ธาราปัดเรื่องของนางเงือกออกไปจากหัวสมอง จัดการสะสางงานของตนต่อไป จนกระทั่งบ่ายแก่ชายหนุ่มก็ว่างจากภาระงานทั้งหมดของวัน แผ่นหลังกว้างเอนตัวพิงไปกับพนักพิงของเก้าอี้ตัวโต สะบัดศีรษะไปมาพลางยกมือนวดต้นคอของตน แล้วจึงลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน มุ่งตรงกลับบ้านพัก จัดการอาบน้ำแต่งตัวเสียใหม่ขับไล่ความเหนื่อยล้าและเปลี่ยนจากชุดสูททางการมาเป็นเสื้อเชิ้ตเนื้อบางที่เหมาะกับชายทะเล ด้านในสวมใส่เสื้อกล้ามเอาไว้ และกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลเข้มและรองเท้าแตะเบาสบาย
สองเท้าก้าวเดินไปตามทางอย่างไม่รีบร้อนชมบรรยากาศในยามบ่ายแก่ที่แสงแดดและสายลมกำลังพอดี ชายหนุ่มก้าวเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ภูเขาสูงใหญ่ อันเป็นสถานที่ที่เขามาเยือนเมื่อเช้า ด้วยความสงสัยใคร่รู้สองขาจึงขยับก้าวเข้าไปใกล้ เดินสำรวจบริเวณโดยรอบจึงได้รู้ว่าภูเขาแห่งนี้มีถ้ำขนาดใหญ่ น้ำจากมหาสมุทรสามารถแทรกซึมผ่านเข้ามาได้ ดูจากที่มีคราบน้ำเกาะก็พอจะบอกได้ว่ามันสูงขนาดไหน
ธาราเดินสำรวจโดยรอบอีกเพียงชั่วครู่โดยไม่คิดจะเข้าไปดูด้านใน เขาไม่อยากสร้างเรื่องให้ตัวเองต้องได้รับอันตรายโดยการเดินเข้าไปในสถานที่ที่ไม่รู้จักและไม่มีคนนำทาง ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงตั้งใจจะหันหลังกลับ แต่ในตอนนั้นเองที่เสียงบางอย่างจากทางด้านใน ทำให้เขาต้องหันกลับไปมอง
จ๋อม!
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองผิวน้ำที่กระเพื่อมไหว อย่างไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก เขาจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเปิดไฟฉายส่องดู เห็นเพียงน้ำทะเลที่สาดซัดเข้ามา และต้นเสียงที่เขาได้ยินนั้นคือส่วนที่อยู่ลึกเข้าได้ด้านใน เหมือนว่าภายในนั้นจะมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ ทำให้บริเวณนั้นกลายเป็นน้ำนิ่ง ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นผลึกสีใสส่องประกายระยิบระยับล้อกับแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือของเขา เกิดเป็นภาพงดงามจับตา แต่เมื่อกวาดสายตาดูแล้วพบว่าไม่มีสิ่งใดอาศัยอยู่ ธาราตั้งใจจะหันหลังกลับเดินออกจากถ้ำอีกครั้ง
ซ่า!!!
แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นดังใจหวัง เสียงของอะไรบางอย่างที่ตกกระทบกับผิวน้ำ เรียกรั้งให้เขาหันกลับไปสนใจมองอีกหน และอย่างไม่ทันรู้ตัว จู่ๆ เขาก็ถูกบางสิ่งซึ่งเปียกชื้นจับลากลงไปใต้น้ำด้วยความรวดเร็ว!!!
ตู้มมมมมมม
“!!!” ท่ามกลางสายน้ำที่พัดผ่านทำให้ธาราไม่อาจลืมตาขึ้นมองได้ รับรู้ได้ว่าตนถูกตัวอะไรสักอย่างลากลงมาใต้น้ำ ใช้กรงเล็บปัดป่ายไปทั่วจนเจ็บแสบไปหมดทั้งตัว
กึก!
บางสิ่งบางอย่างนั้นกัดลงที่ริมฝีปากของเขาอย่างรุนแรงจนได้กลิ่นคาวเลือดภายในโพรงปาก พร้อมๆ กับหยาดโลหิตที่ไหลซึมและจางหายไปกับผิวน้ำ ธาราพยายามที่จะลืมตามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและสัตว์ร้ายที่ทำร้ายเขาจนบาดเจ็บ ท่ามกลางหยาดน้ำสีฟ้าครามที่มืดมิดและเย็นเฉียบ แต่สัตว์ร้ายตรงหน้าเขากลับเด่นชัดยิ่งกว่าสิ่งใด คล้ายกับกำลังส่องประกายอยู่ในความมืดมิดนี้ และสิ่งนั้นก็คือ เงือก......
เส้นผมหยักศกสีเงินเป็นประกายท่ามกลางความมืด ดวงตาสีฟ้าสดใสที่เรียวรีได้รูปรับกับดวงหน้า ใบหูที่กลายเป็นครีบยาว บริเวณโหนกแก้มมีไข่มุกฝั่งไว้ตลอดทั้งแนว และมีเกล็ดสีฟ้าเป็นประกายแวววาวที่ด้านล่าง ช่วงบนเป็นเหมือนกับมนุษย์ทั่วๆ ไป เพียงแต่มีเปลือกหอยและเส้นสายที่พาดไปมาบนลำตัว ทำให้เขารู้ว่าเงือกตนนี้เป็นผู้ชาย ที่ช่วงเอวด้านล่างแทนที่จะเป็นสะโพกเช่นเดียวกับมนุษย์ กลับกลายเป็นเกล็ดปลาสีฟ้าสดใสและครีบหางที่ยาวสลวยดุจปลาทองยามโบกสะบัดพัดพลิ้ว เพียงเท่านั้นก็ทำให้ธาราตกใจจนแทบสิ้นสติหลงลืมความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับตนเองไปชั่วขณะ
สิ่งที่เขาเห็นนั้นก็คือนางเงือก..... ไม่สิ.... นายเงือก.....
นายเงือกตรงหน้าเขาแสดงใบหน้าและท่าทีโกรธขึ้ง มันทั้งดุร้ายและน่ากลัว ริมฝีปากนั้นขบเม้มเอาไว้แน่นก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดัง
“เจ้ามันคนหลอกลวง!!!! เอาหัวใจของข้าคืนมาเดี๋ยวนี้!!!!” ธาราเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเสียงนั้น จนต้องสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกสติของตนเอง ชายหนุ่มชะงักไปอีกครั้ง ลองสูดลมหายใจอีกครั้งว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นคือความจริงหรือไม่ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอย่างใจ นายเงือกตรงหน้าก็พุ่งเข้าใส่พร้อมกับใช้ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยกรงเล็บดึงกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาจนขาดวิ่น
“เอาหัวใจของข้าคืนมา!!! เอาคืนมา!!!” สิ้นคำ กรงเล็บนั้นก็วาดลงบนแผ่นอกจนทำให้ธาราปวดแสบปวดร้อนและเจ็บไปหมด หยาดโลหิตไหลซึมออกมาเป็นทาง เขาก้มลงมองหน้าอกของตัวเองที่บัดนี้กลับกลายเป็นรอยแผลบาดลึก ยกฝ่ามือขึ้นกดบาดแผลเอาไว้ ร้องออกมาเพียงหนึ่งคำ
“เจ็บ......” เพียงเท่านั้นเขารู้สึกเหมือนสติใกล้จะดับวูบลง และนั่นทำให้เขาทันเห็นแววตาตื่นตระหนกของนายเงือกตนนั้นได้อย่างชัดเจน.......
