LOGINเงือกสาวยืนปั้นหน้าให้น่าสงสารที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่รู้ว่าวีรกรรมของเธอจะไปถึงหูองค์ราชาและราชินีผู้ปกครองเมืองนี้หรือยัง
“ท่านมิควรทำเยี่ยงนี้เลยเจ้าหญิง หากท่านยังคงทำเรื่องมิสมควร ข้าจักต้องรายงานท่านเจ้าเมือง”
เมื่อความผิดถูกละเว้นเงือกสาวก็พอจะยิ้มออก จากนั้นจึงรีบคุกเข่าคำนับองครักษ์หนุ่มเป็นการขอบคุณ “ข้าขออภัย ข้าจักไม่ทำอีก”
ร่างของรณจักรปักษาสลายหายไปกับอากาศ ตัวของเจ้านากทะเลก็ลงมากองกับพื้น
ชมชีวันค่อยๆ เงยหน้าเปิดตาทีละข้างเมื่อรู้ว่ารณจักรปักษาไม่อยู่แล้วก็ทิ้งตัวนั่งกับพื้นด้วยสีหน้าโล่งใจ ก่อนจะหันไปขมวดคิ้วใส่เจ้านากทะเลที่นอนหงออยู่ตรงหน้า
“ไปทำยังไงให้จับได้ล่ะสามน”
“ก็ข้ามิรู้ว่าท่านรณจักร จักเห็นข้าด้วย ข้ากลัวแทบตายเจ้าหญิงยังมิวายบ่นข้าอีกฤา” สามนสะบัดหน้าหนีเจ้านายตน เขากลัวจนแทบหยุดหายใจเมื่อถูกรณจักรปักษาดึงหลังคอขณะที่กำลังปีนป่ายตามหาปักษิณสิงขร
“ข้าปลอบเจ้าก็ได้” ชมชีวันอุ้มเจ้านากทะเลตัวกลมมากอดปลอบ ด้วยรู้ว่าตัวเองอยากรู้อยากเห็นจนลืมใส่ใจความรู้สึกของเพื่อนตัวน้อยไป
“ชิ...”
“อย่างอนข้านักเลยน่า ข้าขอโทษ แล้วได้เห็นว่าที่สวามีข้าฤาไม่”
“แค่ข้าย่างกายเข้าตำหนัก ยังไม่ขึ้นไปถึงหอนอนข้าก็ถูกหิ้วออกมาแล้ว อ่อ... ข้าเห็นว่าตอนนี้ตำหนักของท่านปักษิณกำลังตกแต่งเป็นเรือนหอ มีผ้าผืนงามสีสันสดใส รวมถึงไม้ดอกสีงามประดับประดาอยู่ทั่วตำหนักด้วย”
“เตรียมต้อนรับดีขนาดนี้แสดงว่าเขาต้องอยากอภิเษกกับข้ามากเลยใช่ฤาไม่”
“ว่ากันว่าท่านปักษิณต้องมีเจ้าหญิงเคียงข้างจึงจักมองเห็น คงอยากอภิเสกกับท่านเพราะเหตุผลนี้นี่แหละ”
“แต่ข้ามิได้อยากอภิเษกกับท่านปักษิณแม้แต่น้อย”
“ข้ารู้ ถ้าเจ้าหญิงอยากจักออกไปจากที่นี่ก็มีเพียงไม่กี่วิธีที่ท่านจักได้ออกไป”
“อย่างไร” ชมชีวันถลึงตามองเจ้านากทะเลอย่างมีความหวัง
“มีชู้ ฤาไม่ก็ปลิดชีวิตสวามีของเจ้าหญิง”
รอยยิ้มความหวังที่เพิ่งจะมีเหือดหายไปจากสีหน้าของชมชีวัน “ทีหลังไม่ต้องออกความเห็นก็ได้” เอ่ยจบเธอก็ปล่อยเจ้านากตัวกลมล่วงผล็อยไปกับพื้นตามเดิม
“ก็ข้าพูดเรื่องจริง ทำไมต้องอารมณ์เสียใส่ข้าด้วย”
“ถ้าข้าทำเช่นนั้นเผ่าพันธ์เงือกได้เสื่อมเสีย รวมไปถึงชีวิตของข้าก็จักเสียไปด้วย ข้ามิอยากคุยกับเจ้าแล้ว”
