คืนเข้าหอที่ไม่ได้มีความโรแมนติกอย่างที่คู่รักทั่วไปควรจะเป็นเพราะเรื่องน่าอายที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ฉันเผลอเปลือยอกให้เขาดู และไหนจะเรื่องที่ฉันเผลอนอนก่ายเข้าแบบแนบชิดตอนตื่นนอนตอนเช้าอีก มันทำให้วันนี้ฉันไม่กล้าเริ่มที่จะชวนเขาคุยอะไร เพราะพอจะคุยก็อดคิดไปถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้
เช้าแรกของวันแต่งงานเราสองคนเลยอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างกระอักกระอ่วน และเพราะตอนนี้เราสองคนได้อยู่ร่วมกันเรียกว่าน่าจะครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว เลยทำให้ฉันได้รู้ว่าพี่ภีมม์เจ้าบ่าวของฉันดูเป็นคนพูดน้อยกว่าที่ฉันคิดเอาไว้มาก มากจนฉันแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาเป็นแค่เซลล์ขายรถธรรมดา
คือปกติคนเราถ้าเป็นเซลล์ก็ต้องพูดจาขายของเก่ง หรือโน้มน้าวใจเก่งมาก ๆ แต่นี่พี่ภีมม์ดูเป็นคนพูดน้อย น้อยแบบน้อยเว่อร์ แล้วพูดน้อยแบบพี่ภีมม์อะนะจะเป็นเซลล์ หรือว่าเวลาที่เขาขายรถ เขาจะใช้แต่ใบหน้าหล่อ ๆ มองลูกค้าให้ลูกค้าหลง แล้วก็สั่งซื้อรถแบบงง ๆ โดยที่เขาไม่ต้องพูดอะไรออกมางี้เหรอ...ไม่มั๊ง
อ่อ อีกเรื่องหนึ่งหลังจากที่เราสองคนแต่งงานกัน คือเรามีแพลนที่จะต้องเดินทางไปฮันนีมูนที่มิลานในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ทำให้ในตอนนี้เป็นพี่ภีมม์เองที่นั่งอยู่ในห้องนอนซึ่งกำลังนั่งจัดกระเป๋าเดินทางอยู่
แต่ทว่า...อยู่ ๆ ก็มีสายโทรเข้าจากบริษัทออแกไนเซอร์ที่ฉันไปร่อนใบสมัครทิ้งเอาไว้ก่อนหน้าที่จะแต่งงาน เรียกฉันไปทำงานในวันรุ่งขึ้นพอดี
และ...ไม่ต้องสงสัยถ้าให้เลือกระหว่างฮันนีมูน กับงานใหม่ที่ฉันเพิ่งได้รับสายเมื่อครู่ฉันจะเลือกอะไร เพราะหลังจากที่ฉันวางสายจากบริษัทที่เรียกตัวฉันเข้าทำงาน ฉันก็รีบวิ่งแจ้นเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพี่ภีมม์ทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองฉันแบบสงสัย คิ้วหนา ๆ ของเขาเลิกขึ้นคล้ายตั้งคำถามว่าฉันมีอะไร
“เออ...พี่ภีมม์คะเฟิร์นมีเรื่องอยากปรึกษาค่ะ”
“ครับว่าไง” เขายอมละสิ่งของที่อยู่ในมือก่อนจ้องหน้าฉันเหมือนกับกำลังตั้งใจฟัง
“คืองี้คะ เออคือ...พอดีบริษัทที่เฟิร์นใบสมัครงานเอาไว้ก่อนหน้านี้เรียกตัวเฟิร์นให้ไปเริ่มงานวันพรุ่งนี้ ถ้าเราสองคนจะยกเลิกการฮันนีมูนหรือเลื่อนไปก่อนได้ไหมคะ คือเอาจริงเฟิร์นก็เพิ่งเรียนจบแล้วเฟิร์นก็อยากทำงานที่บริษัทนี้มาก”