ธาราตื่นขึ้นมาอีกครั้งบนเตียงกว้าง ดวงตาคมกล้าสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำกะพริบปรือปรอยพยายามปรับโฟกัสสายตาและเรียกสติของตน ความปวดแล่นจี๊ดขึ้นสู่สมองจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับเอาไว้แน่น เขาไม่รู้ว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพามา แต่เขาเชื่อว่าตนเองนั้นไม่ได้ฝันไปแน่นอน ภาพของนายเงือกตัวนั้นยังคงติดตรึงไม่อาจสลัดออกไปจากหัวได้ อีกทั้งน้ำเสียงที่อีกฝ่ายขู่คำรามร้องถามหาบางสิ่งกับเขาอย่างเอาเป็นเอาตายทำให้เขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริง
ธารายันตัวขึ้นนั่ง ตั้งใจจะลงไปดูด้านล่าง เผื่อว่าจะพบคนที่ช่วยตนเองเอาไว้ ในตอนที่กำลังจะขยับลงจากเตียงนั้นเอง ใครบางคนก็เปิดประตูเข้ามา ทำให้ธาราต้องหันหน้าไปมอง
“คุณธาราฟื้นแล้ว!!!” น้ามูนาร้องออกมาเสียงดัง พร้อมกับหมุนตัวหันหลัง วิ่งตึงตังลงไปจากชั้น 2 ของบ้านพักริมทะเล ธาราขมวดคิ้วเมื่อความรู้สึกปวดศีรษะย้อนกลับมาอีกครั้งเพราะเสียงร้องนั้น จนต้องยกมือขึ้นกุมขมับเอาไว้แน่นเพื่อบรรเทาอาการ และเพียงไม่นานนักก็มีใครบางคนเดินขึ้นมา ไม่ต้องเงยหน้าก็รู้เลยว่าคนๆ นั้นเป็นใคร
“ลุงบาซิม” ธาราเอ่ยปากทักพร้อมกับถามคำถามที่สงสัยตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างอดใจไว้ไม่อยู่
“ผมมาอยู่ที่ห้องนี้ได้ยังไงกันครับ”
“คุณธาราทานอาหารไปพลางๆ ก่อนนะครับ คุณหลับไปถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนเลยนะ” ธาราขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินดังนั้น ขณะที่สองมือก็รอรับอาหารจากน้ามูนามาถือไว้ด้วย
“เมื่อวานผมเอาอาหารเย็นมาให้ครับ แต่ว่าคุณธาราไม่อยู่ ผมเลยโทรไปหาแต่คุณไม่รับ จึงนั่งรออยู่ที่บ้านพัก แต่จนมืดแล้วคุณก็ยังไม่มา ผมเลยออกไปตามหาครับ เห็นคุณธารานอนอยู่บนโขดหินแถวๆ ถ้ำตรงปากน้ำ เลยเรียกคนมาช่วยกันพาคุณมานอนพัก แล้วตามหมอประจำเกาะมาดูอาการ เขาบอกว่าคุณไม่เป็นอะไรมากและปล่อยให้นอนพักฟื้นครับ สันนิษฐานกันว่าอาจจะไปเดินเล่นแถวโขดหินแล้วลื่นล้มหัวกระแทก แต่โชคดีที่แค่หมดสติแต่ไม่เป็นอะไรมาน่ะครับ แล้วคุณธาราไปทำอะไรอยู่แถวนั้นล่ะครับ” ลุงบาซิมเอ่ยถามพร้อมกับขมวดคิ้วหมุน ธาราเองก็นิ่งไปเช่นกัน เขาจะบอกคนตรงหน้าดีหรือไม่ว่าเขานั้นได้เจอกับนายเงือกตัวเป็นๆ ทั้งที่ยังไม่ได้ออกตามหาจริงจังเลยแม้แต่น้อย ธาราเหลือบมองชายชราเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยปากออกไป
“พอดีเมื่อเช้าวันนั้นผมออกไปวิ่งกำลังกาย คิดว่าบริเวณนั้นร่มรื่นดีน่ะครับ เลยอยากเดินเข้าไปดูใกล้ๆ สุดท้ายก็ลื่นล้มอย่างที่คุณลุงว่า” ลุงบาซิมมองมาด้วยสายตาเป็นกังวล พยักหน้ารับ
“คุณธาราพักผ่อนเถอะครับ ตอนนี้ก็บ่ายกว่าแล้ว ออกไปทำงานตอนนี้คงไม่ไหว ถ้ายังไงเดี๋ยวตอนเย็นผมเอาอาหารเย็นมาเสิร์ฟให้นะครับ” ธาราพยักหน้ารับ ในตอนนั้นเองที่อดจะก้มมองดูแผงอกของตัวเองไม่ได้
“ตอนที่คุณลุงไปช่วยผมไว้ ผมมีบาดแผลที่อกไหมครับ?” ชายหนุ่มก้มหน้า ขมวดคิ้วถามไม่ต่างจากบาซิมเท่าไหร่นัก
“ไม่มีนะครับ คุณธารามีแผลที่อกหรอครับ จะให้ผมตามหมอไหมครับ”
“อ่า ไม่เป็นไรครับ ความรู้สึกเจ็บนิดหน่อยแต่ไม่มาก คิดว่าตอนลื่นล้มอกคงกระแทกโขดหินละมั้งครับ” บาซิมพยักหน้ารับ ก่อนจะขอตัวเดินออกจากห้องไปหลังจากที่ชายหนุ่มจัดการอาหารตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว ธารายกมือขึ้นลูบรอยแผลเหล่านั้นแผ่วเบา ไร้รอยแผลใดปรากฏขึ้นกับร่างกายของเขา ราวกับว่าเรื่องราวเหล่านั้นไม่มีอยู่จริง
ธาราเอนตัวเตรียมที่จะนอนพักผ่อน แต่เพราะเรื่องของนายเงือกตัวนั้นยังคงกวนใจเขาอยู่ อีกฝ่ายทำเหมือนว่ารู้จักกับเขา เรียกร้องถามหาบางสิ่งจากเขา แต่เขาไม่รู้ว่าตัวเองรู้จักอีกฝ่ายได้อย่างไรและอะไรที่อีกฝ่ายนั้นต้องการ หากจะมีก็แต่เพียง.........
