โชคดีที่ฉันเตรียมชุดนอนแบบกางเกงลายการ์ตูนรูปเป็ดสีเหลืองมาด้วย ชนิดที่ว่าไม่ได้มีความเซ็กซี่ที่พอจะยั่วยวนให้ใครเกิดอารมณ์ได้ แต่กระนั้นพอพี่ภีมม์ไปอาบน้ำ ฉันก็รีบกระโดดขึ้นเตียงนอนก่อนเอาผ้าห่มพันตัวเองจนแทบไม่เหลืออากาศให้หายใจ
พี่ภีมม์อาบน้ำร่วมครึ่งชั่วโมง เขาอาบน้ำนานจริง ๆ อย่างที่เขาบอกไว้ นี่สินะที่มีคนบอกกันว่าคนที่มีอาชีพเซลล์มักจะพิถีพิถันเสมอ
“ทำไมเฟิร์นนอนแบบนั้นล่ะครับ ไม่อึดอัดแย่เหรอ” เสียงพี่ภีมม์ที่เดินออกมาพร้อมผ้าขนหนูพันรอบเอวแค่ผืนเดียว ในขณะที่ฉันมีสภาพเหมือนดักแด้
“ดะ เดี๋ยวทำไมพี่ภีมม์แต่งตัวแบบนี้ค่ะ”
“ปกติพี่ใส่แต่บ็อกเซอร์นอนครับ มันสบายดี”
“แต่...”
“ไม่ต้องคิดมากครับ แค่นอนเตียงเดียวกัน ถึงวันนี้เราจะเพิ่งแต่งงานกันแต่พี่ไม่ชอบทำอะไรใครถ้าอีกฝ่ายไม่เต็มใจ”
หืม...คำพูดของพี่ภีมม์ฟังแล้วดูดี เป็นสุภาพบุรุษเอามาก ๆ แต่ใจฉันสิมันเต้นแรงจนแทบจะเป็นบ้า คิดเอาเถอะฉันผู้เวอร์จิ้นไม่เคยคบกับผู้ชายเลยแม้แต่คนเดียว แต่ตอนนี้ฉันต้องนอนกับผู้ชายที่มีซิกแพคขาว ๆ ลอนเป็นลูก ๆ ราวกับปั้นมาตรงกล้ามท้องแน่นนั่น ทำเอาหัวใจของฉันเต้นไม่เป็นจังหวะ ขนาดเวลาไปว่ายน้ำฉันก็เห็นผู้ชายเปลือยท่อนบนมาตั้งเยอะแยะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเคยใจสั่นขนาดนี้
พี่ภีมม์ขยับตัวนอนลงข้าง ๆ ฉัน กลิ่นหอมจากตัวเขามันทำให้ฉันรู้สึกแปลก ๆ ตั้งแต่เกิดมาเรียกว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่ต้องนอนร่วมเตียงกับผู้ชาย แถมยังตัวหอมเอามาก ๆ
แล้วแบบนี้ใครมันจะไปนอนหลับลง…..
ใช่...ใครมันจะไปหลับลง
…….
…….
"น้องเฟิร์นครับ"
"อื้อ..."
"น้องเฟิร์นครับเช้าแล้วนะครับ...”
เสียงใครสักคนเรียกฉันอยู่แสนไกลแต่อยู่ ๆ กลับชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนอยู่ใกล้แค่ตรงข้างหู ...
"น้องเฟิร์นครับ"
เสียงทุ้มหล่อชัดเจนขึ้น ในตอนที่ฉันกำลังเดินท่ามกลางดงดอกไม้ ส่วนตัวฉันกำลังใส่ชุดเจ้าสาวที่สวยมาก ๆ ตรงหน้าฉันมีผู้ชายที่หล่อมาก หล่อแบบตะโกนกำลังส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้ฉัน เขายื่นมือมาให้ฉันจับและแค่เพียงเสี้ยวนาทีเขากลับดึงรอบเอวฉันเข้าไปหาพร้อมกับโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้
ขะ...เขากำลังจะจูบฉัน ลมหายใจอุ่น ๆ ที่ใกล้เข้ามาพร้อมกับสัมผัสที่นิ่มหยุ่นระหว่างริมฝีปากที่กำลังจรดกัน
อื้อออ....รสจูบมันคืออะไรทำไมมันถึงรู้สึกดีแบบนี้นะ
แต่...นี่มันจูบแรกของฉันเลยนะ
อ๊ะ....
