“เจ้าเป็นคนรักของข้า......” ธารานิ่งไปทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น แต่เพียงไม่นานอาการเหล่านั้นก็จางหายไป แม้ใจของเขานั้นจะไม่อยากเชื่อในสิ่งเหล่านี้ แต่คิดว่าคนตรงหน้าคงไม่โกหกและโกรธเขาเป็นฟืนเป็นไฟเพียงเพราะเขาเอาไข่มุกของอีกฝ่ายไปแน่
หากอีกคนบอกว่าเขาเป็นคนรักจนยอมมอบหัวใจให้ ก็คงไม่แปลกเท่าไหร่นักที่อีกฝ่ายจะโกรธเขาถึงเพียงนี้ เพราะลองคิดในมุมกลับกัน หากเขาที่เป็นคนจดจำทุกอย่างได้ แต่กลับไม่สามารถออกไปตามหาคนรักได้ ทำได้เพียงเฝ้ารออยู่ที่เดิมเนิ่นนานเกือบ 10 ปี เขาเองก็คงจะโกรธแค้นอีกฝ่ายมากเช่นกัน
“งั้นคุณช่วยเล่าเรื่องราวระหว่างเราให้ผมฟังได้ไหมครับ แลกกับไข่มุกเม็ดนี้” ธาราหยิบเอาไข่มุกเม็ดงามที่ตนทำตกไว้ขึ้นมาถือไว้กลางฝ่ามือ เงือกหนุ่มตรงหน้าเขามองจ้องมาทางเขาด้วยท่าทีนิ่งงัน เส้นผมสีไลท์เกรย์พลิ้วไปกับสายน้ำจนคล้ายกับว่ามันมีชีวิต เงือกหนุ่มหมุนตัวหันหลัง เอ่ยบอกด้วยเสียงเรียบนิ่งยากที่จะคาดเดา
“หัวใจของข้าคงไร้ค่าสำหรับเจ้าจริง..... มิเช่นนั้นเจ้าคงมิยอมปล่อยมันไปอย่างง่ายดายเช่นนี้” เงือกหนุ่มกล่าวก่อนจะตั้งท่าเตรียมว่ายน้ำจากไป ทำให้ธาราสะดุ้งตกใจ จนรีบว่ายน้ำตามไปแล้วจับแขนคว้าไว้ได้ทันก่อนที่อีกฝ่าจะทิ้งห่างไปไกล เงือกหนุ่มตนนั้นชะงัก หันกลับมามองหน้ากัน
“ได้โปรดเถอะครับ ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรและทำไม ผมจำมันไม่ได้ และผมอยากที่จะรู้” ธาราเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย ผิวเนื้อเนียนนุ่มที่สัมผัสได้ภายใต้ฝ่ามือ ทำให้ชายหนุ่มอดที่จะแปลกใจไม่ได้ ว่าทำไมคนที่อยู่ใต้น้ำตลอดเวลาอย่างอีกฝ่ายนั้นถึงมีผิวที่เนียนนุ่มได้ขนาดนี้
เงือกหนุ่มเงียบเสียงไปนานจนธาราเริ่มท้อใจ เขาเกือบจะปล่อยมือออกและยอมรับความพ่ายแพ้เสียแล้ว หากอีกฝ่ายไม่เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“ตามมา” ว่าพร้อมกับสะบัดหางไปมา แหวกว่ายอยู่กลางสายน้ำ มุ่งตรงไปที่ทิศทางหนึ่ง เงือกหนุ่มว่ายไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ก็ต้องหันกลับมาหาคนที่ว่ายตามหลังมา ก่อนจะไปหยุดลงที่ด้านข้าง แล้วจึงส่งมือให้จับกุม ธารามองฝ่ามือนั้นอย่างลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อมองคนที่อยู่ตรงข้ามที่กำลังจ้องมองมาเช่นกัน เขาก็ค่อยๆ วางมือของตนลงไป
เงือกหนุ่มจับกุมกระชับฝ่ามือนั้นไว้ แล้วว่ายนำไปพลาง พร้อมกับฉุดรั้งให้เขามาอยู่เคียงข้างกัน ธาราหันกลับไปมองที่ด้านหลังก็เห็นว่าตอนนี้พวกเขาออกมาไกลจากเกาะพอสมควร จนมันแทบจะเป็นน้ำลึกเกินต้านทาน เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาสามารถหายใจในน้ำได้ จึงไม่ส่งผลต่อเขาสักเท่าไหร่
