ไหน ๆ เราสองคนก็แต่งงานกันแล้ว แต่ไม่ได้เกิดจากความรัก เพราะงั้นเรื่องอันตรายอะไรคงไม่มีทางเกิดขึ้น (หรอกมั้งนะ) ฉันพยายามบอกตัวเองไม่ก็กำลังหลอกตัวเองอยู่นั่นแหละ
เอาแค่ตอนนี้ พี่ภีมม์ถอดเสื้อสูทแล้วแขวนไว้ที่แขน ตามด้วยปลดกระดุมแขนเสื้อออกที่ละเม็ด เท่านี้ฉันก็เริ่มหายใจติดขัดแล้ว คนอะไรไม่รู้ขนาดท่าปลดกระดุมยังเท่ห์
“เราอาบน้ำก่อนไหมเดี๋ยวพี่ค่อยอาบทีหลังก็ได้” เขาเงยหน้าขึ้นมามองอย่างกับรู้ตัวว่าฉันกำลังนั่งแอบมองการกระทำของเขาอยู่
“พี่ภีมม์อาบก่อนเลย เฟิร์นรอได้ เฟิร์นอาบน้ำนาน”
“พี่ก็อาบน้ำนาน หรือเราจะอาบพร้อมกันเลย”
“หา...” ฉันถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินที่พี่ภีมม์พูดออกมา ส่วนเขาก็ยกยิ้มออกมาน้อย ๆ เหมือนพูดแกล้งยั่วให้ฉันกลัว
“ว่าไงครับ จะอาบพร้อมกันหรือเราจะอาบก่อนพี่” พอเขายื่นข้อเสนอมาอีก คราวนี้ฉันไม่กล้าลีลาเลยรีบตอบตกลงทันที ขืนไม่รีบฉันกลัวต้องอาบน้ำด้วยกันอย่างที่พี่ภีมม์ว่า
แต่...อื้อ ชุดแต่งงานทำไมมันถอดยากแบบนี้นะ ฉันเอื้อมแขนหมายจะรูดซิปที่อยู่ตรงแผ่นหลังออก แต่รูดมาได้ครึ่งเดียวมือก็เอื้อมไม่ถึงแล้ว ก็ตอนแต่งตัวมีช่างแต่งหน้าแต่งตัวมาให้นี่นา ใครจะไปรู้ว่าชุดแต่งงานถอดกันยากแบบนี้
“มานี่ หันหลังมา พี่ถอดให้”
“ตะ แต่...”
“หรือเราจะแต่งตัวนอนทั้งแบบนี้?”
“ก็ได้ค่ะ” ฉันหน้างอเล็กน้อย จำต้องลุกขึ้นยืนหันหลังให้ภีมม์อย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก ส่วนพี่ภีมม์ก็ทำท่าเขยิบเข้ามาใกล้แผ่นหลังของฉัน ชนิดที่ใกล้มาก ๆ ใกล้จนเหมือนสัมผัสลมหายใจที่พ่นอยู่แถว ๆ หู
ซิปถูกเลื่อนลงช้า ๆ ตามด้วยปลายนิ้วที่ไล้ลงแผ่นหลังอย่างแผ่วเบา จนทำให้ฉันขนลุก รู้ตัวอีกทีซิปก็เลื่อนไปอยู่ตรงเกือบ ๆ แถวก้น จนฉันรู้สึกวูบวาบตรงปลายนิ้วที่เขาเลื่อนต่ำลงมา เพราะสัมผัสแปลก ๆ ทำให้ฉันหมุนตัวกลับไปประจันหน้ากับคนที่รูดซิปช้ามาก ช้าแบบตั้งใจอย่างไงไม่รู้
“พะ พอแล้วค่ะ ที่เหลือเฟริน์ถอดชุดเองได้ ขอบคุณนะคะ”
สายตาพี่ภีมม์ก้มมองต่ำลงมาอยู่แวบหนึ่ง ทำให้ฉันรู้ตัวเองว่าพลาดที่หันกลับมา เพราะทันทีที่ซิปถูกรูดลงมาจนถึงสะโพก เกาะอกมันก็หลุดลงมาจนเห็นหน้าอกของฉันที่แปะด้วยซิลิโคน
“กะ กรี๊ดดดด” ฉันรีบคว้าชุดแต่งงานที่กำลังจะหลุดไม่หลุดแหล่ โกยขึ้นมาปิดมาไว้ที่อก
“มะ ไม่เห็น ไม่เห็นใช่ไหมคะ”
“ครับ พี่มองแค่แป๊บเดียว”
โอ๊ยยยยย...ตอบแบบนี้ก็คือเห็นแล้วเหอะ งื้อ...น่าอายชะมัด
ฉันรีบหอบชุดแต่งงานยกขึ้นมาทั้งแบบนั้น ตั้งใจจะวิ่งหนีความอายตรงไปที่ห้องน้ำ แต่แม่เจ้า! เพราะชุดแต่งงานยาว ๆ แบบนี้ทำให้ฉันเผลอเหยียบมันเต็มเท้า และก็นั่นแหละ....ตามที่คิดเลย
ในขณะที่ท้าวเหยียบชายชุดแต่งงานจนถลาไปข้างหน้า ชุดมันก็เลยกองไปอยู่ที่ปลายเท้า และโชคดีที่ฉันไม่ทันล้มลงไปกองที่พื้นตามชุดเพราะท่อนแขนของพี่ภีมม์รั้งตัวฉันเอาไว้ทันก่อนจะล้มลงไป
แต่..
งื้อ...หน้าอกฉันที่แปะแค่ซิลิโคน ดันอยู่ตรงแขนของพี่ภีมม์พอดีเลย
“กรี๊ดดดดดดดดดดด”
ฉันรีบเด้งตัวออกมาจากอ้อมแขนของพี่ภีมม์ แต่เหมือนซิลิโคนเจ้ากรรมช่างไม่รักดี อาจจะเพราะแรงเสียดสีกับท่อนแขนแกร่งของเขา มันเลยหลุดออกมาหน้าตาเฉย
“กรี๊ดดดดดดดดดดด”
เสียงกรี๊ดสนั่นขอฉันดังออกมาเป็นรอบสอง ก่อนที่ฉันจะตั้งสติได้แล้วรีบโกยเอาชุดเจ้าสาวเข้ามาปิดที่หน้าอกอีกครั้ง
“พะ...พี่ภีมม์ไม่ได้มองใช่ไหมคะ” ฉันถามแบบไม่ได้คาดหวังเอาคำตอบ เพราะลำพังแค่เห็นใบหน้าที่แดงจัดของพี่ภีมม์ที่กำลังเบือนหน้าไปทางอื่นแต่กลับมีสีหน้าแดงจัดไปจนถึงใบหู ฉันก็พอรู้คำตอบได้ทันที ยิ่งพี่ภีมม์เลือกที่จะไม่ตอบคำถามยิ่งทำฉันแทบอยากจะร้องไห้
“ฟะ...เฟิร์นไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
“ระวังหกล้มอีกนะครับ” เสียงพูดไล่ตามหลังของพี่ภีมม์ ทำให้ฉันไม่รู้อายจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ไหน พอเข้ามาในห้องน้ำได้ฉันก็ได้แต่กรี๊ด กรี๊ดแบบไม่มีเสียงเป็นสิบ ๆ รอบ ๆ แต่ดูเหมือนพี่ภีมม์จะรู้เพราะฉันได้ยินเสียงพี่ภีมม์ตะโกนเข้ามา
“เมื่อกี้พี่มองไม่ทันหรอกครับ ไม่ต้องคิดมาก พี่เห็นแค่ซิลิโคนที่มันหลุดออกมาเท่านั้น”
หึ...คราวนี้ฉันยิ่งกรี๊ดหนักไปกันใหญ่ เห็นซิลิโคนหลุดก็ต้องเห็นนมฉันไหม เขานี่โกหกไม่เนียนเอาเสียเลย สู้ไม่พูดออกมายังดีกว่า
น่าอายที่สุด
น้องเกิด 1 กุมภาพันธ์ วั้นนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเพราะคุณแม่น้องเพิ่งคลอดใหม่ๆและเขาเจอน้องครั้งแรกในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั่นเป็นครั้งแรกที่ภีมม์เจอกับใบเฟิร์นทั้งสองบ้านสนิทกันมากไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ จนกระทั่งครอบครัวของภีมม์ ย้ายไปทำธุรกิจที่เมืองอเมริกา ภีมม์เลยไม่ได้มาหาใบเฟิร์นอีกแต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยลืมที่ตัวเองมีเจ้าสาว…#ภีมม์ตอน 9 ขวบ“แม่ครับ มีผู้หญิงเอาดอกกุหลาบมาให้ภีมม์ แต่ภีมม์ไม่รับไว้ ผิดไหมครับ”“อ้าว ทำไมละลูก”“ภีมม์บอกเขาว่าภีมม์มีเจ้าสาวแล้ว