สามนยกมือเล็กทั้งสองเกาหัวแกรกๆ จากนั้นก็กระโจนออกไปนอนพักอยู่บนฟูกนอนของตัวเอง
ชมชีวันไปนั่งที่ขอบหน้าต่าง มองทอดไปยังบริเวณรอบๆ ด้วยใจห่อเหี่ยว ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวของเธอที่อยู่ในโลกปัจจุบันจะเป็นยังไงบ้าง หากมนตรามัจฉาไปอยู่ในร่างของเธอตามที่ท่านผู้เฒ่าเต่าบอกจริงๆ ตอนนี้จะสับสนแค่ไหน อีกทั้งเรื่องที่เธอไม่ได้เป็นภรรยาของอัคคีจริงๆ นั่นอีก ไม่รู้ว่าตอนนี้ความลับแตกไปแล้วหรือยัง ยิ่งคิดก็อดที่จะกังวลไม่ได้
“เอ๋...” ในระหว่างที่นั่งทอดสายตาไปยังรอบตำหนักที่เต็มไปด้วยพืชพรรณใหญ่เล็ก จู่ๆ สมองของเธอก็ฉายภาพวันเก่าๆ ขึ้นมา ทว่าเรื่องราวในความทรงจำนั้นไม่ใช่ของเธอ
“ความทรงจำของคุณเหรอมนตรามัจฉา” ภาพที่เธอเห็นเป็นภาพสรรพสัตว์ในท้องทะเลที่เข้ามาทักทายมนตรามัจฉายามได้ออกไปแหวกว่ายตามท้องมหาสมุทร อีกทั้งภาพวันที่มนตรามัจฉาได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับองค์ราชาและราชินีก็ยังส่งความรู้สึกอบอุ่นหัวใจมาให้เธอด้วย
“ท่านว่าอันใดฤา” สามนผงกหัวขึ้นเมื่อได้ยินเจ้านายตนพึงพำออกมาเบาๆ
“เมื่อก่อนข้าซุกซนมากใช่ฤาไม่สามน”
“ใช่ เจ้าหญิงซุกซนมาก แม่ข้าเคยเล่าว่าตอนข้าเพิ่งเกิด เจ้าหญิงขโมยข้าไปเลี้ยงด้วย ตอนนั้นบ้านข้าเลยวุ่นวายไปหมด”
“ใช่สิ ตอนนั้นเจ้ายังพูดไม่ได้ เอาแต่ร้องอย่างเดียว” ชมชีวันเอ่ยปนขบขัน เพราะเรื่องนี้เธอก็รับรู้ได้จากความทรงจำของมนตรามัจฉาเช่นกัน
“ตอนนั้นข้าตีเจ้า แต่เจ้าจำมิได้หรอก”
“มิต้องปดข้าหรอกเจ้าหญิง ถึงแม้ท่านจักซุกซนเพียงใด แต่ท่านก็มิเคยคิดร้ายกับใคร”
“แต่ตอนนี้ข้ามิใช่เงือกสาวตนเดิมอีกแล้ว”
“ข้ารู้ องค์ราชาบอกกับข้าว่าเจ้าหญิงไม่เหมือนเงือกตนเดิม แต่ว่าก็สั่งให้ข้าดูแลเจ้าหญิงด้วยชีวิต ข้าก็จักทำเช่นที่เคยรับปากองค์ราชา”
“ข้ามิต้องให้ใครมาดูแลหรอกน่า แต่เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนข้า ข้าก็ดีใจมากแล้ว อ่อ...แล้วทำไมเจ้าจึงไม่กลายร่างเหมือนข้า หรือสัตว์ตนอื่นๆ”
“ข้ามิอยากให้ใครเห็นหน้าตาของข้า เพราะข้ารูปงาม กลัวตนอื่นหวั่นไหว”
“โหย...” ชมชีวันส่ายหัวน้อยๆ ก่อนจะหันกลับไปนอกหน้าต่าง อยากจะพูดเหลือเกินว่ามีสัตว์หนึ่งตนกำลังหลงตัวเอง ทว่าพูดไปอีกฝ่ายก็ไม่ได้เข้าใจอยู่ดี ตอนนี้เธอกำลังสนใจกับการจับความทรงจำและความรู้สึกของมนตรามัจฉามากกว่า
