ปริศนาใต้เงาสาป

ปริศนาใต้เงาสาป

last updateLast Updated : 2025-12-11
By:  กานาฉ่ายUpdated just now
Language: Thai
goodnovel16goodnovel
Not enough ratings
2Chapters
19views
Read
Add to library

Share:  

Report
Overview
Catalog
SCAN CODE TO READ ON APP

“เพราะความรัก…อาจเป็นเชื้อเพลิงที่ปลุกคำสาปให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง” กันต์ธีร์ แพทย์นิติเวชหนุ่มมากฝีมือที่เพิ่งกลับจากต่างประเทศ เพื่อเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าทีมเอ หรือที่กล่าวถึงกันว่าทีมหัวกะทิ ของหน่วยพิสูจน์หลักฐาน คดีที่เขาเจอ มีหลักฐานบางอย่างเกี่ยวพันกับเรื่องเหนือธรรมชาติ ทั้งชิ้นส่วนของศพที่หายไป และสัญลักษณ์ที่ตรงกับรอยลึกลับบนหน้าอกของเขาเอง ขณะเดียวกัน เขาเริ่มมีอาการเจ็บหน้าอก ความฝันประหลาด ชีวิตที่เคยมีเหตุผลเริ่มสั่นคลอน เมื่อเขาได้พบกับ จันอับ นักข่าวหนุ่มผู้ดูเหมือนจะ “เกลียด” เขามากตั้งแต่แรกเห็น แม้พวกเขาเพิ่งเคยเจอกัน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จากคู่กัด ค่อย ๆ พัฒนาไปพร้อมกับการคลี่คลายปริศนา แต่ยิ่งเข้าใกล้ความจริง กันต์ธีร์ก็ยิ่งถูกดึงกลับเข้าสู่อดีตชาติอันเจ็บปวด ซึ่งเต็มไปด้วยความรัก ความตาย และคำสาปร้ายแรงที่ไม่อาจหลุดพ้น ความรู้สึกที่เขาไม่ควรมีในชาตินี้… กลับเป็นชนวนให้คำสาปเริ่มตื่น และพุ่งเป้าเล่นงานจันอับอย่างโหดเหี้ยม ในท้ายที่สุด พวกเขาต้องร่วมกันไขคดี คลี่คลายเงื่อนงำในอดีตชาติ และเลือก ว่าจะยอมแพ้ให้กับคำสาป หรือจะเผชิญหน้ากับมันเพื่อเปลี่ยนชะตากรรมของทั้งคู่

View More

Chapter 1

บทที่ 1

บทที่ 1

ภายในห้องนอนอันเงียบสงบ อากาศที่เย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศโอบล้อมไปทั่วห้องนอน ผ้าม่านสีทึบช่วยปิดกั้นแสงรบกวน เตียงหลังใหญ่กลางห้องดูน่านอนจนชวนให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและจมดิ่งสู่การพักผ่อนอันยาวนาน

แต่ไม่ใช่กับชายหนุ่มที่กำลังนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงหลังนั้น คิ้วเข้มได้รูปเหมือนถูกเขียนด้วยหมึก ขมวดเข้าหากันจนเป็นร่อง สีหน้าบ่งบอกว่าการนอนมีปัญหา นั่นเพราะในยามนี้ เขากำลังถูกดึงเข้าสู่ห่วงฝันอย่างไม่ทันตั้งตัว

ในความฝันนั้น ชายหนุ่มพบว่าตัวเองยืนอยู่ในห้องว่างเปล่าขนาดใหญ่ไม่คุ้นตา เขากวาดตาไปทั่วด้วยความสงสัย ไม่แน่ใจว่าตนเองอยู่ที่ไหนหรือมาได้อย่างไร

จนกระทั่งสายตาสะดุดกับเงาร่างหนึ่งในมุมมืด ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงแรงจ้องเขม็ง แหลมคมราวกับมองทะลุเข้าไปถึงจิตวิญญาณ ความเย็นซึมลึกลงไปถึงกระดูก

เสียงกระซิบแผ่วราวสายลม ลอยมากระทบโสต คล้ายพยายามบอกอะไรสักอย่าง ทว่าประโยคนั้นพร่าเลือนเกินกว่าจะจับใจความได้ ก่อนที่มันจะสลายไปในอากาศ

