@ HTND Hotel, Bangkok
เวลา 18.00 น.
อลันตัดสินใจพาซูมี่กลับมาทานข้าวที่โรงแรมของตัวเอง ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ ก่อนจะเดินทางมาถึงเขาได้โทรแจ้งเลขาให้ช่วยบอกพ่อครัวเตรียมอาหารชุดใหญ่ไว้สำหรับ 2 คนเป็นที่เรียบร้อย และในเมนูอาหารต้องมีชุดติ่มซำถาดใหญ่ไว้พร้อมเสิร์ฟด้วย
เมื่อรถได้เทียบจอดที่ลานจอดรถ VIP ทั้งคู่ก้าวเท้าลงจากรถและเดินมุ่งตรงไปยังห้องรับรองที่ถูกจัดเตรียมไว้ เมื่อประตูห้องฯ เปิดออกก็พบกับเมนูอาหารเรียงรายมากกว่า 10 เมนูบนโต๊ะกลมหมุนลายหินอ่อน หญิงสาวกวาดสายตามองอาหารด้วยแววตาเป็นประกาย จนพี่ชายคนข้าง ๆ หันไปยิ้มถาม
“เมนูอาหารพอจะถูกใจเราไหม”
“ถูกใจมากเลยค่ะ เราจะกินกันหมดไหมคะพี่อลัน” ซูมี่เอ่ยถาม
“ไม่หมดก็ห่อกลับบ้านได้นะ เผื่อเมนูไหนคนที่บ้านอยากทานด้วย เอาล่ะมากินกันเถอะ”
อลันลากเก้าอี้ออกให้ซูมี่นั่งก่อนจะเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามกัน เขาเริ่มจากหยิบขนมจีบและฮะเก๋าสุดเลิฟให้เธอลองชิมเสียก่อน พอซูมี่เอาเข้าปากถึงกับร้องอุทานว่าอร่อยมาก ขนาดแม่ครัวที่บ้านยังทำให้ทานไม่ได้แบบนี้เลย พี่ชายแสนดีสุดแสนจะดีใจ หากรู้ว่าเธอชอบขนาดนี้คงไม่เสียเวลาพาไปกินไกลที่ไหนอีกแล้ว ทั้งคู่ต่างผลัดกันคีบอาหารให้กันและกันในจาน พร้อมแลกเปลี่ยนการรีวิวรสชาติของอาหาแต่ละเมนูอย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งหมดหัวข้อที่จะคุยเรื่องนี้ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเป็นสารทุกข์สุกดิบแทน
“ซิงอีสบายดีไหม” อลันนึกขึ้นได้ว่ายังมีน้องชายที่รักอีกคน ยังไม่ได้คุยกันเลยหลังกลับมาจากสวิตฯ
“สบายเกินไปค่ะ ทุกวันนี้ติดเกมอะไรก็ไม่รู้เล่นไม่ยอมหลับยอมนอน คุณแม่เอ็ดจนหูชาเพราะค่าไฟที่บ้านขึ้น” ซูมี่ทำปากจู๋หลังจากพูดจบ
“ฮ่า ๆ วัยรุ่นก็เป็นแบบนี้แหละ โตขึ้นก็คงเพลาลง”
“แสดงว่าพี่อลันก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเหรอคะ”
“ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็มีไปเล่นกับเพื่อนบ้างช่วงที่เครียดน่ะ พี่ได้ข่าวว่าซิงอีเรียนอยู่สายวิศวะ ดูท่าจะเรียนหนักและเครียดพอควรยังไงก็เข้าใจน้องสักนิดนึงแล้วกันนะซูมี่”
