารักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดขั้นสูงสุด นำของเข้ามาต้องมีการจดบันทึกและตรวจสอบ นำของออกไปก็จะเข้มงวดยิ่งกว่า ธาราพยักหน้าอย่างพึงพอใจในระบบการทำงานของที่นี่ ก็นะ แค่ไข่มุกเม็ดเดียวนั้นก็มีราคาเหยียบหมื่น หากคว้าต่างหูไปสักคู่ หรือกำไลไปสักวง คงจะสบายไปเป็นชาติ
ชายหนุ่มก้าวเท้าเดินตรงไปที่ห้องวิจัย ในห้องนี้มีแต่เหล่านักวิจัยหัวกะทิรวบรวมเอาไว้ มีทั้งทีมที่คิดสีใหม่ๆ ของไข่มุกเม็ดงาม ทีมที่ดูแลเรื่องการเพาะเลี้ยงและเร่งโต ทีมที่คิดค้นให้ไข่มุกออกมามีรูปแบบต่างๆ หอยมุกนั้นสร้างไข่มุกมาจากเม็ดทรายที่มีแพลงก์ตอนเกาะอยู่ เกิดเป็นการรบกวนหอยมุกให้ระคายเคือง จนต้องปล่อยสารออกมาเคลือบเม็ดทรายนั้นไว้จนก่อเกิดเป็นไข่มุกเม็ดงาม ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ไข่มุกยิ่งเม็ดใหญ่ขึ้นเท่านั้น และพวกเขาใช้หลักการเดียวกันนี้ในการสรรค์สร้างไข่มุกให้เกิดเป็นรูปแบบต่างๆ เช่นรูปหัวใจ ดวงดาวหรือดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว จึงทำให้ไข่มุกของบ้านเขานั้นเป็นที่นิยมมากกว่า ไหนจะสีต่างๆ ที่ผสมออกมาได้อีก ยิ่งเพิ่มมูลค่ามหาศาลเกินกว่าจะนับได้
“ผมทราบมาว่าการเพาะเลี้ยงหอยมุกเจริญเติบโตไม่ค่อยดีนัก ผมต้องการรายงานการเพาะเลี้ยงหอยมุกและงานวิจัยทั้งหมดที่พวกคุณเคยทำมา รบกวนรวบรวมและส่งให้ผมในวันพรุ่งนี้เช้าด้วยนะครับ” ชายหนุ่มสั่งการเสร็จก็ก้าวเท้าเดินออกจากห้องไป แต่ก่อนที่ร่างสูงจะพ้นออกจากห้องก็หมุนกายหันกลับมาอีกครั้ง เอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม
“ผมเข้าใจว่ามันออกจะกะทันหันไปสักหน่อย เอาเป็นว่ารวบรวมได้เท่าไหร่ ส่งส่วนนั้นมาให้ผมก่อน และผมต้องการทั้งหมดภายในสัปดาห์นี้ ยังไงก็รบกวนด้วยนะครับ”
“ครับ/ค่ะ” เสียงของทีมวิจัยตอบรับพร้อมกับเสียงเป่าปากและถอนหายใจด้วยความโล่งใจหลังจากคล้อยหลังของชายผู้เป็นเจ้านายของตน ธาราหลุดหัวเราะและส่ายศีรษะไปมา ถึงเขาจะเป็นคนบ้างานแต่ก็รู้ว่าอะไรควรไม่ควรและเขาเป็นคนที่มีเหตุผลมากพอ การที่เขามาแบบกะทันหันและไม่ได้แจ้งพวกเขาไว้ก่อนถึงข้อมูลเหล่านั้น หากเขาไม่ขยายเวลาให้ ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้ทีมงานของเขาก็ยังคงไม่ได้นอน