“คุณ... คุณพูดกับผมใช่ไหม? ผมฟังไม่ถนัด ช่วยพูดเสียงดังอีกหน่อยสิครับ”ชายหนุ่มร้องบอก

ทว่าเสียงที่ส่งกลับมายังคงเป็นเช่นเดิม เมื่อไร้คำตอบ เขาจึงเอ่ยถามอีกครั้ง “คุณ… เป็นใคร? แล้ว… ที่นี่ที่ไหน?” ลำคอเขาแห้งผาก ลมหายใจขาดห้วง หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกที ความหนาวเย็นคืบคลานจากปลายนิ้วเข้าสู่กลางอก แต่สายตายังคงจ้องไปข้างหน้าไม่กะพริบ

เสียงกระซิบนั้นดังขึ้นอีกระลอก แต่ยังคงจับใจความไม่ได้ ประหนึ่งถูกบดบังด้วยม่านหมอก “…@#$%@^#...เช่นกู...”

ชายหนุ่มเพ่งฟังทุกถ้อยคำ พลางรวบรวมความกล้าก้าวเข้าใกล้ทีละน้อย หวังว่าระยะที่สั้นลงจะทำให้เสียงนั้นชัดเจนขึ้น แต่ละก้าวที่ขยับ ความประหม่าเริ่มซึมลึกเข้ามาในจิตใจ

ระยะห่างที่ลดลง ทำให้ร่างในเงามืดเริ่มเผยรูปลักษณ์ทีละน้อย จนกระทั่งภาพนั้นชัดเจน มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิต หากแต่เป็นซากศพที่เน่าเปื่อย เสียหายจนยากจะบอกว่าเคยเป็นใคร

สภาพนั้นทำให้เขาสั่นสะท้านตั้งแต่แรกเห็น ลูกนัยน์ตาที่หลุดจากเบ้าห้อยโตงเตง น้ำเหลืองและเลือดไหลย้อยเหนียวหนืดเหมือนแป้งเปียกเกาะตามใบหน้าที่ซีดเผือด เส้นผมกระเซอะกระเซิงจับเป็นกระจุก บางส่วนเผยให้เห็นกระดูกสีขาว บางส่วนมีหนอนชอนไช และฉีกขาดเหมือนถูกกัดกระชาก ชวนให้สะอิดสะเอียน

ชายหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อร่างเน่าเปื่อยตรงหน้ากระโจนเข้าใส่ ความตกใจแล่นวาบเข้ามา เขาพยายามถอยหนี แต่ขากลับแข็งทื่อเหมือนถูกตรึงไว้กับพื้น กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงจนแทบอาเจียนแทรกซึมเข้าทุกอณูผิว ก่อนเสียงที่แหบแห้งอัดแน่นด้วยความแค้นจะดังก้องในหัว

“กูจะทำให้มึงทรมาน… เหมือนที่มึงเคยทำกับกู!!”

“เฮือก!! แฮก ๆ” กันต์ธีร์ หิรัญณรากุล สะดุ้งตื่นสุดแรง ร่างกายสะท้านพร้อมลมหายใจหอบถี่ เหงื่อกาฬผุดพรายตามกรอบหน้าคม ดวงตาสีเข้มที่ปกติเปี่ยมไปด้วยประกายความซุกซน บัดนี้กลับฉายแววตื่นตระหนก ริมฝีปากได้รูปสั่นเล็กน้อย เสื้อด้านหลังเปียกชุ่มจนแนบติดกับผิว

เขายกมือปาดเหงื่อที่ไหลลงมาตามสันจมูก พยายามรวบรวมสติ แม้เป็นเพียงความฝัน แต่ความสมจริงของมันยังเกาะกุมหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ

‘ฝันบ้าอะไรวะ หลอนฉิบ!’

