เจ้านากตัวกลมกระโจนไปมายังโถงใหญ่ของตำหนักหลายครั้งหลายครา ทว่าก็เรียกร้องความสนใจให้สายตาของเงือกสาวที่กำลังนั่งเหม่อลอยหันมามองตนไม่ได้
“เหตุใดวันนี้ท่านจึงดูเงียบ ฤาท่านไม่พอใจที่เช้านี้ได้กินแต่ผัก”
“เปล่าหรอก ข้าแค่กำลังคิดอะไรเพลินๆ”
“เรื่องอันใดฤาเจ้าหญิง”
“เจ้าเชื่อเรื่องสลับร่างฤาไม่สามน”
“ข้ามิเคยได้ยิน แต่ข้าเคยคิดว่าเรื่องที่ท่านว่าสามารถเป็นไปได้ หากข้าได้เล่าเรียนวิชาจากท่านผู้เฒ่าทรงกลดได้นานกว่านี้ ข้าจักถามท่านผู้เฒ่าในข้อนี้เช่นกัน”
ชมชีวันอมยิ้มอ่อน เธออยากให้สามนได้รู้ว่าเรื่องที่สามนกำลังสงสัยมันเกิดขึ้นได้จริง ทว่าก็ยังไม่ถึงเวลาที่เธอจะพูดออกไปตอนนี้ และที่เธอกำลังนั่งนิ่งอยู่นั้นไม่เพียงนั่งเหม่อลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ทว่าเธอกำลังรับรู้ถึงความทรงจำของมนตรามัจฉาอยู่ต่างหาก และยิ่งรู้ความรู้สึกนึกคิดของเจ้าของร่างกายนี้มากเท่าไร เธอก็ยิ่งสงสารมนตรามัจฉามากเท่านั้น
ตั้งแต่เล็กจนโตมนตรามัจฉาถูกจำกัดพื้นที่โดยที่ไม่รู้เหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่แปลกเลยที่เธอจะรู้สึกอึดอัดและเสียใจที่ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อิสระเช่นเงือกตนอื่นๆ จึงทำให้เธอได้แอบหนีมาท่องเที่ยวเพื่อดูโลกภายนอกจนต้องถูกลงโทษจับขังเอาไว้ หากเป็นเธอก็คงจะทำเช่นนั้นเหมือนกัน ทว่าตอนนี้เธอก็เชื่อว่ามนตรามัจฉารู้ยังไม่รู้ความจริงว่าทำไมท่านพ่อกับท่านแม่ถึงได้จำกัดบริเวณแบบนั้น หากเป็นไปได้เธอก็อยากให้เจ้าของร่างกายได้รับรู้ เพราะความรู้สึกน้อยใจพ่อกับแม่ของเธอจะได้หายไป และได้รู้เจตนาที่ดีขององค์ราชาและราชินีเงือกสมุทรเสียที
“ท่านพี่”
ได้ยินเสียงมีนามัจฉา เงือกสาวก็ผุดลุกไปยืนหลังติดกำแพงในทันที ดวงตาคู่สวยฉายแววตระหนกไม่น้อยเมื่อเห็นหน้าญาติผู้น้องของตน เพราะไม่รู้ว่ามีนามัจฉาจะมาตามเธอไปเรียนรู้อะไรเพิ่มอีก
“มาหาข้ามีอันใด เมื่อวานยังสอนเรื่องพิธีการมิหมดฤา”
“มิใช่ ท่านแม่ให้ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนท่านพี่ ข้าเอาคันฉ่องมาให้ท่านด้วย เห็นท่านบอกข้าว่าที่ตำหนักมิมี”
รู้ดังนั้นชมชีวันก็ค่อยหายใจหายคอได้คล่อง “ขอบใจเจ้ามาก มานั่งก่อนสิ” ชมชีวันเดินเข้ามารับคันฉ่องทรงกลมสีเงินจากมือของมีนามัจฉา
“เจ้าค่ะ สามน มานั่งบนตักข้า” นั่งลงได้มีนามัจฉาก็เรียกเจ้านากทะเลตัวกลมให้มานั่งบนตัก นานแล้วที่ไม่ได้เจอเพื่อนตัวน้อยจึงขอกอดให้ชื่นใจเสียหน่อย
