ชมชีวันมาถึงตำหนักของชลามัจฉาก็วิ่งไปรอบตำหนัก เพราะที่แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงต้นไม้ใหญ่ที่เป็นที่อยู่หลับนอนเท่านั้น แต่หลังตำหนักมีรากไม้ขนาดใหญ่ขดโอบล้อมเกิดเป็นบ่อน้ำสีฟ้าสวยและรอบๆ ก็มีไม้ดอกหลากสีสันเป็นที่น่ามองอีกด้วย
“ข้าชอบสระน้ำนี้เจ้าค่ะท่านน้า ข้ามาหาท่านบ่อยๆ ได้ไหมเจ้าคะ”
“เรือนหอของเจ้าจักมีเช่นกัน หลังเจ้าร่วมหอกับท่านปักษิณสิงขร รากไม้จากตำหนักจักขยายรากเกิดเป็นบ่อน้ำให้เจ้าได้แหวกว่ายยามคะนึงหาเมืองเกิดที่จากมา”
“แต่ข้าอยากมาที่นี่” ที่พูดออกไปเมื่อครู่เพียงต้องการหาข้ออ้างมาอยู่ใกล้ชลามัจฉาเท่านั้น
“ตามใจเจ้าเถิด”
“ท่านพี่อยากมาหาข้าใช่ฤาไม่เล่า” มีนามัจฉาอมยิ้มกรุ้มกริ่ม ด้วยรู้ว่าญาติผู้พี่ต้องอยากพาเธอไปหาอะไรทำสนุกๆ เช่นครั้งที่เธอกลับไปเยี่ยมเยียนถึงมหาสมุทรกว้างใหญ่แน่นอน ที่นั่นเป็นถิ่นของมนตรามัจฉา แต่ที่นี่เป็นถิ่นของเธอ มีหลายอย่างเลยที่เธออยากให้มนตรามัจฉาไปพบไปเห็นเหมือนกับสิ่งที่เธอได้เห็นในป่าอันกว้างใหญ่ไพศาล
“ให้จำเอาไว้ว่าเจ้าจักพาพี่เจ้าซนมิได้แล้วหนา” ชลามัจฉาเหมือนจะรู้ทันว่าลูกสาวของเธอกำลังคิดอะไรจึงต้องเอ่ยปากปรามเอาไว้ก่อน เพราะหลังจากนี้มนตรามัจฉาจะกลายเป็นราชินีองค์ต่อไปของเมืองนี้ หากทำสิ่งใดให้มีข้อกังขากับสัตว์หลายตนที่นี่จะมีปัญหาในตอนขึ้นรับตำแหน่งในภายภาคหน้า
“ข้าเข้าใจท่านแม่ แต่หากมิมีผู้ใดรู้ว่าพวกเราทำอันใด ก็มิเป็นไรใช่ฤาไม่”
ชมชีวันได้ยินเช่นนั้นก็ส่งยิ้มอย่างมีเลศนัยให้กับมีนามัจฉา ดูท่าญาติผู้น้องของมนตรามัจฉาตนนี้จะมีนิสัยไม่ได้ต่างจากเธอเท่าไรนัก ทั้งยังพูดถูกใจเธออีกต่างหาก
“พวกเจ้านี่หนา” ชลามัจฉาส่ายหัวน้อยๆ เมื่อเห็นสายตาของลูกและหลานที่กำลังจ้องมองกัน
“ไปยกเครื่องพิธีมาเถิดมีนา ข้าจักต้องสอนพี่เจ้าแล้ว”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
“ให้ข้าช่วยฤาไม่” ชลามัจฉาดึงมือของหลานสาวเอาไว้ไม่ให้เดินตามลูกสาวเธอไป
“เจ้าอยู่กับข้าที่นี่ ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า”
“เรื่องอันใดฤาท่านน้า”
“ข้ารู้เรื่องของเจ้าทุกอย่าง ข้าสื่อสารกับท่านพ่อแลท่านแม่เจ้าได้ แม้นในร่างนี้จักมิใช่หลานของข้า แต่ข้าจักดูแลเจ้าอย่างดีที่สุด แลข้าจักช่วยเจ้าทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าได้กลับไปยังที่เจ้าจากมา”
