LOGINตอนที่ ๒ อนุภรรยาผู้ถูกลืม
คืนวันผ่านพ้นไปดั่งกระแสน้ำไหล ทว่าเรือนหลันฮวากลับเงียบสงัด ไร้เงาของผู้ใดที่เคยมาเยือน ฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ได้แปรเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ร่วงที่แฝงด้วยความเยียบเย็น ใบไม้เริ่มโรยราเช่นเดียวกับความหวังอันริบหรี่ในใจของซูเยี่ยน ตั้งแต่ค่ำคืนอันแสนขมขื่นคืนนั้น จ้าวอู่ฉีก็ไม่ได้มาเหยียบเรือนของเขาอีกเลย ไม่มีคำกล่าวอำลา ไม่มีแม้แต่สายตาแห่งความไยดี ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันที่กัดกร่อนหัวใจของเขา ซูเยี่ยนไม่ได้แปลกใจกับชะตากรรมนี้ มันเป็นสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก รอบตัวของจ้าวอู่ฉีมีทั้งพระชายาและอนุที่งดงามดั่งหยกล้ำค่าประดับจวนมากมาย พวกนางมีความอ่อนโยนที่ชายใดต่างพึงใจ ต่างจากเขาผู้ที่จ้าวอู่ฉีเคยตราหน้าว่าแสนพยศและดื้อรั้น ตั้งแต่คืนนั้นทุกสิ่งดูเหมือนฝันไป แต่เมื่อเขาตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา ห้องทั้งห้องถูกจัดไว้เรียบร้อยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาภรณ์ผ้าไหมสีเขียวอ่อนที่เขาสวมใส่อยู่ล้วนใหม่เอี่ยม และบนเตียงเตาก็ยังคงหลงเหลือไออุ่นจาง ๆ บอกให้รู้ว่าเหตุการณ์ในค่ำคืนวสันต์ที่ผ่านมานั้นไม่ใช่เพียงฝันไป ทุกสัมผัส ทุกคำพูด และทุกบาดแผลในจิตใจ ล้วนเป็นเรื่องจริงที่ทิ้งร่องรอยไว้ไม่อาจลบเลือน ซูเยี่ยนยิ้มบาง รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยันตนเอง ถึงแม้จะไม่แปลกใจที่ตนไม่เป็นที่พึงใจ แต่ความเจ็บปวดกลับไม่ได้เบาบางลงแม้แต่น้อย หากการที่เขาพูดความรู้สึกจริงในวันนั้น เป็นเหตุให้ถูกลืม ถูกทอดทิ้ง หรือแม้แต่ถูกลงทัณฑ์ทรมาน มันก็คงจะสาสมแล้ว ร่างบางนั่งนิ่งอยู่กลางเรือนหลันฮวา ท่ามกลางใบไม้แห้งที่โปรยปราย ความเย็นของสายลมพัดผ่านผิวกายดั่งคำเตือนว่าเขายังคงมีชีวิต แม้จะเป็นชีวิตที่ไร้ซึ่งความหมายในสายตาของผู้อื่นก็ตาม เขาลุกขึ้นมากินสำรับกลางวัน แม้กระเพาะอาหารจะปฏิเสธแต่ก็ต้องกิน ซูเยี่ยนไม่เพียงมีชีวิตของตัวเองที่ต้องดูแล เพราะในครรภ์ของเขามีชีวิตใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้น ชีวิตที่เกิดจากค่ำคืนอันขมขื่น ฤดูใบไม้ผลิที่งดงามทว่าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความขมขื่นไม่ได้จางหายไป แต่กลับยิ่งลึกซึ้งขึ้นเมื่อคิดถึงความจริงที่ยังต้องเผชิญ เขาผู้นี้ไม่ใช่อนุภรรยาที่ถูกลืมเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นผู้ที่กำลังตั้งครรภ์โดยไร้การเหลียวแลจากบุรุษผู้เป็นพ่อ ความขมขื่นนี้ยิ่งตอกย้ำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น