ฉันพูดความต้องการของฉันออกไปแบบรวดเดียวจบ ก่อนจะเห็นคิ้วหนา ๆ ของพี่ภีมม์ขมวดคิ้วแป๊บหนึ่งคล้ายจะไม่พอใจ แต่เขาจะไม่พอใจเรื่องอะไรกันล่ะ ความจริงเขาน่าจะโล่งหรือดีใจด้วยซ้ำที่ไม่ต้องไปเที่ยวแบบฮันนีมูนกับคู่แต่งงานแบบฉัน อย่าลืมสิว่าเราสองคนไม่ได้แต่งงานกันเพราะความรัก แต่เราสองคนแต่งงานกันตามความต้องการของผู้ใหญ่ และที่สำคัญเราสองคนไม่ได้สนิทกันถึงขนาดจะไปเที่ยวกันสองต่อสองแบบสนิทใจได้
“ครับ”
เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบออกมา แต่แหม...นี่ฉันพูดออกไปซะยาว แต่พี่ภีมม์ดันตอบซะสั้นเกิน เล่นเอาฉันทำตัวไม่ถูกเลยว่าตอนนี้ ถ้าฉันแสดงทีท่าว่าดีใจที่จะได้ไปทำงานมากกว่าที่จะได้ไปฮันนีมูน มันจะดูเสียมารยาทหรือเปล่า
“ขอบคุณนะคะ” ฉันยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนกล่าวขอบคุณเขา ตอนนี้ฉันเดาไม่ออกเลยว่าพี่ภีมม์กำลังจะรู้สึกอย่างไง เพราะสีหน้าพี่ภีมม์ดูนิ่งมาก นิ่งจนฉันเดาไม่ออกว่าพี่ภีมม์โอเคไหมกับการยกเลิกการฮันนีมูนของเราแบบนี้
เดาว่า...บางทีเขาก็อาจจะไม่ได้อยากไปเหมือนที่ฉันไม่ได้อยากไปเหมือนกันแหละ
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปเคลียร์งานที่ห้องนั้นต่อ” พี่ภีมม์ทำท่าพยักหน้ามองไปทางห้องทำงานของเขาแล้วก็ลุกเดินไปเลย ตอนนี้ฉันถึงรู้สึกหวั่น ๆ ในใจว่าเหมือนเขากำลังไม่พอใจยังไงยังงั้น ส่วนของที่เขาเตรียมเอาไว้เขาก็วางกองทิ้งไว้ตรงหน้าฉันแบบนี้เลย มันเหมือนเขากำลังงอนฉันอยู่ยังไงยังงั้น
ครืดดดดด
เสียงสั่นของโทรศัพท์ดังขึ้นบนที่นอน หลังจากที่ฉันเพิ่งได้ยินเสียงพี่ภีมม์ปิดประตูห้องทำงานที่อยู่ห้องติด ๆ กัน
จากตอนแรกแค่ตั้งใจรีบ ๆ หยิบแล้ววิ่งเอาไปเขา แต่กลับต้องชะงักเพราะภาพที่ปรากฏบนหน้าจอเป็นรูปผู้หญิงหน้าตาสวยมาก ๆ คนหนึ่ง
เอาจริง...แปลกอยู่นะ คือต้องสนิทกันแค่ไหนก่อนถึงจะสามารถตั้งรูปโปรไฟล์ให้เป็นรูปคนที่โทรเข้ามาได้ และที่สำคัญผู้หญิงที่ไหนจะกล้าโทรมาในวันที่ผู้ชายเพิ่งแต่งงานวันแรก จริงไหม
ฉันมองรูปบนมือถือพี่ภีมม์อย่างชั่งใจ ถ้าเกิดว่าฉันไปถามพี่เขา แล้วเขาบอกว่าญาติหรือน้องสาวยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะถ้าเป็นญาติหรือน้องสาวจริงวันพิธีแต่งงานก็น่าจะมาร่วมงานด้วยฉันก็ต้องเห็นบ้างแหละ แต่ฉันจำได้ว่าในงานไม่มีผู้หญิงคนนี้ไปแน่ ๆ
เพราะงั้น...ผู้หญิงคนนี้คือใครกัน
Jenny
เป็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ ฉันพ่นลมหายใจออกมาแบบไม่รู้ตัว เพราะเผลอคิดไปว่าผู้หญิงสวย ๆ คนนี้อาจจะเป็นแฟนของพี่ภีมม์เจ้าบ่าวของฉันก็เป็นได้
ก็นะ...พี่ภีมม์อายุยี่สิบเจ็ดปีแล้วแถมยังหล่อมากขนาดนี้ จะไม่เคยมีแฟนเลยก็ถือว่าเป็นเรื่องแปลก
และตอนนี้ต่อให้ฉันบอกกับตัวเองว่าไม่ได้คิดอะไรกับพี่ภีมม์ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ดีที่เห็นผู้หญิงคนอื่นโทรมาหาเจ้าบ่าวของตัวเองในวันแรกหลังแต่งงาน
น้องเกิด 1 กุมภาพันธ์ วั้นนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเพราะคุณแม่น้องเพิ่งคลอดใหม่ๆและเขาเจอน้องครั้งแรกในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั่นเป็นครั้งแรกที่ภีมม์เจอกับใบเฟิร์นทั้งสองบ้านสนิทกันมากไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ จนกระทั่งครอบครัวของภีมม์ ย้ายไปทำธุรกิจที่เมืองอเมริกา ภีมม์เลยไม่ได้มาหาใบเฟิร์นอีกแต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยลืมที่ตัวเองมีเจ้าสาว…#ภีมม์ตอน 9 ขวบ“แม่ครับ มีผู้หญิงเอาดอกกุหลาบมาให้ภีมม์ แต่ภีมม์ไม่รับไว้ ผิดไหมครับ”“อ้าว ทำไมละลูก”“ภีมม์บอกเขาว่าภีมม์มีเจ้าสาวแล้ว ภีมม์รับดอกไม้จากใครไม่ได้อีก ภีมม์ไม่ชอบให้ผู้หญิงคนอื่นมาทำแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ ภีมม์ขอแต่งงานกับน้องเฟิร์นเลยได้ไหมครับ”ตอนนี้ภีมม์โตขึ้นพอที่จะรู้ความหมายของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่หมายถึงคนที่ต้องแต่งงานอยู่ด้วยกัน“ไม่ได้ลูก น้องเพิ่ง 2-3 ขวบเอง เอาไว้ให้น้องเรียนจบมหาวิทยาลัยก่อนนะลูก”“งั้นถ้าจบ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ใบเฟิร์นเป็นเจ้าสาวของภีมม์เลยนะครับ”“น้องภีมม์ครับ การเป็นเจ้าบ่าวคนไม่ใช่แค่เราไปขอเขาแต่งงานแล้วแต่งงานกันได้เลยนะครับ ก่อนอื่นลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่ง ให้ได้ทำงานดี ๆ เป็นผู้นำคน มีอาชีพแ
“ภีมม์เข้ามาดูน้องสิลูก”เสียงผู้เป็นแม่หันมาเรียกลูกชายวัยเจ็ดขวบ เดินเข้ามาที่เตียงทารกตัวน้อยจิ้มลิ้มตัวแดง ๆ แก้มจ้ำม้ำที่ขยับตัวดุกดิ๊กไปมาอยู่บนเตียง“น่ารักจัง ตุ๊กตาหรือครับหม่าม๊า”“น้องเป็นคนจ๊ะ ไม่ใช่ตุ๊กตา”ภีมม์ขยับเข้าไปใกล้ด้วยความสนใจ สองมือจับขอบเตียงเด็ก จ้องมองทารกตัวน้อยที่ลืมตาแป๋วแหว๋ว ก่อนที่เด็กน้อยจะยิ้มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างไม่รู้ภาษา มือน้อยควานสะเปะสะปะไปทั่ว ส่งผลให้ภีมม์ลองยื่นนิ้วชี้เข้าไปให้เด็กตัวน้อยจับด้วยความอยากรู้หมับ!มือเล็ก ๆ ของเธอนุ่มนิ่ม แต่จับเขาเอาไว้แน่นมาก“หม่าม๊าครับ น้องจับมือภีมม์แน่นเลย” ภีมม์ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนใช้นิ้วชี้อีกข้างที่ว่างอยู่ จิ้มแก้มซาลาเปาของเด็กตัวน้อยเพราะดูนุ่มหยุ่นไปหมด“จับแน่นแบบนี้ แสดงว่าน้องจองภีมม์ไว้เป็นเจ้าบ่าวแน่ ๆ เลย” เสียงคุณน้าที่นอนอยู่บนเตียงและเป็นแม่ของเด็กทารกน้อยเอ่ยขึ้น“เจ้าบ่าว? เจ้าบ่าวคืออะไรครับ”“เจ้าบ่าวก็คือคนที่ต้องอยู่กับน้องไปตลอดชีวิตยังไงคะ”“หมายถึง ให้น้องใช้มือนุ่ม ๆ จับมือภีมม์แบบนี้ไปตลอดแบบนี้เลย นะเหรอครับ?”“ใช่จ๊ะ จับมือกันไปตลอดจนแก่เฒ่า”“แล้วปล่อยได้ไหมครับ”“