ร่างสูงใหญ่เจ้าของเรือนผมดำขลับหยิกยาวประบ่าเปลือยท่อนบนนุ่งเตี่ยวสีแดงเดินเท้าเปล่าเข้ามานั่งต่อหน้าองครักษ์หนุ่มที่เพิ่งเข้ามาหาเขาในถ้ำน้ำตก แม้นดวงตาจะมองไม่เห็น ทว่าประสาทสัมผัสของปักษิณสิงขรก็ดีเยี่ยม ฟังน้ำเสียงฝีก้าวขององครักษ์ที่เข้ามาหาไม่นานก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร
“นางแปลกประหลาดเช่นที่เขาพูดกันฤาไม่ท่านรณจักร” ปักษิณสิงขรเอ่ยออกมาน้ำเสียงเรียบ
“ถึงนางจักแปลกประหลาดทางวาจาแลกิริยา แต่แววตาของนางดูมิมีพิษภัย ท่านวางใจได้”
“เรื่องนางข้ามิได้กังวลมากมายนัก แต่หากข้ามองเห็น ข้าคงมิได้อยู่เฉยเช่นนี้”
“มีเหล่าสรรพสัตว์มากมายที่อยากให้ท่านได้ปกป้อง เมื่อมีกำลังก็จงจักใช้กำลังให้คุ้มค่าเถิด”
“ข้ารู้ ข้ากำลังทำใจ” บุตรของครุฑชนชั้นปกครองที่ต้องระหกระเหินจากสวรรค์วิมานมาอยู่กลางป่ากลางดงเช่นเขา ก็ไม่พ้นหน้าที่ปกป้องดูแลเหล่าสรรพสัตว์ในป่า ตอบแทนที่ทุกตนได้เลี้ยงดูฟูมฟัก เรื่องกำลังของการปกป้องเขาไม่เคยคิดอิดออด ทว่าเรื่องที่หนักใจก็เพราะรู้ว่าหากเขาสามารถมองเห็นได้แล้ว ปัญหามากมายจุกจิกนอกเหนือจากการดูแลความเรียบร้อยของผืนป่าจะมาหาเขาไม่ขาดสาย ดูได้จากการที่มีทั้งสองเผ่าพันธุ์ส่งบุตรีมารอเป็นสนมให้กับเขา โดยที่เขาไม่ได้ต้องการ เหตุผลก็เพราะสัตว์เหล่านั้นต้องการที่จะมีอำนาจ และการกระหายอำนาจโดยที่ไม่จำเป็นนี่แหละที่จะนำพาซึ่งความสูญเสีย
“พวกท่านจักรักข้าเหมือนลูกแท้ๆ จริงฤา”“เหตุใดจักมิจริงกันเล่า” เพลิงพันจักรรวบตัวพสุนทราขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมอก“ใช่แล้ว ข้านั้นก็เติบโตมากับท่านพ่อท่านแม่บุญธรรม แลพวกท่านนั้นรักแลหวังดีกับข้ามิได้ต่างจากพ่อแม่แท้ๆ แลเหตุใดพวกข้าจักรักเจ้าจริงๆ มิได้เล่า”“เจ้าอยู่ที่นี่เถิดหนาอย่าหนีไปไหน ย่าเจ้า ตัวข้า แลแม่เจ้านั้นจักดูแลเจ้าเป็นอย่างดี”“ข้า ข้าจักอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่...