จวบจนกระทั่งทั้งคู่มาหยุดลงที่ถ้ำใต้น้ำขนาดใหญ่ ธารามองคนที่อยู่ข้างกายอย่างไม่ไว้ใจเท่าไหร่นัก หากเขาถูกอีกฝ่ายวงมาฆ่า ก็ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าหากครอบครัวจะหาศพของเขาไม่เจอ
“เหตุใดจึงมองข้าเช่นนั้นกัน?” เงือกหนุ่มกล่าว ก่อนจะสะบัดหาง ว่ายเข้าไปภายใน ทันทีที่เข้าไปทำให้ธาราได้รู้ว่ามันไม่ได้มืดมิดอย่างที่คิด กลับกัน มันกลับส่องประกายเปล่งแสงระเรื่อสีม่วงและชมพูสลับกัน อีกทั้งยังมีแสงสีเขียวและสีฟ้าอีกด้วย ทำให้ชายหนุ่มอดที่จะทอดมองด้วยความอัศจรรย์ใจไม่ได้
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำกวาดมองไปรอบๆ อย่างสนอกสนใจ เขาจึงได้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้มาจากคริสตัลหลากสี และพืชน้ำหลากชนิดที่ให้แสงสีแตกต่างกัน ทำให้ถ้ำแห่งนี้น่าอยู่เป็นอย่างมาก จนเขาไม่รู้ตัวเลยว่าถูกอีกฝ่ายดึงลากพาเข้ามาด้านใน จนกระทั่งมาหยุดลงที่ม่านสาหร่ายซึ่งมีดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ ขึ้นเต็มไปหมด จนเขาอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นแตะดอกไม้นั้นแผ่วเบา เหล่าดอกไม้จิ๋วพากับหุบหนียามแตะสัมผัส ทำให้เขาเผยรอยยิ้มออกมาบางเบา หากแต่มันก็ไม่อาจคลาดสายตาจากคนที่จับจ้องมาได้เลยแม้แต่น้อย
“ในยามนั้นเจ้าชอบที่นี่...... พวกเราอยู่ด้วยกัน.....” เงือกหนุ่มหันหน้ามาหา ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้เขาใจกระตุกไหววูบ
“เจ้าเรียกมันว่าเรือนหอ ข้านั้นไม่เข้าใจว่าเจ้าหมายความว่าอย่างไร แต่พวกเราชาวเงือกจะช่วยกันทำรังเมื่อยามที่ตกลงปลงใจ” เงือกหนุ่มว่ายเข้าไปภายใน ด้านในนั้นไม่ได้หรูหราเหมือนห้องโรงแรมสุดหรูที่เขาคิดว่ามันจะเป็น แต่มีแท่นหินที่มุมหนึ่งของถ้ำ ด้านบนนั้นมีสาหร่ายปูไว้จนทั่ว หากเมื่อไหร่ที่ได้เอนหลังเขาคงรู้สึกจั๊กจี้เหมือนยามที่นอนบนเตียงที่เต็มไปด้วยขนนกนุ่มนิ่ม นอกจากนี้แล้วเขายังเห็นอะไรบางอย่างที่วางกองไว้ด้านบนอยู่ข้างกันอีกด้วย
“นั่นเจ้าเรียกมันว่าหมอนและผ้าห่ม เจ้ามักจะบ่นว่าแท่นนอนของข้างแข็งเกินไปและหนาวเกินไปในยามค่ำคืน จึงหาสิ่งของเหล่านั้นเข้ามาเพิ่มเติม” ธาราขยับก้าวเข้าไปดูใกล้ๆ ก่อนจะพบว่ามันคือสาหร่ายที่ถักทอกันจนหนาแน่น เมื่อภายนอกจะดูเปื่อยยุ่ยไปบ้างแต่ก็ยังใช้งานได้ดี ขยับมาอีกนิดที่ถึงสิ่งที่เป็นประกายเงางามที่อีกฝ่ายบอกเขาว่ามันคือผ้าห่ม แต่เมื่อขยับเข้ามาดูใกล้ๆ ธาราก็ต้องชะงักนิ่งไปเมื่อมันคือ..... หนังปลา..... แม้ว่ามันจะดูหนากว่าหนังปลาทั่วไปก็ตาม ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆ ปนไปกับความสยดสยอง ก่อนที่จะก้าวเดินไปรอบๆ เพื่อสำรวจอีกหน
ภายในถ้ำนี้ไม่มีสิ่งของอื่นใด นอกจากปะการังรูปร่างแปลกๆ ที่มีแง่งออกมาจนขึ้นสูงพอๆ กับตัวคน และเห็นว่ามันมีสร้อยมากมายแขวนเอาไว้อยู่ เมื่อหันกลับไปมองก็เข้าใจได้ว่าคงเป็นเครื่องประดับของอีกฝ่ายเป็นแน่ ขยับมาอีกนิดก็เป็นกองของใช้กระจุ๊กกระจิ๊กซึ่งมีทั้งแบบที่เขาเคยเห็นและรู้วิธีใช้ รวมถึงอันที่ไม่เคย เงือกหนุ่มว่ายตามมาหยุดอยู่ที่ด้านข้าง เอ่ยปากอธิบาย
“ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจภาษาของพวกเจ้า เขาจึงใช้สิ่งเหล่านี้ช่วยสอนให้ข้า” ธาราขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าตนทำแบบนั้นไปทำไม หรือสอนชายตรงหน้าอย่างไร
“ผมอยู่ที่นี่จริงหรอ?” เงือกหนุ่มพยักหน้ารับ จับมือเขาว่ายไปที่ฝั่งหนึ่งซึ่งเขาเห็นว่ามันมีช่องขนาดใหญ่ แต่ไม่ถึงกับเป็นประตูเท่าไหร่นัก เมื่อลอดผ่านเข้าไปแล้วจึงเห็นว่ามีของหลายอย่างถูกแขวนเอาไว้
“นี่คือ....”
“สาหร่าย มันกินได้ นี่ก็เนื้อปลา เจ้าเรียกรูนี้ว่าห้องครัว ส่วนนั้นเจ้าเรียกว่าโต๊ะอาหาร” ครีบหูของเงือกหนุ่มขยับไหวไปมาพลางเอียงคอน้อยๆ ธาราอดคิดไม่ได้ว่ามันช่างเหมือนกับสุนัขตัวโตที่ทำหน้างุนงงมองเจ้านาย
“ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เจ้าเรียกมันเช่นนี้” ว่าจบก็พาออกจากรูที่ว่า ไปที่ด้านในสุดของถ้ำ ห่างไกลจากห้องนอนของอีกฝ่ายมาพอสมควร และอยู่ต่ำกว่า
“ที่นี่เจ้าเรียกมันว่าห้องน้ำ ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก เพราะเราอยู่ในน้ำกันอยู่แล้ว ดังนั้นทั่วทุกที่จึงเป็นห้องน้ำของเจ้า” เงือกหนุ่มกล่าวโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด ต่างจากธาราที่แสดงสีหน้ากระอักกระอ่วน
“ตอนที่ข้ากล่าวเช่นนั้น เจ้าก็ทำหน้าแบบนี้” เงือกหนุ่มชี้นิ้วมาที่ใบหน้าของเขา ยังทำให้ธาราแสดงสีหน้าปั้นยากเข้าไปใหญ่ เขาจะบอกได้อย่างไรว่าห้องน้ำที่เขาต้องใช้นั้นคือห้องสำหรับการขับถ่าย ถึงแม้ทุกที่จะเต็มไปด้วยน้ำ แต่ก็ใช้ว่าเขาจะขับถ่ายได้อย่างไร้ยางอายเสียเมื่อไหร่กัน
เพียงไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็ออกจากห้องน้ำที่ว่า แล้วกลับไปที่ห้องนอนตามเดิม เงือกหนุ่มพาธารามานั่งลงบนแท่นหินนุ่ม ก่อนจะตามมาทรุดตัวนั่งลงข้างกัน หางยาวสวยของอีกฝ่ายนั้นระไปกับพื้นเล็กน้อย
“นอกจากนี้แล้วมีอะไรอีกบ้าง? จะว่าไป ผมยังไม่รู้ชื่อคุณเลย” ธาราหันมองคนข้างกาย ซึ่งเงือกหนุ่มนั้นก็มองมาทางเขานิ่งงั้น ก่อนจะยกมือขึ้นสองข้างวางลงบนไหล่เขา แล้วจับกดลงไปอย่างรวดเร็ว
ตุ้บ!