ดวงตาคมกล้าหันมองไปที่ด้านข้าง โต๊ะเล็กข้างเตียงนั้นเป็นสถานที่จัดเก็บไข่มุกล้ำค่าสีฟ้าคราม สีฟ้าที่เหมือนกับหางของเงือกตนนั้น เร็วเท่าความคิด ธาราหยิบเอาไข่มุกนั้นออกมาจากลิ้นชักพร้อมกับกระบอกไฟฉายที่ถือติดมือไปด้วย ลุกขึ้นจากเตียงทั้งชุดนอน ก้าวเดินมุ่งตรงไปที่ถ้ำใหญ่ซึ่งอยู่ที่สุดชายหาด
สองเท้าของธาราก้าวย่างไปอย่างมั่นคง เพราะความรีบร้อนเขาจึงไม่แม้แต่จะเปลี่ยนชุดให้ตนเอง ดังนั้นแล้วในยามนี้เขาจึงสวมใส่ชุดนอนผ้าซาตินสีน้ำเงินเข้ม ขัดกับสภาพแวดล้อมโดยรอบที่เป็นหาดทรายสีขาว ท้องฟ้าสีครามและเกลียวคลื่นลมทะเล
ชายหนุ่มเดินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดลงที่ปากทางเข้าของถ้ำขนาดใหญ่ ใช้ไฟฉายในมือเป็นแสงนำทางแล้วจึงก้าวเท้าเข้าไปด้านใน ภายในนั้นเงียบสงบไร้สิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ จนกระทั่งเขามาหยุดลงตรงที่แอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่คราวก่อนถูกฉุดกระชากลงไป
ธาราสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วจึงถอดรองเท้าออกที่ด้านข้าง เดินลงแอ่งน้ำนั้นทั้งชุดนอน แรกเริ่มที่ลงไปก็เหมือนว่าน้ำนั้นจะอยู่ที่บริเวณเอวของเขาเสียแล้ว บ่งบอกได้ว่าใต้น้ำนี้จะต้องลึกเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดอีกครั้งแล้วลองดำดิ่งลงไปใต้น้ำดู
ในคราแรกธารายังไม่กล้าลืมตาขึ้นมองหรือว่าสูดลมหายใจ แต่เมื่อทำใจให้สงบและค่อยๆ ลองสูดลมหายใจเข้าทีละนิด ทำให้เขามั่นใจว่าตนสามารถหายใจใต้น้ำได้จริง จึงลองลืมตาในน้ำเป็นลำดับต่อมา ไร้ความระคายเคืองใดที่เกิดขึ้นกับดวงตา มันคล้ายกับว่าเขากำลังเดินอยู่บนหาดทรายขาวท่ามกลางอากาศที่แสนบริสุทธิ์ เพียงแต่เขาอยู่ภายในน้ำที่มืดมิดแห่งนี้ ธาราไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงทำแบบนี้ได้ ซึ่งมันอาจจะเกี่ยวข้องกับนายเงือกตนนั้นที่มาทวงคืนของบางอย่างจากเขา ของที่เขามั่นใจว่ามันคือสิ่งที่อีกคนตามหาและต้องการ
ธาราคิดพลางว่ายน้ำดำดิ่งลึกมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนว่าเขาจะพ้นออกมาจากถ้ำที่ว่านั้นเสียแล้ว รอบด้านนั้นเป็นน้ำลึกใต้ทะเล เหมือนกับอุโมงค์น้ำใต้ดิน ยิ่งลงลึกมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมองเห็นความสวยงามได้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น บริเวณรอบกายตอนนี้ถูกตกแต่งไปด้วยปะการังหลากสี ปลาตัวเล็กหลากหลายชนิดแหวกว่ายกันเป็นกลุ่มก้อน และเข้ามารุมล้อมเขาอย่างสนอกสนใจ
ธาราว่ายน้ำต่อไปเรื่อยๆ คิดว่าหากตามหาจนเหนื่อยแล้วยังไม่พบกับเงือกตนนั้นเขาก็จะยอมกลับขึ้นไปด้านบนผิวน้ำ แล้วค่อยลงมาตามหาใหม่อีกหนในวันถัดไป ในตอนที่กำลังตัดสินใจว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ ที่หางตาเขาก็มองเห็นบางสิ่งที่พลิ้วไหวไปตามกระแสน้ำที่พัดหวน
สิ่งนั้นมีสีไลท์เกรย์ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด ชายหนุ่มจึงไม่รอช้าที่จะขยับเข้าไปใกล้ในทันที และที่นั่นทำให้เขาได้เห็นกับนายเงือกตนนั้นที่นั่งพิงโขดหิน ปลายหางแนบลู่ไปกับพื้นทรายจนเม็ดทรายละเอียดขึ้นมากองอยู่บนปลายหาง เมื่อเห็นว่ามีใครสักคนมาอยู่ที่ด้านข้างก็หันมามองด้วยท่าทีอ่อนล้า พร้อมเอ่ยปากเรียก
“เลโอ” ดวงตาสีฟ้าคู่งามนั้นชะงักไปชั่วครู่เมื่อพบว่าคนที่มาหยุดอยู่ด้านข้างไม่ใช่คนที่ตนเรียกหา และนั่นก็ทำให้ธาราเองชะงักไปเช่นกัน
“นายร้องไห้?” ธาราเอ่ยคำนั้นพลางก้มลงมองไข่มุกเม็ดงามที่ไหลออกจากดวงตาของนายเงือก ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีไลท์เกรย์ยกมือขึ้นปาดหยาดน้ำตาออกจากดวงตาช้าๆ มองจ้องคนตรงหน้านิ่งงัน ในดวงตานั้นมีประกายความกรุ่นโกรธปรากฏให้เห็น ธาราถอนหายใจจนเกิดเป็นฟองน้ำลอยละล่องขึ้นสู่ด้านบ่น แล้วจึงทรุดตัวลงนั่งข้างๆ กัน เอนหลังพิงกับโขดหิน
“นายตามหาสิ่งนี้ใช่ไหม?” ถามพร้อมกับยื่นกล่องไม้ที่มีไข่มุกถูกกักเก็บอยู่ด้านใน เงือกหนุ่มตาวาวหมายจะเอื้อมคว้ามาไว้ในครอบครอง แต่เมื่อธาราชักมือกลับ เสียงตวาดกร้าวก็ดังออกมาทันที
“เอาหัวใจของข้าคืนมา!!!”
“ผมจะคืนก็ต่อเมื่อนายให้คำตอบที่น่าพอใจ” ใบหน้าของเงือกหนุ่มพลันขึ้นเกล็ดเป็นประกายสีฟ้าตามดวงหน้า บ่งบอกถึงความกรุ่นโกรธที่ปรากฏขึ้นได้เป็นอย่างดี หากแต่ธาราไม่สนใจ อย่างน้อยเขาก็แค่บาดเจ็บกลับไป อย่างมากเขาก็แค่ตายจากโลกนี้ไปเพียงเท่านั้นเอง ชายหนุ่มเหลือบมองคนข้างกายที่จ้องนิ่งมายังตนคล้ายกับอยากฉีกกระชากเนื้อเขาเป็นชิ้นๆ หากแต่เขาก็ไม่สนใจ แต่กลับถามคำถามออกไปแทน
“ทำไมเจ้าสิ่งนี้ถึงเรียกว่าหัวใจของคุณ?”
“เจ้า!!!!!” อย่างไม่ทันตั้งตัวเงือกหนุ่มก็พุ่งเข้าใส่เขาเต็มแรง จนตัวเซถลาล้มลงและมีเงือกหนุ่มตามมาคร่อมทับ ลำตัวที่มีขนาดพอๆ กันนั้น กดเขาไว้จนนอนราบไปกับผืนทรายจนมันฟุ้งขึ้นและทำให้มองเห็นภาพตรงหน้าได้ไม่ชัดเจนและพร่าเลือน จนเมื่อกระทั่งสายน้ำพาดพาเศษทรายเหล่านั้นไป เขาจึงเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายในยามนี้มันเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ ความน้อยใจและผิดหวังปะปนกันไป ก่อนจะตะคอกออกมาสุดเสียงอย่างไม่อาจข่มกลั้นอารมณ์
“เจ้าจะบอกว่าหัวใจของข้าไร้ค่าสำหรับเจ้างั้นหรือ!!!! เจ้าจะบอกว่าหัวใจของข้าไม่มีค่าพอให้เจ้าจดจำเช่นนั้นใช่หรือไม่!!” สุ้มเสียงตวาดก้องพาให้กระแสน้ำพัดหวนอย่างรุนแรงจนราวกับคล้ายเกิดคลื่นใหญ่ใต้น้ำ เขาไม่รู้ว่าเพราะพลังอำนาจของเงือกตนนี้หรือไม่ที่สรรค์สร้างสิ่งเหล่านี้ แต่เขาต้องรีบเอ่ยปากออกไป ก่อนที่เขาจะไม่มีโอกาสได้อธิบายเพราะถูกอีกฝ่ายควักหัวใจออกไปจากอก
“ผมจำไม่ได้!!!! ผมไม่รู้ว่าคุณคือใครและทำไมหัวใจของคุณถึงมาอยู่กับผม!!” เงือกหนุ่มตรงหน้าชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด กระแสน้ำที่พัดโหมกระหน่ำเมื่อครู่พลันจางหายไปราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เงือกหนุ่มกะพริบตาปริบ เอ่ยด้วยความไม่แน่ใจ
“เจ้าว่าอะไรนะ......”