“เชิญครับคุณธารา” ชายหนุ่มพยักหน้ารับให้กับลุงบาซิมพลางก้าวเท้าเดินไปที่บ้านพักหลังหนึ่งที่แฝงตัวอยู่ในธรรมชาติร่มรื่น ฉากหลังนั้นเป็นท้องฟ้ากว้างสีฟ้าสดใส และเกลียวคลื่นพัดพาสาดซัดละอองน้ำกระทบเข้ากับชายฝั่ง ทำให้ที่นี่เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเขามาถึงก็พบว่าบ้านทั้งหลังถูกทำความสะอาดจนไร้ฝุ่น ข้าวของทุกชิ้นอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน กระเป๋าเสื้อผ้าของเขาก็วางตั้งอยู่ในห้องเรียบร้อย เปิดเครื่องปรับอากาศให้เสร็จสรรพ ชายหนุ่มค่อนข้างพอใจการทำงานของแม่บ้านที่นี่มากทีเดียวและเขาก็ได้รู้ว่าแม่บ้านที่เข้ามาจัดการตระเตรียมความพร้อมไว้ให้ชื่อน้ามูนา เป็นภรรยาของลุงบาซิมนั่นเอง ชายหนุ่มเอ่ยคำขอบคุณกับสองสามีภรรยาที่คอยอำนวยความสะดวกให้ ก่อนจะแยกจากกันเพื่อพักผ่อน โดยที่น้ามูนาแจ้งว่าจะนำมื้อเย็นมาส่งให้ตอนหกโมงเย็น
ธาราพยักหน้ารับเชิงรับรู้ เอ่ยขอบคุณอีกครั้งและปิดประตูลง ชายหนุ่มเดินเข้าไปภายในตัวบ้าน เดินขึ้นไปที่ชั้นสอง ลงมือจัดเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่เข้าทาง เขาอาจจะต้องอยู่ที่นี่นานสัก 1 – 2 อาทิตย์ กว่างานของเขาจะเสร็จสิ้นลง คิดพลางจัดของไปพลาง
เมื่อจัดข้าวของส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เข้าไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย ล้างคราบเหงื่อคราบไคลและกลิ่นอายทะเลให้หมดไปจากตัว ชายหนุ่มขยับไปยืนอยู่ใต้ฝักบัว ปล่อยให้สายน้ำรินรดไหลตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ฝ่ามือใหญ่เสยเส้นผมของตนไปทางด้านหลังจนกระทั่งหยุดลงที่ลำคอแกร่ง ปลายนิ้วมือสัมผัสได้ถึงความเย็นชืดของบางสิ่ง ทำให้ปลายนิ้วมือนั้นลูบไล้ตามความเย็นนั้นจนกระทั่งมาหยุดลงที่ไข่มุกเม็ดงามสีฟ้าครามดุจสีของท้องทะเล
หลังจากที่เขาได้พบกับไข่มุกเม็ดนั้น เขาก็รับรู้ได้ว่ามันคือสิ่งที่มีค่ามหาศาล จึงตัดสินใจนำไปทำเป็นสร้อยและสวมใส่ติดตัวไว้แทน โดยใช้ทองเส้นเล็กถักทอเป็นเกลียวปลายแหลมทั้งบนและล่าง ที่ด้านในนั้นมีไข่มุกสีฟ้านั้นอยู่ภายในแลดูคล้ายกับเปลือกหอยที่ห่อหุ้มไข่มุกล้ำค่าเอาไว้ เพียงแต่สร้อยของเขานั้นทำมาจากทองคำแท้ตลอดทั้งเส้น ชายหนุ่มยืนกำจี้สร้อยนั้นชั่วครู่ คล้ายตกอยู่ในภวังค์แห่งห้วงคำนึง เพียงแต่ภาพในภวังค์นั้นช่างเลื่อนราง ไม่อาจบอกได้แน่ชัดว่าเขาคิดถึงสิ่งใด สิ่งที่รับรู้ได้คือคิดถึงเหลือคณาและความเศร้าสร้อยที่ปะปนมาจนทำให้ดวงตาคมกล้านั้นหม่นเศร้า
ธาราปล่อยมือออกจากสร้อยไข่มุกนั้น แล้วเริ่มต้นอาบน้ำให้ตนเองอย่างจริงจัง หลังจากนั้นจึงออกจากห้องน้ำ จัดการเช็ดผมให้พอแห้งหมาด ทิ้งตัวลงนอนพักผ่อนหลังจากเดินทางเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน ยังเหลือเวลาอีก 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงมื้อเย็น ชายหนุ่มคิดพลางหลับตาลงและปล่อยให้ตนจมลงสู่ห้วงนิทรา......
