ก๊อก ก๊อก
“ขอโทษค่ะพี่ภีมม์ พอดีพี่ภีมม์ลืมโทรศัพท์ไว้ในห้อง” ฉันเคาะประตูห้องทำงานของพี่ภีมม์ก่อนเดินเข้าไปเอาโทรศัพท์มือถือไปส่งให้เขาที่โต๊ะทำงาน ดูเขามีสีหน้าเอาจริงเอาจังมากเวลาอยู่ต่อหน้าคอมพิวเตอร์ของเขา
“อ่อครับ ขอบคุณ” เขายอมละสายตาจากงานของเขาก่อนเงยหน้าขึ้นมามองฉัน แต่กลับไม่ยอมกดรับสายในทันที ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกสงสัยมากขึ้น
“เพื่อนเหรอคะ สวยจัง” ดูเป็นการเสียมารยาทมากสินะที่ฉันพูดประโยคนี้ออกไปเพราะนอกจากพี่ภีมม์จะไม่ตอบคำถามฉัน แถมยังเลิกคิ้วหนา ๆ มองฉัน คล้ายจะถามว่าทำไมฉันยังไม่ออกไปมากกว่า
เออ...ออกไปก็ได้วะ ฉันก็ไม่อยากรู้สักเท่าไหร่หรอก แค่เห็นสายตาก็พาลให้หงุดหงิด ฉันเลยเดินงอน ๆ ออกไปแบบไม่พูดอะไรต่อเหมือนกัน
สุดท้ายตอนนี้ฉันต้องกลับออกมาดูทีวีที่หน้าโซฟาตามเดิม ได้แต่เอาคางเกยหมอนอิงแล้วกดเปลี่ยนรีโมตทีวีไปมา บอกตรง ๆ เลยว่าฉันดูไม่รู้เรื่องเอาซะเลย เพราะฉันไม่ได้สนใจภาพจากจอในทีวีเลยสักนิด
นี่ฉันไม่ได้หึงเขาเลยนะ สาบานได้
แต่...แค่รู้สึกไม่พอใจเฉยๆ
ถึงเราจะไม่ได้รักกันแต่อย่างน้อยเราสองคนก็เป็นสามีภรรยากันตามกฎหมายถึงจะไม่ได้รักกันก็เถอะ
ผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมง บังเอิญฉันเห็นว่านาฬิกาตอนนี้เกินเวลาเที่ยงมาแล้ว ฉันเลยเดินเข้าไปเคาะประตูห้องทำงานของพี่ภีมม์อีกครั้ง และเชื่อไหมว่านับจากตอนที่ฉันเอาโทรศัพท์ไปให้จนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้วางสายผู้หญิงคนนั้นเลยแม้แต่น้อย คงจะตั้งแต่ฉันออกไป
ทั้งสีหน้าแววตาและรอยยิ้มของพี่ภีมม์ที่กำลังคุยโทรศัพท์กับผู้หญิงคนนั้น ทำเอาฉันทำตัวไม่ถูกจนทำให้ยืนค้างอยู่ที่หน้าประตูตามเดิม ที่สำคัญเขาคุยกับผู้หญิงคนเพลินจนเหมือนไม่รับรู้การมีตัวตนของฉันที่ยืนอยู่ตรงนี้
“มาสิเดี๋ยวพาไปกินข้าวร้านเดิมเลย”
“อืมไม่ได้ไปไหนแล้ว อยากเจอเหมือนกัน”
“อยู่เมืองไทยให้มันนาน ๆ หน่อยสิรอบนี้”
“คิดถึงสิถามแปลกๆ ”
“มีเซอร์ไพรส์ด้วยรอบนี้ เดี๋ยวเจอหน้าแล้วบอก”
บทสนทนาของพี่ภีมม์กับผู้หญิงคนนั้นทำให้ฉันคิดดีไม่ได้เลย ให้ตายเถอะประโยคสนทนาแบบนี้มันคืออะไรก่อน นี่คงไม่ใช่แค่ลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงานธรรมดา ๆ อย่างที่ฉันคิดในตอนแรกได้หรอกใช่ไหม
หรือ... อย่าบอกนะว่าผู้หญิงสวย ๆ คนในรูปคือแฟนเขาจริง ๆ
