วายุตรวจร่างกายชมชีวันคร่าวๆ เรียบร้อยก็ส่งต่อหญิงสาวมาที่ห้องทำงานของธีรภพ จิตแพทย์หนุ่มตี๋หน้าหยกราวกับพระเอกซีรีส์จีนที่เป็นเพื่อนสนิทของเขา
“เชิญนั่งก่อนครับคุณชมพู” มนตรามัจฉาเงยหน้ามองคนเป็นพี่ด้วยแววตาระแวงพอสมควร
ชื่นชีวาพยักหน้าให้น้องสาวนั่งลงตรงข้ามกับหมอหนุ่ม “ชมพูมีอะไรก็คุยกับคุณหมอได้ทั้งหมดเลยนะ เดี๋ยวพี่จะไปรอข้างนอก”
“ค่ะ”
“ฝากด้วยนะคะหมอภพ”
“ครับ”
เภสัชสาวออกจากห้องไปเรียบร้อย หมอหนุ่มก็หันมาสนใจหญิงสาวหน้าหวานที่กำลังนั่งทำหน้ากังวลอยู่ฝั่งตรงข้าม “ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกันก่อนนะครับ ผมชื่อภพครับ”
“ฉันชื่อชมพูค่ะ แต่ว่า...” มนตรามัจฉาหยุดพูดกะทันหันเพราะจำได้ว่าชื่นชีวาให้เธอเข้าใจว่าเธอใช้ชื่อชมชีวัน
สีหน้าของหญิงสาวที่แสดงออกถึงความกังวลทำให้หมอหนุ่มรู้ได้ทันทีว่าเธอมีอะไรในใจเกี่ยวกับเรื่องชื่อของตัวเอง “มีอะไรพูดกับผมได้ทุกเรื่องเลยครับ คิดซะว่าผมเป็นเพื่อนของคุณคนนึงก็ได้ แล้วผมก็คิดว่าผมพร้อมจะเชื่อกับทุกอย่างที่คุณพูดด้วย”
“พูดได้ทุกเรื่องจริงเหรอคะ”
“ครับ คุณพูดออกมาได้ทั้งหมดเลยครับ” ธีรภพเริ่มยิ้มออกเมื่อเห็นแววตาของหญิงสาวตรงข้ามเริ่มคลายความกังวล
“อันที่จริงฉันชื่อมนตรามัจฉาค่ะ นางไม้บอกกับฉันว่าฉันเป็นธิดาของเงือก”
“ครับ งั้นต่อไปนี้ผมจะเรียกคุณว่ามนตรานะครับ แต่ที่คุณกังวลตอนนี้ก็เพราะคนอื่นไม่เชื่อใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะ แล้วฉันก็ได้ยินเสียงของคุณอัคคีด้วยนะคะ แต่ฉันไม่เห็นตัวของเขา”
“แล้วคุณมนตราได้ยินเสียงนั้นตอนไหนพอจะจำได้ไหมครับ”
“ตอนแรกที่ได้ยิน...”