ข้ามีท่านแม่เพียงตนเดียว” พสุนทราเอ่ยจบก็ก้มหน้างุดซุกไปที่อกกว้างของผู้เป็นพ่ออัญญาภานารีหน้าเจื่อนเช่นเดียวกับเพลิงพันจักรเมื่อได้ยินพญานาคตัวน้อยเอ่ยออกมาแบบนั้น“ข้าเข้าใจเจ้าหนาพสุนทรา เจ้ายังมิต้องยอมรับข้าตอนนี้ก็ได้ แต่ข้าก็จักดูแลเจ้าให้ดีที่สุด ข้าสัญญา”เพลิงพันจักรอมยิ้มให้กับอัญญาภานารี คราแรกคิดว่าชายาตนนั้นจะเสียใจกับคำพูดของพสุนทราเสียอีก โล่งใจที่ชายาตนนั้นมีเมตตาต่อพสุนทราที่กำลังไร้เดียงสา“จักมิหนีไปอีกใช่ฤาไม่เจ้าคะ” อัญญาภานารีเอ่ยถามเพลิงพันจักรหลังจากส่งพสุนทราให้สิงหลพาไปนอนแล้ว“ข้าคิดว่ามิหนีไปแล้วล่ะ แลเจ้าจักทำอย่างไรให้พสุนทรายอมรับเจ้าให้เป็นแม่”“ข้ามิคิดจักแทนที่แม่ของพสุนทราดอกเ
“หากข้ามิหนีมาเรื่องเช่นนี้คงมิเกิด หากข้ารอฟังตอนที่ท่านฟื้น ท่านพี่แลอิรวดีคงมิต้องจากไป” อัญญาภานารียังคงร้องห่มร้องให้อยู่ในอ้อมอกของเพลิงพันจักร แม้นจะออกจากท้องพระโรงมาพักที่ตำหนักของตน ทว่าความรู้สึกตกใจและภาพความสูญเสียที่เกิดขึ้นก็ยังติดตาของเธอไม่หายที่เสียใจไปกว่านั้นก็เพราะรับรู้ว่าอย่างไรบูรพกันต์ก็ต้องถูกประหาร เพราะคิดจะฆ่าเธอและเขาก็เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของอิรวดี“เจ้าอย่าโทษตนเองเลยหนา เป็นข้าเองที่มิบอกเรื่องของอิรวดีแลพสุนทรากับเจ้า แลหากมิใช่แผนร้ายของบูรพกันต์ฤา เจ้าจึงได้เสียใจจนหนีไป”“ข้าเสียใจเหลือเกิน ข้าเสียใจเหลือเกินเจ้าค่ะ” เสียใจไปกับการสูญเสียแค่นั้นไม่พอ ตอนนี้สิ่งที่ห่วงที่สุดคือพสุนทรา พญานาคตัวน้อยจะรู้สึกเช่นไรหากได้รู้ว่าเสียผู้เป็นแม่แล้ว ไม่ว่าเพลิงพันจักรจะเอ่ยถึงสาเหตุของเรื่องว่าไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่อย่างไรเธอก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เหตุการณ์เลวร้ายขึ้น“ข้ามิคิดว่าเรื่องการกลั่นแกล้งใส่ความกันจักเป็นบ่อเกิดของเรื่องร้ายแรงเพียงนี้เลยขอรับ” รณจักรปักษาคิดว่าจะไม่พูดเรื่องราวเลวร้ายขึ้นมาอีกแล้ว ทว่าความหดหู่หัวใจก็มีมากเกินเสีนจนอดระบายออก
“ท่านเพลิงพันจักร” ปักษิณสิงขรรีบดึงให้เพลิงพันจักรนั่งลง หากปล่อยให้มีเรื่องมีราวกันการไต่สวนอาจจะไม่จบ และเขาก็เชื่อไม่มีผู้ใดเชื่อคำของบูรพกันต์อยู่แล้ว ดีเสียอีกที่ครุฑหนุ่มนั่นเผยสันดานที่แท้จริงออกมา ผู้อื่นจะได้เลิกเคารพเสียที“มิจริงหนาท่านแม่ ข้ามิเคยถูกท่านพี่ล่วงเกิน” อัญญาภานารีคิดว่าจะนั่งฟังอยู่เงียบๆ ทว่าเธอก็อดส่งเสียงท้วงไม่ได้ ถึงจะถูกบูรพกันต์จับไปขังอยู่หลายเพลา ทว่าเขาก็ไม่ได้ทำล่วงเกินอันใดกับเธออย่างที่กล่าวออกมา“หากอยากจักเอาชนะข้าด้วยวิธีอื่นข้ามิว่า แต่อย่าหยามเกียรติชายาของข้าโดยการพูดพล่อยๆ” เพลิงพันจักรรู้ทันบูรพกันต์ หรือแม้แต่เรื่องที่ครุฑหนุ่มพูดจะเป็นความจริงเขาก็ไม่สนใจอยู่แล้ว“ทำไม เจ้ายอมรับความจริงมิได้ฤา” บูรพกันต์ยังคงตีสีหน้ายียวนขณะหันไปพูดกับเพลิงพันจักรเพียะ ศีตกาลที่ทนเห็นพฤติกรรมไม่สะทกสะท้านของหลานชายไม่ได้ เธอจึงต้องเดินเข้าไปสั่งสอนบูรพกันต์ให้ได้สติโดยการยกมือฟาดไปที่แก้มสากจนบูรพกันต์หน้าหัน“ทำไมเป็นเช่นนี้หนาหลานข้า หากเจ้าพูดสิ่งใดข้าย่อมเอนเอียงไปทางเจ้าเสียหมดหนาบูรพกันต์ แต่เรื่องที่เจ้าเอ่ยว่าหยามเกียรติของอัญญาภานารีข้าว่ามั
“หากเป็นเช่นนั้น ถ้าเราไปถามก็คงจักมิบอก ทางเดียวที่ข้าคิดได้ตอนนี้ก็คือการติดตามบูรพกันต์อยู่ห่างๆ” ปักษิณสิงขรเห็นว่ามันน่าจะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้ได้เจอกับอัญญาภานารีได้เร็วที่สุด“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แลทำอย่างไรพวกเราจึงจักอยู่ที่นี่ได้ต่อ หากเป็นเรื่องตามหาอัญญาภานารีก็มิเจอนางแล้ว”“หากบูรพกันต์รู้ว่าอัญญาภานารีอยู่ที่ใดคงมิปล่อยให้ห่างแน่ ป่านนี้ต้องกระวนกระวายเพราะถูกขังอยู่ในตำหนัก มิแน่คืนนี้เขาอาจจักกำลังหาทางออกไปจากตำหนักอีกก็เป็นได้”“เช่นนั้นเราต้องทำให้บูรพกันต์ได้ถูกปล่อยตัวในคืนนี้ ข้าเห็นว่าเป็นหน้าที่ของท่าน”“อย่างไรฤา” ปักษิณสิงขรยังไม่ค่อยเข้าใจที่เพลิงพันจักรพูดเท่าไรนักวิเวก องครักษ์ผู้ที่สนิทกับบูรพกันต์รีบเดินเข้ามาขวางหน้าเมื่อเห็นปักษิณสิงขรและรณจักรปักษากำลังตรงเข้ามายังตำหนักของบูรพกันต์“ท่านปักษิณสิงขรมาที่นี่ด้วยเหตุอันใดขอรับ”“ข้าอยากคุยกับท่านบูรพกันต์”“ตอนนี้ท่านทศยันต์สั่งห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปหาท่านบูรพกันต์ขอรับ”“ข้าเป็นผู้ใดเจ้าลืมไปแล้วฤา หากข้ามิขออนุญาตท่านพ่อของข้าแลข้าจักมาที่นี่ได้ฤา ถอยออกไปหากมิอยากถูกขังลืม”“ข้าให้เข้าไปมิได้ขอรับ”“