และที่สำคัญ ที่น่าโมโหสุด ๆ คือฉันยืนอยู่หน้าห้องเขาเป็นนาที โดยที่เขาไม่สนใจฉันที่เคาะประตูแล้วขออนุญาตเข้ามาในห้องนี้เลย
งั้น...ถ้าแคคุยโทรศัพท์แล้วมันอิ่ม ก็คงไม่ต้องทานอาหารเที่ยงก็ได้มั๊ง
ฉันปิดประตูกลับตามเดิม ก่อนที่ประตูจะปิดลงฉันเห็นเขาเงยหน้าขึ้นมามองฉันแป๊บนึงเหมือนตกใจ แต่สุดท้ายแล้วประตูก็ถูกปิดลง และฉันก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรประตูมันถึงปิดดังกว่าตอนที่ฉันเปิดเข้าไปเสียอีก
เวลาห่างกันไม่ถึงหนึ่งนาที พี่ภีมม์ก็เปิดประตูเดินตามออกมาที่ห้องรับแขก แต่ก็น่าหลังจากที่วางสายจากผู้หญิงคนนั้นแล้ว
“เฟิร์นครับ เมื่อกี้ที่เข้ามาหาพี่มีอะไรหรือเปล่า”
ขอบคุณที่อุตส่าห์เดินออกมาถาม แต่ฉันรู้สึกไม่ดีไปแล้วไง
“ไม่มีอะไรค่ะ พอดีเฟิร์นว่าจะออกไปหาซื้อกระเป๋ากับเสื้อผ้าใส่ไปทำงานพรุ่งนี้”
ฉันตอบเหมือนประชด ไม่สิก็ประชดจริง ๆ นั่นแหละ ทั้งที่ความจริงเสื้อผ้าใหม่ ๆ ของฉันที่ขนมาแทบเต็มตู้เลยเหอะแต่มันเป็นข้ออ้างเวลาที่ฉันหงุดหงิดฉันเลยเลือกที่จะช้อปปิ้งเพื่อบำบัดจิตใจของตัวเอง
“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง”
พี่ภีมม์ทำท่าเหมือนจะออกมาจากห้องทำงาน แต่พอฉันเห็นโทรศัพท์ที่อยู่ในมือเขามันก็ดันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเฉย ๆ
“ไม่ต้องหรอกค่ะไม่เป็นไร เฟิร์นไปคนเดียวดีกว่า พี่ภีมม์อยู่ทำงานหรือคุยธุระกับพี่ภีมม์ไปเถอะค่ะ พอดีเฟิร์นจะไปเลือกซื้อเสื้อผ้าผู้หญิงคงจะเลือกนานเดี๋ยวพี่ภีมม์จะกร่อยเปล่า ๆ แล้วเฟิร์นก็ไม่อยากเกร็งหรืออึดอัดตอนเลือกเสื้อผ้าด้วย”
นี่ฉันพูดตรงจนเกินไหมเนี่ย ฉันเห็นพี่ภีมม์ทำสีหน้าเหมือนไม่ชอบใจคำพูดของฉันรอบสอง
“เอางั้นเหรอครับ”
“ค่ะ ว่าแต่พี่ภีมม์หิวอะไรไหมคะ จะให้เฟิร์นทำอาหารเที่ยงอะไรให้กินก่อนไหม”
ในที่สุดพอเห็นสีหน้าเขา ฉันเลยต้องถามไปตามมารยาท
“ไม่เป็นไรครับงั้นเฟิร์นไปเถอะ เดี๋ยวพี่สั่งอะไรง่าย ๆ มากินเองก็ได้”
และเขาก็คงตอบกลับตามมารยาทเช่นกัน แต่ช่างเถอะฉันไม่สนใจหรอก เพราะตอนนี้คำตอบของเขาทำให้หงุดหงิดขึ้นมากเป็นทวีคูณ คือฉันกำลังคาดหวังให้เจ้าบ่าวหมาด ๆ ของฉัน ช่วยรบเร้าว่าจะขอไปกับฉันมากกว่า แต่นี่อะไร แบบเขาจะไม่รั้งฉันซะหน่อยเหรอ แบบไม่ง้อพอเป็นพิธีงี้บ้างเลยเหรอ
ประมาณว่า
-ไม่เป็นไรครับให้พี่ไปส่งน้องเฟิร์นเลือกเสื้อผ้าดีกว่า-
