LOGIN![[Mpreg] เร้นรักพันธนาการหัวใจ](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)
ตอนที่ ๑ พยศดื้อรั้น
กว่าจะก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพผู้เกรียงไกรแห่งฤแคว้นได้ จ้าวอู่ฉีต้องผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยความยากลำบากและการเสียสละนับสิบปี ในช่วงเวลานั้น เขาผ่านศึกสงครามมามากมายจนชื่อเสียงของเขาเป็นที่เลื่องลือ ไม่ว่าจะเป็นความเด็ดเดี่ยวในสนามรบ ความแม่นยำในการวางกลยุทธ์ หรือความโหดเหี้ยมที่ทำให้ข้าศึกต่างยอมสยบ เมื่อการศึกใหญ่สิ้นสุดลง ฮ่องเต้จึงทรงเรียกตัวจ้าวอู่ฉีกลับเมืองหลวง ด้วยความโปรดปรานและความไว้วางใจ ให้แม่ทัพผู้นี้ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของราชสำนัก เมืองหลวงสั่นสะท้านเมื่อข่าวการกลับมาของแม่ทัพใหญ่แพร่สะพัดไป ผู้คนในตลาดต่างพูดถึงเขาอย่างตื่นเต้นปนหวาดกลัว พวกเขาเล่าลือกันว่า จ้าวอู่ฉีเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาเต็มไปด้วยบาดแผลจากสนามรบ น่าเกลียดน่ากลัวจนต้องใส่หน้ากาก เขาไร้ความปรานี ไม่เพียงแต่โหดเหี้ยมในสงคราม แต่ยังลือกันว่าเขาเจ้าชู้ไม่เลือกเพศ สตรีหรือบุรุษใดที่แต่งเข้าเรือนของเขาล้วนมีจุดจบที่น่าอนาถ ไม่ช้าย่อมถูกทิ้งให้ตายอย่างไร้ค่า กระนั้นกลับมีข้อยกเว้นหนึ่งเดียวที่ทำให้คนทั้งหล้าต้องฉงน จางเหม่ยอิงชายาเอกในจวนอ๋อง สตรีผู้มีความงามลือเลื่องไม่แพ้สายลมในฤดูใบไม้ผลิ นางเป็นบุตรีของอัครมหาเสนาบดีผู้สูงศักดิ์ ดูเหมือนสถานะนี้จะเป็นเกราะคุ้มกันนางจากความเหี้ยมโหดของจ้าวอู่ฉี ไม่ใช่เพียงใบหน้าและรอยแผลที่เป็นที่กล่าวถึง ผู้คนยังจดจำได้ถึงแววตาเย็นชาที่ไม่เผยความรู้สึกใด ชีวิตเขามีเพียงคำสั่งและชัยชนะ ยามอยู่บนหลังม้า คือเงามืดแห่งสงครามที่กลืนกินทุกสิ่งอย่างไร้ความปรานี ทว่าในเมืองหลวง เขากลับกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจที่ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขืน จากการศึกครานั้นฮ่องเต้ทรงพอพระทัยเป็นอย่างมาก ทรงปูนบำเหน็จให้เหล่าทหารที่ร่วมรบจนอัปราชัย ไม่เว้นแม้กระทั่งแม่ทัพใหญ่อย่างจ้าวอู่ฉี ทรงมอบสมรสพระราชทานกับคุณชายซูเยี่ยนแห่งแคว้นจ้าวให้เป็นรางวัล คืนนี้หนาวเหน็บเสียจนลมหายใจแทบกลายเป็นน้ำแข็ง ท้องฟ้ามืดครึ้ม มีเพียงจันทราลอยเด่นเหนือม่านหิมะโปรย เสียงใบไม้เสียดสีกับลมหนาวดังก้องในความเงียบ ร่างหนึ่งโงนเงนอยู่บนทางเดินสะพานไม้ เสื้อคลุมสีแดงตัวหนาไม่อาจช่วยปกป้องความเย็นยะเยือก เขาก้าวเดินด้วยฝีเท้าหนักแน่น มุ่งหน้าไปยังจุดหมายเบื้องหน้าที่มีแสงสลัวจากตะเกียงของพ่อบ้าน เสียงฝีเท้าหยุดลงหน้าประตูใหญ่ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงผลักบานประตูดังสนั่น ความไม่เบามือของผู้มาเยือนส่งผลให้ซูเยี่ยนที่นั่งอยู่บนเตียงสะดุ้งเฮือก ใต้ผ้าคลุมหน้าสีแดงเผลอหลับไปไม่ทันตั้งตัว ร่างกายของเขาร้อนผ่าวไม่ใช่เพราะไฟในห้องแต่เพราะความกังวลว่าจะต้องเผชิญหน้ากับคนด้านนอก เมื่อเสียงฝีเท้าหยุดลงตรงหน้า ซูเยี่ยนพลันหลุบตาต่ำ มือกำชายเสื้อแน่นราวกับเป็นที่ยึดเหนี่ยวเพียงหนึ่งเดียว แต่แล้วเสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้น ผ้าคลุมหน้าแดงสดถูกของมีคมปลิดออกในพริบตา เนื้อผ้าขาดเป็นสองส่วน ความเงียบงันถูกแทนที่ด้วยความตกตะลึง เมื่อสายตาของซูเยี่ยนประสานเข้ากับร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ชายหนุ่มที่ได้รับการกล่าวขานว่าไร้ความปรานีในสนามรบ เจี้ยนอ๋อง1 จ้าวอู่ฉี ใบหน้าคมเข้มของเขาแสยะยิ้มบาง ไร้หน้ากากปกปิดเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาอย่างหาที่ใดเปรียบ มิได้เป็นเหมือนดังที่ชาวบ้านเล่าลือ มุมปากที่ยกขึ้นเผยความเย็นชาจนชวนให้ขนลุก ก่อนจะหันหลังเดินผ่านไปยังโต๊ะกลางห้อง จ้าวอู่ฉีรินสุราลงจอกอย่างใจเย็น ราวกับว่าการปรากฏตัวของเขาไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ใดเลยแม้แต่น้อย เขาหยิบจอกสุรากลับมานั่งตรงหน้าซูเยี่ยน ยื่นจอกให้ด้วยแววตาที่แฝงคำสั่ง “เยี่ยนเอ๋อร์” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นราวกับต้องการเรียกสติของอีกฝ่าย ทว่าซูเยี่ยนยังคงนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาคู่งามปิดสนิท เสมือนต้องการปฏิเสธการมีอยู่ของเขา จ้าวอู่ฉีเหยียดยิ้ม ความเงียบนี้ทำให้เขาเห็นเป็นความพยศที่น่าขบขัน มือหยาบกร้านเอื้อมไปจับปลายคางของซูเยี่ยน ยกให้เงยขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับตนเอง ดวงตาแข็งกร้าวของอีกฝ่ายไม่อาจปิดบังความหวาดหวั่นในใจได้ “ลืมตามองข้าสิ” น้ำเสียงนั้นหนักแน่นและเจือด้วยความเยาะหยัน ก่อนจะยื่นจอกสุรามาตรงหน้า “ดื่มเสีย” ซูเยี่ยนรับจอกสุราด้วยมืออันสั่นเทา แต่เพราะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะขัดขืน เขากระดกลงคอจนหมดในครั้งเดียว “ว่าง่ายขนาดนี้ดีนัก…” จ้าวอู่ฉีกล่าวอย่างพอใจ ก่อนจะกระดกสุราของตนเองตาม แล้วขยับไปใกล้ขึ้นอีก “กลัวหรือ...