แม้ฤดูใบไม้ผลิที่งดงามจะเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ร่วงอันเงียบงันเพียงใด เขาก็จะยังคงยืนหยัดเช่นเดียวกับต้นเหมย ที่แม้ไร้ใบแต่ยังคงผลิดอกงามในฤดูหนาว ผ่านคืนวันนานเข้าคล้ายคนเป็นใบ้เข้าไปทุกขณะ เพราะซูเยี่ยนไม่ค่อยพูดกับผู้ใดเลย จนกระทั่งสารทฤดูเวียนมาถึง เขาก็ยังคงนั่งลูบหน้าท้องที่นูนเด่นอยู่ข้างบานหน้าต่างเช่นเดิม “เหตุใดพ่อเจ้าถึงได้ใจร้ายนัก” เป็นเพราะชายหนุ่มคิดเอาเองว่า ท่านอ๋องผู้นั้นมัวเมากับจางหวางเฟยจนลืมซูเยี่ยนผู้นี้ไปเสียสิ้น เรือนหลันฮวานั้นช่างเงียบเหงาจับใจ ยามค่ำคืนไม่มีโคมไฟหน้าเรือนนับตั้งแต่นั้นมา “เหตุใดจึงคิดว่าข้าใจร้ายกันเล่า คนผู้นั้นไม่ใช่เจ้ามากกว่าหรือ เจ้าตั้งครรภ์ลูกข้าไว้กลับไม่บอกสักคำ” เสียงทุ้มดังขึ้นกะทันหันจากด้านหลัง ทำเอาซูเยี่ยนสะดุ้งโหยง รีบหันกลับไปมองด้วยสายตาตื่นตระหนก “ท่านอ๋อง...” “เหตุใดจึงเรียกห่างเหินเช่นนั้น ข้าจำได้ว่าคืนนั้นเราแนบแน่นแท้ ๆ” จ้าวอู่ฉียกยิ้มมุมปาก น้ำเสียงที่เอ่ยยียวนแฝงความเย้ยหยันทำให้บรรยากาศในห้องยิ่งกดดัน ร่างสูงก้าวเข้ามาใกล้ ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลงข้าง ๆ ซูเยี่ยนที่ตัวสั่นเล็กน้อยด้วยความตึงเครียด “เป็นใบ้ไปแล้วหรือ?” ดวงตาคมกริบมองตรงมาที่คนตรงหน้า มือใหญ่เอื้อมไปจับมือที่กำชายเสื้อคลุมแน่น ราวกับพยายามสะกดกลั้นตัวเองจากบางสิ่ง “คิดถึงข้าหรือไม่ เยี่ยนเอ๋อร์ของข้า?” น้ำเสียงนั้นแผ่วลงเล็กน้อย คล้ายแฝงคำถามที่ยากจะเดาความรู้สึก ไม่มีคำตอบ ซูเยี่ยนเพียงแต่นิ่งเงียบ สายตาไม่แม้แต่จะมองไปยังจ้าวอู่ฉี “ถ้าไม่ตอบก็ไม่เป็นไร...ข้าคิดถึงเจ้า” จ้าวอู่ฉีเอ่ยต่อ ราวกับคำพูดนั้นตั้งใจจะแทรกซึมเข้ามาในความเงียบ เขายกมือของซูเยี่ยนขึ้นแนบริมฝีปาก แต่คนตรงหน้าก็ยังคงนิ่ง ราวกับไม่มีสิ่งใดทำให้เขาสั่นคลอน “เจ้าคงโกรธข้ามาก ถึงกับไม่อยากพูดด้วยเลยหรือ?” น้ำเสียงของจ้าวอู่ฉีแผ่วเบา แต่ในถ้อยคำนั้นเจือด้วยความกดดันที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ “....” ความเงียบยังคงเป็นคำตอบที่หนักแน่นที่สุดของซูเยี่ยน “เจ้าคิดจะไปจากข้าขนาดนั้นเลยหรือ?”ครานี้น้ำเสียงของจ้าวอู่ฉีเริ่มเข้มขึ้น คล้ายกับเริ่มขาดความอดทนต่อความนิ่งเฉยของอีกฝ่าย ซูเยี่ยนหันหน้าหนี มองออกไปยังนอกหน้าต่าง ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและปวดร้าว “กระหม่อมบอกไปแล้ว...