หรือไม่ก็
-ไม่เป็นไรครับพี่รอน้องเฟิร์นเลือกเสื้อผ้านาน ๆ ได้-
แต่นี้คือเขาไม่พูดอะไรแบบนี้ออกมาเลยจะให้ฉันเข้าใจยังไงก่อน นี่เขาคงอยากจะคุยกับผู้หญิงคนนั้นนาน ๆ สินะ เอาเลยเอาให้เต็มที่ แต่ถ้าจะทำอะไรก็ช่วยรักษาหน้าของทะเบียนสมรสระหว่างฉันกับเขาบ้าง ฉันไม่เคยลืมว่าเราแต่งงานโดยไม่ได้รักกัน แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่ชอบหรอกนะ ถ้าตัวเองต้องเป็นฝ่ายนอนกอดแค่ทะเบียนสมรสเปล่า ๆ แล้วปล่อยให้สามีไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยที่ไหน
สุดท้ายฉันเลยได้ออกมาช้อปปิ้งคนเดียวอย่างที่ต้องการ (แบบประชด)
จากที่เราสองคนคุยกันน้อยอยู่แล้ว พอฉันเลือกที่ยกเลิกงานฮันนีมูน รวมไปถึงออกมาช้อปปิ้งคนเดียว พอฉันกลับมาที่คอนโดทำไมฉันยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าเราสองคนยิ่งคุยกันน้อยลงกว่าเก่า
พี่ภีมม์เอาแต่คลุกอยู่ในห้องทำงานจนดึกดื่น ทำอย่างกับว่าการที่เขาหยุดงานไปสองวันแล้วทำให้งานเขามากมายมหาศาล และที่ฉันยังไม่หายคาใจคือในเมื่อเขาเป็นเซลล์ขายรถธรรมดาอะไรจะต้องทำงานมากมายอะไรขนาดนี้
ส่วนฉันที่กลับมาจากช้อปปิ้งแล้วก็อาบน้ำเตรียมตัวเข้านอนเลย ถึงขนาดที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สุดท้ายแล้วเขาทำงานเสร็จตอนไหนและกลับมานอนที่ห้องตอนไหน
น้องเกิด 1 กุมภาพันธ์ วั้นนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเพราะคุณแม่น้องเพิ่งคลอดใหม่ๆและเขาเจอน้องครั้งแรกในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั่นเป็นครั้งแรกที่ภีมม์เจอกับใบเฟิร์นทั้งสองบ้านสนิทกันมากไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ จนกระทั่งครอบครัวของภีมม์ ย้ายไปทำธุรกิจที่เมืองอเมริกา ภีมม์เลยไม่ได้มาหาใบเฟิร์นอีกแต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยลืมที่ตัวเองมีเจ้าสาว…#ภีมม์ตอน 9 ขวบ“แม่ครับ มีผู้หญิงเอาดอกกุหลาบมาให้ภีมม์ แต่ภีมม์ไม่รับไว้ ผิดไหมครับ”“อ้าว ทำไมละลูก”“ภีมม์บอกเขาว่าภีมม์มีเจ้าสาวแล้ว ภีมม์รับดอกไม้จากใครไม่ได้อีก ภีมม์ไม่ชอบให้ผู้หญิงคนอื่นมาทำแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ ภีมม์ขอแต่งงานกับน้องเฟิร์นเลยได้ไหมครับ”ตอนนี้ภีมม์โตขึ้นพอที่จะรู้ความหมายของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่หมายถึงคนที่ต้องแต่งงานอยู่ด้วยกัน“ไม่ได้ลูก