ตัวสั่นเชียว” เสียงทุ้มเอ่ยถามเบา ๆ แต่แฝงไปด้วยอำนาจ มือใหญ่เอื้อมมากุมมือที่สั่นเทาของซูเยี่ยนไว้แน่น ก่อนจะกระชากเขาเข้ามาใกล้ จนร่างของทั้งสองแทบแนบชิดกัน “ข้าบอกแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็หนีข้าไม่พ้น” “อย่ามาจับตัวข้านะ!...” ซูเยี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว แม้แววตาจะฉายความหวาดหวั่นก็ตาม “ทำไมข้าจะจับไม่ได้ ข้าจะทำมากกว่านี้อีก...” จ้าวอู่ฉีกัดกราม ก่อนจะตามมาด้วยแรงกดจากมือใหญ่ เขากดร่างของซูเยี่ยนลงกับที่นอน แล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจร้อนผ่าวของเขาสัมผัสได้ชัดเจน กลิ่นสุรากระจายฟุ้งทำให้ซูเยี่ยนเบือนหน้าหนี “น่ารังเกียจ นี่หรือเจี้ยนอ๋องผู้เลืองชื่อ เหตุใดวันนี้ทำตัวต่ำทรามยิ่งนัก” ซูเยี่ยนกล่าวอย่างข่มใจ เสียงนั้นแม้จะแข็งกร้าวแต่ก็แฝงความสั่นไหวที่ไม่อาจปิดบังได้ “น่ารังเกียจ ต่ำทราม ถ้าใช่แล้วจะอย่างไร... เยี่ยนเอ๋อร์ไม่ว่าเจ้าจะด่าข้ายังไงก็ได้ทั้งนั้น แต่คืนนี้เจ้าไม่รอดแน่” จ้าวอู่ฉีกล่าวอย่างเย็นชา พลางใช้สายตาโลมเลียอย่างหยาบคาย “ข้าเกลียดท่าน” ซูเยี่ยนพูดใส่หน้าเจ้าตัวอย่างไม่กริ่งเกรง “ฮ่า ๆ ๆ ถ้าเกลียดข้ามากนักเจ้าก็ฆ่าตัวตายไปซะสิ แต่จงรู้ไว้แม้ว่าเจ้าจะเหลือเพียงวิญญาณ ก็ยังต้องเป็นเมียของข้าอยู่ดี” คำพูดนั้นไม่ต่างจากมีดที่กรีดเข้าไปในใจ ซูเยี่ยนเงยหน้ามองเขาในที่สุด ดวงตาที่เคยนิ่งสงบกลับเต็มไปด้วยความเศร้าและแข็งกร้าวในคราวเดียว “ข้าหรือคือเมียท่าน…พูดเช่นนี้ออกมาไม่ละอายใจบ้างหรือ” “มีสิ่งใดไม่จริง” จ้าวอู่ฉีตอบกลับทันควัน เสียงนั้นเริ่มดังขึ้นด้วยความกราดเกรี้ยว “หากการที่เป็นเมียของข้าผู้นี้จะทำให้เจ้าอกแตกตาย ก็จะได้รู้กันไป!” เขาตวาดเสียงดังก่อนจะกดร่างซูเยี่ยนให้แนบไปกับเตียงมากยิ่งขึ้น มือข้างหนึ่งบีบคางเรียวไว้ไม่ให้หลบเลี่ยง ส่วนริมฝีปากก็กดจูบลงมาอย่างไม่ปรานี ซูเยี่ยนพยายามเม้มปากแน่นต่อต้านการรุกราน แต่สุดท้ายความเครียดเกร็งที่สะสมอยู่ในร่างกายของซูเยี่ยนพลันแปรเปลี่ยน เขาเงยหน้ามองคนเบื้องบนด้วยสายตาที่ดูอ่อนแรงโต้ตอบการรุกรานด้วยการจูบกลับไปอย่างไม่คาดคิด จ้าวอู่ฉีชะงักไปชั่วครู่ มือที่กดตรึงข้อมือบางไว้เหนือศีรษะค่อย ๆ คลายออกด้วยความตายใจ ร่างสูงหยุดเคลื่อนไหวเหมือนถูกสะกดไว้ด้วยสัมผัสที่แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ ซูเยี่ยนยกแขนขึ้นโอบรอบลำคอแกร่ง สายตาเหมือนจะยอมจำนนต่อผู้ที่อยู่เหนือกว่า แต่แท้จริงแล้วในใจกลับซุ่มซ่อนบางสิ่ง เมื่อจังหวะเหมาะสมมาถึง ซูเยี่ยนกระชากผมของจ้าวอู่ฉีอย่างแรง ร่างสูงที่ไม่ทันตั้งตัวหงายหน้าไปเล็กน้อย แต่แววตาเยียบเย็นของเขาเปลี่ยนไปทันที มือหนึ่งจับข้อมือของคนใต้ร่างไว้แน่น ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้ลงมือโต้ตอบ กลับรู้สึกถึงของเย็นเฉียบมาจ่ออยู่ที่ลำคอ ปิ่นปักผมที่ครั้งหนึ่งเคยประดับอยู่บนศีรษะของซูเยี่ยน บัดนี้กลายเป็นอาวุธที่จ่ออยู่ใกล้หลอดลมเขา เสียงหอบหายใจของทั้งสองดังก้องในห้องที่เงียบสงัด ซูเยี่ยนกัดฟันแน่น สายตาฉายแววไม่ยินยอม ราวกับจะบอกว่าต่อให้เขาต้องจบชีวิตในคืนนี้ ก็จะไม่มีวันยอมศิโรราบง่าย ๆ จ้าวอู่ฉีมองคนใต้ร่างด้วยสายตาที่เปลี่ยนจากแข็งกร้าวเป็นประหลาดใจ แม้มือจะยังตรึงข้อมือบางไว้แน่น แต่ในแววตานั้นกลับแฝงร่องรอยของความตกตะลึง “พยศนัก ดิ้นรนดีจริง ๆ...” จ้าวอู่ฉีกดเสียงต่ำ ราวกับคำพูดนั้นหลุดออกมาจากความคิดในใจมากกว่าจะตั้งใจพูดให้ใครได้ยิน เขาไม่ขยับ ไม่หลบหนี แต่กลับมองซูเยี่ยนตรง ๆ ราวกับต้องการค้นหาคำตอบในแววตาคู่นั้นที่สะท้อนแรงต่อต้านที่ไม่ยอมแพ้แม้แต่น้อย “แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่รอด” กล่าวจบ เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายลม มือแกร่งปัดข้อมือของซูเยี่ยนออกอย่างแรง จนปิ่นปักผมในมือกระเด็นตกกระทบพื้น แม้ว่าร่างบางจะพยายามขืนแรงอย่างเต็มที่ แต่เขาก็ไม่อาจต่อกรได้เลย จ้าวอู่ฉีกระชากชุดแต่งงานสีแดงสดของซูเยี่ยนอย่างไร้ปรานี เนื้อผ้ากระชากขาดติดมือ แสงจากโคมไฟสะท้อนเนื้อผ้าสีแดงสดที่ร่วงหล่นลงบนพื้น ซูเยี่ยนสะดุ้งเฮือก พยายามขืนตัวแต่ก็ไร้เรี่ยวแรงจะต้านทาน จ้าวอู่ฉีไม่เล้าโลมใด ๆ เขาประคองส่วนแข็งขืนที่โป่งพองตั้งแต่ซูเยี่ยนพยศ สอดใส่เข้าไปในช่องทางฝืดเคืองอย่างไม่ปรานี “อ๊ะ อู่ฉี ข้าเกลียดท่าน” ซูเยี่ยนกัดฟันเคียดแค้น แต่ฝ่ามือร้อนนั้นทำให้เขาสมองพร่าเบลอ เผลอครางเสียงหวานเมื่อคนด้านบนขบกัดที่ซอกคอของเขาและออกแรงดูดดุน อีกทั้งฝ่ามือหนาก็เตร่ไปทั่วทุกส่วนที่อีกฝ่ายจะเอื้อมถึง “เกลียดข้าหรือ แต่ข้าคิดถึงเจ้านัก ผิวเจ้ายังเนียนนุ่มเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” สายตาคมดุจเหยี่ยวมองราวกับสะกด “อย่าหนีข้าเลยเยี่ยนเอ๋อร์...ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่อาจหนีข้าพ้น” “อู่ฉี... อื้อ” เปล่งวาจายังไม่ทันจบดี ริมฝีปากร้อนก็ฉกลงมาอีกครา ทว่าครานี้กลับร้อนแรงเสียจนซูเยี่ยนเคลิบเคลิ้ม เผลอยกแจนขึ้นโอบรอบลำคออย่างหาที่ยึดเหนี่ยว ในขณะที่จ้าวอู่ฉีใช้ช่วงเผลอไผลขยับเอวอย่างเนิบช้า “อื้อ ท่านพี่ ข้าเจ็บ” ซูเยี่ยนเอ่ยเสียงสั่น หยาดน้ำคลอหน่วยตา เงยขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างขอความเมตตา “เจ้ารัดข้าแน่นนัก” จ้าวอู่ฉีจูบปลอบประโลมซับน้ำตาที่คลอหน่วย ก่อนจะบดเบียดกลีบปากหวานคล้ายกับอยากให้ผ่อนคลาย ภายในซูเยี่ยนอ่อนนุ่มโอบรัดความแข็งแกร่งของจ้าวอู่ฉีได้อย่างพอดิบพอดี “เจ้ายังจะพูดว่าไม่ยอมรับข้าอีกหรือไม่เยี่ยนเอ๋อร์...ดูสิ เจ้าโอบรัดข้าแน่นถึงเพียงนี้” ซูเยี่ยนหาได้ตอบอะไร นั่นจึงทำให้บทรักของคนทั้งสองเริ่มต้นขึ้นในทันที เอวสอบขยับเร่งจังหวะ กระแทกตัวตนอันใหญ่โตเข้าหาเรือนร่างยั่วยวน “อ๊ะ อึก!!” ซูเยี่ยนหลั่งความปรารถนาออกมาและครางลั่น โดยที่ตัวเขาไม่อาจควบคุมได้ของเหลวสีขาวขุ่นเปรอะเปื้อนไปทั่วเตียงเตา ทว่านั่นไม่ทำให้คนทั้งคู่หยุดบทเพลงรักเอาไว้แค่นี้ จ้าวอู่ฉียกร่างของคนตัวเล็ก อุ้มพามาวางไว้โต๊ะดื่มชา มือหยาบจับเรียวขางามพาดบ่า และแทรกส่วนสัดของตัวเองเข้าไปรวดเดียวอีกครั้ง ทว่าครานี้กลับยาวนานไปตลอดจนเช้า เกร็ดความรู้ เจี้ยนอ๋อง1 อ๋องแห่งดาบ ผู้เปรียบดังอาวุธทรงพลังของแว่นแคว้นตอนที่ ๒๖ เคียงกันนับจากนี้ยามค่ำคืนในจวนอ๋องเงียบสงัด แต่ในใจของจ้าวอู่ฉีกลับเหมือนมีพายุโหมกระหน่ำ ร่างสูงเดินไปเดินมาหน้าห้องคลอดไม่หยุด เสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหินดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ทว่าในหัวกลับวุ่นวายเสียจนแทบฟังเสียงตนเองไม่ได้ เขาเงยหน้ามองประตูที่ปิดสนิท ใจจดจ่อกับเสียงที่เล็ดลอดออกมาเป็นระยะ ๆ“ท่านอ๋องโปรดวางใจ กระหม่อมเชื่อว่าชายารองจะต้องปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ” เยียนชิงเอ่ยปลอบเจ้านายของตนขณะยืนรออยู่ไม่ห่าง จ้าวอู่ฉีเพียงพยักหน้ารับเล็กน้อย ทว่าแววตายังคงจับจ้องไปยังประตูด้วยความร้อนใจเสียงร้องเบา ๆ ของทารกดังลอดออกมาในที่สุด บรรยากาศที่เงียบงันเมื่อครู่พลันถูกทำลาย จ้าวอู่ฉีหยุดเดินในทันใด เขาขยับเข้าไปใกล้ประตูด้วยความตื่นเต้น