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นทันที!
ฉันลืมตาขึ้นปริบ ๆ แผงอกขาว ๆ ที่อยู่ตรงหน้าในระยะกระชั้นชิดไม่ถึงห้าเซนติเมตร แถมฉันกำลังทั้งก่ายทั้งกอดเขาราวกับเป็นหมอนข้าง ฉะ...ฉันไม่ได้ฝันไป
ตอนนี้ฉันถึงตระหนักได้ว่า ฉันเพิ่งแต่งงานไปแล้วเมื่อวาน....
ฉันเด้งตัวลุกขึ้นจนรู้สึกเหมือนศีรษะไปกระแทกคางของใครสักคน...
อุฟ!
โอ๊ย!
“ขอโทษค่ะพี่ภีมม์ เฟิร์นไม่ได้ตั้งใจเจ็บไหมคะ”
“ไม่ครับไม่เป็นไร” ปากพี่ภีมม์บอกไม่เป็นไร แต่มือคลำคางป้อย ๆ จนฉันเริ่มรู้สึกผิด แถมพอนึกถึงสภาพเมื่อคืนที่ตัวเองเป็นฝ่ายเข้าไปกอดก่ายเข้าก็ยิ่งรู้สึกอายเข้าไปกันใหญ่
“เออ...พี่ภีมม์หิวหรือยังค่ะ เดี๋ยวเฟิร์นลงไปทำอะไรให้กัน มะ..หมายถึงอาหารเช้าแบบง่าย ๆ อ่าค่ะ”
“ครับ อะไรก็ได้ครับ”
“แล้วก็เฟิร์นขอโทษที่นอนดิ้นไปหน่อย แล้วก็ตื่นสายไปหน่อย คือเมื่อคืนเฟิร์นนอนไม่ค่อยหลับ”
“นอนไม่หลับ?” พี่ภีมม์ทำหน้าเหมือนไม่ค่อยเชื่อว่าฉันนอนไม่หลับ
ชิ...เอาเป็นว่าฉันนอนไม่หลับแค่ตอนแรกจริง หลังจากนั้นพอมันเคลิ้ม ๆ ฉันก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าฉันหลับไปตอนไหน ไอเราก็นึกว่านอนกอดหมอนข้างมาทั้งคืน ก็เลยมีบ้างที่ทั้งเผลอทั้งกอดและก่าย
ที่สำคัญตอนที่ฉันฝันว่าเราจูบกัน...รู้สึกมันเหมือนจริงมาก เหมือนจนฉันยังรู้สึกว่าริมฝีปากของฉันยังได้ไออุ่นจากปากของพี่ภีมม์อยู่
มันไม่เหมือนกับเมื่อวานที่เราสองคนตอนแต่งงานกัน นาทีที่ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวจูบสาบานกัน มันเป็นจูบที่แค่เพียงปากแตะกันแล้วออกไปเลยทันที ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรขนาดนั้น
แต่...ที่ฉันฝันมันนุ่มนวลสุด ๆ เลย
น้องเกิด 1 กุมภาพันธ์ วั้นนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเพราะคุณแม่น้องเพิ่งคลอดใหม่ๆและเขาเจอน้องครั้งแรกในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั่นเป็นครั้งแรกที่ภีมม์เจอกับใบเฟิร์นทั้งสองบ้านสนิทกันมากไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ จนกระทั่งครอบครัวของภีมม์ ย้ายไปทำธุรกิจที่เมืองอเมริกา ภีมม์เลยไม่ได้มาหาใบเฟิร์นอีกแต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยลืมที่ตัวเองมีเจ้าสาว…#ภีมม์ตอน 9 ขวบ“แม่ครับ มีผู้หญิงเอาดอกกุหลาบมาให้ภีมม์ แต่ภีมม์ไม่รับไว้ ผิดไหมครับ”“อ้าว ทำไมละลูก”“ภีมม์บอกเขาว่าภีมม์มีเจ้าสาวแล้ว ภีมม์รับดอกไม้จากใครไม่ได้อีก