น้องเพิ่ง 2-3 ขวบเอง เอาไว้ให้น้องเรียนจบมหาวิทยาลัยก่อนนะลูก”“งั้นถ้าจบ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ใบเฟิร์นเป็นเจ้าสาวของภีมม์เลยนะครับ”“น้องภีมม์ครับ การเป็นเจ้าบ่าวคนไม่ใช่แค่เราไปขอเขาแต่งงานแล้วแต่งงานกันได้เลยนะครับ ก่อนอื่นลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่ง ให้ได้ทำงานดี ๆ เป็นผู้นำคน มีอาชีพแ
“ภีมม์เข้ามาดูน้องสิลูก”เสียงผู้เป็นแม่หันมาเรียกลูกชายวัยเจ็ดขวบ เดินเข้ามาที่เตียงทารกตัวน้อยจิ้มลิ้มตัวแดง ๆ แก้มจ้ำม้ำที่ขยับตัวดุกดิ๊กไปมาอยู่บนเตียง“น่ารักจัง ตุ๊กตาหรือครับหม่าม๊า”“น้องเป็นคนจ๊ะ ไม่ใช่ตุ๊กตา”ภีมม์ขยับเข้าไปใกล้ด้วยความสนใจ สองมือจับขอบเตียงเด็ก จ้องมองทารกตัวน้อยที่ลืมตาแป๋วแหว๋ว ก่อนที่เด็กน้อยจะยิ้มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างไม่รู้ภาษา มือน้อยควานสะเปะสะปะไปทั่ว ส่งผลให้ภีมม์ลองยื่นนิ้วชี้เข้าไปให้เด็กตัวน้อยจับด้วยความอยากรู้หมับ!มือเล็ก ๆ ของเธอนุ่มนิ่ม แต่จับเขาเอาไว้แน่นมาก“หม่าม๊าครับ น้องจับมือภีมม์แน่นเลย” ภีมม์ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนใช้นิ้วชี้อีกข้างที่ว่างอยู่ จิ้มแก้มซาลาเปาของเด็กตัวน้อยเพราะดูนุ่มหยุ่นไปหมด“จับแน่นแบบนี้ แสดงว่าน้องจองภีมม์ไว้เป็นเจ้าบ่าวแน่ ๆ เลย” เสียงคุณน้าที่นอนอยู่บนเตียงและเป็นแม่ของเด็กทารกน้อยเอ่ยขึ้น“เจ้าบ่าว? เจ้าบ่าวคืออะไรครับ”“เจ้าบ่าวก็คือคนที่ต้องอยู่กับน้องไปตลอดชีวิตยังไงคะ”“หมายถึง ให้น้องใช้มือนุ่ม ๆ จับมือภีมม์แบบนี้ไปตลอดแบบนี้เลย นะเหรอครับ?”“ใช่จ๊ะ จับมือกันไปตลอดจนแก่เฒ่า”“แล้วปล่อยได้ไหมครับ”“
หลังจากที่เราปรับความเข้าใจกัน ถึงตอนนี้ฉันก็ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาอะไรนั่นอีกแล้ว นอกจากจะเอาตัวเองมุ่งมั่นกับงานที่ทำ อย่างน้อยก็เพื่อให้งานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของพี่ภีมม์ดีที่สุด และเพื่อเป็นลบคำสบประมาทที่ใครต่อใครอาจจะนินทาฉันได้อีก ยิ่งตอนนี้พอมีพี่ภีมม์คอยให้กำลังใจและสนับสนุนงานฉันเต็มที่ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีพลังบวกเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่าถึงตอนนี้แม้คนจะยังคงซุบซิบเรื่องเดิม ๆ ของเรา แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันให้ความสนใจกับมันอีกต่อไป เพราะตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ฉันควรให้ความสนใจและสำคัญที่สุด คือความรักของฉันกับพี่ภีมม์มากกว่าที่มันมีมากขึ้นทุกวันต่างหากวันงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัททีเคยนต์มาถึงแน่นอนว่าเพราะเป็นรถนำเข้าหรูราคาหลายสิบล้าน ทำให้งานนี้เหล่าบรรดาเซเลปและสื่อมวลชนต่างให้ความสนใจกับงานวันนี้เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงคุณเจนนี่ที่ถูกเชิญมาเป็นแขกพิเศษมาร่วมงาน แต่กลับชอบทำตัวเสนอหน้าไปยืนอยู่ข้างพี่ภีมม์ทำเสมือนเป็นคนสำคัญข้างกายเขาเฮ้อ...จะว่าไปเธอก็น่าสงสารนะพยายามทำทุกอย่างก็แล้ว ก็ยังเป็นได้แค่เพื่อนฉันพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้นแต่สุดท้า
อึก...พออ่านถึงตรงนี้ น้ำตาฉันก็ไหลออกมาหนักกว่าเก่า(เห็นโน้ตที่พี่เขียนเอาไว้ไหมครับ) เสียงพี่ภีมม์แทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไปมีแต่เพียงสะอื้นที่แทรกเข้าไปในปลายสายเบา ๆ“ฮือ เห็นแล้วค่ะ ฮือ...พี่ภีมม์เฟิร์นขอโทษ”ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาเข้ามาในหัวใจ สุดท้ายแล้วพี่ภีมม์เองต่างหากที่เป็นฝ่ายรอรับสายโทรศัพท์มือถือจากฉัน ส่วนตอนนั้นที่ฉันโทรหาเขาไม่ติด ใช่ว่าพี่ภีมม์จะปิดเครื่องหนีแต่ความจริงแล้วตอนนั้นเขาอาจกำลังอยู่บนเครื่องบินเลยไม่ได้เปิดมือถือก็เป็นได้บ้าที่สุด ฮือ....(เฟิร์นครับ ถ้าพี่ทำให้เฟิร์นร้องไห้พี่ขอโทษนะ)“เฟิร์นต่างหากที่ควรขอโทษพี่ภีมม์”พี่ภีมม์วางสายไปแล้ว ในขณะที่ฉันหยิบกระดาษที่พี่ภีมม์ขึ้นมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาน้ำตามันไหลออกมาไม่หยุดเลย มีแต่ฉันที่คิดเองเออเองไปคนเดียวทั้งนั้นแล้วตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ฉันนั่งเสียใจและคิดมากอยู่เป็นคนเดียวทั้งเดียวล่ะ คืออะไรหลังจากที่ฉันวางสายจากพี่ภีมม์น้ำตามันก็ไหลออกมาราวกับทำนบแตก ครั้งนี้ฉันถึงได้ตระหนักเสียงหัวใจของตัวเองว่า ในเวลาที่ฉันไม่มีเขาหรือถ้าต้องเลิกกับเขาฉันคงทนไม่ไหวแน่ นี่สินะที่ใครๆ บอกไว้ว่าเราจะรู้ค่าขอ