กระหม่อมไม่มีวันยอมรับท่าน” คำพูดนั้นเหมือนเปลวไฟที่จุดขึ้นในอกของจ้าวอู่ฉี เขาเอียงคอเล็กน้อย สายตาคมกริบหรี่ลง “ถึงในตัวเจ้าจะมีสายเลือดของข้าอยู่นะหรือ?” ซูเยี่ยนเบือนหน้าหนีออกไปอีกครั้ง ร่างบางยังคงสงบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยแรงต่อต้านที่สัมผัสได้อย่างชัดเจน “ทำไมเจ้าถึงดื้อรั้นนัก?” น้ำเสียงนั้นหนักแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ซูเยี่ยนหันกลับมามอง ดวงตาเย็นชาแต่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง “ก็เพราะว่าเกลียดท่านอย่างไรเล่า!” “ซูเยี่ยน!” ดวงตาจ้าวอู่ฉีเปลี่ยนเป็นดุดันทันที เสียงเรียกนั้นเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว แต่คนตรงหน้ากลับไม่แสดงอาการสะทกสะท้านแม้แต่น้อย “ข้าก็อยู่นี่แล้ว ท่านอ๋อง...” ซูเยี่ยนตอบกลับด้วยเสียงเรียบ น้ำเสียงนั้นสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด แต่กลับทำให้จ้าวอู่ฉีรู้สึกเหมือนถูกยั่วโทสะ “เจ้าอยากยั่วโมโหข้าให้ถึงที่สุดเลยหรือไง?”จ้าวอู่ฉีเอ่ยด้วยเสียงกร้าว น้ำเสียงสะท้อนถึงอารมณ์ที่พยายามจะระงับ “ถ้าใช่แล้วอย่างไร...หากท่านทนไม่ไหว เช่นนั้นฆ่ากระหม่อมเสียเถอะ” ซูเยี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตากลับแข็งกร้าว ไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย จ้าวอู่ฉีนิ่งไปชั่วครู่ราวกับถูกสะกดด้วยความเยือกเย็นที่ไม่อาจเข้าใจ เขามองซูเยี่ยนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่สับสน ผสมปนเประหว่างความโกรธกับความเจ็บปวดที่เขาไม่เคยยอมรับมาก่อน “เยี่ยนเอ๋อร์!!” ฝ่ามือแกร่งกระชากข้อมือซูเยี่ยนเต็มแรง จนใบหน้างดงามถึงกับเหยเก “เจ้าอยากตายมากงั้นหรือ...แต่ข้าไม่อนุญาต เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ตาย” “ท่านอยากจะทำอะไรกับกระหม่อมก็เชิญเถิด ชีวิตกระหม่อมไม่ต่างอะไรกับตะพาบในไห” ‘น่าโมโหยิ่งนัก คนผู้นี้ไม่กลัวเกรงตนเลยสักนิด ทั้งยังท้าทายเสียจนน่าปวดหัว’ “เช่นนั้นก็อยู่ทรมานกันไปเช่นนี้จะเป็นไรไป หากเจ้าอยากตายนักก็ปลิดชีวิตตัวเองไปเสียสิเยี่ยนเอ๋อร์...แต่ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังต้องทิ้งวิญญาณไว้ที่จวนแห่งนี้อยู่ดี” ท่านอ๋องผู้นั้นออกไปจากเรือนแล้ว ฝีเท้าหนัก ๆ ที่กระแทกกระทั้นนั้นเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ ซูเยี่ยนจึงหลับตาลง เขาสูดลมหายใจเข้าออกโดยแรง ยามค่ำคืนเงียบสงัด เสียงลมพัดผ่านกิ่งเหมยแว่วเบา ดวงจันทร์ลอยเด่นท่ามกลางความมืด ราตรีนี้ที่เรือนหลันฮวาไร้เสียงใด นอกจากลมหายใจของคนที่กำลังหลับใหล แต่ทว่าประตูหน้าเรือนกลับถูกผลักออกอย่างแผ่วเบา ฝีเท้าหนักแน่นแต่เงียบงันก้าวเข้ามาในห้องอย่างระมัดระวัง จ้าวอู่ฉียืนอยู่หน้าที่นอน ร่างสูงใหญ่ทอดสายตามองคนที่กำลังหลับลึกบนเตียง ใบหน้านั้นนิ่งสงบ แววตาเย็นชาที่มักแสดงต่อโลกภายนอก บัดนี้กลับเจือด้วยความอ่อนโยนบางอย่างที่ยากจะมองเห็น เขาโน้มตัวลงตวัดผ้านวมคลุมตัวเอง ก่อนสอดกายเข้าไปแนบชิดกับร่างของซูเยี่ยน มือหนาโอบรัดร่างบางที่เคยดื้อรั้นไว้ในอ้อมแขน