ไม่นานความเงียบถูกแทนที่ด้วยเสียงเคาะประตูและเสียงเรียกจากคนด้านนอก ดึงสติของเขากลับมา

~ ก๊อก ก๊อก ก๊อก!~

“ตากันต์ ตื่นรึยังลูก? วันนี้รายงานตัววันแรกนะ” เสียงนั้นมาจาก กรรณิกา มารดาของเขา

“ผมตื่นแล้วครับ” เขาขานรับ พลางหันไปมองนาฬิกาที่บอกเวลาหกโมงเช้า วันนี้เขาต้องไปรายงานตัวเพื่อเข้ารับตำแหน่งใหม่ในหน่วยพิสูจน์หลักฐาน

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปอาบน้ำ เสร็จแล้วลงมากินข้าวก่อนออกไปทำงานนะลูก” เสียงจากหลังประตูดังขึ้นอีกครั้ง

“ครับ…คุณนาย” เขาตอบยิ้มๆ

กันต์ธีร์เคยเป็นแพทย์ชันสูตร ใน ทีมออบส์ ทีมหัวกะทิที่รวมผู้เชี่ยวชาญทุกด้านไว้ในทีมเดียว หลายปีในสนามจริงทำให้เขาได้เห็นอาชญากรรมหลายรูปแบบ และยิ่งมองลึกก็ยิ่งอยากเข้าใจว่าคนเรากลายเป็นอาชญากรได้อย่างไร เพื่อหาคำตอบ เขาจึงตัดสินใจไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ…

จนกระทั่งปลายปีที่แล้ว ขณะรอดำเนินการเรื่องจบการศึกษา กันต์ธีร์ได้รับโทรศัพท์จาก จินดา หัวหน้าทีมของเขาพร้อมข่าวใหญ่

“ไอ้กันต์ ฉันมีข่าวมาบอก”

“ข่าวอะไรครับพี่จิน”

“ฉันได้เลื่อนเป็นผอ. แล้วนะยะ” น้ำเสียงปลายสายเหมือนเล่าเรื่องดินฟ้าอากาศไม่ใช่ข่าวใหญ่โตอะไร

“เฮ้ย!! ดีใจด้วยนะครับหัวหน้า… เอ้ะ ไม่สิ ต้องบอกว่าดีใจด้วยครับ ผอ. ที่ได้เลื่อนขั้น!”

แค่ฟังจากเสียงที่ลอดออกไป ปลายสายก็รู้ได้ไม่ยากว่ากันต์ธีร์กำลังดีใจแทนตัวเอง

แน่นอนว่ากันต์ธีร์รู้สึกยินดีไม่น้อย หัวหน้าที่เขานับถือเลื่อนตำแหน่งสำเร็จ หลังจากร่วมกันฝ่าฟันคดีหนักและปัญหานับไม่ถ้วน ความพยายามและความทุ่มเทของจินดาก็ได้รับการตอบแทนที่คู่ควร

“แกไม่ต้องตื่นเต้นไป ฉันยังไม่ตื่นเต้นอะไรเล๊ย… แต่ก็ขอบใจนะ” เธอพูดเหมือนไม่ใส่ใจนัก แต่ก็แฝงความภูมิใจและความดีใจที่ไม่อาจซ่อนได้

“เหรอ ครับผมจะเชื่อให้ก็ได้ถ้าพี่คิดว่ามันเนียนน่ะนะ”แม้ไม่เห็นหน้าก็จินตนาการได้ ว่าปลายสายคงพยายามซ่อนรอยยิ้มอยู่

“รู้ดี เพราะมีแกเป็นตัวอย่างแบบนี้ไง ไอ้สี่สลึงถึงไม่ค่อยเคารพฉัน” สี่สลึงที่จินดาว่า หมายถึงลูกน้องอีกสี่คนในทีมออบส์นั่นแหละ… ขาด ๆ เกิน ๆ กันคนละนิด แต่พอรวมกันแล้วก็เต็มบาทพอดี

“ฮา ฮา ฮา ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย จะว่าไปผมไม่ได้แกล้งพี่มาหลายเดือนเหมือนกันนะ”

“ไม่โทรหาฉันเองช่วยไม่ได้” หญิงสาวปลายสายประชด

“ผมเรียนหนักนี่ครับ” กันต์ธีร์ยืดคำท้าย จงใจใส่แววอ้อนให้ฟังชัด

“หึ ข้ออ้างละสิไม่ว่า” จินดาหัวเราะแผ่ว ๆ ในลำคอ ก่อนเว้นจังหวะเพื่อเปลี่ยนโหมดเป็นจริงจัง “เออนี่...เหลือกี่เดือนถึงจะเรียนจบล่ะ”

“เรียนจบแล้วล่ะ แต่กว่าจะทำเรื่องเรียบร้อยคงอีกสองเดือน พี่จะมาหาผมเหรอ ตั้งตารอเลย” ชายหนุ่มพูดทีเล่นทีจริง