หลังจากที่เราปรับความเข้าใจกัน ถึงตอนนี้ฉันก็ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาอะไรนั่นอีกแล้ว นอกจากจะเอาตัวเองมุ่งมั่นกับงานที่ทำ อย่างน้อยก็เพื่อให้งานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของพี่ภีมม์ดีที่สุด และเพื่อเป็นลบคำสบประมาทที่ใครต่อใครอาจจะนินทาฉันได้อีก ยิ่งตอนนี้พอมีพี่ภีมม์คอยให้กำลังใจและสนับสนุนงานฉันเต็มที่ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีพลังบวกเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่าถึงตอนนี้แม้คนจะยังคงซุบซิบเรื่องเดิม ๆ ของเรา แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันให้ความสนใจกับมันอีกต่อไป เพราะตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ฉันควรให้ความสนใจและสำคัญที่สุด คือความรักของฉันกับพี่ภีมม์มากกว่าที่มันมีมากขึ้นทุกวันต่างหากวันงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัททีเคยนต์มาถึงแน่นอนว่าเพราะเป็นรถนำเข้าหรูราคาหลายสิบล้าน ทำให้งานนี้เหล่าบรรดาเซเลปและสื่อมวลชนต่างให้ความสนใจกับงานวันนี้เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงคุณเจนนี่ที่ถูกเชิญมาเป็นแขกพิเศษมาร่วมงาน แต่กลับชอบทำตัวเสนอหน้าไปยืนอยู่ข้างพี่ภีมม์ทำเสมือนเป็นคนสำคัญข้างกายเขาเฮ้อ...จะว่าไปเธอก็น่าสงสารนะพยายามทำทุกอย่างก็แล้ว ก็ยังเป็นได้แค่เพื่อนฉันพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้นแต่สุดท้า
อึก...พออ่านถึงตรงนี้ น้ำตาฉันก็ไหลออกมาหนักกว่าเก่า(เห็นโน้ตที่พี่เขียนเอาไว้ไหมครับ) เสียงพี่ภีมม์แทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไปมีแต่เพียงสะอื้นที่แทรกเข้าไปในปลายสายเบา ๆ“ฮือ เห็นแล้วค่ะ ฮือ...พี่ภีมม์เฟิร์นขอโทษ”ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาเข้ามาในหัวใจ สุดท้ายแล้วพี่ภีมม์เองต่างหากที่เป็นฝ่ายรอรับสายโทรศัพท์มือถือจากฉัน ส่วนตอนนั้นที่ฉันโทรหาเขาไม่ติด ใช่ว่าพี่ภีมม์จะปิดเครื่องหนีแต่ความจริงแล้วตอนนั้นเขาอาจกำลังอยู่บนเครื่องบินเลยไม่ได้เปิดมือถือก็เป็นได้บ้าที่สุด ฮือ....(เฟิร์นครับ ถ้าพี่ทำให้เฟิร์นร้องไห้พี่ขอโทษนะ)“เฟิร์นต่างหากที่ควรขอโทษพี่ภีมม์”พี่ภีมม์วางสายไปแล้ว ในขณะที่ฉันหยิบกระดาษที่พี่ภีมม์ขึ้นมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาน้ำตามันไหลออกมาไม่หยุดเลย มีแต่ฉันที่คิดเองเออเองไปคนเดียวทั้งนั้นแล้วตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ฉันนั่งเสียใจและคิดมากอยู่เป็นคนเดียวทั้งเดียวล่ะ คืออะไรหลังจากที่ฉันวางสายจากพี่ภีมม์น้ำตามันก็ไหลออกมาราวกับทำนบแตก ครั้งนี้ฉันถึงได้ตระหนักเสียงหัวใจของตัวเองว่า ในเวลาที่ฉันไม่มีเขาหรือถ้าต้องเลิกกับเขาฉันคงทนไม่ไหวแน่ นี่สินะที่ใครๆ บอกไว้ว่าเราจะรู้ค่าขอ