“ผมจำไม่ได้ว่าคุณเป็นใคร เราเคยรู้จักกันหรอ? แล้วทำไมไข่มุกหรือหัวใจของคุณถึงมาอยู่กับผม?” เงือกหนุ่มผละออกจากตัวของธารา ปลายหางนั้นโบกพัดไปมา ทรงตัวตั้งตรงอยู่ท่ามกลางสายน้ำที่เย็นฉ่ำ ธารายันตัวลุกขึ้นเช่นกัน ขยับเข้ามายืนประชันหน้ากัน ก่อนจะอธิบายสาเหตุที่ทำให้ตนต้องมาอยู่ที่นี่
“เมื่อ 7 ปีก่อน ผมประสบอุบัติเหตุพลัดตกเรือสำราญขนาดใหญ่ พ่อกับพี่ชายเป็นคนช่วยผมกลับไปรักษา เขาบอกว่าตอนที่พากลับไปผมอาละวาดและกำไข่มุกเม็ดนี้เอาไว้แน่น พวกเขาคิดว่ามันสำคัญกับผมจึงเก็บเอาไว้ให้ แต่ผมไม่รู้ว่ามันมาอยู่กับผมได้ยังไง..... บางทีคุณอาจจะตอบคำถามของผมได้” ธาราเงยหน้าขึ้นมองจ้องนิ่งงัน ดวงตาคมกล้าสีน้ำตาลเข้มมองสบกับดวงตาสีฟ้าเรียวรีอย่างแน่วแน่และคาดหวัง
“เจ้า......” ริมฝีปากของเงือกหนุ่มนั้นเอ่ยขึ้นแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่ราวกับฟ้าผ่าลงที่กลางใจของธาราจนเขาชะงักนิ่งงัน
“เจ้าเป็นคนรักของข้า......”
“เจ้าเป็นคนรักของข้า......” ธารานิ่งไปทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น แต่เพียงไม่นานอาการเหล่านั้นก็จางหายไป แม้ใจของเขานั้นจะไม่อยากเชื่อในสิ่งเหล่านี้ แต่คิดว่าคนตรงหน้าคงไม่โกหกและโกรธเขาเป็นฟืนเป็นไฟเพียงเพราะเขาเอาไข่มุกของอีกฝ่ายไปแน่หากอีกคนบอกว่าเขาเป็นคนรักจนยอมมอบหัวใจให้ ก็คงไม่แปลกเท่าไหร่นักที่อีกฝ่ายจะโกรธเขาถึงเพียงนี้ เพราะลองคิดในมุมกลับกัน หากเขาที่เป็นคนจดจำทุกอย่างได้ แต่กลับไม่สามารถออกไปตามหาคนรักได้ ทำได้เพียงเฝ้ารออยู่ที่เดิมเนิ่นนานเกือบ 10 ปี เขาเองก็คงจะโกรธแค้นอีกฝ่ายมากเช่นกัน“งั้นคุณช่วยเล่าเรื่องราวระหว่างเราให้ผมฟังได้ไหมครับ แลกกับไข่มุกเม็ดนี้” ธาราหยิบเอาไข่มุกเม็ดงามที่ตนทำตกไว้ขึ้นมาถือไว้กลางฝ่ามือ เงือกหนุ่มตรงหน้าเขามองจ้องมาทางเขาด้วยท่าทีนิ่งงัน เส้นผมสีไลท์เกรย์พลิ้วไปกับสายน้ำจนคล้ายกับว่ามันมีชีวิต เงือกหนุ่มหมุนตัวหันหลัง เอ่ยบอกด้วยเสียงเรียบนิ่งยากที่จะคาดเดา“หัวใจของข้าคงไร้ค่าสำหรับเจ้าจริง..... มิเช่นนั้นเจ้าคงมิยอมปล่อยมันไปอย่างง่ายดายเช่นนี้” เงือกหนุ่มกล่าวก่อนจะตั้งท่าเตรียมว่ายน้ำจากไป ทำให้ธาราสะดุ้งตกใจ จนรีบว่ายน้ำตามไปแล้วจับแขน
“มะ ไม่ใช่แล้วโว้ยยยยย ใครจะยอมเป็นเมียนายกันห๊ะ!!!!”ผลั๊วะ!!“โอ้ย!!!!” เสียงร้องครวญครางของเงือกหนุ่มที่โดนฝ่ามือใหญ่ตบเข้าไปเต็มๆ บ้องหูจนทำให้ใบหน้าของคาไนน์สั่นสะเทือนและสะบัดหันไปอีกทางในทันที เงือกหนุ่มลู่หูลงอย่างเหงาหงอย พวงหางยาวระย้าสะบัดส่ายไปมาสองสามทีก่อนจะหยุดนิ่งลง ธารารู้สึกราวกับว่าตัวเองเห็นคนตรงหน้าเป็นสุนัขตัวโตที่แสดงท่าทีเหงาหงอย ไม่ใช่เงือกหนุ่มที่โมโหโกรธาเขาเมื่อวานเย็นจนกระทั่งกรีดกรงเล็บฝากรอยแผลไว้ที่อกของตน คาไนน์กล่าวด้วยเสียงอุบอิบ ช้อนสายตาขึ้นมอง"แต่มันจะช่วยทำให้เจ้าจดจำเรื่องราวได้มากขึ้น" "วิธีอื่นมีเยอะแยะไป ไม่เห็นต้องใช้วิธีนี้!!" ธาราร้องออกมาเสียงดัง ในขณะที่คาไนน์นั้นส่ายศีรษะไปมา"ไม่จริง หากเจ้าจำได้จริง เจ้าคงจะจำได้ตั้งแต่เห็นหน้าข้าหรือรังรักของเราแล้ว" ธารากะพริบตาปริบ อดที่จะเห็นด้วยไม่ได้ เมื่อเขาในตอนนี้ไม่มีภาพความทรงจำของเงือกหนุ่มตรงหน้าอยู่เลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ไม่ยินยอมให้ไอ้แท่งเนื้อที่ใหญ่โตนั่น มาแทงเข้าสู่ช่องทางของเขาเช่นกันดูสิ โดนตบหัวไปขนาดนั้นมันยังผงกหัวหงึกๆ ทักทายเขาอยู่เลย!!!"อึก! นะ นายจะทำอะไร" เสียงของธาราคล
เย็น......หนาว......หายใจไม่ออก......เขาใกล้จะตายแล้ว.....ธารารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาจากนิทรา ดวงตาทรงแอลมอนด์เรียวเล็กปรือขึ้นมาช้าๆ ทัศนีย์ภาพที่ไม่คุ้นเคยทำให้คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันช้าๆ ความทรงจำสุดท้ายของเขาคือพัดตกจากเรือสำราญและตกลงมาสู่ห้วงมหาสมุทรที่เย็นเฉียบจับขั้วหัวใจ ก่อนที่จะหมดสติไปเขารับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งพุ่งเข้าหาตน และมันอ้าปากกว้างเตรียมพร้อมสำหรับการกลืนกินชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่ง รับรู้ได้ว่าลำคอแห้งผากและมีรสเค็มปร่ากระจายไปทั่วริมฝีปาก เขามองออกไปรอบตัวด้วยความไม่เข้าใจ เห็นเพียงเสียงรำไรและผนังที่เย็นเฉียบฉ่ำชื้น ในตอนนี้เขานั่งอยู่เพียงลำพังภายในถ้ำที่มืดมิด มีแสงสว่างสาดส่องอยู่ที่ปลายทางทำให้เขาต้องหรี่ตามองตอนนี้เขายังคงมึนงง สับสน ไม่รู้ว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แต่กระนั้นก็ยังยันตัวลุกขึ้นนั่งเพื่อที่จะได้ออกไปดูนอกถ้ำให้ชัดเจน ธารายันตัวลุกขึ้นยืน เดินไต่ไปตามผนังพร้อมๆ กับการห่อตัวเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายที่เปลือยเปล่ากึก!!ไม่มี.... เสื้อผ้า......ชายหนุ่มชะงักก่อนจะก้มลงมองที่ด้านล่างและลากไล้สายตาไปทั่วตัว ก่อนจะภาพร่างกายเปลือยเป