อลันพยายามพูดให้ ซูมี่เข้าใจน้องชายตัวเองในบางมุม ซึ่งเธอก็เห็นด้วยกับที่เขาพูด
“แล้วเราล่ะ เรียนเป็นไงบ้าง” อลันวกกลับมาถามเรื่องของซูมี่
“ก็เรื่อย ๆ นะคะ เรียนไม่ได้เครียดจนเกินไป แต่เครียดอย่างอื่นมากกว่า”
“อย่างอื่นที่ว่าคืออะไร”
“ผู้ชายค่ะ”
คำว่า ‘ผู้ชาย’ ทำให้ตะเกียบที่อลันกำลังคีบอาหารถึงกับหลุดมือหล่นลงพรมปูพื้น เขารีบก้มลงไปเก็บมัน ทว่าซูมี่ห้ามไว้และยื่นตะเกียบอีกคู่ให้ใช้แทน เขาจึงรับมาก่อนที่จะถามต่อ
“ผู้ชายคนไหนกันถึงทำให้เราเครียดได้”
“เกือบจะทุกคนในมหาลัยค่ะ จนทุกวันนี้ซิงอีต้องพาซูมี่หลบคนพวกนั้นที่มายืนรอที่หน้าตึกเรียนทุกเช้า เฮ้อเหนื่อยใจจัง”
ซูมี่พลางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะหยิบขนมจีบปูเข้าปากเคี้ยวต่อ
“คนสวยก็แบบนี้แหละ แล้วเราว่าไม่ดีเหรอที่มีคนมาจีบ”
“ไม่ค่ะ เพราะซูมี่มีคนของใจอยู่แล้ว”
“คนของใจ? เราหมายถึงคนที่ชอบเหรอ”
อลันเลิกคิ้วเอ่ยถาม เพราะเขาตามคำศัพท์เด็กวัยรุ่นไทยสมัยนี้ไม่ทัน แถมตัวเองก็พึ่งจะเดินทางมาถึงไทยวันนี้เอง
“ถั่วต้มค่า”
อลันถึงกับร้องฮะกับคำศัพท์ใหม่ ซูมี่หัวเราะเสียงดังจนต้องอธิบายความหมายของคำนี้แปลว่า ถูกต้อง เขาถึงร้องอ๋อกลับมา
“กระซิบพี่ได้ไหมว่าคนของใจซูมี่เป็นใคร พี่รู้จักเขาหรือเปล่า”
ต่อมความเผือกของอลันเริ่มทำงาน อยากรู้ความเป็นไปของเด็กดื้อคนนี้
“รู้จักดีเลยค่ะ”
ซูมี่ตอบแบบอุบคำตอบเอาไว้ก่อนจะฉีกยิ้มแล้วเอียงคอ ขณะที่คนถามก็พยายามนั่งนึกว่าคนรอบตัวที่เป็นไปได้มีใครบ้าง แต่นึกเท่าไหร่ก็ไม่ออก
“พี่ยอมแล้ว เราเฉลยเลยดีกว่า...เขาคือใคร” ซูมี่พยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยพูด เสียงดังฟังชัดออกไปให้ได้ยินว่า
“พี่อลันไงคะ”
มุมมองของซูมี่ ♥
ฉันรวบรวมความกล้าพูดต่อหน้าเขาอย่างตรงประเด็น ในเมื่อตั้งเป้าหมายไว้แล้วก็ต้องไปให้สุดทาง
“เราอำพี่เล่นอยู่ใช่ไหม”
ขอเงิบกับสิ่งที่พี่อลันตอบกลับมา ที่ฉันพูดนั้นคือจริงใจไม่จิงโจ้เลยนะ
“ไม่ได้อำค่ะ ซูมี่พูดจริง”