“อึก!! ทำบ้าอะไรของคุณ!!!” ธาราร้องตวาดออกมาเสียงกร้าว เงยหน้าขึ้นมองคนที่คร่อมอยู่เหนือกาย เงือกหนุ่มนั้นใช้ฝ่ามือลูบไล้ใบหน้าของเขาแผ่วเบา
“คาไนน์ นั่นคือชื่อของข้า” น้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟัง ดังขึ้นจากคนด้านบน ธาราชะงักไปให้กับสัมผัสนั้น มันทั้งอ่อนโยนและทะนุถนอมจนเขานึกอยากจะแนบฝ่ามือลงไป ฝ่ามือของเงือกหนุ่ม หรือชื่อที่อีกคนบอกเขานั้นก็คือคาไนน์ ยกขึ้นลูบไล้ไปทั่วแผงอกของธารา ปลายนิ้วนั้นลากผ่านผิวเนื้อ ทิ้งสัมผัสวาบหวามเอาไว้ให้ และอย่างไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยถ้อยคำใด ฝ่ามือของคาไนน์ก็จับขยุ้มเสื้อผ้าของเขาแล้วกระชากออกอย่างแรง
“อึก! บอกแล้วไงว่าอย่าฉีกเสื้อผ้า!!” ธาราชะงักไปทันทีที่พูดจบ รู้สึกราวกับว่าตัวเขาเคยพูดคำนี้เมื่อนานมาแล้ว แต่นั่นไม่อาจทำให้คาไนน์หยุดมือลงได้ ยังคงพยายามดึงทึ้งเสื้อผ้าของเขาออกไปจากตัว
“ข้าจะช่วยรื้อฟื้นความทรงจำให้เจ้า” คาไนน์พูดพร้อมกับโยนเสื้อนอนของเขาทิ้งไป จนมันไปกองอยู่ที่พื้นข้างเตียง ธาราละล่ำละลักร้องบอก
“ดะ เดี๋ยว! คุณจะทำอะไร!” ชายหนุ่มพยายามจับยึดกางเกงนอนของตนเอาไว้แน่น เมื่อเป็นยางยืด จึงไม่แปลกเลยแม้แต่น้อย ที่มันจะถูกฉุดกระชากจนแทบจะหลุดจากเอวเขาอยู่รอมร่อทำให้มองเห็นหน้าท้องที่เป็นซิกแพกได้อย่างชัดเจน แถมยังมีร่องวีไลท์ของร่างกาย กลุ่มขนสีดำสนิทที่ขึ้นอยู่บริเวณที่ต่ำลงไปด้านล่าง เรียกรั้งให้คาไนน์มองภาพตรงหน้าด้วยความกระหายอยาก จนบางสิ่งบางอย่างนั้นค่อยๆ โผล่ออกมาจากช่องทางเล็กแคบที่ปิดสนิทเมื่อยามก่อนหน้า
“ไว้ใจข้า....” คาไนน์พูดพลางกับปลดปล่อยกลางกายของตนให้อีกคนประจักษ์ ธาราตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอย่างไรกับตน
“ไว้ใจบ้าอะไร!!! เห็นๆ อยู่ว่านายกำลังจะเอาไอ้นั่นมาทิ่มฉัน!!!” ธาราร้องตวาดก้องออกมาเสียงดัง หมดแล้วซึ่งความสุภาพที่เคยมี เขาพยายามยกขาขึ้นถีบอีกฝ่าให้ถอยออกไป แต่นั่นกลับเป็นการกระทำที่ผิดพลาด เพราะทันทีที่เขายกขาขึ้นเตรียมถีบ อีกฝ่ายก็ดึงกางเกงออกไปจากกายเขาได้สมใจ จนกลายเป็นว่าเขาเปิดเปลือยร่างกายต่อหน้าเงือกหนุ่มที่มองมาด้วยความตาวาว