“เฮอะ! แกฝันเหรอ ฝันไปหรือเปล่าว่าฉันจะไปหา” เธอเหน็บ รอจนเสียงหัวเราะของกันต์ธีร์เริ่มซาลง ก่อนเสริม “ที่จริงวันนี้นอกจากจะโทรมาบอกเรื่องของฉันแล้ว ยังมีของแกด้วยนะ”

“ครับ? อย่าบอกนะว่าผมได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าแทนพี่”

“ก็ใช่น่ะสิ”

“พี่อย่ามาอำ...” กันต์ธีร์หัวเราะในลำคอ ยังคงไม่เชื่อ

“ฉันไม่ได้อำ” จินดาพูดชัดถ้อยชัดคำ

“จริงดิพี่… อย่ามาเล่นแบบนี้นะ”

“เรื่องแบบนี้มันล้อเล่นได้เหรอ มันใช่เวลา?” น้ำหนักคำยังคงจริงจังไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิด

คำตอบที่ได้ทำเอากันต์ธีร์เงียบกริบ

“....”

“นี่ได้ยินมั้ย ไอ้กันต์?”

“...”

“เฮ้ย! ช็อกไปแล้วหรือไง ฉันถามว่าได้ยินมั้ย”

“โอ๊ยยย! หูจะแตก ได้ยินแล้ว พี่ไม่ได้อำจริงดิ?”

“วะ! ไอ้นี่ ใครจะเอาเรื่องแบบนี้มาพูดเล่นกัน” เสียงปลายสายเริ่มหงุดหงิด

“พี่ไง” ชายหนุ่มยังไม่วายแหย่รังแตน รอยยิ้มผุดขึ้นขณะรอฟังปฏิกิริยาจาก

ปลายสาย

“ไอ้เด็กนี่! ฉันโตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วนะ อะไรควรไม่ควร ฉันรู้ดียะ!”

“ใจเย็นสิจินดา เดี๋ยวหัวใจเต้นแรงแล้ววูบไปจะทำไง ลูกกับสามีก็ไม่มี” กันต์ธีร์ยังคงกวนประสานต่อ

“โอ๊ย!! คุยกับมึงทีไรกูลมตีขึ้นมาทุกทีให้ตายสิ ยาดม! ยาดมฉันอยู่ไหน” จินดาหลุดแทน “มึงกู” ใส่อีกฝ่ายอย่างลืมตัว

กันต์ธีร์ได้ยินเสียงกุก ๆ กัก ๆ จากปลายสาย เหมือนเจ้าตัวกำลังรื้อหายาดมจริง ๆ ถึงกลับหลุดหัวเราะ

“ไม่แกล้งแล้ว ๆ... แต่จะดีเหรอพี่ ผมมาจากหน่วยงานอื่นนะ มาที่นี่ด้วยตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ผมกลัวคนอื่นจะไม่เห็นด้วย”

เขารู้ตัวว่าฝีมือไม่เป็นรองใคร แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับ โดยเฉพาะพวกอาวุโสที่เสียตำแหน่งไป ถ้าพวกนั้นคิดจะปัดแข้งปัดขาเมื่อไหร่ งานก็อาจมีปัญหาจนบานปลายได้ง่าย ๆ ซึ่งเขาไม่อยากให้เกิด

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง มีการเรียกประชุมเพื่อลงความเห็นเรื่องนี้ และทุกคนเห็นด้วยว่าแกเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุด” ปลายสายตอบอย่างมั่นใจ

“ถ้าทุกคนเห็นด้วยผมก็ยินดีครับ”

“หึ! แต่ถ้าทำออกมาไม่ดี ฉันเล่นงานแกแน่” จินดาขู่

กันต์ธีร์ขำหึในลำคอ ก่อนตอบกลับ “ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่ทำให้ชื่อเสีย… เฮ้ย! ชื่อเสียงของพี่เสื่อมเสียแน่นอน”

“ไอ้...เด็ก...เวร...ตะไล” จินดาด่าเน้นทีละคำ “กลับเมื่อไรให้มารายงานตัวเลยนะแค่นี้ล่ะ ฉันจะไปนอน เดี๋ยวพรุ่งนี้รัศมีความเป็นผอ. ของฉันจะลดลง บาย!”