ฉันทำสีหน้าจริงจังกับสิ่งที่ฉันพูด แต่พี่อลันดูเหมือนจะยังไม่เชื่ออยู่ดี แล้วนี่ต้องทำอย่างไรต้องควักหัวใจออกมาพิสูจน์ให้เห็นเหรอ
“ซูมี่เลิกแกล้งพี่ได้แล้ว เรื่องแบบนี้มันไม่ขำเลย”
“แล้วใครขำกันคะ” เออฉันก็ไม่ได้เล่นตลกนะ
“พี่ว่าเราน่าจะสับสนอะไรบางอย่าง”
“Not me but you พี่อลันจำสัญญาของเราไม่ได้แล้วเหรอคะ”
ฉันพร้อมกางสัญญาใจในหัวออกมาเปิดอ่านให้ฟังเลย หากเขาระลึกความจำไม่ได้
“สัญญาอะไรกันซูมี่”
และสิ่งที่เตรียมไว้ก็ได้นำออกมาใช้จริง นี่เขาลืมเรื่องสำคัญที่ให้ไว้ไปได้อย่างไรกัน
“12 ปีที่แล้ว พี่อลันตกลงจะเป็นแฟนกับซูมี่หลังเรียนจบมหาลัยไงและนี่ก็เป็นปีสุดท้ายที่ซูมี่ใกล้จะเรียนจบแล้วค่ะ”
เมื่อฉันเปิดคำพูดออก พี่อลันก็เหมือนจะพอนึกออกว่าตัวเองพูดไว้ตอนไหน ถ้าเมื่อก่อนฉันมีมือถือจะกดอัดเสียงให้หลักฐานมัดตัวเลย
“พี่นึกออกละ คืออย่างนี้นะ...” พี่อลันทำท่าเหมือนจะพูดแก้ตัวในคำพูดที่เขาเคยให้ไว้
“อย่าบอกนะคะ ว่าพี่อลันกำลังคืนคำพูด”
“ฟังพี่อธิบายก่อน”
แอบน้อยใจได้ไหม ทำไมมันไม่เป็นอย่างที่คิดไว้กัน หรือว่าเพราะพี่อลันมี คนของใจอยู่แล้ว กล่องของขวัญใบนั้นที่ฉันเห็นคงจะเป็นของผู้หญิงที่พิเศษสักคนจริง ๆ แต่แล้วไง...ใครแคร์
“ต่อให้ตอนนี้พี่มีคนของใจแล้วก็ไม่เป็นไรค่ะ ซูมี่ยังมีเวลาพอที่จะรอพี่อลัน แต่ถ้าเมื่อไหร่ซูมี่เรียนจบ พี่ก็ต้องไปเคลียร์ใจกับคนของพี่นะคะ”
“ซูมี่ไปใหญ่แล้ว...ให้พี่ได้พูดสักนิด”
“ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ยังไงพี่อลันก็ต้องเป็นแฟนกับซูมี่”
“หลิน ซูมี่!”
“เรียกสั้น ๆ ว่าซูมี่ก็พอค่ะ”
“ยังจะมาเล่นอีก ระหว่างพี่กับเรามันเป็นไปไม่ได้ เพราะพี่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น ซูมี่เหมือนน้องสาวของพี่คนหนึ่ง”
ให้ตายสิ คำก็น้อง สองคำก็น้องสาว คำพูดนี้เจ็บปวดไปถึงกระดองใจ แต่ไม่เป็นไรยังไหวอยู่
“สัญญาต้องเป็นสัญญาค่ะ แม้ว่าในตอนนี้พี่จะไม่รู้สึกอะไรกับซูมี่เลย ก็ตาม ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของซูมี่ที่จะทำให้พี่รู้สึกเอง”
ฉันขอประกาศไว้เลยว่า ถ้าทำให้พี่อลันรู้สึกแบบเดียวกันและยอมเป็นแฟนตามสัญญาไม่ได้ ก็อย่ามาเรียกว่าฉันว่า หลิน ซูมี่!