ฉันรู้สึกจุกนิดหน่อยที่พวกเอ่ยถึงคุณเจนนี่ ดูเหมือนคุณเจนนี่น่าจะมีอิทธิพลต่อคนกลุ่มนี้พอสมควร ความจริงมันก็ไม่แปลกนักหรอกเพราะคุณเจนนี่มาหาพี่ภีมม์มากกว่าฉันที่เป็นภรรยาตัวจริงเสียอีก ซึ่งฉันไม่แปลกใจอะไรเลยสักนิดเมื่อคิดขึ้นได้ว่าพวกหล่อนอาจจะสนิทกับคุณเจนนี่มากพอสมควร“ถ้าพวกคุณว่างมากน่าจะไปทำงานกันนะคะ ถ้าคุณภีมม์รู้ว่าจ้างคนแบบพวกคุณมาทำงานเขาคงไม่ค่อยโอเค เห็นทีฉันคงต้องรายงานพี่ภีมม์บ้างแล้วละ”“แหมทำตัวเนียนเหมือนเป็นภรรยาเจ้าของบริษัทตัวจริงเลยนะ โน้นจ๊ะคุณภีมม์กับภรรยาตัวจริงเขาตอนที่อยู่ที่วอชิงตันดีซี” ไม่พูดเปล่าผู้หญิงคนนั้นยังเปิดรูปจากไอจีคุณเจนนี่ ที่เช็กอินอยู่ที่รัฐวอชิงตันดีซีมาให้ฉันดูแน่นอนในรูปมีพี่ภีมม์อยู่ในรูปของเธอจริง ๆภาพที่เห็นแม้สองคนจะไม่ได้ยืนใกล้ชิดกันแบบสนิทสนมแต่ก็ทำให้รู้ว่าทั้งสองคนอยู่ที่เดียวกันนี่สินะ...สาเหตุของการไม่โทรหาฉันเลยตลอดอาทิตย์นี้หัวใจมันชาจนแทบไม่มีความรู้สึก เมื่อเห็นว่าพี่ภีมม์อยู่กับคุณเจนนี่ที่อเมริกา ถึงจะเป็นรูปที่เธอเช็กอินเมื่อสองสามวันก่อน แต่มันทำให้มั่นใจได้เลยว่าคุณเจนนี่กับพี่ภีมม์คงเดินทางไปด้วยกันจากที่ตั้งใจจะ
น้ำตามันไหลออกมาจากไหนมากมายหนักก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันร้องไห้จนเผลอหลับไปบนที่นอน จนตอนเช้าของอีกวันเช้าที่ไม่มีพี่ภีมม์อยู่ข้าง ๆ ฉันต้องลากตัวเองเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวทั้งที่ตายังบวมเป่งจนเกือบจะปิด ดูตลกมากเสียจนต้องหาอะไรเย็น ๆ มาประคบเปลือกตาให้ยุบลงก่อนไปทำงาน“คุณเฟิร์น” ในขณะที่ฉันยืนเรียกรถ TAXI อยู่หน้าตึกก็พบว่าคนขับรถของพี่ภีมม์มารออยู่ก่อนแล้ว“อ้าว! สวัสดีค่ะคุณโจ มารับพี่ภีมม์เหรอคะพี่ภีมม์ไม่อยู่หรอกค่ะ น่าจะติดธุระ”“อ่อทราบแล้วครับ เมื่อวานผมเพิ่งไปส่งคุณภีมม์ขึ้นเครื่อง”“คะ...ขึ้นเครื่อง?”“คุณภีมม์ได้บอกคุณเฟิร์นเหรอครับ เห็นว่ามีประชุมด่วนกับบอร์ดบริหารของรถยนต์”“ออค่ะ เฟิร์นไม่ทราบเลย” ฉันพูดเพราะไม่รู้จริง ๆ พี่ภีมม์ไม่ได้บอกอะไรฉันเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะไปไหน อย่าว่าแต่เปิดเครื่องรับสายฉันหรือโทรมาเขายังไม่โทรมาด้วยซ้ำคุณโจทำสีหน้างง ๆ ก่อนจะเปิดประตูรถให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถ“เมื่อวานคุณภีมม์บอกว่าคุณน่าจะไม่สบายเลยให้นอนพักครับ ผมก็นึกว่าคุณจะไม่ออกไปทำงานเลยไม่ได้กลับมารอรับ”“อ่าค่ะ” ฉันซึ่งยังมึนงงอยู่เพราะไม่รู้ว่าพี่ภีมม์ไปไหนเลยยังสับสนอยู่เล็กน้อยจริงสินะเมื่อ