กลิ่นอายของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกสงบ เพียงแค่หลับตาลงก็จมเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว ก่อนรุ่งสางเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นเสียงจากคนที่กำลังเดินออกไป ร่างสูงก้าวย่างออกจากเรือนหลันฮวาไปอย่างเงียบเชียบ ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นตั้งแต่ต้น ในห้วงอดีตอันยาวไกล เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มต้นจากการผิดคำสัญญา ซูเยี่ยนในวัยสิบสี่ปีเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านแม่ทัพซูเสวียน หนึ่งในแม่ทัพผู้ทรงอำนาจแห่งจตุรทิศ ตอนนั้นแคว้นซานรุกรานทางทิศตะวันออก จ้าวอู่ฉีถูกส่งตัวไปสมทบกองทัพในฐานะแม่ทัพใหญ่แห่งทิศเหนือ การศึกกินเวลายาวนานหลายปี ด้วยกำลังพลที่ไม่เพียงพอและความยุ่งยากจากศัตรูที่มีแผนการแยบยล ทำให้สถานการณ์เต็มไปด้วยความตึงเครียด ในช่วงเวลานั้นเองที่ทำให้ทั้งสองได้พบกัน ซูเยี่ยนเดินทางไปยังค่ายทหารเพื่อช่วยบิดาดูแลทหารบาดเจ็บ เนื่องจากกำลังคนขาดแคลน คราแรกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจ้าวอู่ฉีคือใคร จนกระทั่งได้ทราบในภายหลังว่าอีกฝ่ายคือแม่ทัพ ผู้เป็นที่ไว้วางใจขององค์ฮ่องเต้ ถึงขั้นได้รับพระราชทานสาบานเป็นพี่น้อง การพบกันของพวกเขาเริ่มต้นขึ้นในวันที่จ้าวอู่ฉีได้รับบาดเจ็บหนัก เขาถูกธนูจากศัตรูยิงเข้าที่กลางหลังจนตกจากหลังม้า บาดแผลนั้นลึกและร้ายแรงยิ่ง ซูเยี่ยนถูกบิดาสั่งให้ดูแลแม่ทัพผู้นี้อย่างใกล้ชิด ตอนแรกชายหนุ่มมองจ้าวอู่ฉีเป็นเพียงบุรุษที่หยิ่งยโส เย็นชา และดื้อรั้น ไม่ยอมฟังคำเตือนใด ๆ แม้ร่างกายยังไม่ทันฟื้นตัวดีก็รีบรุดออกไปนำกองทัพ สุดท้ายกลับมาด้วยบาดแผลที่รุนแรงกว่าเดิม ครั้งหนึ่งซูเยี่ยนที่ยังเยาว์วัยทนไม่ได้ เผลอปะทะคารมกับแม่ทัพจ้าวในเรื่องการไม่ดูแลตนเอง คำพูดนั้นไม่เพียงแต่ไม่ทำให้จ้าวอู่ฉีโกรธ แต่กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการพูดจายียวน ที่ทำให้ซูเยี่ยนหลุดหัวเราะหลายครั้งแม้อยู่ในช่วงเวลาตึงเครียด จากนั้นเป็นต้นมาแม่ทัพผู้เย็นชาก็เริ่มเปลี่ยนไป เขาหยอกเย้าซูเยี่ยนด้วยคำพูดหวานหยด จนคุณชายซูที่ใจแข็งต่อทุกสิ่งเริ่มเปิดใจ เขาพยายามเก็บความรู้สึกที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น แต่ยิ่งนานวันก็ยิ่งถอนตัวไม่ขึ้น หัวใจของเขาค่อย ๆ ถูกจ้าวอู่ฉีกลืนกินทีละน้อย หากเล่าให้ผู้ใดฟังคงไม่มีใครเชื่อ ว่าจ้าวอู่ฉีแม่ทัพผู้เย็นชาดั่งน้ำแข็งในสนามรบ จะกลายเป็นชายที่รู้จักใช้วาจาอ่อนหวานเพื่อเกี้ยวใคร แต่ในช่วงเวลานั้นซูเยี่ยนกลับรู้ดีกว่าใคร และเขาเองก็ตกหลุมพรางความสัมพันธ์นี้ลึกลงไปทุกทีตอนที่ ๒๖ เคียงกันนับจากนี้ยามค่ำคืนในจวนอ๋องเงียบสงัด