ชมชีวันหย่อนก้นนั่งลงได้เธอก็รีบยกคันฉ่องขึ้นมาส่องใบหน้า วินาทีแรกที่ได้เห็นใบหน้าของมนตรามัจฉา แววตาก็เริ่มฉายแววความฉงน “ใบหน้านี้...” เหมือนกับใบหน้าของเธอราวกับถอดแบบกันมา เป็นไปได้ยังไงกัน
เมื่อนเกิดความสงสัยหนักเข้า ก็มิวายนึกถึงเรื่องแลปกที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ในเมื่อดวงจิตของเธอก็มาอยู่ในร่างของเงือกสาวได้ ก็ไม่มีอะไรที่เธอจะต้องตกใจกับเรื่องบังเอิญเท่าไรนัก โลกนี้มีอะไรมากกว่าที่เธอรับรู้เช่นที่ผู้เฒ่าทรงกลดพูดจริงๆ นั่นแหละ
“มีอันใดฤาท่านพี่”
“เปล่าหรอก ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้าอยู่พอดี”
“เรื่องใดฤาท่านพี่”
“ข้าอยากรู้ว่าท่านปักษิณสิงขรหน้าตาเป็นเช่นไร เมื่อวานข้ามิกล้าถามต่อหน้าท่านน้า”
“ท่านพี่ปักษิณมีรูปงาม แต่ท่านพี่มิค่อยออกมาให้ใครได้เห็น”
“รูปงามของเจ้า งามขนาดไหน มีซิกแพค มีกล้ามโตไหม นิสัยเป็นยังไง”
“ข้ามิเข้าใจคำว่าซิกแพค กล้ามแขนก็ปกติทั่วไป ท่านพี่ปักษิณมีรูปร่างสูงใหญ่ คล้ายท่านรณจักรปักษา ส่วนอุปนิสัยท่านพี่ชอบเก็บตัว อาจเป็นเพราะมองโลกภายนอกมิเห็น”
“แล้วเจ้าชู้ไหม ได้ยินว่าท่านปักษิณสิงขรมีสนมตั้งสองตน”
“พวกนางถูกส่งมาเป็นสนมก็จริง แต่ก็มิเคยได้รับใช้ท่านพี่ปักษิณ”
“เป็นไปได้ยังไง หรือว่าอีตานี่ไม่ชอบผู้หญิง” คิ้วเรียวสวยเริ่มขมวดมุ่นขึ้นเพราะเกิดความกังขาในใจเรื่องความนิยมชมชอบของโอรสเจ้าเมือง
“ว่าอันใดฤาท่านพี่”
“อ๋อ...เปล่า เอ่อ ตำหนักนี้เขาห้ามส่งเนื้อสัตว์ฤา ทำไมข้าสั่งอาหารที่มีเนื้อสัตว์ไม่เคยได้มาเลย ได้มาแต่ผัก ข้าได้กินเนื้อปลาจากตำหนักของเจ้าเมื่อวานนี้เอง”
“มีสิท่านพี่ สัตว์ทุกตนที่ประจำอยู่ในโรงครัวล้วนขอเนื้อสัตว์ได้ทุกอย่าง”
“แสดงว่าพวกโรงครัวมิคิดจักทำให้ข้า” รู้ดังนั้นชมชีวันก็กำหมัดแน่น
“แต่ท่านแม่เคยเล่าว่า ตามวิสัยของเงือก มิชอบกินเนื้อสัตว์ตนอื่น เมื่อวานที่ข้าเห็นท่านพี่กินเนื้อปลาข้าก็แปลกใจเหมือนกัน”
“แล้วเจ้าเคยกินฤาไม่”
“เคยสิท่านพี่ ข้าเป็นลูกครึ่งนกยักษ์ ข้ากินมาแทบทุกอย่างแล้ว”
“ถ้าอย่างงั้นวันนี้เจ้าพาข้าเข้าไปในโรงครัวได้ฤาไม่”
“ได้สิท่านพี่ ท่านอยากไปที่ใด ข้าจักพาท่านไปทุกแห่งหน”