เธอวางสาย ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับ

แค่ฟังน้ำเสียงกับลีลาพูดของจินดา กันต์ธีร์ก็พอจะเห็นภาพเธอในหัวจนหลุดยิ้ม คนที่ไม่เคยโกรธใครจริงจัง ต่อให้ถูกลูกน้องแกล้งอยู่บ่อยครั้ง ก็ยังเป็นหัวหน้าที่ห่วงใยลูกน้องอย่างไม่มีข้อกังขาเสมอ….

หลังจากขึ้นไปดูว่าลูกชายตื่นหรือยัง กรรณิกาก็กลับมานั่งประจำโต๊ะอาหาร รอให้เขาลงมาร่วมมื้อเช้าด้วยกัน วันนี้เธอลงครัวทำข้าวต้มกุ้งของโปรดลูก ๆ ด้วยตัวเอง กลิ่นหอมกรุ่นลอยอบอวลทั่วห้อง

ผ่านไปพักใหญ่ ร่างสูงก็เดินเข้ามาพร้อมทักอย่างอารมณ์ดี “มาแล้วครับ ขอ กอดหน่อยนะคุณนาย” ว่าแล้วก็ตรงเข้าโอบกอดเธออย่างแผ่วเบา

“อะไรของลูกเนี่ย อ้อนแต่เช้า โตเป็นควะ...” กรรณิกาพูดยังไม่ทันจบ กันต์ธีร์ก็โพล่งขึ้น

“โตเป็นหนุ่มครับ” เขาตัดบทมารดา กลัวเต็มทีว่าตัวเองจะโดนหาว่าเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องเข้าให้ “ว่าแต่…แม่อ้วนขึ้นหรือเปล่า” มือหนาเอื้อมไปบีบท้องแม่พลางทำหน้าไร้เดียงสาถาม

“เอ๊ะ ไอ้เด็กนี่ ออกไปเลยไป๊” เธอมอบค้อนด้ามใหญ่ให้เจ้าลูกชายข้อหาปากเสีย

“ฮา ๆ ๆ” กันต์ธีร์หัวเราะลั่นจนตาหยี เสียงหัวเราะยังไม่ทันจาง แม่บ้านก็ยกชามข้าวต้มมาวางตรงหน้า “หอมจัง” เขาไม่รอช้า ตักเข้าปากคำแรกแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “อืม…อร่อยเหมือนเดิมเลยครับ”

“ก็แน่ล่ะ ฝีมือคุณนายกรรณิกานะเธอ” กรรณิกาแสยะยิ้มกวน ๆ “แม้แต่หมายังพยักหน้าชม”

คำพูดของมารดาทำเอามือกันต์ธีร์ค้างกลางอากาศ พลันนึกในใจ ‘ต่อจากควายก็กลายเป็นหมาสินะ’ แต่แทนที่จะสะทกสะท้าน เขากลับลอยหน้าลอยตาตักข้าวต้มเข้าปากต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ค่อย ๆ กิน มันร้อนเดี๋ยวลิ้นพอง” กรรณิกาเตือนลูกชายอย่างเอาใจใส่ พลางถามต่อ “เมื่อคืนหลับสบายไหม หรือว่าตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ ที่จะได้กลับไปทำงาน?”

“หลับดีนะครับ แต่ก่อนตื่นผมฝันร้ายล่ะ” กันต์ธีร์ทำท่าเหมือนจะเล่าต่อ แต่กรรณิการีบชิงตัดบท

“หยุดเลย อย่าเล่าความฝันตอนกินข้าว โบราณเขาถือ”

“แม่เชื่อเรื่องนี้ด้วย? แก่แล้วก็แบบนี้แหละเนอะ” ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก

เพี๊ยะ! ฝ่ามือบางฟาดลงที่แขนของลูกชาย เป็นการลงโทษข้อหาว่าเธอแก่

“ปากดีนักนะ เจ้าลูกคนนี้” กรรณิกาว่าพลางส่ายหัวเอือม ๆ

“ผมล้อเล่นเองครับ คุณนาย” กันต์ธีร์หัวเราะเจื่อน ๆ พลางลูบแขนตัวเองป้อย ๆ

“หึ” กรรณิกาส่งเสียงในคอ ก่อนจะชวนเขาคุยเรื่องอื่นไปเรื่อยเปื่อย

กันต์ธีร์นั่งฟังอย่างตั้งใจ ไม่เคยรู้สึกเบื่อสักครั้ง เพราะสำหรับเขา แม่คือผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่สุดในชีวิต และเป็นแรงบันดาลใจให้เขามาตลอด