คาไนน์โคลงศีรษะไปมาอย่างไม่สนใจเท่าไหร่นักให้กับคำพูดของเลโอ ก่อนจะจับดึงคนที่กำลังหลับใหลมาไว้ในอ้อมแขน มองดูแล้วว่าตรงนี้คงไม่เหมาะให้อีกฝ่ายอยู่อาศัย เอาไว้ให้คุ้นชินกันมากกว่านี้ค่อยพาลงมาที่ใต้บาดาลและพาไปพบกับบิดาของตน เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ไม่รอช้าที่จะมองหาเกาะที่อยู่ใกล้ที่สุดและอุดมสมบูรณ์พร้อมสำหรับการอยู่อาศัย ที่สำคัญเกาะนั้นต้องร้างไร้ ปราศจากผู้คน และมีถ้ำอยู่ด้านล่างเพื่อให้เขาสามารถใช้ถ้ำเป็นทางขึ้นลงสู่ห้วงมหาสมุทรได้โดยง่ายธาราวนเวียนแหวกว่ายไปมา จนสุดท้ายแล้วคนที่นำทางให้ก็คือเลโอ เพราะอีกฝ่ายหนีออกมาเที่ยวเล่นอยู่บ่อยครั้ง ต่างจากเขาที่แทบไม่ได้ออกไปที่ใดเลย และเพราะแบบนั้นทำให้เขามาถึงเกาะแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากจุดที่อีกคนพลัดตกลงมามากนัก เขาพาคนในอ้อมแขนเอนนอนพิงลงที่โขดหินฝั่งหนึ่ง ลำตัวครึ่งล่างถูกแช่อยู่ในน้ำ“ข้าจะไปหาอาหารมาให้” คาไนน์พยักหน้ารับ ขณะที่ยันตัวขึ้นไปอยู่บนบกบริเวณที่เย็นและชื้นเพื่อคอยดูแลและอุ้มอีกคนขึ้นจากน้ำ ครีบยาวระย้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นขาแข็งแกร่ง ในคราแรกเขานั้นเดินล้มกลิ้งคว่ำคะมำไม่เป็นท่า แต่ก็ยังกัดฟันพยายามก้าวเดินไม่หยุด จนสามารถเดินเ
Thara Partธารายินยอมกล้ำกลืนสาหร่ายสีเขียวออกคล้ำเข้าปากอย่างจำใจ มันไม่ได้อร่อยเหมือนสาหร่ายทอดที่เขาเคยกินทั่วไป แต่มันเหมือนสาหร่ายที่อยู่ในซุปมิซโซะอาหารญี่ปุ่นแบบที่เขาเคยกินในบางครั้ง แต่ยังคงมีความเค็มปะแล่มของน้ำทะเลที่ช่วยให้สาหร่ายเส้นนี้มีรสชาติที่เค็มจัด แต่คนป่าตรงหน้านั้นกลับเคี้ยวกินเข้าปากโดยไม่แสดงอาการใดออกมา ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงจะเคยชินกับอาหารแบบนี้ และเขาคงเลือกมากไม่ได้ เพราะอาการปวดท้องในตอนนี้เรียกร้องให้เขาหาบางสิ่งเข้ามาเติมเต็มในกระเพาะ ทำให้ต้องจำใจกล้ำกลืนสาหร่ายรสเค็มปี๋เข้าปากอย่างช่วยไม่ได้ ในตอนนั้นเองที่เขาได้มีโอกาสมองออกไปรอบๆ ถ้ำกว้างใหญ่จนไปสะดุดตาเข้ากับบางสิ่งที่มีสีสันคุ้นตา“นั่นมัน.....” เสียงหวานเอ่ยออกมาแผ่วเบา เขาไม่ได้สนใจคนข้างกายที่หันมามองด้วยดวงตาใสแป๋ว แต่กลับก้าวเดินเข้าไปใกล้ที่จุดนั้นอย่างรวดเร็ว เขาทรุดตัวนั่งลงพร้อมกับจ้องมองตาวาว หันไปเอื้อมคว้ามาถือไว้ในมือ ก่อนจะหันไปถามคนที่นั่งมองตาแป๋วอยู่ที่เดิมไม่ละสายตา“ผมกินอันนี้แทนได้ไหม”“......”“..... งั้น.... ผมกินนะ...” เมื่อเขาไม่ได้รับการตอบกลับจากอีกฝ่าย ริมฝีปากบางก็เม้
ธารามองคนที่ขยับไปนั่งคุดคู้อยู่มุมถ้ำด้วยความเหนื่อยใจ เพราะอีกฝ่ายนั้นดันพูดขึ้นมาว่าจะขอทำซ้ำอีกรอบ ในคราวนี้เลยได้ฝ่ามือเขาฟาดเข้าที่หน้าเต็มๆ จนเกิดเป็นริ้วแดงบนแก้วขาวนวล และด้วยเพราะฝ่ายมือนี่แหละ ทำให้ไอ้เงือกบ้านั้นชะงัก และทำหน้าเศร้า น้ำตาหยดแหมะเป็นไข่มุกร่วงหล่นลงมา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงนั่งกอดอก มองจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ทำให้เจ้าเงือกชายแสนสวนค่อยๆ ว่ายน้ำ พาร่างตนเองไปทิ้งตัวลงกับพื้นถ้ำที่มุมหนึ่ง ตบหางปลาไปมาสลับกับการสะอื้นไห้ ตัดพ้อต่อว่าเขาด้วยความน้อยอกน้อยใจ“ฮึก ข้าได้ทิ่มไปคราเดียวเอง ฮึก เมื่อก่อนยังเยอะกว่านี้มากนัก ฮือ” พูดพร้อมสะอื้นไห้ ต่างจากคนฟังที่เส้นเลือดบนขมับเต้นตุ้บ นึกอยากจะเข้าไปดึงทึ้งเส้นผมมาตบๆ ให้หายบ้า แต่พอหันไปมองก็รู้สึกว่าตนเองเป็นคนหยาบช้า ที่ทำร้ายคนงามได้ลงคอ!“ผมจะกลับล่ะ” ธาราถอนหายใจเฮือก ก่อนจะผุดตัวลุกขึ้นยืนจากแท่นหิน สาหร่ายที่ปูไว้รองนอนตอนนี้ขาดกระจุยตามแรงดึงรั้งทั้งจากของเขาและของเจ้าเงือก แถมยังพักแข้งพันขาจนเขากระชากจนขาดกระจุย แล้วจึงเดินออกไปนอกถ้ำ หากแต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวเท้าออกไปดั่งใจอยาก อีกฝ่ายก็ถลาเข้ามากอดเขาเอาไว้แ