คาไนน์เอนตัวลงบนแผ่นอกของอีกฝ่าย ถูไถศีรษะไปมาคล้ายออดอ้อน แต่ถึงอย่างนั้นธาราก็นอนตัวเกร็งแน่น เมื่อส่วนปลายหัวป้านนั้นแตะสะกิดแผ่วเบาไปมาที่ช่องทางของเขาซึ่งปิดสนิทเหมือนร้องขอให้ยอมเปิดช่องทางตอบรับ ยิ่งทำให้ธาราหนีบขาเข้าหากันแน่น ไม่ยอมให้อีกคนลอดผ่านเข้ามาได้ดั่งใจ
“ข้าจะช่วยฟื้นฟูความทรงจำให้เจ้า” เมื่อสะกิดแล้วสะกิดอีกธาราก็ไม่มีท่าทียินยอมเปิดรับให้ เงือกหนุ่มจึงยื่นมือออกไปที่ด้านข้าง สัมผัสกับฟองน้ำนุ่มนิ่มและบีบมันจนเละคามือ เกิดเป็นเมือกใสอาบไล้ไปทั่ว ก่อนที่คาไนน์จะเอ่ยพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา
“ธาราบอกว่าต้องช่วยเบิกทาง” พยักหน้าให้กับตัวเองหงึกๆ สะบัดหางสวยไปมาด้วยความอารมณ์ดี
“ยะ หยุดนะ นายคิดจะเอาไอ้นั้นมาป้ายฉันรึไง!!!” ธาราร้องตะโกนออกมาอีกหน คาไนน์กะพริบตาปริบ เอียงคอมอง
“เมื่อคราก่อนนั้น เจ้าบอกข้าว่าเจ็บ จึงต้องหาตัวช่วย พวกเราถึงไปช่วยกันเก็บฟองน้ำมาใช้” คาไนน์มองไปที่ทิศทางหนึ่งซึ่งมีฟองน้ำวางกองไว้อย่างที่ว่าจริง และในครรลองสายตาก็เห็นว่าฟองน้ำที่ถูกบีบจนคายเมือกใสเมื่อครู่เริ่มคลายตัวและกลับคืนสภาพเดิม
“ไม่ต้องกลัว ข้าจะทะนุถนอมเจ้า” ธาราได้แต่นิ่งอึ้งอ้าปากค้าง นี่เขาเข้าใจว่าที่เป็นคนรักกันนั้นคือเขาต่างหากที่เป็นคนอยู่บน เพราะเงือกหนุ่มตรงหน้ามีใบหน้าที่งดงาม รูปร่างสูงโปร่งสง่างาม เส้นผมหยักศกสีไลท์เกรย์เหล่านั้นยิ่งขับเน้นให้หลงใหล ใครจะไปคาดคิดว่าจะเป็นเขาเองที่ถูกจับกิน!!!
“ตัวของเจ้าโตขึ้นมาก..... ตรงนี้ของเจ้าเองก็ใหญ่ขึ้นไม่น้อย” คาไนน์เงยหน้าขึ้นมองคนที่นอนตาเบิกกว้างมองตนอยู่ไม่ละไปไหน มือข้างหนึ่งของคาไนน์วางลงที่แผงอกสลับกับการบีบคลึงไปมา
“เจ้ามีน้ำนมให้ลูกของเราแล้วใช่หรือไม่.....” คาไนน์ยังคงนวดเฟ้นยอดอกของเขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม จนแลดูคล้ายกับยอดอกของสตรี ธารารู้สึกว่าตัวเองอยากจะวูบแล้วเป็นลมไปเสียให้ได้ ถ้าไม่ติดว่าหากเขาหลับไปแล้วอีกฝ่ายจะฉวยโอกาสขึ้นคร่อมกระแทกเขาได้สมใจ ดังนั้นแล้วสิ่งที่ทำได้นั่นก็คือ.....
“มะ ไม่ใช่แล้วโว้ยยยยย ใครจะยอมเป็นเมียนายกันห๊ะ!!!!”