1 เดือนต่อมา @ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัย เวลา 06.00 น.“นักศึกษาชั้นปีที่ 4 เชิญเข้าหอประชุมเลยครับ” ประธานสโมสรนักศึกษาประกาศเสียงผ่านโทรโข่งเพื่อกวาดต้อนนักศึกษาแต่ละคณะเข้าหอประชุมเพื่อเตรียมเข้าพิธีรับประกาศนียบัตรจบการศึกษาวันนี้นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวนมหาศาลจากต่างคณะมารวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยโดยไม่ได้นัดหมาย ยังไม่นับรวมญาติสนิทมิตรสหายที่มาร่วมแสดงความยินดีกับว่าที่บัณฑิตป้ายแดงในอีกไม่กี่ชั่วโมง จำนวนผู้คนหลั่งไหลเข้ามาราวกับฝูงมด หากจะติดต่อหากันคงต้องบอกที่นัดหมายไว้ให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นคงพลัดหลงกันแน่ “ยัยมี่ทางนี้” ต้นข้าวชูมือขึ้นสูงเพื่อเรียกเพื่อนสาวที่กำลังเอามือถือแนบที่หูพลางกวาดสายตามองหาพวกเธอเมื่อซูมี่เห็นเป้าหมายจึงรีบเดินเบียดเสียดคนเข้าไปหาเพื่อนสาว “หวัดดีพวกแก ไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้” “จริง มาเข้าใจรุ่นพี่ปีก่อนก็ตอนนี้แหละเนอะมีมี่” ต้นรักเอ่ย“พวกเราเข้าไปห้องพิธีข้างในกันเถอะ ตรงนี้คนมันแน่นฉันหายใจไม่ออกแล้ว” ต้นข้าวเอ่ยชวน สามสาวเดินตามกันเข้าไปในห้องประชุมด้วยความทุลักทุเลกับชุดครุยที่ลากยาวติดพื้น ไหนจะรองเรื่องรองเท้าคัทชูที่สวมใส่กัดอีก ท
1 เดือนต่อมา@ คณะบริหารธุรกิจ“เย้! โปรเจคผ่านสักทีเว้ย!” แฝดสาวผู้พี่กระโดดโลดเต้นดีใจ“ดีใจเกินเหตุข้าว อย่าลืมสิว่ามีสอบอีกชุดใหญ่ไฟกะพริบ”แฝดผู้น้องย้ำเตือนเธอว่ายังเหลือโค้งสุดท้ายแห่งชีวิต ถ้าสอบไม่ผ่านก็เตรียมแหกโค้งปลิดชีพเรียนไม่จบไปได้เลย“เออว่ะ อย่าพูดสิฉันเศร้า” ต้นข้าวเสียงหงอยก่อนนั่งลงที่เก้าอี้แต่จะมีอยู่หนึ่งคนที่อยู่เหนือความเครียดและความกังวลใด ๆเพราะโลกของเธอช่างสดใสราวกับเดินเล่นอยู่ในดินแดนแห่งเวทมนตร์“คงจะมียัยมี่คนเดียวที่เบิกบานใจ” ต้นข้าวถึงกับหยิบปากกาขว้างไปที่หัวเหม่งของคนที่ถูกกล่าวถึง“โอ๊ย!ยัยข้าวเจ็บ” หญิงสาวที่โดนขว้างปากกาใส่หัวหันมาเรียกชื่อเพื่อนสาวฝาแฝด“มีความสุขเหลือเกินแม่สาวหมวย พอมีแฟนเป็นตัวเป็นตนก็เทเพื่อนเลยนะยะ” ต้นข้าวเอ่ยเชิงน้อยใจ“ฉันทิ้งพวกยูตรงไหน มา ๆ วันนี้มีแพลนไปไหนกัน ฉันไปด้วย”ซูมี่เอ่ยถามสองแฝดว่าวันนี้มีที่ไหนอยากไป เธอพร้อมจะไปด้วยเพื่อเป็นการไถ่โทษที่ช่วงนี้อยู่กับพวกเธอน้อยกว่าเดิม“ชิ ถ้าฉันบอกว่าอยากไปดื่มเหล้า แกจะไปกับพวกฉันเหรอ” ต้นข้าวเอ่ยถามทั้งที่รู้ว่าซูมี่คงไม่ไปด้วยแน่“ไปสิ ดื่มเหล้านี่ของชอบเลย” หญิงสาว