แต่ในใจของจ้าวอู่ฉีกลับเหมือนมีพายุโหมกระหน่ำ ร่างสูงเดินไปเดินมาหน้าห้องคลอดไม่หยุด เสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหินดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทว่าในหัวกลับวุ่นวายเสียจนแทบฟังเสียงตนเองไม่ได้ เขาเงยหน้ามองประตูที่ปิดสนิท ใจจดจ่อกับเสียงที่เล็ดลอดออกมาเป็นระยะ ๆ“ท่านอ๋องโปรดวางใจ กระหม่อมเชื่อว่าชายารองจะต้องปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ” เยียนชิงเอ่ยปลอบเจ้านายของตนขณะยืนรออยู่ไม่ห่าง จ้าวอู่ฉีเพียงพยักหน้ารับเล็กน้อย ทว่าแววตายังคงจับจ้องไปยังประตูด้วยความร้อนใจเสียงร้องเบา ๆ ของทารกดังลอดออกมาในที่สุด บรรยากาศที่เงียบงันเมื่อครู่พลันถูกทำลาย จ้าวอู่ฉีหยุดเดินในทันใด เขาขยับเข้าไปใกล้ประตูด้วยความตื่นเต้น เสียงของหมอตำแยดังแว่วออกมา“เป็นเด็กผู้หญิงเพคะ ปลอดภัยทั้งแม่และลูก”ร่างสูงถอนหายใจออกมายาว ๆ ราวกับปลดปล่อยความกังวลที่กักเก็บไว้ก่อนหน้านี้ เขาหันมองเยียนชิงที่ยกยิ้มเล็กน้อยให้“ข้าจะเข้าไป”กลิ่นสมุนไพรและกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากห้องคลอดโชยออกมา จ้าวอู่ฉีก้าวเท้าเข้าไปด้วยท่าทีสุขุม ทว่าดวงตากลับเผยความอ่อนโยนที่หาได้ยาก มองซูเยี่ยนเอนตัวพิงหมอนอย
ตอนที่ ๒๕ ลาจากในพระราชวังหลวง หลังการปราบปรามกบฏที่เมืองหลวงสำเร็จลง จ้าวอู่ฉีและหลี่ตงจวินในชุดแม่ทัพเต็มยศเดินเข้าสู่ท้องพระโรง ใบหน้าของทั้งสองยังคงแสดงถึงความเหนื่อยล้าจากการศึกที่เพิ่งสิ้นสุด“กระหม่อมจ้าวอู่ฉีและหลี่ตงจวินน้อมถวายบังคมฝ่าบาท” ทั้งสองคุกเข่าลงพร้อมกัน ขณะที่ฮ่องเต้หลี่เซียวเหอทรงประทับบนบัลลังก์ทอง ดวงเนตรคมจับจ้องไปยังสองผู้ภักดี“ลุกขึ้นเถิด” สุรเสียงทรงพลังเอ่ยสั่ง แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่น “การศึกครั้งนี้จบลงแล้วหรือไม่?”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” หลี่ตงจวินรายงานพลางก้าวออกมาก้าวหนึ่ง “หลี่ชิงเจี๋ยและผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมดถูกจับกุมแล้ว พร้อมหลักฐานที่พบระหว่างการปราบปราม”ฮ่องเต้พยักพระพักตร์เล็กน้อย ก่อนจะหันไปยังจ้าวอู่ฉี “แล้วผู้ที่เหลือเล่า?”“ฝ่าบาท กบฏที่เหลืออยู่ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น ไม่มีหลงเหลือที่จะก่อความวุ่นวายได้อีก” จ้าวอู่ฉีกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่น “กระหม่อมได้ส่งตัวจางเหม่ยอิงให้คุกหลวงเพื่อใช้เป็นพยานตามพระบัญชา และได้ส่งมอบหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครือข่ายสินบนของกบฏแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หลี่เซียวเหอทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง พระเนตรทอดมองไปยังทั