ภีมม์ไม่ชอบให้ผู้หญิงคนอื่นมาทำแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ ภีมม์ขอแต่งงานกับน้องเฟิร์นเลยได้ไหมครับ”ตอนนี้ภีมม์โตขึ้นพอที่จะรู้ความหมายของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่หมายถึงคนที่ต้องแต่งงานอยู่ด้วยกัน“ไม่ได้ลูก น้องเพิ่ง 2-3 ขวบเอง เอาไว้ให้น้องเรียนจบมหาวิทยาลัยก่อนนะลูก”“งั้นถ้าจบ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ใบเฟิร์นเป็นเจ้าสาวของภีมม์เลยนะครับ”“น้องภีมม์ครับ การเป็นเจ้าบ่าวคนไม่ใช่แค่เราไปขอเขาแต่งงานแล้วแต่งงานกันได้เลยนะครับ ก่อนอื่นลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่ง ให้ได้ทำงานดี ๆ เป็นผู้นำคน มีอาชีพแ
“ภีมม์เข้ามาดูน้องสิลูก”เสียงผู้เป็นแม่หันมาเรียกลูกชายวัยเจ็ดขวบ เดินเข้ามาที่เตียงทารกตัวน้อยจิ้มลิ้มตัวแดง ๆ แก้มจ้ำม้ำที่ขยับตัวดุกดิ๊กไปมาอยู่บนเตียง“น่ารักจัง ตุ๊กตาหรือครับหม่าม๊า”“น้องเป็นคนจ๊ะ ไม่ใช่ตุ๊กตา”ภีมม์ขยับเข้าไปใกล้ด้วยความสนใจ สองมือจับขอบเตียงเด็ก จ้องมองทารกตัวน้อยที่ลืมตาแป๋วแหว๋ว ก่อนที่เด็กน้อยจะยิ้มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างไม่รู้ภาษา มือน้อยควานสะเปะสะปะไปทั่ว ส่งผลให้ภีมม์ลองยื่นนิ้วชี้เข้าไปให้เด็กตัวน้อยจับด้วยความอยากรู้หมับ!มือเล็ก ๆ ของเธอนุ่มนิ่ม แต่จับเขาเอาไว้แน่นมาก“หม่าม๊าครับ น้องจับมือภีมม์แน่นเลย” ภีมม์ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนใช้นิ้วชี้อีกข้างที่ว่างอยู่ จิ้มแก้มซาลาเปาของเด็กตัวน้อยเพราะดูนุ่มหยุ่นไปหมด“จับแน่นแบบนี้ แสดงว่าน้องจองภีมม์ไว้เป็นเจ้าบ่าวแน่ ๆ เลย” เสียงคุณน้าที่นอนอยู่บนเตียงและเป็นแม่ของเด็กทารกน้อยเอ่ยขึ้น“เจ้าบ่าว? เจ้าบ่าวคืออะไรครับ”“เจ้าบ่าวก็คือคนที่ต้องอยู่กับน้องไปตลอดชีวิตยังไงคะ”“หมายถึง ให้น้องใช้มือนุ่ม ๆ จับมือภีมม์แบบนี้ไปตลอดแบบนี้เลย นะเหรอครับ?”“ใช่จ๊ะ จับมือกันไปตลอดจนแก่เฒ่า”“แล้วปล่อยได้ไหมครับ”“
หลังจากที่เราปรับความเข้าใจกัน ถึงตอนนี้ฉันก็ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาอะไรนั่นอีกแล้ว นอกจากจะเอาตัวเองมุ่งมั่นกับงานที่ทำ อย่างน้อยก็เพื่อให้งานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของพี่ภีมม์ดีที่สุด และเพื่อเป็นลบคำสบประมาทที่ใครต่อใครอาจจะนินทาฉันได้อีก