ภีมม์รับดอกไม้จากใครไม่ได้อีก ภีมม์ไม่ชอบให้ผู้หญิงคนอื่นมาทำแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ ภีมม์ขอแต่งงานกับน้องเฟิร์นเลยได้ไหมครับ”ตอนนี้ภีมม์โตขึ้นพอที่จะรู้ความหมายของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่หมายถึงคนที่ต้องแต่งงานอยู่ด้วยกัน“ไม่ได้ลูก น้องเพิ่ง 2-3 ขวบเอง เอาไว้ให้น้องเรียนจบมหาวิทยาลัยก่อนนะลูก”“งั้นถ้าจบ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ใบเฟิร์นเป็นเจ้าสาวของภีมม์เลยนะครับ”“น้องภีมม์ครับ การเป็นเจ้าบ่าวคนไม่ใช่แค่เราไปขอเขาแต่งงานแล้วแต่งงานกันได้เลยนะครับ ก่อนอื่นลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่ง ให้ได้ทำงานดี ๆ เป็นผู้นำคน มีอาชีพแ
“ภีมม์เข้ามาดูน้องสิลูก”เสียงผู้เป็นแม่หันมาเรียกลูกชายวัยเจ็ดขวบ เดินเข้ามาที่เตียงทารกตัวน้อยจิ้มลิ้มตัวแดง ๆ แก้มจ้ำม้ำที่ขยับตัวดุกดิ๊กไปมาอยู่บนเตียง“น่ารักจัง ตุ๊กตาหรือครับหม่าม๊า”“น้องเป็นคนจ๊ะ ไม่ใช่ตุ๊กตา”ภีมม์ขยับเข้าไปใกล้ด้วยความสนใจ สองมือจับขอบเตียงเด็ก จ้องมองทารกตัวน้อยที่ลืมตาแป๋วแหว๋ว ก่อนที่เด็กน้อยจะยิ้มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างไม่รู้ภาษา มือน้อยควานสะเปะสะปะไปทั่ว ส่งผลให้ภีมม์ลองยื่นนิ้วชี้เข้าไปให้เด็กตัวน้อยจับด้วยความอยากรู้หมับ!มือเล็ก ๆ ของเธอนุ่มนิ่ม แต่จับเขาเอาไว้แน่นมาก“หม่าม๊าครับ น้องจับมือภีมม์แน่นเลย” ภีมม์ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนใช้นิ้วชี้อีกข้างที่ว่างอยู่ จิ้มแก้มซาลาเปาของเด็กตัวน้อยเพราะดูนุ่มหยุ่นไปหมด“จับแน่นแบบนี้ แสดงว่าน้องจองภีมม์ไว้เป็นเจ้าบ่าวแน่ ๆ เลย” เสียงคุณน้าที่นอนอยู่บนเตียงและเป็นแม่ของเด็กทารกน้อยเอ่ยขึ้น“เจ้าบ่าว? เจ้าบ่าวคืออะไรครับ”“เจ้าบ่าวก็คือคนที่ต้องอยู่กับน้องไปตลอดชีวิตยังไงคะ”“หมายถึง ให้น้องใช้มือนุ่ม ๆ จับมือภีมม์แบบนี้ไปตลอดแบบนี้เลย นะเหรอครับ?”“ใช่จ๊ะ จับมือกันไปตลอดจนแก่เฒ่า”“แล้วปล่อยได้ไหมครับ”“
หลังจากที่เราปรับความเข้าใจกัน ถึงตอนนี้ฉันก็ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาอะไรนั่นอีกแล้ว นอกจากจะเอาตัวเองมุ่งมั่นกับงานที่ทำ อย่างน้อยก็เพื่อให้งานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของพี่ภีมม์ดีที่สุด และเพื่อเป็นลบคำสบประมาทที่ใครต่อใครอาจจะนินทาฉันได้อีก