ตอนที่ ๒๔ กลับคืนในเช้าวันต่อมาหลังจากการสอบสวนที่คุกหลวง จ้าวอู่ฉีเร่งมุ่งหน้าไปยังพระราชวังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาก้าวเท้าผ่านประตูวังหลวงอันยิ่งใหญ่ ขันทีในพระราชวังนำทางเขาไปยังพระตำหนักที่เงียบสงบที่ห้องด้านใน หลี่เซียวเหอกำลังตรวจฎีกา หยวนกงกงเข้ามารายงานว่าจ้าวอู่ฉีมาขอเข้าเฝ้า เขาจึงพยักหน้าอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามา“ถวายบังคมฝ่าบาท” จ้าวอู่ฉีคุกเข่าลงเบื้องหน้าบัลลังก์ทอง เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ลุกขึ้นเถิด เจี้ยนอ๋อง” หลี่เซียวเหอเอ่ยโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากฎีกาในพระหัตถ์จ้าวอู่ฉียืนขึ้นอย่างนอบน้อม ก่อนจะรายงานถึงความคืบหน้าของการสอบสวน “กระหม่อมได้นำตัวจางเหม่ยอิงและเว่ยจงเข้าสอบสวนเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ แม้ได้ข้อมูลบางส่วน แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่กระจ่าง หากกระหม่อมขอพระบรมราชานุญาตให้เพิ่มแรงกดดันเพื่อขยายผล”หลี่เซียวเหอเงยพระพักตร์ขึ้น สายพระเนตรคมกริบจ้องตรงมาที่เขา “เจ้าคิดว่ายังมีใครอยู่เบื้องหลังอีกหรือ”“กระหม่อมเชื่อว่ามีพ่ะย่ะค่ะ หลันซิงเฉินไม่อาจทำเรื่องใหญ่เช่นนี้เพียงลำพังได้”“ดี เช่นนั้นข้าจะให้ราชองครักษ์เสื้อแพรเพิ่มกำลังสนับสนุนเจ้าสำหรับเรื่องนี้”“ข
ตอนที่ ๒๓ ลอบโจมตีทางด้านหลี่ตงจวินหลังจากมื้ออาหารค่ำเสร็จสิ้น เขาเอ่ยชวนไป๋ซือเฟิงไปเดินเล่นในลานสวนด้านหลังเรือนใหญ่ แสงจันทร์ส่องกระทบใบหน้าเรียวของไป๋ซือเฟิงที่เต็มไปด้วยความสงบนิ่ง แต่ฝีเท้าของเขากลับเชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด หลี่ตงจวินชะลอฝีเท้าตาม สายตามองหน้าท้องที่นูนใหญ่ของอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง“เดินไหวหรือไม่” หลี่ตงจวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ไหวขอรับ ข้าเพียงแค่...แปลกใจ ทำไมที่นี่ถึงได้ใหญ่โตนัก” เขาเงยหน้ามองไปรอบ ๆ ลานสวนที่ตกแต่งอย่างประณีต มีต้นไม้น้อยใหญ่เรียงรายหลี่ตงจวินหยุดเดินก่อนจะหันมามองไป๋ซือเฟิงด้วยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย “ความจริง...ข้าไม่ได้บอกเจ้าทั้งหมด ข้าขอโทษที่ต้องโกหก”“ท่านหมายความว่าอย่างไร” ไป๋ซือเฟิงชะงักเท้า สายตาจับจ้องหลี่ตงจวิน“ข้าไม่ใช่เพียงชาวบ้านธรรมดาอย่างที่เคยบอกเจ้า” หลี่ตงจวินสูดลมหายใจลึก ก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าชื่อหลี่ตงจวิน ข้าเป็นชินอ๋อง”ไป๋ซือเฟิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “เช่นนั้นเอง คิดไว้แล้วว่าท่านต้องไม่ธรรมดา กระหม่อมเสียมารยาทกับท่านแล้ว”“ไม่ต้องมากพิธี เจ้าไม่โกรธข้าก็ดีแล้ว เจ้ารู้เมื่อไรหรือ”