ตั้งแต่วันที่ผู้เป็นพ่อจากไป เหลือเพียงเขากับแม่ที่ต้องพึ่งพากันและกัน แม่ต้องเลี้ยงลูกชายตัวน้อยไปพร้อมกับแบกรับภาระธุรกิจที่สามีทิ้งไว้ ทั้งที่ปู่กับย่าก็พยายามหาทางยึดกิจการกลับไป ขณะที่ลูกน้องเก่าของพ่อก็ยังลังเล ไม่เชื่อว่าเธอจะก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้ประธานได้อย่างสง่างาม

แม่จึงต้องพิสูจน์ตัวเองทุกวัน ท่ามกลางแรงกดดันรอบด้าน จนในที่สุดเธอก็ทำสำเร็จ ได้รับการยอมรับจากผู้บริหารอย่างเป็นเอกฉันท์ กำจัดพวกหนอนบ่อนไส้ที่แอบส่งข่าวให้ปู่ย่าออกไปจากบริษัท เมื่ออำนาจอยู่ในมือ ปู่ย่าก็หมดข้ออ้างจะตอแยอีกต่อไป และยืนหยัดบนเก้าอี้ประธานอย่างสมศักดิ์ศรี

เก่งไหมล่ะ แม่ของเขา ผู้หญิงที่ไม่เพียงเลี้ยงดูเขาให้เติบโต แต่ยังสอนให้รู้จักยืนหยัดบนโลกที่ไม่เคยอ่อนโยนกับใคร กันต์ธีร์มองมารดาที่นั่งอยู่ตรงหน้า ในแววตามีทั้งความเคารพ ภูมิใจ และความรัก ที่ไม่มีวันลดน้อยลง…

“โอ๊ย.. อิ่มจังเลย” เขาพูดพลางยิ้มกว้าง ก่อนจะลุกขึ้นยืน “งั้นผมไปทำงานก่อนนะครับ”

“เดินทางปลอดภัยนะลูก ตั้งใจทำงานล่ะ อย่าไปหยุมหัวใครเขา” กรรณิกาแซว พร้อมเดินตามมาส่ง

“เฮ้ย… ผมไม่เคยทำแบบนั้นสักหน่อย” เขารีบแก้ต่างทันควัน “ที่ทำงานผมสุภาพเรียบร้อยจะตาย คุณนายจะมาใส่ร้ายกันไม่ได้นะ”

กรรณิกาหัวเราะพลางส่ายหน้าให้กับท่าทีของลูกชายที่ยังเหมือนเด็กในสายตาเธอเสมอ ทันใดนั้นเสียงทุ้มคุ้นหูอีกเสียงก็ดังแทรกเข้ามา

“พี่แล้วหนึ่ง แม่ครับสวัสดีครับ”

กันต์ธีร์หันตามเสียง ก่อนรอยยิ้มกวน ๆ จะปรากฏบนใบหน้า ไม่ต้องมองก็รู้ว่าเป็นใคร ชาญเนตร หรือ ชาร์ล เขาเป็นทั้งเพื่อนสนิทและพี่ชายบุญธรรมของกันต์ธีร์ เเถมยังเป็นคนที่แม่ไว้ใจที่สุด ถึงขั้นตั้งให้เป็นรองประธานบริษัท อำนาจรองจากแม่เพียงคนเดียว ส่วนกันต์ธีร์ที่ไม่ถนัดการบริหาร ก็เลือกเส้นทางราชการแทน

ทั้งคู่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะบ้านอยู่ติดกัน พ่อแม่ของชาญเนตรเสียตั้งแต่เขายังเล็ก ทำให้ต้องอยู่กับคุณยายเพียงสองคน ขณะที่กันต์ธีร์มีแม่ที่ทำงานยุ่งตลอดเวลาและมักอยู่บ้านคนเดียว เขาจึงชอบแวะไปเล่นที่บ้านของอีกฝ่ายเสมอ จนกรรณิกาตัดสินใจจ้างคุณยายของชาญเนตรให้ช่วยดูแลลูกชายด้วย