ยิ่งตอนนี้พอมีพี่ภีมม์คอยให้กำลังใจและสนับสนุนงานฉันเต็มที่ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีพลังบวกเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่าถึงตอนนี้แม้คนจะยังคงซุบซิบเรื่องเดิม ๆ ของเรา แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันให้ความสนใจกับมันอีกต่อไป เพราะตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ฉันควรให้ความสนใจและสำคัญที่สุด คือความรักของฉันกับพี่ภีมม์มากกว่าที่มันมีมากขึ้นทุกวันต่างหากวันงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัททีเคยนต์มาถึงแน่นอนว่าเพราะเป็นรถนำเข้าหรูราคาหลายสิบล้าน ทำให้งานนี้เหล่าบรรดาเซเลปและสื่อมวลชนต่างให้ความสนใจกับงานวันนี้เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงคุณเจนนี่ที่ถูกเชิญมาเป็นแขกพิเศษมาร่วมงาน แต่กลับชอบทำตัวเสนอหน้าไปยืนอยู่ข้างพี่ภีมม์ทำเสมือนเป็นคนสำคัญข้างกายเขาเฮ้อ...จะว่าไปเธอก็น่าสงสารนะพยายามทำทุกอย่างก็แล้ว ก็ยังเป็นได้แค่เพื่อนฉันพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้นแต่สุดท้า
อึก...พออ่านถึงตรงนี้ น้ำตาฉันก็ไหลออกมาหนักกว่าเก่า(เห็นโน้ตที่พี่เขียนเอาไว้ไหมครับ) เสียงพี่ภีมม์แทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไปมีแต่เพียงสะอื้นที่แทรกเข้าไปในปลายสายเบา ๆ“ฮือ เห็นแล้วค่ะ ฮือ...พี่ภีมม์เฟิร์นขอโทษ”ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาเข้ามาในหัวใจ สุดท้ายแล้วพี่ภีมม์เองต่างหากที่เป็นฝ่ายรอรับสายโทรศัพท์มือถือจากฉัน ส่วนตอนนั้นที่ฉันโทรหาเขาไม่ติด ใช่ว่าพี่ภีมม์จะปิดเครื่องหนีแต่ความจริงแล้วตอนนั้นเขาอาจกำลังอยู่บนเครื่องบินเลยไม่ได้เปิดมือถือก็เป็นได้บ้าที่สุด ฮือ....(เฟิร์นครับ ถ้าพี่ทำให้เฟิร์นร้องไห้พี่ขอโทษนะ)“เฟิร์นต่างหากที่ควรขอโทษพี่ภีมม์”พี่ภีมม์วางสายไปแล้ว ในขณะที่ฉันหยิบกระดาษที่พี่ภีมม์ขึ้นมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาน้ำตามันไหลออกมาไม่หยุดเลย มีแต่ฉันที่คิดเองเออเองไปคนเดียวทั้งนั้นแล้วตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ฉันนั่งเสียใจและคิดมากอยู่เป็นคนเดียวทั้งเดียวล่ะ คืออะไรหลังจากที่ฉันวางสายจากพี่ภีมม์น้ำตามันก็ไหลออกมาราวกับทำนบแตก ครั้งนี้ฉันถึงได้ตระหนักเสียงหัวใจของตัวเองว่า ในเวลาที่ฉันไม่มีเขาหรือถ้าต้องเลิกกับเขาฉันคงทนไม่ไหวแน่ นี่สินะที่ใครๆ บอกไว้ว่าเราจะรู้ค่าขอ