หลังจากที่คาไนน์เอ่ยปากตกลง ยินยอมที่จะตามมาอยู่ด้วยกันบนบก คาไนน์ก็พาธาราว่ายน้ำมุ่งตรงมาที่ด้านบนผิวน้ำบริเวณเดียวกันกับแอ่งน้ำใต้ถ้ำที่เดียวกันกับตอนที่ถูกพาลงมา ธาราใช้สองมือเกาะโขดหินเอาไว้แน่น แล้วพาตนเองขึ้นจากน้ำได้ในที่สุด แต่เมื่อหันมองที่ข้างแล้วกลับว่างเปล่า ไม่มีเงือกบ้าที่ว่ายน้ำตามกันมาแต่อย่างใดดังนั้นธาราจึงหันไปมองคนที่พาเขามาถึงฝั่ง เห็นคนตัวเล็กนั้นพยายามเกาะโขดหินแล้วยันตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล เหตุเพราะอีกฝ่ายไม่มีขาที่ใช้ยันหินหรือพยุงตัว แต่กลับมีครีบหางที่ปัดไปปัดมา คล้ายปลาที่ดิ้นแด่วๆ อยู่บนบก เมื่อธาราเห็นเช่นนั้นจึงสอดมือเข้าที่ช่วงรักแร้ของอีกคน พร้อมๆ กับยกตัวขึ้นให้พ้นน้ำ ก่อนจะวางลงที่โขดหิน ภาพที่เห็นตรงหน้า คือภาพที่ครีบหางค่อยๆ หลุดออกและสลายไป ก่อนจะกลับกลายเป็นขาขาวเรียวสวยปรากฏอยู่ตรงหน้าแทนธารากวาดสายตาสำรวจคนตรงหน้าอีกครั้งชัดๆ หากไม่เห็นว่าที่แผ่นอกนั้นเล็กบางและแบนราบ บวกกับอะไรบางอย่างที่หดตัวนุ่มนิ่มอยู่ที่กลางลำตัว เขาก็คงจะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงสาวไปแล้วแน่ๆ ใบหน้าที่งดงามจิ้มลิ้ม ดวงตาที่เป็นใบประกาย เส้นผมแผ่สยายยาวระไปกับผืนทราย ยังขับเน
“แล้วเลโอนี่ใคร? ทำไมเขาสอนอะไรคุณเยอะจัง?” ธาราถามด้วยความสงสัย ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินอีกฝ่ายพูดชื่อเลโอมาหลายครั้งแล้ว‘เลโอเป็นเพื่อนสนิทของข้า เขาชอบที่จะขึ้นบกมาเที่ยวเล่นบ่อยๆ แต่พอข้าขอบ้าง เขาก็บอกว่าเผ่ามนุษย์นั้นน่ากลัว เขาไม่อยากพาข้าไปเสี่ยง เลยไม่ยอมพาไปด้วยสักที’ คาไนน์ร้องบอก พร้อมกับตีหางแปะๆ ด้วยความแง่งอน“แล้วคุณไปรู้จักคำพวกนี้ได้ยังไง รู้หรอว่าหม้อต้มเป็นแบบไหน สุกเป็นยังไง ร้อนเป็นยังไง” ธารายังคงถามต่อเขาคิดว่าอีกฝ่ายคงอยู่แต่ในน้ำที่เย็นจัด จนไม่รู้จักความร้อน หม้อต้ม หรือว่าไฟ จึงเป็นเรื่องแปลกที่เขาได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าตนเองกำลังจะสุกทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นเองกับตา ธาราคิดพลางเปิดน้ำฝักบัว รินรดบนศีรษะให้ชุ่มน้ำ ก่อนจะบีบยาสระผมออกมาจัดการให้คนตัวเล็กกว่าที่ยังคงนั่งไม่รู้เรื่องรู้ราว‘รู้สิ เลโอเคยทำให้ดู เขาบอกว่าพวกมนุษย์จะชอบจับปลาไปต้มยำทำแกง แล้วก็ตั้งหม้อไฟ ต้มน้ำ แถมยังให้ข้าลองเอานิ้วจุ่มดูด้วย ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร รู้เพียงข้าเจ็บและไม่สบายตัวเอาเสียเลย สุดท้ายเลโอก็บอกว่าความรู้ส
Kanine Partคาไนน์ยกปลายนิ้วไล้เกลี่ยผิวแก้มของผู้เป็นภรรยาอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มกว้างที่มีให้กัน กับคนเพียงผู้เดียว ก่อนที่จะค่อยๆ กดแทรกกายของตนให้เข้าลึกที่สุดของช่องทางสีหวานฉ่ำ ลำกายนั้นขยับขยายขนาดเพิ่มเติมเต็มช่องวางภายในนั้นจนติดล็อกแน่นอยู่ภายใน ปิดกั้นหยาดน้ำสีขาวขุ่นไม่ให้ไหลออกจากร่างกายโปร่งบางที่ยังคงหลับใหลไม่รับรู้เรื่องราว ท่วงทำนองเสียงหวานเอ่ยดังผะแผ่วราวกับจะช่วยขับกล่อมให้นอนหลับฝันดี“ฝันดีนะ ภรรยาที่รักของข้า......” พูดแล้วก็เอนตัวซุกซบลงบนอกของคนที่อยู่ใต้ร่าง ศีรษะเล็กทุยนั้นขยับไปมาร้าวกับลูกแมวออดอ้อนเจ้าของ ธาราที่ยังคงติดอยู่ในห้องฝันขมวดคิ้วให้กบสัมผัสวาบหวามที่สอดแทรกเข้าลึกในกาย จนเมื่อสิ่งนั้นสงบนิ่ง เจ้าตัวก็ผ่อนลมหายใจแล้วจมลงสู่ห้องนิทราอีกหนคาไนน์ยังคงฮัมเพลงในลำคอด้วยความอารมณ์ดี ปลายนิ้วเขี่ยไล้ลูบวนที่ยอดอกสีเข้มของอีกฝ่ายอย่างสบายอกสบายใจ ความรู้สึกล้ำลึกปะปนไปกับความโหยหาที่ถวิลถึงเนื่องจากตอนนี้ทั้งธาราและคาไนน์พากันอพยพย้ายขึ้นมาอยู่อาศัยบนบก คาไนน์เองก็ยังคงมีความคิดถึงบ้านบ้างเป็นบางค
ความรู้สึกร้อนรุ่มแผ่กระจายไปทั่วทั้งตัว ทำให้ธาราถึงกับขมวดคิ้วด้วยความรำคาญเล็กน้อย และนั่นทำให้ใครบางคนที่ปีนป่ายขยับมานั่งคร่อมทาบทับกันถึงกับหยุดชะงัก ดวงตากลมโตสดใสแวววาวเหลือบตาขึ้นมองด้วยความระมัดระวัง หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ลมหายใจที่สม่ำเสมอคงที่ก็ถูกปล่อยออกมา ทำให้คนที่ยังคงตื่นอยู่ลอบถอนหายใจแล้วปฏิบัติการขั้นถัดไปในทันที.....ธาราลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับความมืดมิดรอบด้าน ได้ยินเสียงคลื่นน้ำกระทบหาดทรายดังขึ้นอย่างชัดเจนสะท้อนก้องอยู่ในหู เขากวาดสายตามองออกไปรอบตัว กลับพบว่าตนเองตื่นขึ้นจากผืนทราย มิได้นอนอยู่บนเตียงและกกกอดใครอีกคนไว้ในอ้อมแขนแต่อย่างใด จนกระทั่งเขาปรับสายตาได้ จึงเห็นว่าสถานที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้คือถ้ำแห่งหนึ่ง......“ออกเสียงตามผมนะ กอไก่” สายตาของเขาหันไปยังทิศทางที่มาของเสียนั้น ก่อนจะพบกับภาพของเด็กชายคนหนึ่งที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น รูปร่างยังคงคล้ายกับเด็กมัธยมต้น แทนที่จะเป็นช่วงมหาลัยตามอายุ และใช่ คนๆ นั้น คือเขาเอง....“กอ...” เสียงของใครบางคนพยายามจะเลียนแบบสิ่งที่เขาพึ่งเอ่ยคำเมื่อครู่ ท