ยิ่งตอนนี้พอมีพี่ภีมม์คอยให้กำลังใจและสนับสนุนงานฉันเต็มที่ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีพลังบวกเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่าถึงตอนนี้แม้คนจะยังคงซุบซิบเรื่องเดิม ๆ ของเรา แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันให้ความสนใจกับมันอีกต่อไป เพราะตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ฉันควรให้ความสนใจและสำคัญที่สุด คือความรักของฉันกับพี่ภีมม์มากกว่าที่มันมีมากขึ้นทุกวันต่างหากวันงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัททีเคยนต์มาถึงแน่นอนว่าเพราะเป็นรถนำเข้าหรูราคาหลายสิบล้าน ทำให้งานนี้เหล่าบรรดาเซเลปและสื่อมวลชนต่างให้ความสนใจกับงานวันนี้เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงคุณเจนนี่ที่ถูกเชิญมาเป็นแขกพิเศษมาร่วมงาน แต่กลับชอบทำตัวเสนอหน้าไปยืนอยู่ข้างพี่ภีมม์ทำเสมือนเป็นคนสำคัญข้างกายเขาเฮ้อ...จะว่าไปเธอก็น่าสงสารนะพยายามทำทุกอย่างก็แล้ว ก็ยังเป็นได้แค่เพื่อนฉันพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้นแต่สุดท้า
อึก...พออ่านถึงตรงนี้ น้ำตาฉันก็ไหลออกมาหนักกว่าเก่า(เห็นโน้ตที่พี่เขียนเอาไว้ไหมครับ) เสียงพี่ภีมม์แทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไปมีแต่เพียงสะอื้นที่แทรกเข้าไปในปลายสายเบา ๆ“ฮือ เห็นแล้วค่ะ ฮือ...พี่ภีมม์เฟิร์นขอโทษ”ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาเข้ามาในหัวใจ สุดท้ายแล้วพี่ภีมม์เองต่างหากที่เป็นฝ่ายรอรับสายโทรศัพท์มือถือจากฉัน ส่วนตอนนั้นที่ฉันโทรหาเขาไม่ติด ใช่ว่าพี่ภีมม์จะปิดเครื่องหนีแต่ความจริงแล้วตอนนั้นเขาอาจกำลังอยู่บนเครื่องบินเลยไม่ได้เปิดมือถือก็เป็นได้บ้าที่สุด ฮือ....(เฟิร์นครับ ถ้าพี่ทำให้เฟิร์นร้องไห้พี่ขอโทษนะ)“เฟิร์นต่างหากที่ควรขอโทษพี่ภีมม์”พี่ภีมม์วางสายไปแล้ว ในขณะที่ฉันหยิบกระดาษที่พี่ภีมม์ขึ้นมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาน้ำตามันไหลออกมาไม่หยุดเลย มีแต่ฉันที่คิดเองเออเองไปคนเดียวทั้งนั้นแล้วตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ฉันนั่งเสียใจและคิดมากอยู่เป็นคนเดียวทั้งเดียวล่ะ คืออะไรหลังจากที่ฉันวางสายจากพี่ภีมม์น้ำตามันก็ไหลออกมาราวกับทำนบแตก ครั้งนี้ฉันถึงได้ตระหนักเสียงหัวใจของตัวเองว่า ในเวลาที่ฉันไม่มีเขาหรือถ้าต้องเลิกกับเขาฉันคงทนไม่ไหวแน่ นี่สินะที่ใครๆ บอกไว้ว่าเราจะรู้ค่าขอ