ฉันรู้สึกจุกนิดหน่อยที่พวกเอ่ยถึงคุณเจนนี่ ดูเหมือนคุณเจนนี่น่าจะมีอิทธิพลต่อคนกลุ่มนี้พอสมควร ความจริงมันก็ไม่แปลกนักหรอกเพราะคุณเจนนี่มาหาพี่ภีมม์มากกว่าฉันที่เป็นภรรยาตัวจริงเสียอีก ซึ่งฉันไม่แปลกใจอะไรเลยสักนิดเมื่อคิดขึ้นได้ว่าพวกหล่อนอาจจะสนิทกับคุณเจนนี่มากพอสมควร“ถ้าพวกคุณว่างมากน่าจะไปทำงานกันนะคะ ถ้าคุณภีมม์รู้ว่าจ้างคนแบบพวกคุณมาทำงานเขาคงไม่ค่อยโอเค เห็นทีฉันคงต้องรายงานพี่ภีมม์บ้างแล้วละ”“แหมทำตัวเนียนเหมือนเป็นภรรยาเจ้าของบริษัทตัวจริงเลยนะ โน้นจ๊ะคุณภีมม์กับภรรยาตัวจริงเขาตอนที่อยู่ที่วอชิงตันดีซี” ไม่พูดเปล่าผู้หญิงคนนั้นยังเปิดรูปจากไอจีคุณเจนนี่ ที่เช็กอินอยู่ที่รัฐวอชิงตันดีซีมาให้ฉันดูแน่นอนในรูปมีพี่ภีมม์อยู่ในรูปของเธอจริง ๆภาพที่เห็นแม้สองคนจะไม่ได้ยืนใกล้ชิดกันแบบสนิทสนมแต่ก็ทำให้รู้ว่าทั้งสองคนอยู่ที่เดียวกันนี่สินะ...สาเหตุของการไม่โทรหาฉันเลยตลอดอาทิตย์นี้หัวใจมันชาจนแทบไม่มีความรู้สึก เมื่อเห็นว่าพี่ภีมม์อยู่กับคุณเจนนี่ที่อเมริกา ถึงจะเป็นรูปที่เธอเช็กอินเมื่อสองสามวันก่อน แต่มันทำให้มั่นใจได้เลยว่าคุณเจนนี่กับพี่ภีมม์คงเดินทางไปด้วยกันจากที่ตั้งใจจะ
น้ำตามันไหลออกมาจากไหนมากมายหนักก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันร้องไห้จนเผลอหลับไปบนที่นอน จนตอนเช้าของอีกวันเช้าที่ไม่มีพี่ภีมม์อยู่ข้าง ๆ ฉันต้องลากตัวเองเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวทั้งที่ตายังบวมเป่งจนเกือบจะปิด ดูตลกมากเสียจนต้องหาอะไรเย็น ๆ มาประคบเปลือกตาให้ยุบลงก่อนไปทำงาน“คุณเฟิร์น” ในขณะที่ฉันยืนเรียกรถ TAXI อยู่หน้าตึกก็พบว่าคนขับรถของพี่ภีมม์มารออยู่ก่อนแล้ว“อ้าว! สวัสดีค่ะคุณโจ มารับพี่ภีมม์เหรอคะพี่ภีมม์ไม่อยู่หรอกค่ะ น่าจะติดธุระ”“อ่อทราบแล้วครับ เมื่อวานผมเพิ่งไปส่งคุณภีมม์ขึ้นเครื่อง”“คะ...ขึ้นเครื่อง?”“คุณภีมม์ได้บอกคุณเฟิร์นเหรอครับ เห็นว่ามีประชุมด่วนกับบอร์ดบริหารของรถยนต์”“ออค่ะ เฟิร์นไม่ทราบเลย” ฉันพูดเพราะไม่รู้จริง ๆ พี่ภีมม์ไม่ได้บอกอะไรฉันเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะไปไหน อย่าว่าแต่เปิดเครื่องรับสายฉันหรือโทรมาเขายังไม่โทรมาด้วยซ้ำคุณโจทำสีหน้างง ๆ ก่อนจะเปิดประตูรถให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถ“เมื่อวานคุณภีมม์บอกว่าคุณน่าจะไม่สบายเลยให้นอนพักครับ ผมก็นึกว่าคุณจะไม่ออกไปทำงานเลยไม่ได้กลับมารอรับ”“อ่าค่ะ” ฉันซึ่งยังมึนงงอยู่เพราะไม่รู้ว่าพี่ภีมม์ไปไหนเลยยังสับสนอยู่เล็กน้อยจริงสินะเมื่อ