“ท่านพี่ที่แสนสุขุมแลให้เกียรติผู้อื่นบัดนี้อยู่ที่ใดเจ้าคะ”“ข้าก็ให้เกียรติเฉพาะผู้ที่ข้าอยากให้เกียรติ เจ้าอยู่ที่นี่ให้สบายเถิด” บูรพกันต์วางถาดอาหารแลน้ำไว้ได้เขาก็หมุนแหวนครุฑของตนเพื่อเปิดประตูมิติ หลังจากที่ครุฑหนุ่มหายไป ประตูและหน้าต่างที่เคยเปิดก็ปิดสนิทก็มีกำแพงแก้วเข้ามาปิดกั้นไม่ให้นกยักษ์สาวนั้นหนีไปไหนได้“เหตุใดเป็นเยี่ยงนี้ไปได้” อัญญาภานารีน้ำเสียงสั่นเครือ พลางคิดย้อนเวลา เธอไม่น่าใช้แขวนครุฑกลับไปยังตำหนักของบูรพกันต์ตั้งแต่คราแรกเลย แล้วตอนนี้แหวนนั้นเขาก็เอาคืนไปแล้ว แล้วเมื่อไรเขาจะมาปลดปล่อยเธอออกไปจากที่นี่กันทางด้านเพลิงพันจักร เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงสวรรค์ชั้นกลางก็รีบลากอิรวดีไปเข้าเฝ้าองค์ราชาพญาทศยันต์และองค์ราชินีศีตกาลโดยมีปักษิณสิงขรและรณจักรปักษาตามหลังติดๆ ทั้งสี่ได้พยายามเล่าเรื่องที่มันเกิดขึ้นให้กับองค์ราชาและราชินีพญาครุฑทั้งสองอย่างละเอียดครู่ใหญ่เรื่องราวอันน่าปวดหัวนั้นสร้างความหนักใจให้กับพญาทศยันต์และศีตกาลไม่น้อย เพราะบูรพกันต์นั้นถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท อีกทั้งพวกเขาทั้งสองก็ไม่ทราบได้จริงๆ ว่าอัญญาภานีหนีมาที่นี่หรือไม่“เรื่องทั้งห
“ข้าจักเป็นลมเสียให้ได้ ใยเจ้ามิคิดบอกเรื่องนี้กับแม่บ้าง” อังกาบแทบจะล้มพับในขณะที่กำลังนั่ง ดีที่โสภิณนั้นช่วยประคองเอาไว้“ข้ากลัวว่าท่านแม่จักมิอยากให้ข้ารับบุตรผู้อื่นเป็นบุตรของตนขอรับ แลตอนนี้ข้านั้นรักพสุนทราเหมือนลูกจริงๆ ข้าเองก็หาเพลาจักบอกท่านแม่กับอัญญาภานารีเช่นกัน แต่ก็มีเรื่องของเมืองศิคาลเข้ามาก่อนขอรับ”“แล้วพวกเจ้าจักทำอย่างไร ตอนนี้อัญญาภานารีหนีไปไหนมิรู้ได้ อีกทั้งพสุนทราจักต้องรับรู้เรื่องท่านพ่อกับท่านแม่ของตนเช่นไรหากเจ้าจักพรากแม่พรากลูกเช่นนี้”“เรื่องอัญญาภานารีข้าจักตามหาน้องข้าเอง ท่านก็สะสางเรื่องตรงนี้ให้จบเถิดท่านเพลิงพันจักร” ปักษิณสิงขรเอ่ยจบก็ยืนส่ายหัวน้อยๆ กับเรื่องอันน่าปวดหัวที่เกิดจากความรักแบบผิดๆ ของอิรวดีและบูรพกันต์ แม้นจะไม่มีใครบอกเขาว่าบูรพกันต์รู้สึกอย่างไรกับอัญญาภานารี แต่เขานั้นมองออกตั้งแต่งานอภิเษกของอัญญาภานารีและเพลิงพันจักรแล้ว“ข้าจักตามหาอัญญาภานารีด้วย แลหลังจากนั้นข้าจักไปสะสางกับบูรพกันต์ด้วยตัวเอง” เอ่ยกับปักษิณสิงขรจบก็หันมาจ้องหน้าอิรวดี “แลเจ้าก็ต้องไปเป็นพยานให้ข้าว่าบูรพกันต์นั้นคิดชั่วแค่ไหนกับท่านพญาทศยันต์”อิรวดีไ