ตอนนี้ทั้งเขาและลุงบาซิมกำลังนั่งประจันหน้ากันในห้องทำงานส่วนตัวที่ศูนย์วิจัยในช่วงเย็นค่ำของวัน หลังจากที่เขาตัดสินใจที่จะทำห้องวิจัยและนำเอามาปรึกษาพูดคุยกับอีกฝ่าย เขากลับได้รับคำตอบที่น่าตกใจยิ่งกว่า....“ครับ ที่ใต้อควาเรียมนั้นมีศูนย์วิจัยอยู่ก่อนแล้ว” ลุงบาซิมยืนยันหลังจากที่เขาเอ่ยถามซ้ำไปอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหูตนเอง ก่อนที่ลุงบาซิมจะเล่าถึงความเป็นมาของห้องวิจัยนั้นด้วยตนเอง“คือตอนที่คุณท่านตัดสินใจซื้อเกาะนี้แล้วเพาะเลี้ยงหอยมุกขาย ท่านก็มีการสั่งให้ทำห้องวิจัยเอาไว้ใต้ศูนย์นิทรรศการอยู่ก่อนแล้วน่ะครับ และแน่นอนว่า....... ใช้เพื่อวิเคราะห์และสำรวจหาเหล่าเงือกเหมือนกัน” เพียงเท่านั้นหัวใจของธาราก็เย็นเหยียบขึ้นมาในทันที เขาเงยหน้ามองคนพูดนิ่งๆ อีกฝ่ายที่เห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยเล่าเรื่องราวต่อโดยไม่ต้องเอ่ยปากแต่อย่างใด“ตอนนั้นท่านบอกว่า ตอนที่พบคุณธาราแล้วพาตัวกลับไปรับการรักษาที่กรุงเทพ คุณธาราพยายามดิ้นรนเป็นอย่างมาก พยายามที่จะกลับมาที่เกาะนี้ ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องราวอะไรมา คุณท่านบอกเพียงแค่ว่าคุณธารายืนกรานว่าเงือกมีอยู่จ
ในที่สุดหลังจากที่ธาราขลุกอยู่กับคาไนน์ เพื่อให้อีกฝ่ายได้ฝึกพูด ฝึกเดิน และหัดการใช้ชีวิตแบบมนุษย์ปกติทั่วไป ตอนนี้วันเวลาผ่านเลยไปหลายสัปดาห์แล้ว และธาราไม่อาจเกเรไม่ยอมทำงานทำการมากไปกว่านี้ได้ นั่นด้วยเพราะผู้เป็นบิดาและพี่ชาย มักจะโทรมาถามข่าวคราวอยู่เสมอซึ่งธาราได้แต่อึกอักในลำคอ เอ่ยตอบไม่เต็มเสียง จะให้เขาบอกครอบครัวได้อย่างไร ว่าหลังจากที่ลงมาดูงานยังไม่ถึงอาทิตย์ ก็เก็บเอาเงือกตนหนึ่งมาเลี้ยงดูเสียแล้ว ดังนั้นแล้วธาราจึงต้องจำใจปล่อยคาไนน์ไว้ที่บ้านพักเพียงลำพัง ส่วนตนเองนั้นก็เข้ามาทำงานตรวจเอกสารอยู่ที่ศูนย์วิจัย บางครั้งก็หอบงานกลับไปทำที่บ้านพักด้วยแม้ว่าบิดาและพี่ชายจะเร่งตามยิ้กๆ ให้เขากลับไปช่วยงานในกรุงเทพ หากแต่เขาก็ยังคงยืนกรานที่จะอยู่ต่อ ไม่ยินยอมเดินทางกลับแต่อย่างใด แถมยังบอกทิ้งท้ายเอาไว้ว่าเขาอาจจะย้ายมาอยู่ประจำการที่นี่เป็นการถาวร และหากมีเรื่องด่วนอะไรหรือจำเป็นจริงๆ ค่อยขึ้นเครื่องกลับไปจัดการ หลังจากจบคำบอกกล่าว คนทางบ้านก็พากันร้องโวยวาย หากแต่เจ้าตัวไม่คิดจะอยู่ฟัง กลับกดตัดสายทิ้งไปในทันที แล้วโยนโทรศัพท์ส่งๆ ไว้บนโต๊ะทำงานดว
คาไนน์กำลังรู้สึกว่าตนเองถูกทรมาน.....นั่นก็เพราะว่าธาราบังคับขู่เข็ญให้เขาพยายามพูดออกเสียงให้ได้น่ะสิ!!!“ลองใหม่ครับ” ธาราในตอนนี้นั่งอยู่ข้างกัน มีปากกาอยู่ในมือและใช้มันชี้ไปที่แบบเรียนตัวอักษรอย่างใจเย็น“ตะ”“ตอเต่า”“ตะ” แรกเริ่มเดิมที ในคราแรกที่ธาราให้คาไนน์ลองออกเสียง อีกฝ่ายทำได้เพียงแค่เปล่าเสียง อื้อๆ อ่าๆ ออกมาเท่านั้น หากแต่พอเป็นคำพูดในหัวนั้นกลับพูดได้ลื่นไหล นั่นอาจจะเพราะภาษาที่เฉพาะของอีกฝ่าย ภาษาเงือกที่คาไนน์บอกว่าเราพูดคุยได้และเข้าใจกัน เพราะเขาเป็นภรรยาเงือก แต่ในเมื่อตอนนี้ขึ้นมาอยู่บนบก คาไนน์จะต้องอ่านออก เขียนได้ พูดได้ และต้องฝึกเดินให้ได้ด้วย“ลองใหม่ครับ ตอเต่า”“ตอตา” แม้มันจะดูยากไปสักหน่อย และต้องใช้ความอดทนไม่น้อย แต่ธาราคิดว่าอยู่เสมอว่าเขากำลังเลี้ยงเด็กเล็กที่อ่อนต่อโลกคนหนึ่ง ดังนั้นแล้วเขาจะต้องใจเย็นให้มาก เพื่อให้อีกฝ่ายไม่รู้สึกกดดันจนเกินไปนัก ความคิดของเขาสะดุด เมื่อจู่ๆ คนที่นั่งอยู่ข้างกันก็ทิ้งตัวไปนอนแผ่หลาลงบนโต