หลังจากหญิงสาวเริ่มที่จะเปิดใจคุยกับจิตแพทย์หนุ่ม เธอก็เริ่มเล่าเรื่องราวทุกอย่างที่อยู่ในใจอย่างไม่คิดปิดบัง ทางด้านธีรภพเองก็ดูจะสนใจเรื่องราวที่คนไข้ของเขาเล่าให้ฟังมากๆ เพราะน้อยครั้งนักที่จะเจอคนไข้ที่ใช้ชีวิตได้ปกติ แต่มีความเชื่อแปลกๆ นับว่าหากเขาสามารถรักษาให้หญิงสาวหายได้คงได้เป็นเคสกรณีศึกษาได้อีกหนึ่งเรื่อง
“กังวลเหรอครับ” ตั้งแต่ชื่นชีวาเข้าไปส่งชมชีวันในห้องของธีรภพ ผ่านไปจะเป็นชั่วโมงแล้วชื่นชีวาก็ยังนั่งไม่ติดเก้าอี้ ยังคงลุกเดินไปมาอยู่เป็นระยะ ทำไมเขาถึงจะดูไม่ออกว่าเภสัชสาวกำลังเครียด
“ค่ะ เข้าไปคุยกันตั้งนานแล้วนี่คะ บอกตามตรงนะคะว่าฉันกลัวชมพูกู่ไม่กลับ” เธอกลับมานั่งข้างวายุ สีหน้าของเธอแสดงออกถึงความอ่อนใจอย่างที่อีกฝ่ายเห็นได้ชัด ดีที่ได้พาชมชีวันมาหาหมอวันนี้ได้ ไม่เช่นนั้นคืนนี้เธอก็คงจะนอนไม่หลับ
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะครับ”
“ก็คนไข้ส่วนมากที่ช็อคแล้วจำอะไรไม่ได้ อาการส่วนมากก็จะชอบเหม่อลอยหรือไม่ก็ใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้เลย แต่น้องสาวฉันใช้ชีวิตได้ปกติ ที่ไม่ปกติก็มีแค่ความจำ แถมสภาพร่างกายก็ยังปกติทุกอย่างอีก ฉันยอมรับว่าฉันเครียดกับอาการของชมพูจริงๆ ค่ะ จากคนที่แก่นแก้วจนฉันไม่เคยกังวลเรื่องการใช้ชีวิตของน้อง ตอนนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้วค่ะ”
“ผมยอมรับนะครับว่าเคสของคุณชมพูแปลกจริงๆ แต่ยังไงผมจะหาทางช่วยให้ได้ เพราะตอนนี้คุณชมพูก็เหมือนเป็นคนในครอบครัวของผมไปแล้วนะครับ” หมอหนุ่มยกมือแตะบ่าให้กำลังใจชื่นชีวา เขารู้ว่าเธอไม่ได้เป็นแค่พี่สาวของชมชีวัน ทว่าก็เป็นเหมือนแม่ของหญิงสาวด้วย
ความเจ็บป่วยของคนในครอบครัวทำให้เครียดแค่ไหนเขารู้ดี เพราะผ่านเหตุการณ์การสูญเสียหัวหน้าครอบครัวมาแล้ว ทั้งตอนนี้พี่ชายที่เป็นเสาหลักของบ้านก็ยังมาเจ็บหนักจนยังไม่สามารถออกจากห้อง ICU ได้อีก นับจากคนใกล้ตัวของชื่นชีวา เขาคิดว่าไม่น่าจะมีใครเข้าใจหญิงสาวเท่าเขาอีกแล้ว
“ไปหาหมอเขาว่าไงมั่งพี่ชบา” โชติรวีเข้ามาหาชื่นชีวาในห้องหลังจากเห็นพี่สาวกลับมาถึงบ้านได้พักใหญ่
“หมอภพกับหมอยุเห็นว่าอาการของชมพูเป็นเรื่องแปลก เธอไม่เหมือนคนไข้ความจำเสื่อมที่เกิดจากอาการช็อคคนอื่นๆ แล้วก็ไม่ใช่คนไข้ที่เป็นโรคหลายบุคลิกด้วย ตอนนี้ยังสรุปอะไรไม่ได้ เพราะชมพูเพิ่งไปคุยกับหมอภพครั้งแรก หมอภพบอกว่าถ้าชมพูพูดอะไรก็ให้เออออเข้าใจตามนั้นไปก่อน ถ้าชมพูไม่ได้มีปัญหาในการเรียนรู้การใช้ชีวิตก็ไม่เป็นอะไร”