3 สัปดาห์ต่อมาความรักของชายหนุ่มกับหญิงสาวเริ่มสุกงอม หลายสัปดาห์ก่อนเขาและเธอได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นในสถานะความสัมพันธ์ที่เรียกว่าแฟนอลันตัดสินใจเปิดตัวซูมี่ต่อครอบครัวเขาและเธออย่างเป็นทางการโดยเชิญพวกท่านมาเป็นสักขีพยานช่วงทานอาหารมื้อค่ำที่โรงแรม HTND ทั้งคุณพ่อคุณแม่ของเขาและเธอต่างพากันตกใจในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทว่าพวกท่านก็ไม่ได้ขัดที่ทั้งคู่จะคบหาดูใจกันพร้อมทั้งเอ่ยปากร่วมแสดงความยินดีไปในตัว ถือว่าทั้งคู่โชคดีที่ครอบครัวเปิดไฟเขียวให้คบหาดูใจกันได้ตามสะดวก ทางครอบครัวซูมี่ยังเอ่ยฝากฝังลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนกับอลันไว้ด้วย ซึ่งเขารับปากสัญญาว่าจะดูแลเธอเป็นอย่างดีในวันนี้อลันขออนุญาตทางผู้ปกครองของซูมี่พาเธอไปเที่ยวหรือที่เรียกกันว่าชวนไปออกเดต หากเป็นคู่รักคู่อื่น ๆ คงจะพาไปดูหนัง กินข้าว ร้องคาราโอเกะ เดินเล่นในสวน แต่สำหรับพวกเขาซึ่งตัวติดกันอย่างกับหมากฝรั่ง สถานที่ที่เขาเดตกันก็มีเพียงที่เดียวที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวนั่นคือ คอนโดของชายหนุ่ม@ คอนโดของอลันเมื่อทั้งคู่เปิดประตูห้องเข้ามาแล้ววางสัมภาระไว้ที่โต๊ะเรียบร้อย ไม่ทันไรผู้ชายคลั่งรักก็พุ่งตัวเข้าไปสวมกอดแฟนสาวจา
@ คอนโดของอลันเวลา 08.30 น.กริ๊งงงง!เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือที่ตั้งเอาไว้โดยซูมี่ดังขึ้น เธอเอื้อมมือสุดแขนไปที่โต๊ะเล็กข้างเตียงเพื่อปิดมันก่อนจะดันตัวเองจากเตียงแล้วลุกนั่งตัวตรงในสภาพที่ยังไม่ลืมตาตื่น“อยากนอนต่อจัง…ไม่ได้สิ เราอยู่คอนโดพี่อลันนี่นา”ซูมี่สะดุ้งตัวฟื้นคืนสติว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ที่บ้าน ทว่ายังอยู่ที่คอนโดผู้ชายที่เธอน่าจะเรียกได้เต็มปากแล้วว่า…แฟนหนุ่มหญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงแล้วพับผ้าห่มอย่างประณีตตามหลักสูตรวิชาการโรงแรมที่เรียนมา ก่อนจะเดินไปเปิดประตูทักทายยามเช้ากับชายหนุ่ม“อรุณสวัสดิ์ค่าพี่อลัน เอ…ยังไม่ตื่นเหรอ”ซูมี่กวาดตามองทั่วทิศเพื่อหาผู้ชายร่างสูง และพบว่าเป้าหมายยังคงนอนหลับสนิทอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เธอค่อย ๆ ย่องฝีเท้าให้เบาประดุจดังขนนกมาหยุดอยู่ที่โซฟาก่อนจะย่อตัวลงเอามือชันเข่าพลางโน้มตัวจ้องมองใบหน้าของอลัน“คนอะไร ขนาดหลับยังหล่อเลย”เธอยื่นนิ้วเรียวเล็กเอื้อมไปปัดปอยผมข้างหน้าของอลันที่บังตาไว้เพื่อจะได้เห็นความหล่อของแฟนตัวเองชัด ๆหมับ!ยังไม่ทันจะได้ชื่นชมเต็มอิ่ม จู่ ๆ ข้อมือของเธอก็ถูกจับโดยผู้ชายที่นอนอยู่ แถมเขายังดึงร่างเธอใ