ฉันรู้สึกจุกนิดหน่อยที่พวกเอ่ยถึงคุณเจนนี่ ดูเหมือนคุณเจนนี่น่าจะมีอิทธิพลต่อคนกลุ่มนี้พอสมควร ความจริงมันก็ไม่แปลกนักหรอกเพราะคุณเจนนี่มาหาพี่ภีมม์มากกว่าฉันที่เป็นภรรยาตัวจริงเสียอีก ซึ่งฉันไม่แปลกใจอะไรเลยสักนิดเมื่อคิดขึ้นได้ว่าพวกหล่อนอาจจะสนิทกับคุณเจนนี่มากพอสมควร“ถ้าพวกคุณว่างมากน่าจะไปทำงานกันนะคะ ถ้าคุณภีมม์รู้ว่าจ้างคนแบบพวกคุณมาทำงานเขาคงไม่ค่อยโอเค เห็นทีฉันคงต้องรายงานพี่ภีมม์บ้างแล้วละ”“แหมทำตัวเนียนเหมือนเป็นภรรยาเจ้าของบริษัทตัวจริงเลยนะ โน้นจ๊ะคุณภีมม์กับภรรยาตัวจริงเขาตอนที่อยู่ที่วอชิงตันดีซี” ไม่พูดเปล่าผู้หญิงคนนั้นยังเปิดรูปจากไอจีคุณเจนนี่ ที่เช็กอินอยู่ที่รัฐวอชิงตันดีซีมาให้ฉันดูแน่นอนในรูปมีพี่ภีมม์อยู่ในรูปของเธอจริง ๆภาพที่เห็นแม้สองคนจะไม่ได้ยืนใกล้ชิดกันแบบสนิทสนมแต่ก็ทำให้รู้ว่าทั้งสองคนอยู่ที่เดียวกันนี่สินะ...สาเหตุของการไม่โทรหาฉันเลยตลอดอาทิตย์นี้หัวใจมันชาจนแทบไม่มีความรู้สึก เมื่อเห็นว่าพี่ภีมม์อยู่กับคุณเจนนี่ที่อเมริกา ถึงจะเป็นรูปที่เธอเช็กอินเมื่อสองสามวันก่อน แต่มันทำให้มั่นใจได้เลยว่าคุณเจนนี่กับพี่ภีมม์คงเดินทางไปด้วยกันจากที่ตั้งใจจะ
น้ำตามันไหลออกมาจากไหนมากมายหนักก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันร้องไห้จนเผลอหลับไปบนที่นอน จนตอนเช้าของอีกวันเช้าที่ไม่มีพี่ภีมม์อยู่ข้าง ๆ ฉันต้องลากตัวเองเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวทั้งที่ตายังบวมเป่งจนเกือบจะปิด ดูตลกมากเสียจนต้องหาอะไรเย็น ๆ มาประคบเปลือกตาให้ยุบลงก่อนไปทำงาน“คุณเฟิร์น” ในขณะที่ฉันยืนเรียกรถ TAXI อยู่หน้าตึกก็พบว่าคนขับรถของพี่ภีมม์มารออยู่ก่อนแล้ว“อ้าว! สวัสดีค่ะคุณโจ มารับพี่ภีมม์เหรอคะพี่ภีมม์ไม่อยู่หรอกค่ะ น่าจะติดธุระ”“อ่อทราบแล้วครับ เมื่อวานผมเพิ่งไปส่งคุณภีมม์ขึ้นเครื่อง”“คะ...ขึ้นเครื่อง?”“คุณภีมม์ได้บอกคุณเฟิร์นเหรอครับ เห็นว่ามีประชุมด่วนกับบอร์ดบริหารของรถยนต์”“ออค่ะ เฟิร์นไม่ทราบเลย” ฉันพูดเพราะไม่รู้จริง ๆ พี่ภีมม์ไม่ได้บอกอะไรฉันเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะไปไหน อย่าว่าแต่เปิดเครื่องรับสายฉันหรือโทรมาเขายังไม่โทรมาด้วยซ้ำคุณโจทำสีหน้างง ๆ ก่อนจะเปิดประตูรถให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถ“เมื่อวานคุณภีมม์บอกว่าคุณน่าจะไม่สบายเลยให้นอนพักครับ ผมก็นึกว่าคุณจะไม่ออกไปทำงานเลยไม่ได้กลับมารอรับ”“อ่าค่ะ” ฉันซึ่งยังมึนงงอยู่เพราะไม่รู้ว่าพี่ภีมม์ไปไหนเลยยังสับสนอยู่เล็กน้อยจริงสินะเมื่อ