หลังจากคุณยายเสียไป กรรณิกาที่เอ็นดูเด็กชายมาตั้งแต่แรกก็รับชาญเนตรมาเป็นลูกบุญธรรมอย่างเต็มตัว และตั้งแต่นั้นมา… ความผูกพันของทั้งสองก็ไม่ต่างจากพี่น้องแท้ ๆ เลย

“ว่าไงน้องรัก จะไปทำงานแล้วเหรอ”

“ใครน้องคุณครับ อายุห่างกันแค่สามเดือนยังจะเสือกให้เรียกพี่” กันต์ธีร์เลิกคิ้วขึ้นนิด เสียงติดหมั่นไส้เต็มที ถ้าไม่ใช่เพราะโดนไอ้พี่บุญธรรมคนนี้ต้มตั้งแต่เด็กให้เรียก “พี่” อย่าหวังเลยว่าจะเรียก

“แม่ดูน้องพูดกับผมสิครับ T_T” ชาญเนตรตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จได้น่าหมั่นไส้ จนกันต์ธีร์ต้องมองบนใส่

กรรณิกาเห็นภาพนั้น มีความรู้สึกอยากแกล้งลูกชายตัวเองบ้าง “ตากันต์! ทำไมพูดกับพี่แบบนี้ เดี๋ยวแม่ตีเลยนะ”

“แม่…หรือว่าจริงๆ แล้วผมคือเด็กที่แม่เก็บมาจากถังขยะ @__@”

เธอทำท่าคิดอยู่แวบหนึ่ง “ไม่ใช่หรอก แค่หยิบเด็กมาผิดคน”

“ฮา ฮา ฮา” ชาญเนตรขำพรืดกับการรับส่งมุกของแม่

“โหแม่อะ” กันต์ธีร์ทำทีเป็นน้อยใจมารดา “ฝากไว้ก่อนนะไอ้ชาร์ลวันนี้กูรีบหรอกถึงยอมให้” กันต์ธีร์หันหลังเดินออกไป

“ไอ้กันต์โว้ย!” ชาญเนตรตะโกนไล่หลัง

“อะไร! ไม่ต้องมาง้อ!”

“ไม่ได้จะง้อ จะฝากซื้อเค้กต่างหาก!”

“ไม่ซื้อ! อยากกินซื้อเอง!” กันต์ธีร์โพล่งตอบ แอบยิ้มมุมปากไม่ให้ใครเห็น

เวลาอยู่กับแม่ และพี่ชายบุญธรรม เขามักเผลอทำตัวเป็นเด็ก โดยไม่สนสายตาใคร เพราะสำหรับพวกเขาคือครอบครัว…คือที่ที่ปลอดภัย

กรรณิกากับชาญเนตรมองหน้ากันพร้อมรอยยิ้มเอ็นดู ถึงจะโดนปฏิเสธเสียงแข็ง แต่ทั้งคู่รู้ดีว่าเย็นนี้ เค้กเจ้าประจำจะต้องโผล่มาอยู่บนโต๊ะอาหารแน่ ๆ

“ไอ้กันต์มันไม่เปลี่ยนไปเลยนะครับ” ชาญเนตรพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“โถ่ตาชาร์ล น้องแค่ไปเรียนต่อสองปีเองลูกจะให้เปลี่ยนอะไร” กรรณิกาหันไปมองลูกชายคนโตด้วยแววตาอบอุ่น

“แต่บางคน ไม่ถึงปีก็เปลี่ยนไปได้นะครับแม่…” ชาญเนตรทอดสายตามองออกไปไกล แววตาที่สั่นไหวอย่างที่ยากจะปิดบัง

“เรื่องนั้นจบไปนานแล้ว ลูกไม่ต้องห่วงน้องหรอก รายนั้นใจแข็งจะตาย” กรรณิกาวางมือตบเบา ๆ ที่แผ่นหลังลูกชายคนโต พร้อมรอยยิ้มปลอบโยน “ไป เข้าบ้านกันดีกว่า วันนี้แม่มีของโปรดลูกด้วย”ชาญเนตรพยักหน้าเงียบ ๆ ก่อนยื่นมือไปประคองมารดาอย่างระมัดระวัง ทั้งคู่เดินเคียงกันกลับเข้าบ้าน ทิ้งความหนักใจบางอย่างไว้ข้างนอกประตู