“เราเข้าใจพี่ชมพูก็จริง แต่คนอื่นล่ะ จะไม่คิดว่าพี่ชมพูบ้าเหรอ”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้อะไรจะเกิดก็ช่างมันเถอะ พี่เหนื่อยคิดแล้ว พี่คิดถ้าถ้าชมพูเข้าใจสิ่งที่เราสอนได้ง่าย อีกหน่อยก็กลับมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้ เรื่องจำเรื่องราวเก่าๆ ได้หรือไม่ได้พี่ไม่ได้หวังอะไรมากแล้วล่ะ”
“อืม... แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ว่าถ้าพี่ชมพูบอกว่าเห็นผีอีกผมจะไม่อยู่ใกล้ แล้วก็อย่ามาว่าผมด้วย”
“แกจะอะไรนักหนากับเรื่องที่ชมพูเห็นผี นั่นพี่แกนะ”
“ก็ผมกลัวนี่”
“บางทีชมพูอาจจะไม่ได้เห็นจริงๆ ก็ได้” ชื่นชีวายังไม่ปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเรื่องที่น้องสาวไปคุยกับนางไม้เป็นเรื่องจริง ไหนจะเรื่องที่ได้ยินเสียงของผู้ชายมาคุยด้วย นั่นเธอก็คิดว่าชมชีวันอาจจะหูแว่ว
“ไม่รู้ แต่ผมคิดว่าพี่ชมพูพูดจริง” คนที่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ สิ่งลี้ลับอย่างเขา ไม่มีสักนิดที่จะไม่เชื่อในสิ่งที่พี่สาวคนรองพูด
“เออ...เรื่องของแกเหอะ”
บทสนทนาของสองพี่น้องในห้อง มนตรามัจฉาได้ยินทุกอย่างเต็มสองรูหู เพราะเธอเดินออกจากห้องมาเพื่อจะเข้าไปคุยกับชื่นชีวา ทว่าพอได้ยินว่าคนเป็นพี่ไม่ได้คิดจะเชื่อคำพูดของเธอ เธอก็ไม่รู้ว่าจะคุยอะไรแล้ว
หญิงสาวในเดรสชุดนอนสีชมพูปล่อยผมยาวสยายเดินหน้าละห้อยออกมาหน้าบ้าน ก่อนจะมองตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ “ท่านอยู่ฤาไม่ ท่านสาลิกา”
“ข้าอยู่ตรงนี้”
มนตรามัจฉาพอจะฉีกยิ้มได้เมื่อเห็นนางไม้แสนสวยปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับชายผมขาวเปลือยท่อนบนและนุ่งโจงกระเบนสีขาว
“ท่านเป็นใครกันฤา ข้าเคยเห็นท่านในบ้านหลังเล็กนั่น” มนตรามัจฉาจำได้ว่าวันแรกที่เธอเข้ามาในที่แห่งนี้เธอเห็นผู้ชายตรงหน้าในตอนที่ยกมือไหว้ศาลเจ้าที่ตามชื่นชีวา
“ท่านพี่ก็รู้ใช่ฤาไม่เจ้าคะว่าทั้งสองอภิเษกทั้งที่ยังมิได้รักกัน แลเพลานี้ข้าดูออกว่าทั้งสองกำลังใส่ใจแลสนใจกันเป็นพิเศษเจ้าค่ะ หากท่านเพลิงพันจักรมิคิดมีใจให้ท่านหญิงจักรู้สึกเสียใจที่ทำท่าหญิงโกรธปานนี้ฤาเจ้าคะ แลท่านหญิงเองหากมิมีความรู้สึกกับท่านเพลิงพันจักร ท่านหญิงจักยอมทำทุกอย่างเพื่อตามใจท่านเพลิงพันจักรในตอนที่สวามีป่วยฤาเจ้าคะ จริงอยู่ที่การกระทำของท่านหญิงเป็นไปเพราะรู้สึกผิด ทว่าก็มิต้องทำทุกอย่างที่ท่านเพลิงพันจักรขอก็ได้ใช่ฤาไม่เจ้าคะ”“ชายาข้าช่างสังเกตปานนี้เชียวฤา” รณจักรปักษาเอ่ยออกมาด้วยท่าทางขบขันที่เห็นชายาตนนั้นวิเคราะห์เรื่องนี้เสียยาว“ขำสิ่งใดเจ้าคะ จักว่าข้าช่างสังเกตฤาช่างสอดเจ้าคะ”“มิใช่อย่างนั้นเสียหน่อย เป็นสิ่งที่ดีแล้วที่เจ้าสงสัย เพราะข้าเองก็คิดเช่นเจ้า เพียงแค่พอจักเดาออกว่าทั้งสองมิรู้ใจตน ทั้งสองอยู่ใกล้กันทุกวัน แม้จักมินานก็คงทำให้มีความรู้สึกต่อกันบ้าง แต่ทั้งสองต่างก็ยังมิเคยมีความรัก ความรู้สึกคงยังมิชัดแจ้งแก่ใจตน”“ข้าเข้าใจได้ว่าท่านอัญญาภานารีมิเคยมีความรักนั้นใช่ แต่ท่านเพลิงพันจักรนั้นรักท่านอชินีพาราหนาเจ้าคะ”“เรื่องนี้ท่านปักษิณสิงขร
“ตั้งแต่ข้ามาอยู่บ้านเมืองของเขาก็ถูกแกล้งสารพัด ยิ่งตอนนี้มีเหตุให้เขาทำร้ายข้าอย่างถูกต้องคงสาแก่ใจเขามาก”“คราแรกข้าก็ว่าท่านเพลิงพันจักรร้ายที่แกล้งท่านหญิง แต่ข้าก็มองเห็นว่าตอนที่ท่านเพลิงพันจักรพาท่านหญิงกลับมา ท่านเพลิงพันจักรดูกระวนกระวายใจแลเป็นห่วงท่านเหมือนกันหนาเจ้าคะ ข้าเองก็มิรู้ได้ว่าท่านเพลิงพันจักคิดสาแก่ใจที่เห็นท่านเจ็บฤาไม่ แต่การแสดงออกมิเห็นเจ้าค่ะ” บุหงาราตรีเอ่ยไปตามความรู้สึกของตนเอง เรื่องอัญญาภานารีจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งอัญญาภานารียังคงเงียบ ถึงบุหงาราตรีจะเอ่ยแบบนั้นแต่เธอก็ยังไม่หายโกรธผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสวามีอยู่ดี หากเมื่อวานเธอไม่รอดออกมาจากภูผาม่านจะเป็นอย่างไร ที่เขามาทำดีกับเธอก็คงไม่พ้นกลัวว่าความผิดจะถึงหูแม่ตนเองแล้วจะถูกตำหนิ ไม่ผิดไปจากที่เธอคิดแน่“สมุนไพรนี้ได้ผลชะงัด ใบหน้าที่มีรอยแผลตื้นหายแทบจะเป็นปลิดทิ้งแล้วหนาเจ้าคะ” บุหงาราตรีเห็นใบหน้าของอัญญาภานารีกลับมาสวยสดดังเดิมก็ยิ้มอย่างพึงพอใจหลังจากเฝ้ารักษากันมาร่วมสองสามวัน“เห็นท่าข้าคงต้องพกติดตัวเสียแล้ว ด้วยมิรู้ว่าจักถูกสวามีข้ากลั่นแกล้งเมื่อใด”“ยังมิหายเคืองโกรธท่านเพล
เมื่อได้รับความอบอุ่นจากทั้งกองฟืน ทั้งไหมร้อนและอ้อมกอดของเพลิงพันจักรรวมไปถึงได้ยาสมุนไพรไปเมื่อกลางดึก เช้านี้อัญญาภานารีจึงพอจะรู้สึกตัวและฟื้นคืนสติมาได้ ทว่าความเจ็บปวดนั้นก็ยังมีอยู่เนืองๆดวงตาคู่สวยค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น เมื่อเห็นว่าตนนั้นอยู่ในอ้อมอกของสวามี