ฉันรู้สึกจุกนิดหน่อยที่พวกเอ่ยถึงคุณเจนนี่ ดูเหมือนคุณเจนนี่น่าจะมีอิทธิพลต่อคนกลุ่มนี้พอสมควร ความจริงมันก็ไม่แปลกนักหรอกเพราะคุณเจนนี่มาหาพี่ภีมม์มากกว่าฉันที่เป็นภรรยาตัวจริงเสียอีก ซึ่งฉันไม่แปลกใจอะไรเลยสักนิดเมื่อคิดขึ้นได้ว่าพวกหล่อนอาจจะสนิทกับคุณเจนนี่มากพอสมควร“ถ้าพวกคุณว่างมากน่าจะไปทำงานกันนะคะ ถ้าคุณภีมม์รู้ว่าจ้างคนแบบพวกคุณมาทำงานเขาคงไม่ค่อยโอเค เห็นทีฉันคงต้องรายงานพี่ภีมม์บ้างแล้วละ”“แหมทำตัวเนียนเหมือนเป็นภรรยาเจ้าของบริษัทตัวจริงเลยนะ โน้นจ๊ะคุณภีมม์กับภรรยาตัวจริงเขาตอนที่อยู่ที่วอชิงตันดีซี” ไม่พูดเปล่าผู้หญิงคนนั้นยังเปิดรูปจากไอจีคุณเจนนี่ ที่เช็กอินอยู่ที่รัฐวอชิงตันดีซีมาให้ฉันดูแน่นอนในรูปมีพี่ภีมม์อยู่ในรูปของเธอจริง ๆภาพที่เห็นแม้สองคนจะไม่ได้ยืนใกล้ชิดกันแบบสนิทสนมแต่ก็ทำให้รู้ว่าทั้งสองคนอยู่ที่เดียวกันนี่สินะ...สาเหตุของการไม่โทรหาฉันเลยตลอดอาทิตย์นี้หัวใจมันชาจนแทบไม่มีความรู้สึก เมื่อเห็นว่าพี่ภีมม์อยู่กับคุณเจนนี่ที่อเมริกา ถึงจะเป็นรูปที่เธอเช็กอินเมื่อสองสามวันก่อน แต่มันทำให้มั่นใจได้เลยว่าคุณเจนนี่กับพี่ภีมม์คงเดินทางไปด้วยกันจากที่ตั้งใจจะ
น้ำตามันไหลออกมาจากไหนมากมายหนักก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันร้องไห้จนเผลอหลับไปบนที่นอน จนตอนเช้าของอีกวันเช้าที่ไม่มีพี่ภีมม์อยู่ข้าง ๆ ฉันต้องลากตัวเองเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวทั้งที่ตายังบวมเป่งจนเกือบจะปิด ดูตลกมากเสียจนต้องหาอะไรเย็น ๆ มาประคบเปลือกตาให้ยุบลงก่อนไปทำงาน“คุณเฟิร์น” ในขณะที่ฉันยืนเรียกรถ TAXI อยู่หน้าตึกก็พบว่าคนขับรถของพี่ภีมม์มารออยู่ก่อนแล้ว“อ้าว! สวัสดีค่ะคุณโจ มารับพี่ภีมม์เหรอคะพี่ภีมม์ไม่อยู่หรอกค่ะ น่าจะติดธุระ”“อ่อทราบแล้วครับ เมื่อวานผมเพิ่งไปส่งคุณภีมม์ขึ้นเครื่อง”“คะ...ขึ้นเครื่อง?”“คุณภีมม์ได้บอกคุณเฟิร์นเหรอครับ เห็นว่ามีประชุมด่วนกับบอร์ดบริหารของรถยนต์”“ออค่ะ เฟิร์นไม่ทราบเลย” ฉันพูดเพราะไม่รู้จริง ๆ พี่ภีมม์ไม่ได้บอกอะไรฉันเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะไปไหน อย่าว่าแต่เปิดเครื่องรับสายฉันหรือโทรมาเขายังไม่โทรมาด้วยซ้ำคุณโจทำสีหน้างง ๆ ก่อนจะเปิดประตูรถให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถ“เมื่อวานคุณภีมม์บอกว่าคุณน่าจะไม่สบายเลยให้นอนพักครับ ผมก็นึกว่าคุณจะไม่ออกไปทำงานเลยไม่ได้กลับมารอรับ”“อ่าค่ะ” ฉันซึ่งยังมึนงงอยู่เพราะไม่รู้ว่าพี่ภีมม์ไปไหนเลยยังสับสนอยู่เล็กน้อยจริงสินะเมื่อ