“ท่านรู้ก็ดีแล้ว ท่านรู้ไหมว่าท่านเหมือนกับแม่ของข้ามากแค่ไหน”
“หากเจ้าอยากเคารพข้าเหมือนแม้ของเจ้า ข้าก็มิว่า ข้าพูดไปแล้วว่าอยู่ที่นี่ ข้าจักเป็นแม่ให้เจ้า เจ้าจงปรับตัวเข้ากับทุกตนที่นี่ให้ได้มากที่สุด แล้วเจ้าจักอยู่ได้อย่างสบาย”
ชมชีวันโผกอดชลามัจฉาอีกครั้ง ไม่เพียงรูปร่างหน้าตาของชลามัจฉาจะละม้ายคล้ายกับแม่ของเธอเท่านั้น อีกอย่างที่เหมือนกันมากก็คือความใจดีมีเมตตาต่อผู้อื่น จะว่าไปหากถึงวันที่เธอจะต้องจากที่นี่ไป คงมีความทุกข์ใจไม่น้อย เพราะตอนนี้เธอเหมือนได้แม่กลับคืนมา ทว่าวันที่ต้องกลับไปเธอก็ต้องเสียแม่ของเธอไปเหมือนเดิม
สองแม่ลูกจัดเตรียมตั้งโต๊ะพร้อมวางเครื่องเงินให้เหมือนของใช้ในวันงานพิธีมากที่สุด ชมชีวันมองไปยังเครื่องเงินที่รูปทรงคล้ายพวกชุดชงน้ำชาไม่ละสายตา ทั้งกังขาในใจว่าหรือพิธีแต่งงานของที่นี่จะมีพิธียกน้ำชาเหมือนพิธีของคนไทยเชื้อสายจีนทำกัน
“ของพวกนี้คือชุดชงชาใช่ฤาไม่เจ้าคะท่านน้า”
“ชุดชงชาคืออันใดข้ามิเข้าใจ แต่ของพวกนี้คือหม้อต้มน้ำว่านโชคดี ในวันอภิเสกสมรสเครื่องใช้พวกนี้จักเป็นชุดทองเหลือง เจ้าแลท่านปักษิณจักต้องเป็นผู้บรรจงลงว่านแห่งความโชคดีลงไปในหม้อต้มก่อนจักเริ่มทำพิธิอันเป็นมงคล แลหลังจบพิธี เจ้ากับท่านปักษิณก็จักต้องเป็นผู้มอบน้ำว่านโชคดีให้ทุกตนที่มาจากเผ่าต่างๆ ได้ดื่มกันครบ”
“หม้อนิดเดียว แสดงว่ามากันไม่เยอะใช่ฤาไม่เจ้าคะ”
“หม้อทองเหลืองจากการประทานขององค์อิศวร มิมีวันหมดจนกว่าจักถึงแขกตนสุดท้ายของงาน”
“ท่านพ่อเล่าให้ข้าฟังว่า วันอภิเสกของพวกท่านทั้งสองต้องยืนแจกจ่ายน้ำว่านกันร่วมสามวันสามคืนเลยหนาท่านพี่”
“ฮะ!” มือเรียวยกทาบอกก่อนจะทิ้งก้นลงไปกับม้านั่งตัวยาว แขกที่มาหาดื่มเองแบบบุฟเฟต์ไม่ได้หรือยังไงจึงต้องให้เธอและเจ้าบ่าวยืนแจก พิธีนี้ล้มเลิกไปได้ไหมเนี่ย
สองแม่ลูกยืนขบขันเงือกสาวที่กำลังแสดงอาการตกใจออกมาทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด เพราะพิธีการข้อนี้นี่แหละที่ทำให้มีนามัจฉาเองไม่อยากจะมีคู่ครองเช่นนกยักษ์ในรุ่นราวคราวเดียวกันที่ออกเรือนกันไปนักต่อนัก
วันทั้งวันชมชีวันถูกชลามัจฉาและมีนามัจฉาสอนให้เรียนรู้ถึงพิธีการอย่างละเอียดจนแทบจะไม่ได้นั่ง ทว่าดีอย่างหนึ่งที่เธอได้รับประทานเนื้อสัตว์และของหวานต่างจากวันอื่นที่มีแต่ผักลงไปในท้อง