ผลั๊วะ!!
“โอ้ย!!!!”
“คิดสิ่งใดอยู่หรือ” ธาราก้มมองดูคนที่ยืนเกาะหลังของตนเป็นลูกหมีโคอาล่า ก่อนที่สองมือของเขาจะวางทาบทับกับมือเล็กที่กอดก่ายอยู่ด้านหลัง พร้อมตอบมือเล็กนั้นเบาๆ ส่งมอบความอบอุ่นให้กับคนที่ตนรัก“เรื่องของเรา.....” ธาราพูดพร้อมกับหันหลังกลับไปมองคนรัก คาไนน์ในตอนนี้ไม่แตกต่างจากเมื่อก่อนสักเท่าไหร่ เวลาไหลผ่านมาเนิ่นนานเกือบ 30 ปีแล้ว ที่พวกเขาตกลงจะอยู่อาศัยใช้ชีวิตร่วมกัน ตอนนี้บิดาและมารดาของเขาได้ลงไปใช้ชีวิตอยู่ในโลกใต้บาดาล เหล่าเงือกมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักเป็นแหล่งมากขึ้นตามโครงการที่เขาวาดหวังไว้ แต่ที่อยู่นั้นอยู่ลึกลงไปหลายพันเมตรจากระดับน้ำทะเล เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ใครค้นพบเมืองใต้น้ำได้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายกับเผ่าเงือกที่หลบหลีกอยู่ใต้น้ำมาเนิ่นนานช่วงระหว่างที่เขาใช้ชีวิตอยู่บนบก เขาเร่งรัดโครงการสร้างเมืองใต้น้ำให้เหล่าเหงือกอย่างหนักหน่วง ทำให้ระยะเวลาที่คาดการไว้ 30 ถึง 50 ปี จบลงอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาเพียง 25 ปีเท่านั้น อันเป็นผลจากเงินทุนมหาศาลและพันธสัญญาการก่อสร้าง ทำให้ทุกอย่างรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วจนคาดไม่ถึง เพราะการเร่ง
สิ่งที่พวกเขาหวังไว้เกิดขึ้นจริงในตอนเวลาเที่ยงวัน เนื่องจากพวกเขาปล่อยให้น้ามูนาและลุงบาซิมได้พูดคุยกันอย่างเต็มที่ ตอนที่พวกเขาแวะไปดูทั้งสองคนหลังทานอาหารเช้าเสร็จก็พบว่าทั้งสองได้ขยับขึ้นมานั่งที่ขอบสระแทน ปลายขาของน้ามูนายังคงเป็นครีบหางสีม่วงโดยมีลุงบาซิมนั่งอยู่ข้างๆ กัน ได้ยินเสียงของทั้งสองคนพูดคุยแว่วมาแผ่วเบา พวกเขาคาดว่าทั้งคู่คงมีเรื่องที่ต้องพูดคุยกันอีกเยอะทีเดียวเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นในช่วงบ่ายของวัน ทั้งสองก็กลับมาในบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าแดดเริ่มร้อนเกินไปและไม่ดีต่อน้ามูนาสักเท่าไหร่นัก และเพราะแบบนั้นทำให้เห็นสายตาของลุงบาซิมที่ลอบมองมายังบิดาของเขาสลับกับเลโอและคาไนน์มา ก่อนจะมาจบที่ผมและสายชลเป็นลำดับสุดท้าย ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ“ผม.... ผมไม่เคยรู้อะไรเลย.... ไม่รู้ว่าพวกคุณเป็น.... แถมยังหน้ามืดตามัวอยากจะไล่ล่าพวกคุณอีกด้วย.... ผม... ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ” ลุงบาซิมยกมือขึ้นไหว้ขอโทษขอโพย แม้ว่าตนเองจะมีอายุมากที่สุดในกลุ่มคนเหล่านี้ก็ตาม หากแต่บิดาของเขาโบกมือไปมาคล้ายกับไม่เก็บมาถือโทษโกรธหรือคิดมากอะไรนัก&ldq