“คิดสิ่งใดอยู่หรือ” ธาราก้มมองดูคนที่ยืนเกาะหลังของตนเป็นลูกหมีโคอาล่า ก่อนที่สองมือของเขาจะวางทาบทับกับมือเล็กที่กอดก่ายอยู่ด้านหลัง พร้อมตอบมือเล็กนั้นเบาๆ ส่งมอบความอบอุ่นให้กับคนที่ตนรัก“เรื่องของเรา.....” ธาราพูดพร้อมกับหันหลังกลับไปมองคนรัก คาไนน์ในตอนนี้ไม่แตกต่างจากเมื่อก่อนสักเท่าไหร่ เวลาไหลผ่านมาเนิ่นนานเกือบ 30 ปีแล้ว ที่พวกเขาตกลงจะอยู่อาศัยใช้ชีวิตร่วมกัน ตอนนี้บิดาและมารดาของเขาได้ลงไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกใต้บาดาล เหล่าเงือกมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักเป็นแหล่งมากขึ้นตามโครงการที่เขาวาดหวังไว้ แต่ที่อยู่นั้นอยู่ลึกลงไปหลายพันเมตรจากระดับน้ำทะเล เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ใครค้นพบเมืองใต้น้ำได้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายกับเผ่าเงือกที่หลบหลีกอยู่ใต้น้ำมาเนิ่นนานช่วงระหว่างที่เขาใช้ชีวิตอยู่บนบก เขาเร่งรัดโครงการสร้างเมืองใต้น้ำให้เหล่าเหงือกอย่างหนักหน่วง ทำให้ระยะเวลาที่คาดการไว้ 30 ถึง 50 ปี จบลงอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียง 25 ปีเท่านั้น อันเป็นผลจากเงินทุนมหาศาลและพันธสัญญาการก่อสร้าง ทำให้ทุกอย่างรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วจนคาดไม่ถึง เพราะการเร่ง
สิ่งที่พวกเขาหวังไว้เกิดขึ้นจริงในตอนเวลาเที่ยงวัน เนื่องจากพวกเขาปล่อยให้น้ามูนาและลุงบาซิมได้พูดคุยกันอย่างเต็มที่ ตอนที่พวกเขาแวะไปดูทั้งสองคนหลังทานอาหารเช้าเสร็จก็พบว่าทั้งสองได้ขยับขึ้นมานั่งที่ขอบสระแทน ปลายขาของน้ามูนายังคงเป็นครีบหางสีม่วงโดยมีลุงบาซิมนั่งอยู่ข้างๆ กัน ได้ยินเสียงของทั้งสองคนพูดคุยแว่วมาแผ่วเบา พวกเขาคาดว่าทั้งคู่คงมีเรื่องที่ต้องพูดคุยกันอีกเยอะทีเดียวเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นในช่วงบ่ายของวัน ทั้งสองก็กลับมาในบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าแดดเริ่มร้อนเกินไปและไม่ดีต่อน้ามูนาสักเท่าไหร่นัก และเพราะแบบนั้นทำให้เห็นสายตาของลุงบาซิมที่ลอบมองมายังบิดาของเขาสลับกับเลโอและคาไนน์มา ก่อนจะมาจบที่ผมและสายชลเป็นลำดับสุดท้าย ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ“ผม.... ผมไม่เคยรู้อะไรเลย.... ไม่รู้ว่าพวกคุณเป็น.... แถมยังหน้ามืดตามัวอยากจะไล่ล่าพวกคุณอีกด้วย.... ผม... ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ” ลุงบาซิมยกมือขึ้นไหว้ขอโทษขอโพย แม้ว่าตนเองจะมีอายุมากที่สุดในกลุ่มคนเหล่านี้ก็ตาม หากแต่บิดาของเขาโบกมือไปมาคล้ายกับไม่เก็บมาถือโทษโกรธหรือคิดมากอะไรนัก&ldq