ชมชีวันกลับมาถึงหอนอนก็ทิ้งตังลงบนฟูกแสนนุ่ม สายตาของเธอว่างเปล่าเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน ทว่าอย่างน้อยเธอก็พอจะโล่งใจได้ไปหนึ่งเปราะเรื่องงานพิธี ด้วยข้อที่ว่าเธอไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดเรื่องพิธีการมากหากปักษิณสิงขรเห็นตรงกับเธอ ทว่าเรื่องสำคัญที่ต้องระวังก็คือในระหว่างที่อยู่ในพิธี เธอห้ามถูกเนื้อต้องตัวของปักษิณสิงขรเด็ดขาด เพราะหากยังไม่เข้าหอ ก็เท่ากับว่าการแต่งงานของเธอกับปักษิณสิงขรยังไม่เป็นอันจบสิ้น
เมื่อความกังวลเรื่องงานพิธีจบลง บางเรื่องที่เธอลืมไปเสียสนิทก็ทำให้ต้องดีดตัวผึงลุกออกมาจากฟูกนอนแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้อง
“สามนยังไม่กลับมาอีกเหรอ” เธอลืมไปเสียสนิทเลยว่ามอบหน้าที่ให้สามนไปทำอะไรให้ ทว่าก็ต้องมีสีหน้าแปลกใจเมื่อพ้นหนึ่งชั่วยามมานานมากแล้ว เจ้านากทะเลยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาเลย
“แอบไปเที่ยวที่ไหนจนเพลินแล้วมั้งเนี่ย”
“ข้าอยู่นี่เจ้าหญิง”
ชมชีวันมองตามเสียงของสามนไม่กี่ลมหายใจองครักษ์รูปงามร่างสูงใหญ่ที่นุ่งเตี่ยวสีน้ำตาลเพียงตัวเดียวก็หิ้วคอเจ้านากทะเลออกมาจากมุมมืดของหอนอน
“เอ่อ...” ชมชีวันพูดอะไรไม่ออกเพราะจำได้ว่าคนที่กำลังหิ้วสามนอยู่นั่นคือรณจักรปักษา องครักษ์คู่กายของปักษิณสิงขร เท่ากับว่าแผนของเธอแตกแล้วสินะ
“ท่านพี่ก็รู้ใช่ฤาไม่เจ้าคะว่าทั้งสองอภิเษกทั้งที่ยังมิได้รักกัน แลเพลานี้ข้าดูออกว่าทั้งสองกำลังใส่ใจแลสนใจกันเป็นพิเศษเจ้าค่ะ หากท่านเพลิงพันจักรมิคิดมีใจให้ท่านหญิงจักรู้สึกเสียใจที่ทำท่าหญิงโกรธปานนี้ฤาเจ้าคะ แลท่านหญิงเองหากมิมีความรู้สึกกับท่านเพลิงพันจักร ท่านหญิงจักยอมทำทุกอย่างเพื่อตามใจท่านเพลิงพันจักรในตอนที่สวามีป่วยฤาเจ้าคะ จริงอยู่ที่การกระทำของท่านหญิงเป็นไปเพราะรู้สึกผิด ทว่าก็มิต้องทำทุกอย่างที่ท่านเพลิงพันจักรขอก็ได้ใช่ฤาไม่เจ้าคะ”“ชายาข้าช่างสังเกตปานนี้เชียวฤา” รณจักรปักษาเอ่ยออกมาด้วยท่าทางขบขันที่เห็นชายาตนนั้นวิเคราะห์เรื่องนี้เสียยาว“ขำสิ่งใดเจ้าคะ จักว่าข้าช่างสังเกตฤาช่างสอดเจ้าคะ”“มิใช่อย่างนั้นเสียหน่อย เป็นสิ่งที่ดีแล้วที่เจ้าสงสัย