เสียงของหมอตำแยดังแว่วออกมา“เป็นเด็กผู้หญิงเพคะ ปลอดภัยทั้งแม่และลูก”ร่างสูงถอนหายใจออกมายาว ๆ ราวกับปลดปล่อยความกังวลที่กักเก็บไว้ก่อนหน้านี้ เขาหันมองเยียนชิงที่ยกยิ้มเล็กน้อยให้“ข้าจะเข้าไป”กลิ่นสมุนไพรและกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากห้องคลอดโชยออกมา จ้าวอู่ฉีก้าวเท้าเข้าไปด้วยท่าทีสุขุม ทว่าดวงตากลับเผยความอ่อนโยนที่หาได้ยาก มองซูเยี่ยนเอนตัวพิงหมอนอย
ตอนที่ ๒๕ ลาจากในพระราชวังหลวง หลังการปราบปรามกบฏที่เมืองหลวงสำเร็จลง จ้าวอู่ฉีและหลี่ตงจวินในชุดแม่ทัพเต็มยศเดินเข้าสู่ท้องพระโรง ใบหน้าของทั้งสองยังคงแสดงถึงความเหนื่อยล้าจากการศึกที่เพิ่งสิ้นสุด“กระหม่อมจ้าวอู่ฉีและหลี่ตงจวินน้อมถวายบังคมฝ่าบาท” ทั้งสองคุกเข่าลงพร้อมกัน ขณะที่ฮ่องเต้หลี่เซียวเหอทรงประทับบนบัลลังก์ทอง ดวงเนตรคมจับจ้องไปยังสองผู้ภักดี“ลุกขึ้นเถิด” สุรเสียงทรงพลังเอ่ยสั่ง แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่น “การศึกครั้งนี้จบลงแล้วหรือไม่?”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” หลี่ตงจวินรายงานพลางก้าวออกมาก้าวหนึ่ง “หลี่ชิงเจี๋ยและผู้สมรู้ร่วมคิดทั้งหมดถูกจับกุมแล้ว พร้อมหลักฐานที่พบระหว่างการปราบปราม”ฮ่องเต้พยักพระพักตร์เล็กน้อย ก่อนจะหันไปยังจ้าวอู่ฉี “แล้วผู้ที่เหลือเล่า?”“ฝ่าบาท กบฏที่เหลืออยู่ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น ไม่มีหลงเหลือที่จะก่อความวุ่นวายได้อีก” จ้าวอู่ฉีกล่าวเสียงเรียบแต่หนักแน่น “กระหม่อมได้ส่งตัวจางเหม่ยอิงให้คุกหลวงเพื่อใช้เป็นพยานตามพระบัญชา และได้ส่งมอบหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครือข่ายสินบนของกบฏแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หลี่เซียวเหอทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง พระเนตรทอดมองไปยังทั
ตอนที่ ๒๔ กลับคืนในเช้าวันต่อมาหลังจากการสอบสวนที่คุกหลวง จ้าวอู่ฉีเร่งมุ่งหน้าไปยังพระราชวังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาก้าวเท้าผ่านประตูวังหลวงอันยิ่งใหญ่ ขันทีในพระราชวังนำทางเขาไปยังพระตำหนักที่เงียบสงบที่ห้องด้านใน หลี่เซียวเหอกำลังตรวจฎีกา หยวนกงกงเข้ามารายงานว่าจ้าวอู่ฉีมาขอเข้าเฝ้า เขาจึงพยักหน้าอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามา“ถวายบังคมฝ่าบาท” จ้าวอู่ฉีคุกเข่าลงเบื้องหน้าบัลลังก์ทอง เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ลุกขึ้นเถิด เจี้ยนอ๋อง” หลี่เซียวเหอเอ่ยโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากฎีกาในพระหัตถ์จ้าวอู่ฉียืนขึ้นอย่างนอบน้อม ก่อนจะรายงานถึงความคืบหน้าของการสอบสวน “กระหม่อมได้นำตัวจางเหม่ยอิงและเว่ยจงเข้าสอบสวนเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ แม้ได้ข้อมูลบางส่วน แต่ยังมีอีกหลายอย่างที่ยังไม่กระจ่าง หากกระหม่อมขอพระบรมราชานุญาตให้เพิ่มแรงกดดันเพื่อขยายผล”หลี่เซียวเหอเงยพระพักตร์ขึ้น สายพระเนตรคมกริบจ้องตรงมาที่เขา “เจ้าคิดว่ายังมีใครอยู่เบื้องหลังอีกหรือ”“กระหม่อมเชื่อว่ามีพ่ะย่ะค่ะ หลันซิงเฉินไม่อาจทำเรื่องใหญ่เช่นนี้เพียงลำพังได้”“ดี เช่นนั้นข้าจะให้ราชองครักษ์เสื้อแพรเพิ่มกำลังสนับสนุนเจ้าสำหรับเรื่องนี้”“ข
ตอนที่ ๒๓ ลอบโจมตีทางด้านหลี่ตงจวินหลังจากมื้ออาหารค่ำเสร็จสิ้น เขาเอ่ยชวนไป๋ซือเฟิงไปเดินเล่นในลานสวนด้านหลังเรือนใหญ่ แสงจันทร์ส่องกระทบใบหน้าเรียวของไป๋ซือเฟิงที่เต็มไปด้วยความสงบนิ่ง แต่ฝีเท้าของเขากลับเชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด หลี่ตงจวินชะลอฝีเท้าตาม สายตามองหน้าท้องที่นูนใหญ่ของอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง“เดินไหวหรือไม่” หลี่ตงจวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ไหวขอรับ ข้าเพียงแค่...แปลกใจ ทำไมที่นี่ถึงได้ใหญ่โตนัก” เขาเงยหน้ามองไปรอบ ๆ ลานสวนที่ตกแต่งอย่างประณีต มีต้นไม้น้อยใหญ่เรียงรายหลี่ตงจวินหยุดเดินก่อนจะหันมามองไป๋ซือเฟิงด้วยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย “ความจริง...ข้าไม่ได้บอกเจ้าทั้งหมด ข้าขอโทษที่ต้องโกหก”“ท่านหมายความว่าอย่างไร” ไป๋ซือเฟิงชะงักเท้า สายตาจับจ้องหลี่ตงจวิน“ข้าไม่ใช่เพียงชาวบ้านธรรมดาอย่างที่เคยบอกเจ้า” หลี่ตงจวินสูดลมหายใจลึก ก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าชื่อหลี่ตงจวิน ข้าเป็นชินอ๋อง”ไป๋ซือเฟิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ “เช่นนั้นเอง คิดไว้แล้วว่าท่านต้องไม่ธรรมดา กระหม่อมเสียมารยาทกับท่านแล้ว”“ไม่ต้องมากพิธี เจ้าไม่โกรธข้าก็ดีแล้ว เจ้ารู้เมื่อไรหรือ”