อีกทั้งความเจ็บปวดในกายนั้นยังทำให้เธอได้รื้นฟื้นความจำว่าเมื่อวานนี้ไปเจอกับเรื่องอะไรมา“ตื่นแล้วฤา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บปวดมากฤาไม่” เพลิงพันจักรค่อยๆ คลายอ้อมกอดเมื่อรู้ว่าอัญญาภานารีได้รู้สึกตัวตื่นขึ้น“ข้าทุเลาความปวดลงมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าจำได้ว่าท่านตามข้าเข้าไปที่ยอดเขาโน้น” นกยักษ์สาวจับจ้องรอคำตอบจากสวามีตนตาไม่กระพริบ“ข้า...” เพลิงพันจักรขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะค่อยๆ ประคองชายาตนให้นั่งเช่นตน“เจ้าดื่มยานี่ก่อนเถิด” เมื่อไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดถึงเรื่องเมื่อวานอย่างไรก็หันไปรินยาต้มใส่ถ้วยแก้วให้นกยักษ์สาวได้ดื่มเสียก่อนอัญญาภานารีรับถ้วยยาจากสวามีตนขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด เป็นวินาทีเดียวกันกับที่บุหงาราตรีเข้ามาพอดี“ท่านอัญญาภานารี เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”“ข้าค่อยยังชั่วแล้ว แต่ยังรู้สึกปวดแผลอยู่บ้าง”“
เพลิงพันจักรปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปพักใหญ่เขาจึงกลับเข้าไปดูอาการของอัญญาภานารีในถ้ำเพราะทนความกระวนกระวายใจไม่ไหว เมื่อย่างก้าวเข้ามาถึงข้างในได้ก็ต้องหลบสายตาของบุหงาราตรี ด้วยไม่อยากรู้สึกว่ากำลังถูกคาดโทษผีเสื้อสาวอมยิ้มมุมปากเล็กน้อย ด้วยพอจะเดาท่าทางของเสืออาวุโสออกว่าตอนนี้ท่าจะลดทิฐิและรู้สึกผิดกับเรื่องที่ทำลงไปได้แล้ว “ท่านหญิงเก็บปีกได้แล้วเจ้าค่ะ แต่ความเจ็บปวดนั้นยังอยู่ ทั้งดูท่าจะทวีคูณมากขึ้นในค่ำคืนนี้ด้วยเจ้าค่ะ ข้าคงต้องเฝ้าท่านหญิงทั้งคืน”“ข้าดูแลนางเอง นางเจ็บตัวเพราะข้าแลนางเป็นชายาข้า หน้าที่ดูแลนางสมควรเป็นข้าจักต้องทำ ขอบใจเจ้าที่คอยดูแลนาง เพลานี้แล้วเจ้าไปพักเถิด ข้าให้ลำปันจัดเตรียมอาหารเอาไว้ที่ถ้ำของพวกเจ้าแล้ว”“เจ้าค่ะ วันพรุ่งข้าจักมาดูท่านหญิงแต่เช้าหนาเจ้าคะ สมุนไพรที่ต้องทาแผลท่านหญิงอยู่ตรงนี้หนาเจ้าคะ” บุหงาราตรีวางถ้วยสมุนไพรไว้ข้างแท่นบรรทมก่อนจะเดินออกไป ที่ผีเสื้อสาวยอมออกไปง่ายๆ ก็เพราะเห็นแล้วว่าเพลิงพันจักรอยากรับผิดชอบกับสิ่งที่ตนได้ทำจริงๆเพลิงพันจักรนั่งมองอัญญาภานารีที่นอนหลับไปไม่ได้สติอยู่บนแท่นบรรทมเงียบๆ สายตาของเขามองภาพนั้นด้วยคว
อัญญาภานารีบินโฉบไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบจะหมดเรี่ยวแรง ทว่าไม่กี่อึดใจที่คิดจะโฉบลงพื้นไปนั่งพักก็มีแสงบางอย่างกระทบมายังดวงตาของเธอ นกยักษ์สาวเพ่งสายตาไปยังจดเริ่มต้นของแสงที่กระทบสายตา วินาทีนั้นความเหนื่อยได้หายไปเป็นปลิดทิ้งเพราะบ่อน้ำแร่ได้อยู่ตรงหน้าของเธอแล้วอัญญาภานารีรีบโฉบลงไปยังบ่อน้ำที่มีควันกรุ่นออกมาตลอดเวลา เธอไม่ได้กลัวความร้อนของบ่อน้ำแร่แม้แต่น้อย เมื่อเข้าใกล้บ่อได้ก็รีบใช้ขวดแก้วที่เตรียมมาตักน้ำแร่ในบ่อทันที เมื่อได้นำแร่จนพอใจแล้วก็รีบปิดฝาขวดแล้วเก็บเข้าไปยังย่ามหนังที่เธอได้เตรียมมาด้วยจัดแจงเก็บขวดน้ำแร่เรียบร้อยแล้วอัญญาภานารีกก็มองไปยังท้องฟ้าอีกครา คิ้วเรียวสวยเริ่มขมวดมุ่นกะทันหันเพราะตอนนี้ม่านหมอกได้ปกคลุมน่านฟ้าแทบทุกอณู“เหตุใดเป็นเช่นนี้” นกยักษ์สาวเห็นท่าไม่ดีจึงเริ่มสยายปีกบินขึ้นท้องฟ้า อัญญาภานารีพยายามบินให้สูงขึ้นเหนือหมอกเพื่อที่จะได้มองเห็นยอดเขาที่เป็นที่พักของตน ทว่าไม่ว่าจะบินสูงแค่ไหนก็ไม่สามารถพ้นม่านหมอกได้เสียทีเมื่อพยายามบินให้ไวขึ้น จู่ๆ ปีกของเธอก็เหมือนมีอะไรบางอย่างเกี่ยวรั้งสร้างความเจ็บปวดจนกรีดร้องเสียงหลง “อ๊าย...”เสียง
“ท่านจักไปเช้านี้ฤา” เพลิงพันจักรลืมตาตื่นขึ้นมาในวันใหม่ก็เห็นอัญญาภานารีเตรียมสำรับอาหารให้กับเขาเรียบร้อย ให้เดานกยักษ์สาวคงรีบไปหาน้ำแร่ให้เขาเป็นแน่“เจ้าค่ะ ข้าจักรีบไปรีบกลับ ท่านต้องกินอาหารในสำรับให้หมดหนาเจ้าคะ”“อืม เจ้ารีบไปเถิด” เพลิงพันจักรพยักหน้าทั้งอมยิ้มมุมปากน้อยๆ เขามองตามหลังนกยักษ์สาวด้วยสายตามีเลศนัย ให้หลังอัญญาภานารี เสืออาวุโสก็ลุกขึ้นยืนไปยกสำรับขึ้นมากินอาหารด้วยท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษอัญญาภานารีออกไปยืนที่ริมหน้าผาสูง เธอยืนดูราดราวลู่ทางการเดินทางครู่หนึ่ง เมื่อมั่นใจในตำแหน่งของเป้าหมายที่จะบินไปยังยอดเขานั้น อัญญาภานารีก็เริ่มสยายปีกแล้วบินขึ้นท้องฟ้าไปในทันทีปีกสีขาวสยายลู่กับลมโฉบไปมาอยู่ครู่ใหญ่ จากท้องฟ้าที่เปิดโล่งก็ค่อยๆ กลับกลายเป็นส่ามีม่านหมอกมาบังสายตาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อผ่านม่านหมอกนั้นไปได้นกยักษ์สาวก็บินอยู่กับที่ เธอมองจ้องภาพเบื้องล่างด้วยสีหน้าฉงน เพราะตอนนี้ภาพนั้นช่างแตกต่างจากภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่มากพอสมควร จากยอดเขาที่เปิดโล่ง กลับกลายเป็นมีต้นไม้ขึ้นหนาบดบังวิสัยทัศน์“แล้วเช่นนี้จักเห็นบ่อน้ำแร่ได้อย่างไร” อัญญาภานารีเริ่มแบ่งพื้