Expand
Next Chapter
Download

Latest chapter

More Chapters
No Comments
2 Chapters
บทที่ 1
บทที่ 1ภายในห้องนอนอันเงียบสงบ อากาศที่เย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศโอบล้อมไปทั่วห้องนอน ผ้าม่านสีทึบช่วยปิดกั้นแสงรบกวน เตียงหลังใหญ่กลางห้องดูน่านอนจนชวนให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและจมดิ่งสู่การพักผ่อนอันยาวนานแต่ไม่ใช่กับชายหนุ่มที่กำลังนอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงหลังนั้น คิ้วเข้มได้รูปเหมือนถูกเขียนด้วยหมึก ขมวดเข้าหากันจนเป็นร่อง สีหน้าบ่งบอกว่าการนอนมีปัญหา นั่นเพราะในยามนี้ เขากำลังถูกดึงเข้าสู่ห่วงฝันอย่างไม่ทันตั้งตัวในความฝันนั้น ชายหนุ่มพบว่าตัวเองยืนอยู่ในห้องว่างเปล่าขนาดใหญ่ไม่คุ้นตา เขากวาดตาไปทั่วด้วยความสงสัย ไม่แน่ใจว่าตนเองอยู่ที่ไหนหรือมาได้อย่างไร จนกระทั่งสายตาสะดุดกับเงาร่างหนึ่งในมุมมืด ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงแรงจ้องเขม็ง แหลมคมราวกับมองทะลุเข้าไปถึงจิตวิญญาณ ความเย็นซึมลึกลงไปถึงกระดูกเสียงกระซิบแผ่วราวสายลม ลอยมากระทบโสต คล้ายพยายามบอกอะไรสักอย่าง ทว่าประโยคนั้นพร่าเลือนเกินกว่าจะจับใจความได้ ก่อนที่มันจะสลายไปในอากาศ“คุณ... คุณพูดกับผมใช่ไหม? ผมฟังไม่ถนัด ช่วยพูดเสียงดังอีกหน่อยสิครับ”ชายหนุ่มร้องบอก ทว่าเสียงที่ส่งกลับมายังคงเป็นเช่นเดิม เมื่อไร้คำตอ
last updateLast Updated : 2025-12-11
Read more
บทที่ 2
บทที่ 2กันต์ธีร์เลี้ยวรถเข้าสู่เขตสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พื้นที่ซึ่งรวมหน่วยสำคัญเอาไว้ครบ ทั้งหน่วยปราบปรามอาชญากรรม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจนครบาล ไปจนถึงหน่วยพิสูจน์หลักฐานที่เขาสังกัดตึกสูงสลับกับอาคารเก่าเรียงราย เหมือนคอยบอกเล่าประวัติขององค์กรนี้ เสียงไซเรนแว่วมาเป็นระยะ คล้ายเตือนว่าที่นี่…ไม่มีคำว่าเงียบสงบจริง ๆวันนี้ก็เช่นกัน ลานจอดรถแน่นเอี๊ยดไปด้วยรถสำนักข่าวจนแทบไม่มีที่ว่าง เขาวนหาอยู่นานก็ยังไม่มีที่จอด จนกระทั่ง… “เฮ้ย! ที่จอด…ที่จอด!” เขาอุทานเหมือนเจอขุมทรัพย์ เมื่อเห็นช่องว่างระหว่างรถสองคันชายหนุ่มรีบเปิดไฟฉุกเฉิน เตรียมถอยหลังเข้าซองอย่างระมัดระวัง แต่ยังไม่ทันยกเท้าออกจากเบรก กลับมีรถคันหนึ่งพุ่งเข้ามาเสียบในช่องนั้นหน้าตาเฉยเขามองภาพนั้นผ่านกระจกมองหลังด้วยความอึ้ง ก่อนอารมณ์หงุดหงิดจะไหลวาบขึ้นมา “อะไรวะ! ไม่เห็นหรือไงว่าคนกำลังจะจอด!” เขาสบถเสียงขุ่น มือผลักประตูรถออกแรงพอสมควรแล้วก้าวลงมาด้วยท่าทีทมึงทึง เดินฉับ ๆ ตรงไปหยุดที่หน้ารถคู่กรณี สายตากวาดมองโลโก้สำนักข่าวชื่อดัง ‘ซี.ไอ.นิวส์’ ที่แปะหราอยู่บนฝากระโปรง“นี่คุณ! ทำแบบนี้ไ
last updateLast Updated : 2025-12-11
Read more
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status