ตอนที่ ๒๒ แสงจันทร์รำไรกลางดึกยามฟ้ามืดสนิท จ้าวอู่ฉีลืมตาตื่นขึ้นมาในกระโจมที่เงียบสงัดมีเพียงเสียงลมพัดผ่าน เขารู้สึกอึดอัดจากความคิดมากมายที่วนเวียนอยู่ในหัว จึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นข้างนอกเพื่อสงบจิตใจหมู่ดาวส่องประกายเหนือท้องฟ้า แต่ใจของเขากลับหนักอึ้ง เสียงใบไม้เสียดสีกันในความมืดช่างเงียบงันราวกับปิดบังบางสิ่ง จ้าวอู่ฉีเดินเรื่อยเปื่อยไปยังแนวป่าริมค่าย ทว่าก้าวเท้าไปไม่กี่ก้าว เขาก็ต้องหยุดชะงักร่างในชุดเรียบง่ายของชายคนหนึ่งปรากฏอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เส้นผมยาวสยายพลิ้วไหวในสายลม เมื่อเดินไปมองใกล้ ๆ จ้าวอู่ฉีแทบจะหยุดหายใจ ดวงตาของเขาเบิกโพลง“ซูเยี่ยน...” เสียงเรียกนั้นหลุดออกมาโดยไม่ทันคิดบุรุษผู้นั้นหันมาพลางยกมือลูบหน้าท้องของตนเอง แววตาที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความตกใจ ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความระแวงทว่าจ้าวอู่ฉีไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนีไป เขาพุ่งเข้าไปหาพร้อมกับโอบกอดร่างนั้นไว้แน่น ความอบอุ่นจากอ้อมกอดทำให้เขาแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา “ซูเยี่ยน... เจ้ากลับมาแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าต้องรอด ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่จากไป...”“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” เสียงตะโกนของอีกฝ่ายดังขึ้น เขาพย
ตอนที่ ๒๑ ภรรยาข้าไป๋หลี่จวินซึ่งได้รับคำสั่งให้สืบสวนความเคลื่อนไหวในเหลียวหนิง เดินทางมาถึงท่าเรือตระกูลหม่าในยามสาย ท่ามกลางความคึกคักของพ่อค้าและคนงานที่ขนส่งสินค้า ไม่มีใครทันสังเกตว่ามีคนผู้หนึ่งเฝ้ามองด้วยสายตาเฉียบคม“ข่าวว่าตระกูลหม่าเกี่ยวข้องกับการลักลอบขนสินค้าต้องห้าม เจ้าแน่ใจหรือ” ไป๋หลี่จวินถามคนสนิท ขณะยืนมองกิจกรรมที่เกิดขึ้น“ขอรับนายท่าน ข้าได้รับรายงานจากหน่วยสืบข่าวลับ ว่า ตระกูลหม่านอกจากจะทำการค้าถูกต้อง ยังใช้ท่าเรือนี้เพื่อส่งสินค้าที่มิได้แจ้งแก่ทางการอีกด้วย”ไป๋หลี่จวินพยักหน้าเล็กน้อย “เช่นนั้น เจ้านำกำลังบางส่วนล้อมทางออกท่าเรือไว้ อย่าให้มีผู้ใดหลบหนีได้ ข้าจะเข้าไปดูด้วยตนเอง”เมื่อเดินเข้าไปยังท่าเรือ ไป๋หลี่จวินแสร้งทำทีเป็นพ่อค้าผู้หนึ่งปะปนไปกับฝูงชน ทว่าดวงตาของเขากลับมองไปยังหมู่ตึกที่ตั้งอยู่ด้านใน“นายท่าน นั่นคือที่เก็บของของตระกูลหม่าขอรับ” คนสนิทกระซิบเบา ๆไป๋หลี่จวินพยักหน้า เขาก้าวเข้าไปใกล้หมู่ตึกโดยมิได้แสดงตน ทันใดนั้น เขาก็เห็นชายสองคนกำลังลากเกวียนบรรทุกหีบไม้ขนาดใหญ่ที่ปิดผนึกแน่นหนา“หยุด!” เสียงของไป๋หลี่จวินดังขึ้น ทำให้ชายทั้งส