เพราะข้าเองก็คิดเช่นเจ้า เพียงแค่พอจักเดาออกว่าทั้งสองมิรู้ใจตน ทั้งสองอยู่ใกล้กันทุกวัน แม้จักมินานก็คงทำให้มีความรู้สึกต่อกันบ้าง แต่ทั้งสองต่างก็ยังมิเคยมีความรัก ความรู้สึกคงยังมิชัดแจ้งแก่ใจตน”“ข้าเข้าใจได้ว่าท่านอัญญาภานารีมิเคยมีความรักนั้นใช่ แต่ท่านเพลิงพันจักรนั้นรักท่านอชินีพาราหนาเจ้าคะ”“เรื่องนี้ท่านปักษิณสิงขร
“ตั้งแต่ข้ามาอยู่บ้านเมืองของเขาก็ถูกแกล้งสารพัด ยิ่งตอนนี้มีเหตุให้เขาทำร้ายข้าอย่างถูกต้องคงสาแก่ใจเขามาก”“คราแรกข้าก็ว่าท่านเพลิงพันจักรร้ายที่แกล้งท่านหญิง แต่ข้าก็มองเห็นว่าตอนที่ท่านเพลิงพันจักรพาท่านหญิงกลับมา ท่านเพลิงพันจักรดูกระวนกระวายใจแลเป็นห่วงท่านเหมือนกันหนาเจ้าคะ ข้าเองก็มิรู้ได้ว่าท่านเพลิงพันจักคิดสาแก่ใจที่เห็นท่านเจ็บฤาไม่ แต่การแสดงออกมิเห็นเจ้าค่ะ” บุหงาราตรีเอ่ยไปตามความรู้สึกของตนเอง เรื่องอัญญาภานารีจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งอัญญาภานารียังคงเงียบ ถึงบุหงาราตรีจะเอ่ยแบบนั้นแต่เธอก็ยังไม่หายโกรธผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสวามีอยู่ดี หากเมื่อวานเธอไม่รอดออกมาจากภูผาม่านจะเป็นอย่างไร ที่เขามาทำดีกับเธอก็คงไม่พ้นกลัวว่าความผิดจะถึงหูแม่ตนเองแล้วจะถูกตำหนิ ไม่ผิดไปจากที่เธอคิดแน่“สมุนไพรนี้ได้ผลชะงัด ใบหน้าที่มีรอยแผลตื้นหายแทบจะเป็นปลิดทิ้งแล้วหนาเจ้าคะ” บุหงาราตรีเห็นใบหน้าของอัญญาภานารีกลับมาสวยสดดังเดิมก็ยิ้มอย่างพึงพอใจหลังจากเฝ้ารักษากันมาร่วมสองสามวัน“เห็นท่าข้าคงต้องพกติดตัวเสียแล้ว ด้วยมิรู้ว่าจักถูกสวามีข้ากลั่นแกล้งเมื่อใด”“ยังมิหายเคืองโกรธท่านเพล
เมื่อได้รับความอบอุ่นจากทั้งกองฟืน ทั้งไหมร้อนและอ้อมกอดของเพลิงพันจักรรวมไปถึงได้ยาสมุนไพรไปเมื่อกลางดึก เช้านี้อัญญาภานารีจึงพอจะรู้สึกตัวและฟื้นคืนสติมาได้ ทว่าความเจ็บปวดนั้นก็ยังมีอยู่เนืองๆดวงตาคู่สวยค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น เมื่อเห็นว่าตนนั้นอยู่ในอ้อมอกของสวามี อีกทั้งความเจ็บปวดในกายนั้นยังทำให้เธอได้รื้นฟื้นความจำว่าเมื่อวานนี้ไปเจอกับเรื่องอะไรมา“ตื่นแล้วฤา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บปวดมากฤาไม่” เพลิงพันจักรค่อยๆ คลายอ้อมกอดเมื่อรู้ว่าอัญญาภานารีได้รู้สึกตัวตื่นขึ้น“ข้าทุเลาความปวดลงมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าจำได้ว่าท่านตามข้าเข้าไปที่ยอดเขาโน้น” นกยักษ์สาวจับจ้องรอคำตอบจากสวามีตนตาไม่กระพริบ“ข้า...” เพลิงพันจักรขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะค่อยๆ ประคองชายาตนให้นั่งเช่นตน“เจ้าดื่มยานี่ก่อนเถิด” เมื่อไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดถึงเรื่องเมื่อวานอย่างไรก็หันไปรินยาต้มใส่ถ้วยแก้วให้นกยักษ์สาวได้ดื่มเสียก่อนอัญญาภานารีรับถ้วยยาจากสวามีตนขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด เป็นวินาทีเดียวกันกับที่บุหงาราตรีเข้ามาพอดี“ท่านอัญญาภานารี เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”“ข้าค่อยยังชั่วแล้ว แต่ยังรู้สึกปวดแผลอยู่บ้าง”“
เพลิงพันจักรปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปพักใหญ่เขาจึงกลับเข้าไปดูอาการของอัญญาภานารีในถ้ำเพราะทนความกระวนกระวายใจไม่ไหว เมื่อย่างก้าวเข้ามาถึงข้างในได้ก็ต้องหลบสายตาของบุหงาราตรี ด้วยไม่อยากรู้สึกว่ากำลังถูกคาดโทษผีเสื้อสาวอมยิ้มมุมปากเล็กน้อย ด้วยพอจะเดาท่าทางของเสืออาวุโสออกว่าตอนนี้ท่าจะลดทิฐิและรู้สึกผิดกับเรื่องที่ทำลงไปได้แล้ว “ท่านหญิงเก็บปีกได้แล้วเจ้าค่ะ แต่ความเจ็บปวดนั้นยังอยู่ ทั้งดูท่าจะทวีคูณมากขึ้นในค่ำคืนนี้ด้วยเจ้าค่ะ ข้าคงต้องเฝ้าท่านหญิงทั้งคืน”“ข้าดูแลนางเอง นางเจ็บตัวเพราะข้าแลนางเป็นชายาข้า หน้าที่ดูแลนางสมควรเป็นข้าจักต้องทำ ขอบใจเจ้าที่คอยดูแลนาง เพลานี้แล้วเจ้าไปพักเถิด ข้าให้ลำปันจัดเตรียมอาหารเอาไว้ที่ถ้ำของพวกเจ้าแล้ว”“เจ้าค่ะ วันพรุ่งข้าจักมาดูท่านหญิงแต่เช้าหนาเจ้าคะ สมุนไพรที่ต้องทาแผลท่านหญิงอยู่ตรงนี้หนาเจ้าคะ” บุหงาราตรีวางถ้วยสมุนไพรไว้ข้างแท่นบรรทมก่อนจะเดินออกไป ที่ผีเสื้อสาวยอมออกไปง่ายๆ ก็เพราะเห็นแล้วว่าเพลิงพันจักรอยากรับผิดชอบกับสิ่งที่ตนได้ทำจริงๆเพลิงพันจักรนั่งมองอัญญาภานารีที่นอนหลับไปไม่ได้สติอยู่บนแท่นบรรทมเงียบๆ สายตาของเขามองภาพนั้นด้วยคว
อัญญาภานารีบินโฉบไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบจะหมดเรี่ยวแรง ทว่าไม่กี่อึดใจที่คิดจะโฉบลงพื้นไปนั่งพักก็มีแสงบางอย่างกระทบมายังดวงตาของเธอ นกยักษ์สาวเพ่งสายตาไปยังจดเริ่มต้นของแสงที่กระทบสายตา วินาทีนั้นความเหนื่อยได้หายไปเป็นปลิดทิ้งเพราะบ่อน้ำแร่ได้อยู่ตรงหน้าของเธอแล้วอัญญาภานารีรีบโฉบลงไปยังบ่อน้ำที่มีควันกรุ่นออกมาตลอดเวลา เธอไม่ได้กลัวความร้อนของบ่อน้ำแร่แม้แต่น้อย เมื่อเข้าใกล้บ่อได้ก็รีบใช้ขวดแก้วที่เตรียมมาตักน้ำแร่ในบ่อทันที เมื่อได้นำแร่จนพอใจแล้วก็รีบปิดฝาขวดแล้วเก็บเข้าไปยังย่ามหนังที่เธอได้เตรียมมาด้วยจัดแจงเก็บขวดน้ำแร่เรียบร้อยแล้วอัญญาภานารีกก็มองไปยังท้องฟ้าอีกครา คิ้วเรียวสวยเริ่มขมวดมุ่นกะทันหันเพราะตอนนี้ม่านหมอกได้ปกคลุมน่านฟ้าแทบทุกอณู“เหตุใดเป็นเช่นนี้” นกยักษ์สาวเห็นท่าไม่ดีจึงเริ่มสยายปีกบินขึ้นท้องฟ้า อัญญาภานารีพยายามบินให้สูงขึ้นเหนือหมอกเพื่อที่จะได้มองเห็นยอดเขาที่เป็นที่พักของตน ทว่าไม่ว่าจะบินสูงแค่ไหนก็ไม่สามารถพ้นม่านหมอกได้เสียทีเมื่อพยายามบินให้ไวขึ้น จู่ๆ ปีกของเธอก็เหมือนมีอะไรบางอย่างเกี่ยวรั้งสร้างความเจ็บปวดจนกรีดร้องเสียงหลง “อ๊าย...”เสียง
“ท่านจักไปเช้านี้ฤา” เพลิงพันจักรลืมตาตื่นขึ้นมาในวันใหม่ก็เห็นอัญญาภานารีเตรียมสำรับอาหารให้กับเขาเรียบร้อย ให้เดานกยักษ์สาวคงรีบไปหาน้ำแร่ให้เขาเป็นแน่“เจ้าค่ะ ข้าจักรีบไปรีบกลับ ท่านต้องกินอาหารในสำรับให้หมดหนาเจ้าคะ”“อืม เจ้ารีบไปเถิด” เพลิงพันจักรพยักหน้าทั้งอมยิ้มมุมปากน้อยๆ เขามองตามหลังนกยักษ์สาวด้วยสายตามีเลศนัย ให้หลังอัญญาภานารี เสืออาวุโสก็ลุกขึ้นยืนไปยกสำรับขึ้นมากินอาหารด้วยท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษอัญญาภานารีออกไปยืนที่ริมหน้าผาสูง เธอยืนดูราดราวลู่ทางการเดินทางครู่หนึ่ง เมื่อมั่นใจในตำแหน่งของเป้าหมายที่จะบินไปยังยอดเขานั้น อัญญาภานารีก็เริ่มสยายปีกแล้วบินขึ้นท้องฟ้าไปในทันทีปีกสีขาวสยายลู่กับลมโฉบไปมาอยู่ครู่ใหญ่ จากท้องฟ้าที่เปิดโล่งก็ค่อยๆ กลับกลายเป็นส่ามีม่านหมอกมาบังสายตาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อผ่านม่านหมอกนั้นไปได้นกยักษ์สาวก็บินอยู่กับที่ เธอมองจ้องภาพเบื้องล่างด้วยสีหน้าฉงน เพราะตอนนี้ภาพนั้นช่างแตกต่างจากภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่มากพอสมควร จากยอดเขาที่เปิดโล่ง กลับกลายเป็นมีต้นไม้ขึ้นหนาบดบังวิสัยทัศน์“แล้วเช่นนี้จักเห็นบ่อน้ำแร่ได้อย่างไร” อัญญาภานารีเริ่มแบ่งพื้