ตอนที่ ๒๒ แสงจันทร์รำไรกลางดึกยามฟ้ามืดสนิท จ้าวอู่ฉีลืมตาตื่นขึ้นมาในกระโจมที่เงียบสงัดมีเพียงเสียงลมพัดผ่าน เขารู้สึกอึดอัดจากความคิดมากมายที่วนเวียนอยู่ในหัว จึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นข้างนอกเพื่อสงบจิตใจหมู่ดาวส่องประกายเหนือท้องฟ้า แต่ใจของเขากลับหนักอึ้ง เสียงใบไม้เสียดสีกันในความมืดช่างเงียบงันราวกับปิดบังบางสิ่ง จ้าวอู่ฉีเดินเรื่อยเปื่อยไปยังแนวป่าริมค่าย ทว่าก้าวเท้าไปไม่กี่ก้าว เขาก็ต้องหยุดชะงักร่างในชุดเรียบง่ายของชายคนหนึ่งปรากฏอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เส้นผมยาวสยายพลิ้วไหวในสายลม เมื่อเดินไปมองใกล้ ๆ จ้าวอู่ฉีแทบจะหยุดหายใจ ดวงตาของเขาเบิกโพลง“ซูเยี่ยน...” เสียงเรียกนั้นหลุดออกมาโดยไม่ทันคิดบุรุษผู้นั้นหันมาพลางยกมือลูบหน้าท้องของตนเอง แววตาที่มองกลับมานั้นเต็มไปด้วยความตกใจ ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความระแวงทว่าจ้าวอู่ฉีไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนีไป เขาพุ่งเข้าไปหาพร้อมกับโอบกอดร่างนั้นไว้แน่น ความอบอุ่นจากอ้อมกอดทำให้เขาแทบจะหลั่งน้ำตาออกมา “ซูเยี่ยน... เจ้ากลับมาแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าต้องรอด ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่จากไป...”“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” เสียงตะโกนของอีกฝ่ายดังขึ้น เขาพย
ตอนที่ ๒๑ ภรรยาข้าไป๋หลี่จวินซึ่งได้รับคำสั่งให้สืบสวนความเคลื่อนไหวในเหลียวหนิง เดินทางมาถึงท่าเรือตระกูลหม่าในยามสาย ท่ามกลางความคึกคักของพ่อค้าและคนงานที่ขนส่งสินค้า ไม่มีใครทันสังเกตว่ามีคนผู้หนึ่งเฝ้ามองด้วยสายตาเฉียบคม“ข่าวว่าตระกูลหม่าเกี่ยวข้องกับการลักลอบขนสินค้าต้องห้าม เจ้าแน่ใจหรือ” ไป๋หลี่จวินถามคนสนิท ขณะยืนมองกิจกรรมที่เกิดขึ้น“ขอรับนายท่าน ข้าได้รับรายงานจากหน่วยสืบข่าวลับ ว่า ตระกูลหม่านอกจากจะทำการค้าถูกต้อง ยังใช้ท่าเรือนี้เพื่อส่งสินค้าที่มิได้แจ้งแก่ทางการอีกด้วย”ไป๋หลี่จวินพยักหน้าเล็กน้อย “เช่นนั้น เจ้านำกำลังบางส่วนล้อมทางออกท่าเรือไว้ อย่าให้มีผู้ใดหลบหนีได้ ข้าจะเข้าไปดูด้วยตนเอง”เมื่อเดินเข้าไปยังท่าเรือ ไป๋หลี่จวินแสร้งทำทีเป็นพ่อค้าผู้หนึ่งปะปนไปกับฝูงชน ทว่าดวงตาของเขากลับมองไปยังหมู่ตึกที่ตั้งอยู่ด้านใน“นายท่าน นั่นคือที่เก็บของของตระกูลหม่าขอรับ” คนสนิทกระซิบเบา ๆไป๋หลี่จวินพยักหน้า เขาก้าวเข้าไปใกล้หมู่ตึกโดยมิได้แสดงตน ทันใดนั้น เขาก็เห็นชายสองคนกำลังลากเกวียนบรรทุกหีบไม้ขนาดใหญ่ที่ปิดผนึกแน่นหนา“หยุด!” เสียงของไป๋หลี่จวินดังขึ้น ทำให้ชายทั้งส