สามปีก่อน (สมัยซูมี่อยู่ปี 1 และซิงอีอยู่ ม.6) @ บ้านตระกูลหลินเวลา 19.00 น.“กลับมาแล้วค่ะ / ครับ” เสียงเด็กหนุ่มวัยมัธยมปลายและสาววัยมหาวิทยาลัยแจ้งคนในบ้านให้ทราบว่าพวกเขาเดินทางกลับถึงบ้านเป็นที่เรียบร้อย“วันนี้เป็นไงกันบ้างเด็ก ๆ ” คุณเพียงขวัญเอ่ยถามลูกรักทั้งสอง “เหนื่อยครับคุณแม่ ผมขอตัวไปนอนเลยนะครับ” ซิงอีพูดจบก็รีบขึ้นบันไดเข้าห้องนอนตัวเองทันที“อ้าว ไม่กินข้าวกินปลาก่อนเหรอลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยไล่หลังแต่ลูกชายไม่ตอบกลับอะไรเลย “เดี๋ยวซูมี่ไปดูน้องเองค่ะคุณแม่” ซูมี่รีบเดินขึ้นบันไดตามน้องชายตัวเองไปเธอมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพลางเคาะประตูขออนุญาตเปิดเข้าไป ภาพที่เธอเห็นคือซิงอีล้มตัวลงนอนทั้งที่ยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เลย “ซิงอี ลุกขึ้นไปอาบน้ำก่อนค่อยมานอน เชื้อโรคมันจะสะสม” “ไม่ไหวแล้วซูมี่ วันนี้ผมเหนื่อยมากขอนอนพักแป๊บ เดี๋ยวมีนัดเล่นเกมตอนดึกกับเพื่อนต่อ” แปะ! พี่สาวตีไปที่หลังน้องชายเสียงดังแปะในขณะที่เขานอนคว่ำหน้าอยู่“โอ๊ย! พี่ทำไรเนี่ย” จนเขาต้องหันหน้ามาคุยกับเธอ “หมั่นไส้ ห่วงเล่นเกมอยู่ได้ หนังสืออ่านมั่งไหม ปีนี้แกต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนะ” “เออผมรู้แ
@ WithUs Café and Restaurantแอ๊ด...ประตูถูกเปิดอีกครั้งหลังจากสามสิบนาทีก่อนหน้าถูกปิดลง หญิงสาวที่นั่งรอใครบางคนหันไปในทิศทางที่ประตูเปิดออกแล้วเผยรอยยิ้มให้ผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามา“ดีใจจัง พี่อลันกลับมาแล้ว”ขณะเดียวกันผู้ชายคนนั้นก็เดินปรี่เข้ามาสวมกอดผู้หญิงตรงหน้า“พี่คิดถึงเราจัง”เมื่อหญิงสาวได้ยินเขาเอ่ยแบบนี้จึงดันตัวเขาออกทันที คนที่สวมกอดถึงกับทำหน้างง“ถามจริง นี่ใช่พี่อลันตัวจริงหรือเปล่าคะ” ซูมี่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย“ซูมี่…เราพูดอย่างกับพี่มีฝาแฝดอีกคนไปได้” คำตอบของเขาจะสื่อว่าไม่มีใครจะตัวจริงไปกว่านี้อีกแล้ว“ปกติพี่อลันไม่เคยทำตัวแบบนี้นี่นา ซูมี่แตะทีหรือกอดทีตะโกนโหวกเหวกตกใจทุกทีเลย”“มันเมื่อก่อนไหม ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว”“ไม่เหมือนเดิมยังไงคะ”“ก็เราเป็นแฟนของพี่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”อลันกระชับกอดเอวบางแน่นขึ้น แถมยังพูดคำที่ซูมี่โคตรจะแพ้ใส่ไปในประโยคด้วย“ถ้าบอกยกเลิกตอนนี้ทันไหมคะ” ซูมี่ลองแกล้งพูดอำอลันเชิงขำขัน ทว่าเขาดันไม่รู้สึกขำด้วย“ลองดูสิ” อลันให้คำตอบสั้น ๆ พร้อมยักคิ้วให้“ได้ใช่ม้า”“เราก็ลองดูสิ แล้วเดี๋ยวก็รู้ว่าพี่จะทำยังไงต่อกับเรา”อลันไม่