เช้าวันถัดมา ธาราเดินลงจากชั้นบนของบ้านมาพร้อมกับคาไนน์ และเขาก็ต้องงุนงงหนัก เมื่อบรรยากาศภายในห้องรับประทานอาหารเรียกได้ว่ามีความอึดอัดปกคลุมอยู่ทั่ว ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ทุกสายตาก็หันมามองเขาเป็นทางเดียวธาราได้แต่จูงมือของคาไนน์ให้เดินตามเข้าไปด้านใน จับคนตัวเล็กให้ทรุดตัวลงนั่ง ส่วนตนเองนั้นก็ตามลงไปติดๆ ทั้งๆ ที่คิ้วยังขมวดหมุน มองภาพตรงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ และทันทีที่เขานั่งเรียบร้อยแล้ว เสียงของใครคนหนึ่งก็ดึงขึ้นเรียกรั้งความสนใจของเขาได้ในทันที“คุณธารา มันมี... มันมีจริงๆ ด้วยครับ” ธาราหันไปมองอย่างสนใจ ก่อนที่ใครคนนั้นจะค่อยๆ ยื่นเกล็ดปลาสีน้ำเงินอมม่วงเป็นประกายส่งให้ ธารารับมันมาไว้ในมือ ก่อนจะก้มลงพิจารณา คาไนน์เองก็ชะโงกหน้ามาดูเช่นกัน และทันทีที่เห็นก็เงยหน้าขึ้นมองเขาหน้าตาตื่นในทันที ฝ่ามือใหญ่ถูกวางไว้บนศีรษะเล็กพร้อมกับลูบไปมาเชิงปลอบประโลม“นี่มัน....”“เกล็ดปลาครับ! ไม่สิ มันเป็นเกล็ดของนางเงือก!!” เสียงของชายคนนั้นเอ่ยบอกเสียงดังด้วยท่าทีตื่นเต้นปนกับความตื่นตระหนก ธารายื่นเกล็ดปลาส่งคืนให้ก่
“ว่าแต่ จริงๆ แล้ว ธารไม่ต้องตัดขาดจากโลกมนุษย์แบบนั้นก็ได้นี่” สายชลที่นั่งเงียบไปนานเอ่ยขึ้นราวกับนึกอะไรได้“เหมือนการ์ตูนที่เจ้าหญิงเงือกมาหลงรักกับเจ้าชายชาวมนุษย์ เจ้าหญิงเงือกก็ไม่ได้ตัดขาดกับโลกเงือกซะทีเดียวสักหน่อย แต่กลับสร้างบ้านติดทะเลแทน แล้วจะอยากขึ้นบกหรือลงน้ำก็สามารถทำได้ทั้งนั้นไม่ใช่หรอ” คำพูดนั้นของสายชลเรียกรั้งให้ทุกคนหันไปมองด้วยความสนใจ ธารายกมือขึ้นลูบปลายคางตามผู้เป็นพี่ชาย ก่อนจะเอ่ยบอกสิ่งที่อยู่ในใจตอนที่เขาได้ไปเห็นวัง.... ไม่ใช่สิ ถ้ำของเหล่าเงือก“ความจริง ผมอยากให้เหล่าเงือกมีสภาพแวดล้อมการเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้เหมือนกันนะ” คำพูดนั้นทำให้เหล่านายเงือกนั่งทำหน้างงใส่ ด้วยไม่คิดว่าความเป็นอยู่ของตนนั้นไม่ดีที่ตรงไหน ดังนั้นภาพที่เห็นคือเหล่าเงือกทั้ง 4 ตนต่างเอียงศีรษะด้วยความสงสัย หากแต่หันกันไปคนละทิศละทาง“แต่แบบนั้นจะอันตรายต่อพวกเรา ถ้าเจ้าคิดว่าทำแบบนั้นแล้วมันดีจริงละก็ พวกเราคงจะขึ้นมาอยู่บนบกและหาบ้านที่ติดกับชายทะเลแบบนั้นไปนานแล้ว” ในคราวนี้เป็นเลโอที่เอ่ยแย้งขึ้นมา ซึ่งพวกเ