เช้าวันถัดมา ธาราเดินลงจากชั้นบนของบ้านมาพร้อมกับคาไนน์ และเขาก็ต้องงุนงงหนัก เมื่อบรรยากาศภายในห้องรับประทานอาหารเรียกได้ว่ามีความอึดอัดปกคลุมอยู่ทั่ว ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ทุกสายตาก็หันมามองเขาเป็นทางเดียวธาราได้แต่จูงมือของคาไนน์ให้เดินตามเข้าไปด้านใน จับคนตัวเล็กให้ทรุดตัวลงนั่ง ส่วนตนเองนั้นก็ตามลงไปติดๆ ทั้งๆ ที่คิ้วยังขมวดหมุน มองภาพตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ และทันทีที่เขานั่งเรียบร้อยแล้ว เสียงของใครคนหนึ่งก็ดึงขึ้นเรียกรั้งความสนใจของเขาได้ในทันที“คุณธารา มันมี... มันมีจริงๆ ด้วยครับ” ธาราหันไปมองอย่างสนใจ ก่อนที่ใครคนนั้นจะค่อยๆ ยื่นเกล็ดปลาสีน้ำเงินอมม่วงเป็นประกายส่งให้ ธารารับมันมาไว้ในมือ ก่อนจะก้มลงพิจารณา คาไนน์เองก็ชะโงกหน้ามาดูเช่นกัน และทันทีที่เห็นก็เงยหน้าขึ้นมองเขาหน้าตาตื่นในทันที ฝ่ามือใหญ่ถูกวางไว้บนศีรษะเล็กพร้อมกับลูบไปมาเชิงปลอบประโลม“นี่มัน....”“เกล็ดปลาครับ! ไม่สิ มันเป็นเกล็ดของนางเงือก!!” เสียงของชายคนนั้นเอ่ยบอกเสียงดังด้วยท่าทีตื่นเต้นปนกับความตื่นตระหนก ธารายื่นเกล็ดปลาส่งคืนให้ก่
“ว่าแต่ จริงๆ แล้ว ธารไม่ต้องตัดขาดจากโลกมนุษย์แบบนั้นก็ได้นี่” สายชลที่นั่งเงียบไปนานเอ่ยขึ้นราวกับนึกอะไรได้“เหมือนการ์ตูนที่เจ้าหญิงเงือกมาหลงรักกับเจ้าชายชาวมนุษย์ เจ้าหญิงเงือกก็ไม่ได้ตัดขาดกับโลกเงือกซะทีเดียวสักหน่อย แต่กลับสร้างบ้านติดทะเลแทน แล้วจะอยากขึ้นบกหรือลงน้ำก็สามารถทำได้ทั้งนั้นไม่ใช่หรอ” คำพูดนั้นของสายชลเรียกรั้งให้ทุกคนหันไปมองด้วยความสนใจ ธารายกมือขึ้นลูบปลายคางตามผู้เป็นพี่ชาย ก่อนจะเอ่ยบอกสิ่งที่อยู่ในใจตอนที่เขาได้ไปเห็นวัง.... ไม่ใช่สิ ถ้ำของเหล่าเงือก“ความจริง ผมอยากให้เหล่าเงือกมีสภาพแวดล้อมการเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้เหมือนกันนะ” คำพูดนั้นทำให้เหล่านายเงือกนั่งทำหน้างงใส่ ด้วยไม่คิดว่าความเป็นอยู่ของตนนั้นไม่ดีที่ตรงไหน ดังนั้นภาพที่เห็นคือเหล่าเงือกทั้ง 4 ตนต่างเอียงศีรษะด้วยความสงสัย หากแต่หันกันไปคนละทิศละทาง“แต่แบบนั้นจะอันตรายต่อพวกเรา ถ้าเจ้าคิดว่าทำแบบนั้นแล้วมันดีจริงละก็ พวกเราคงจะขึ้นมาอยู่บนบกและหาบ้านที่ติดกับชายทะเลแบบนั้นไปนานแล้ว” ในคราวนี้เป็นเลโอที่เอ่ยแย้งขึ้นมา ซึ่งพวกเ