ในเช้าวันถัดมา ธาราก็จับคาไนน์ให้ไปอาบน้ำแปรงฟันและจับแต่งตัวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับมีสิ่งที่พิเศษแตกต่างจากเมื่อคืนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเรื่องนั่นก็คือ....‘ภรรยา ข้าเจ็บ.....’“อดทนหน่อยสิ”‘งื้ออออออ’ เสียงร้องประท้วงแผ่วเบาดังขึ้นในลำคอของเงือกหนุ่ม ตอนนี้ทั้งคาไนน์และธารากำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เส้นผมสีเงินเป็นยวงของคาไนน์ถูกจับสางไปมาและจับแต่งทรงผม นั่นเพราะหลังจากที่อาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จ ธาราก็ตั้งใจจะพาคาไนน์ลงมาทานอาหารที่ด้านล่าง แต่เพราะผมที่ยาวจนเกินไปของคาไนน์ ทำให้ธาราเผลอเหยียบเข้าไปเต็มๆ เท้า จนคาไนน์หัวกระตุกหน้าหงายเงิบสุดท้ายธาราจึงตัดสินใจที่จะพาคาไนน์มานั่งลงที่หน้ากระจกเงา แล้วพยายามทำผมให้อีกฝ่ายเพื่อให้ผมไม่ยาวรุงรังเช่นแต่ก่อน และเพราะเขาเป็นผู้ชาย ยางมัดผมจึงไม่เคยได้ใช้งาน สุดท้ายก็ต้องลงไปขอยางมัดแกงจากห้องครัวกับน้ามูนา เพื่อเอามาทำผมให้อีกฝ่าย แต่แล้วปัญหาก็เกิดขึ้นอีก เมื่อธาราทำผมไม่เป็น แน่ล่ะ เขาจะไปเคยทำผมให้ใครได้ยังไง ในเมื่อชีวิตนี้เขาไม่เคยมีหญิงสาวข้างกาย จะไม่เคยทำผมให้
หลังจากที่ธาราจัดการคาไนน์ให้สวมใส่เสื้อผ้าจนเสร็จเรียบร้อยดี เขาก็โอบอุ้มคนตัวเล็กกว่าลงไปที่ห้องรับประทานอาหาร ดวงตาคมกล้าเหลือบมองเวลา ขณะนี้ล่วงเข้าวันใหม่ไปเล็กน้อย ทางที่ดี เขาควรจะรีบพาคนตัวเล็กไปทานอาหาร แทนที่จะกัดแทะเสื้อผ้าของเขาประทังชีวิตดังนั้นแล้วหลังจากที่พาคาไนน์มาถึง ก็จับให้อีกฝ่ายนั่งลงบนเก้าอี้ดีๆ ตรงหน้าของพวกเขามีกับข้าวพร้อมฝาครอบวางไว้อยู่ ธาราไม่รอช้าที่จะตักข้าวแล้วนำไปวางลงตรงหน้า พร้อมกับจัดเตรียมน้ำเปล่าให้คาไนน์ด้วย คนตัวเล็กได้แต่นั่งกะพริบตาปริบๆ เพราะยังใช้ขาไม่คล่อง ทำให้ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ดั่งใจอยาก จึงทำเพียงมองตามหลังภรรยาของตนไปมาเท่านั้น จวบจนกระทั่งธารามาทรุดตัวนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม พร้อมกับพยักหน้าส่งสัญญาณและเอ่ยบอกเป็นคำพูด“ทานได้ครับ” นั่นทำให้คาไนน์ดวงตาลุกวาวด้วยความหิวโหย จับคว้าจานเข้ามาใกล้ แล้วกัดเข้าไปเต็มคำกร๊วม!!!‘โอ้ย!!!’ เสียงร้องดังขึ้นภายในหัว ทำให้ธาราถึงกับต้องหรี่ตาเมื่อมันดังลั่นจนหูอื้ออึง จนเมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องเบิกตากกว้าง ทะล
“แล้วเลโอนี่ใคร? ทำไมเขาสอนอะไรคุณเยอะจัง?” ธาราถามด้วยความสงสัย ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินอีกฝ่ายพูดชื่อเลโอมาหลายครั้งแล้ว‘เลโอเป็นเพื่อนสนิทของข้า เขาชอบที่จะขึ้นบกมาเที่ยวเล่นบ่อยๆ แต่พอข้าขอบ้าง เขาก็บอกว่าเผ่ามนุษย์นั้นน่ากลัว เขาไม่อยากพาข้าไปเสี่ยง เลยไม่ยอมพาไปด้วยสักที’ คาไนน์ร้องบอก พร้อมกับตีหางแปะๆ ด้วยความแง่งอน“แล้วคุณไปรู้จักคำพวกนี้ได้ยังไง รู้หรอว่าหม้อต้มเป็นแบบไหน สุกเป็นยังไง ร้อนเป็นยังไง” ธารายังคงถามต่อเขาคิดว่าอีกฝ่ายคงอยู่แต่ในน้ำที่เย็นจัด จนไม่รู้จักความร้อน หม้อต้ม หรือว่าไฟ จึงเป็นเรื่องแปลกที่เขาได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าตนเองกำลังจะสุกทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นเองกับตา ธาราคิดพลางเปิดน้ำฝักบัว รินรดบนศีรษะให้ชุ่มน้ำ ก่อนจะบีบยาสระผมออกมาจัดการให้คนตัวเล็กกว่าที่ยังคงนั่งไม่รู้เรื่องรู้ราว‘รู้สิ เลโอเคยทำให้ดู เขาบอกว่าพวกมนุษย์จะชอบจับปลาไปต้มยำทำแกง แล้วก็ตั้งหม้อไฟ ต้มน้ำ แถมยังให้ข้าลองเอานิ้วจุ่มดูด้วย ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร รู้เพียงข้าเจ็บและไม่สบายตัวเอาเสียเลย สุดท้ายเลโอก็บอกว่าความรู้ส
หลังจากที่คาไนน์เอ่ยปากตกลง ยินยอมที่จะตามมาอยู่ด้วยกันบนบก คาไนน์ก็พาธาราว่ายน้ำมุ่งตรงมาที่ด้านบนผิวน้ำบริเวณเดียวกันกับแอ่งน้ำใต้ถ้ำที่เดียวกันกับตอนที่ถูกพาลงมา ธาราใช้สองมือเกาะโขดหินเอาไว้แน่น แล้วพาตนเองขึ้นจากน้ำได้ในที่สุด แต่เมื่อหันมองที่ข้างแล้วกลับว่างเปล่า ไม่มีเงือกบ้าที่ว่ายน้ำตามกันมาแต่อย่างใดดังนั้นธาราจึงหันไปมองคนที่พาเขามาถึงฝั่ง เห็นคนตัวเล็กนั้นพยายามเกาะโขดหินแล้วยันตัวขึ้นอย่างทุลักทุเล เหตุเพราะอีกฝ่ายไม่มีขาที่ใช้ยันหินหรือพยุงตัว แต่กลับมีครีบหางที่ปัดไปปัดมา คล้ายปลาที่ดิ้นแด่วๆ อยู่บนบก เมื่อธาราเห็นเช่นนั้นจึงสอดมือเข้าที่ช่วงรักแร้ของอีกคน พร้อมๆ กับยกตัวขึ้นให้พ้นน้ำ ก่อนจะวางลงที่โขดหิน ภาพที่เห็นตรงหน้า คือภาพที่ครีบหางค่อยๆ หลุดออกและสลายไป ก่อนจะกลับกลายเป็นขาขาวเรียวสวยปรากฏอยู่ตรงหน้าแทนธารากวาดสายตาสำรวจคนตรงหน้าอีกครั้งชัดๆ หากไม่เห็นว่าที่แผ่นอกนั้นเล็กบางและแบนราบ บวกกับอะไรบางอย่างที่หดตัวนุ่มนิ่มอยู่ที่กลางลำตัว เขาก็คงจะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงสาวไปแล้วแน่ๆ ใบหน้าที่งดงามจิ้มลิ้ม ดวงตาที่เป็นใบประกาย เส้นผมแผ่สยายยาวระไปกับผืนทราย ยังขับเน