หลังคำบอกของสายชล พวกเขาก็ตั้งใจที่จะมุ่งตรงกลับไปยังบ้านพักหลังน้อยบนเกาะ หากแต่คาไนน์ที่ตอนนี้เปลี่ยนสถานะจากองค์รัชทายาทไปเป็นองค์ราชาแทนแล้ว ร่ำร้องที่จะตามมาด้วย โดยให้เหตุผลว่ากลัวเขาจะเดินทางกลับมาที่ถ้ำแห่งนี้ไม่ถูก แต่ในความจริงนั้น เขาคิดว่าคาไนน์คงกลัวว่าเขาจะทิ้งอีกฝ่ายไปมากกว่าและแน่นอนว่าเพราะการที่คาไนน์ต้องการจะไปกับพวกเขาด้วย แต่ไม่สามารถทิ้งเหล่าเงือกแล้วไปเพียงลำพังได้ สุดท้ายแล้วกลุ่มของพวกเขาจาก 4 คน ก็เพิ่มขึ้นอีกเป็น 10 ได้ เพราะเหล่าชายฉกรรจ์ของฝูงเงือกต้องติดตามองค์ราชาเหมือนกับว่าเป็นองครักษ์ข้างกาย ทำให้พวกขบวนของพวกเขาในตอนขาไปกับขากลับแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งมาถึงปากถ้ำซึ่งคาไนน์ใช้เป็นทางเข้าออกระหว่างบนบกและโลกใต้น้ำ เหล่าเงือกก็ยืนยันว่าจะติดตามมาด้วย ไม่ยอมให้องค์ราชาของเงือกขึ้นมาเพียงลำพังโดยเด็ดขาด ทำให้คาไนน์งอแงใช้หางตีน้ำจนแตกกระจายเป็นวงกว้างธารามองภาพนั้นด้วยความเหนื่อยใจ เหล่าเงือกชายพยายามฉุดรั้งราชาของตนไม่ให้ขึ้นมาบนโลกมนุษย์ ส่วนตัวราชาที่ว่านั้นยื้อยุดกันไปมา จะขึ้นมากับเขาท่าเดียว สุดท้ายแล้วจึงยอมพบกันครึ่งท
ธารายืนมองภาพของราชาตรงหน้านิ่งงัน ไม่แน่ใจว่าช่วงก่อนหน้านี้ราชาของเหล่าเงือกในความทรงจำของคาไนน์เป็นอย่างไร หากแต่บุคคลที่อยู่ตรงหน้าเขาในยามนี้แลดูคล้ายกับชายชราที่ใกล้ถึงฝั่งเต็มที มันดูอ้างว้างและโดดเดี่ยวเดียวดาย และดูแก่ลงไปหลายสิบปีจากคราแรกที่ได้พบหน้ากันธาราหันไปมองคาไนน์ที่คลายอ้อมกอดและหมุนกายหันมาเผชิญหน้ากับบิดาของตน เขาเห็นชัดว่าริมฝีปากของอีกฝ่ายนั้นขบเม้มเอาไว้แน่น ก่อนที่ดวงตากลมโตจะเลื่อนหันมามองเขาที่ยืนอยู่ข้างกัน ก่อนถ้อยคำบางอย่างจะดังออกจากริมฝีปากบางราวกระซิบ[แต่ข้าหลงรักกับมนุษย์....] ถ้อยคำนั้นเรียกรั้งให้องค์โพไซหันมามอง คาไนน์ขยับมาจับมือของเขาเอาไว้แน่น เป็นการบ่งบอกว่าจะไม่ยอมแยกจากกัน ตอนนี้ความคิดในหัวของธาราตีกันจนวุ่นไปหมด เขาอยากที่จะอยู่กับคาไนน์ให้นานขึ้นอีกหน่อย อยากจะอยู่ด้วยกันไปนานๆ จนกว่าจะสิ้นอายุขัย หากแต่บิดาของคาไนน์ก็รออีกฝ่ายมาเนิ่นนานแล้วเช่นกัน เลี้ยงมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ เป็นเงือกเด็กพึ่งเกิดจนเติบใหญ่ ก็มักจะหวังให้บุตรของตนเข้ามาสืบทอดต่ำแหนง นับๆ ดูแล้ว ช่วงระยะเวลาที่รอคอยนั้นเขาจะเกิดและตายไปกี่รอบแล้วก็ไม่รู้.....