หลังคำบอกของสายชล พวกเขาก็ตั้งใจที่จะมุ่งตรงกลับไปยังบ้านพักหลังน้อยบนเกาะ หากแต่คาไนน์ที่ตอนนี้เปลี่ยนสถานะจากองค์รัชทายาทไปเป็นองค์ราชาแทนแล้ว ร่ำร้องที่จะตามมาด้วย โดยให้เหตุผลว่ากลัวเขาจะเดินทางกลับมาที่ถ้ำแห่งนี้ไม่ถูก แต่ในความจริงนั้น เขาคิดว่าคาไนน์คงกลัวว่าเขาจะทิ้งอีกฝ่ายไปมากกว่าและแน่นอนว่าเพราะการที่คาไนน์ต้องการจะไปกับพวกเขาด้วย แต่ไม่สามารถทิ้งเหล่าเงือกแล้วไปเพียงลำพังได้ สุดท้ายแล้วกลุ่มของพวกเขาจาก 4 คน ก็เพิ่มขึ้นอีกเป็น 10 ได้ เพราะเหล่าชายฉกรรจ์ของฝูงเงือกต้องติดตามองค์ราชาเหมือนกับว่าเป็นองครักษ์ข้างกาย ทำให้พวกขบวนของพวกเขาในตอนขาไปกับขากลับแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งมาถึงปากถ้ำซึ่งคาไนน์ใช้เป็นทางเข้าออกระหว่างบนบกและโลกใต้น้ำ เหล่าเงือกก็ยืนยันว่าจะติดตามมาด้วย ไม่ยอมให้องค์ราชาของเงือกขึ้นมาเพียงลำพังโดยเด็ดขาด ทำให้คาไนน์งอแงใช้หางตีน้ำจนแตกกระจายเป็นวงกว้างธารามองภาพนั้นด้วยความเหนื่อยใจ เหล่าเงือกชายพยายามฉุดรั้งราชาของตนไม่ให้ขึ้นมาบนโลกมนุษย์ ส่วนตัวราชาที่ว่านั้นยื้อยุดกันไปมา จะขึ้นมากับเขาท่าเดียว สุดท้ายแล้วจึงยอมพบกันครึ่งท
ธารายืนมองภาพของราชาตรงหน้านิ่งงัน ไม่แน่ใจว่าช่วงก่อนหน้านี้ราชาของเหล่าเงือกในความทรงจำของคาไนน์เป็นอย่างไร หากแต่บุคคลที่อยู่ตรงหน้าเขาในยามนี้แลดูคล้ายกับชายชราที่ใกล้ถึงฝั่งเต็มที มันดูอ้างว้างและโดดเดี่ยวเดียวดาย และดูแก่ลงไปหลายสิบปีจากคราแรกที่ได้พบหน้ากันธาราหันไปมองคาไนน์ที่คลายอ้อมกอดและหมุนกายหันมาเผชิญหน้ากับบิดาของตน เขาเห็นชัดว่าริมฝีปากของอีกฝ่ายนั้นขบเม้มเอาไว้แน่น ก่อนที่ดวงตากลมโตจะเลื่อนหันมามองเขาที่ยืนอยู่ข้างกัน ก่อนถ้อยคำบางอย่างจะดังออกจากริมฝีปากบางราวกระซิบ[แต่ข้าหลงรักกับมนุษย์....] ถ้อยคำนั้นเรียกรั้งให้องค์โพไซหันมามอง คาไนน์ขยับมาจับมือของเขาเอาไว้แน่น เป็นการบ่งบอกว่าจะไม่ยอมแยกจากกัน ตอนนี้ความคิดในหัวของธาราตีกันจนวุ่นไปหมด เขาอยากที่จะอยู่กับคาไนน์ให้นานขึ้นอีกหน่อย อยากจะอยู่ด้วยกันไปนานๆ จนกว่าจะสิ้นอายุขัย หากแต่บิดาของคาไนน์ก็รออีกฝ่ายมาเนิ่นนานแล้วเช่นกัน เลี้ยงมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ เป็นเงือกเด็กพึ่งเกิดจนเติบใหญ่ ก็มักจะหวังให้บุตรของตนเข้ามาสืบทอดต่ำแหนง นับๆ ดูแล้ว ช่วงระยะเวลาที่รอคอยนั้นเขาจะเกิดและตายไปกี่รอบแล้วก็ไม่รู้.....