“พวกท่านทั้งสองจักพากันซนมิได้หนา” สามนต้องรีบปรามสองพี่น้องที่กำลังมองหน้ากันด้วยสายตามีเลศนัย หากเกิดเรื่องผิดพลาดประการใดกับเจ้าหญิงแห่งเมืองเงือกสมุทรก็เท่ากับว่าเขาทำหน้าที่บกพร่อง เสื่อมเสียชื่อเสียงของนากทะเลอย่างเขา
“ได้ ถ้ามิมีใครรู้”
“ถูกต้องที่สุด”
“เฮ้อ...” สามนเห็นสองพี่น้องเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเช่นนี้เห็นทีภายภาคหน้าเขาได้เหนื่อยแน่นอน
สองพี่น้องพากันเดินตรงไปยังโรงครัวใหญ่ท้ายป่าที่รายล้อมไปด้วยพืชพรรณหลากหลายชนิด ชมชีวันมองพวกพืชพรรณเหล่านั้นด้วยความตื่นตา เพราะที่แห่งนี้มีทั้งท้องทุ่งกว้างใช้ในการทำเกษตรเหมือนกับโลกที่เธอได้จากมา อีกทั้งพืชพรรณบางชนิดก็เป็นที่คุ้นตา และอีกหลายชนิดที่เธอไม่เคยรู้จัก ทว่าพื้นที่กว้างใหญ่นี้กลับเหมือนไร้ผู้ดูแล
“ที่นี่มิมีใครมาดูแลฤา”
“ท่านพี่ก็รู้ใช่ฤาไม่เจ้าคะว่าทั้งสองอภิเษกทั้งที่ยังมิได้รักกัน แลเพลานี้ข้าดูออกว่าทั้งสองกำลังใส่ใจแลสนใจกันเป็นพิเศษเจ้าค่ะ หากท่านเพลิงพันจักรมิคิดมีใจให้ท่านหญิงจักรู้สึกเสียใจที่ทำท่าหญิงโกรธปานนี้ฤาเจ้าคะ แลท่านหญิงเองหากมิมีความรู้สึกกับท่านเพลิงพันจักร ท่านหญิงจักยอมทำทุกอย่างเพื่อตามใจท่านเพลิงพันจักรในตอนที่สวามีป่วยฤาเจ้าคะ จริงอยู่ที่การกระทำของท่านหญิงเป็นไปเพราะรู้สึกผิด ทว่าก็มิต้องทำทุกอย่างที่ท่านเพลิงพันจักรขอก็ได้ใช่ฤาไม่เจ้าคะ”“ชายาข้าช่างสังเกตปานนี้เชียวฤา” รณจักรปักษาเอ่ยออกมาด้วยท่าทางขบขันที่เห็นชายาตนนั้นวิเคราะห์เรื่องนี้เสียยาว“ขำสิ่งใดเจ้าคะ จักว่าข้าช่างสังเกตฤาช่างสอดเจ้าคะ”“มิใช่อย่างนั้นเสียหน่อย เป็นสิ่งที่ดีแล้วที่เจ้าสงสัย เพราะข้าเองก็คิดเช่นเจ้า เพียงแค่พอจักเดาออกว่าทั้งสองมิรู้ใจตน ทั้งสองอยู่ใกล้กันทุกวัน แม้จักมินานก็คงทำให้มีความรู้สึกต่อกันบ้าง แต่ทั้งสองต่างก็ยังมิเคยมีความรัก ความรู้สึกคงยังมิชัดแจ้งแก่ใจตน”“ข้าเข้าใจได้ว่าท่านอัญญาภานารีมิเคยมีความรักนั้นใช่ แต่ท่านเพลิงพันจักรนั้นรักท่านอชินีพาราหนาเจ้าคะ”“เรื่องนี้ท่านปักษิณสิงขร
“ตั้งแต่ข้ามาอยู่บ้านเมืองของเขาก็ถูกแกล้งสารพัด ยิ่งตอนนี้มีเหตุให้เขาทำร้ายข้าอย่างถูกต้องคงสาแก่ใจเขามาก”“คราแรกข้าก็ว่าท่านเพลิงพันจักรร้ายที่แกล้งท่านหญิง แต่ข้าก็มองเห็นว่าตอนที่ท่านเพลิงพันจักรพาท่านหญิงกลับมา ท่านเพลิงพันจักรดูกระวนกระวายใจแลเป็นห่วงท่านเหมือนกันหนาเจ้าคะ ข้าเองก็มิรู้ได้ว่าท่านเพลิงพันจักคิดสาแก่ใจที่เห็นท่านเจ็บฤาไม่ แต่การแสดงออกมิเห็นเจ้าค่ะ” บุหงาราตรีเอ่ยไปตามความรู้สึกของตนเอง เรื่องอัญญาภานารีจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งอัญญาภานารียังคงเงียบ ถึงบุหงาราตรีจะเอ่ยแบบนั้นแต่เธอก็ยังไม่หายโกรธผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสวามีอยู่ดี หากเมื่อวานเธอไม่รอดออกมาจากภูผาม่านจะเป็นอย่างไร ที่เขามาทำดีกับเธอก็คงไม่พ้นกลัวว่าความผิดจะถึงหูแม่ตนเองแล้วจะถูกตำหนิ ไม่ผิดไปจากที่เธอคิดแน่“สมุนไพรนี้ได้ผลชะงัด ใบหน้าที่มีรอยแผลตื้นหายแทบจะเป็นปลิดทิ้งแล้วหนาเจ้าคะ” บุหงาราตรีเห็นใบหน้าของอัญญาภานารีกลับมาสวยสดดังเดิมก็ยิ้มอย่างพึงพอใจหลังจากเฝ้ารักษากันมาร่วมสองสามวัน“เห็นท่าข้าคงต้องพกติดตัวเสียแล้ว ด้วยมิรู้ว่าจักถูกสวามีข้ากลั่นแกล้งเมื่อใด”“ยังมิหายเคืองโกรธท่านเพล
เมื่อได้รับความอบอุ่นจากทั้งกองฟืน ทั้งไหมร้อนและอ้อมกอดของเพลิงพันจักรรวมไปถึงได้ยาสมุนไพรไปเมื่อกลางดึก เช้านี้อัญญาภานารีจึงพอจะรู้สึกตัวและฟื้นคืนสติมาได้ ทว่าความเจ็บปวดนั้นก็ยังมีอยู่เนืองๆดวงตาคู่สวยค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น เมื่อเห็นว่าตนนั้นอยู่ในอ้อมอกของสวามี อีกทั้งความเจ็บปวดในกายนั้นยังทำให้เธอได้รื้นฟื้นความจำว่าเมื่อวานนี้ไปเจอกับเรื่องอะไรมา“ตื่นแล้วฤา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บปวดมากฤาไม่” เพลิงพันจักรค่อยๆ คลายอ้อมกอดเมื่อรู้ว่าอัญญาภานารีได้รู้สึกตัวตื่นขึ้น“ข้าทุเลาความปวดลงมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าจำได้ว่าท่านตามข้าเข้าไปที่ยอดเขาโน้น” นกยักษ์สาวจับจ้องรอคำตอบจากสวามีตนตาไม่กระพริบ“ข้า...” เพลิงพันจักรขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะค่อยๆ ประคองชายาตนให้นั่งเช่นตน“เจ้าดื่มยานี่ก่อนเถิด” เมื่อไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดถึงเรื่องเมื่อวานอย่างไรก็หันไปรินยาต้มใส่ถ้วยแก้วให้นกยักษ์สาวได้ดื่มเสียก่อนอัญญาภานารีรับถ้วยยาจากสวามีตนขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด เป็นวินาทีเดียวกันกับที่บุหงาราตรีเข้ามาพอดี“ท่านอัญญาภานารี เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”“ข้าค่อยยังชั่วแล้ว แต่ยังรู้สึกปวดแผลอยู่บ้าง”“
เพลิงพันจักรปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปพักใหญ่เขาจึงกลับเข้าไปดูอาการของอัญญาภานารีในถ้ำเพราะทนความกระวนกระวายใจไม่ไหว เมื่อย่างก้าวเข้ามาถึงข้างในได้ก็ต้องหลบสายตาของบุหงาราตรี ด้วยไม่อยากรู้สึกว่ากำลังถูกคาดโทษผีเสื้อสาวอมยิ้มมุมปากเล็กน้อย ด้วยพอจะเดาท่าทางของเสืออาวุโสออกว่าตอนนี้ท่าจะลดทิฐิและรู้สึกผิดกับเรื่องที่ทำลงไปได้แล้ว “ท่านหญิงเก็บปีกได้แล้วเจ้าค่ะ แต่ความเจ็บปวดนั้นยังอยู่ ทั้งดูท่าจะทวีคูณมากขึ้นในค่ำคืนนี้ด้วยเจ้าค่ะ ข้าคงต้องเฝ้าท่านหญิงทั้งคืน”“ข้าดูแลนางเอง นางเจ็บตัวเพราะข้าแลนางเป็นชายาข้า หน้าที่ดูแลนางสมควรเป็นข้าจักต้องทำ ขอบใจเจ้าที่คอยดูแลนาง เพลานี้แล้วเจ้าไปพักเถิด ข้าให้ลำปันจัดเตรียมอาหารเอาไว้ที่ถ้ำของพวกเจ้าแล้ว”“เจ้าค่ะ วันพรุ่งข้าจักมาดูท่านหญิงแต่เช้าหนาเจ้าคะ สมุนไพรที่ต้องทาแผลท่านหญิงอยู่ตรงนี้หนาเจ้าคะ” บุหงาราตรีวางถ้วยสมุนไพรไว้ข้างแท่นบรรทมก่อนจะเดินออกไป ที่ผีเสื้อสาวยอมออกไปง่ายๆ ก็เพราะเห็นแล้วว่าเพลิงพันจักรอยากรับผิดชอบกับสิ่งที่ตนได้ทำจริงๆเพลิงพันจักรนั่งมองอัญญาภานารีที่นอนหลับไปไม่ได้สติอยู่บนแท่นบรรทมเงียบๆ สายตาของเขามองภาพนั้นด้วยคว
อัญญาภานารีบินโฉบไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบจะหมดเรี่ยวแรง ทว่าไม่กี่อึดใจที่คิดจะโฉบลงพื้นไปนั่งพักก็มีแสงบางอย่างกระทบมายังดวงตาของเธอ นกยักษ์สาวเพ่งสายตาไปยังจดเริ่มต้นของแสงที่กระทบสายตา วินาทีนั้นความเหนื่อยได้หายไปเป็นปลิดทิ้งเพราะบ่อน้ำแร่ได้อยู่ตรงหน้าของเธอแล้วอัญญาภานารีรีบโฉบลงไปยังบ่อน้ำที่มีควันกรุ่นออกมาตลอดเวลา เธอไม่ได้กลัวความร้อนของบ่อน้ำแร่แม้แต่น้อย เมื่อเข้าใกล้บ่อได้ก็รีบใช้ขวดแก้วที่เตรียมมาตักน้ำแร่ในบ่อทันที เมื่อได้นำแร่จนพอใจแล้วก็รีบปิดฝาขวดแล้วเก็บเข้าไปยังย่ามหนังที่เธอได้เตรียมมาด้วยจัดแจงเก็บขวดน้ำแร่เรียบร้อยแล้วอัญญาภานารีกก็มองไปยังท้องฟ้าอีกครา คิ้วเรียวสวยเริ่มขมวดมุ่นกะทันหันเพราะตอนนี้ม่านหมอกได้ปกคลุมน่านฟ้าแทบทุกอณู“เหตุใดเป็นเช่นนี้” นกยักษ์สาวเห็นท่าไม่ดีจึงเริ่มสยายปีกบินขึ้นท้องฟ้า อัญญาภานารีพยายามบินให้สูงขึ้นเหนือหมอกเพื่อที่จะได้มองเห็นยอดเขาที่เป็นที่พักของตน ทว่าไม่ว่าจะบินสูงแค่ไหนก็ไม่สามารถพ้นม่านหมอกได้เสียทีเมื่อพยายามบินให้ไวขึ้น จู่ๆ ปีกของเธอก็เหมือนมีอะไรบางอย่างเกี่ยวรั้งสร้างความเจ็บปวดจนกรีดร้องเสียงหลง “อ๊าย...”เสียง
“ท่านจักไปเช้านี้ฤา” เพลิงพันจักรลืมตาตื่นขึ้นมาในวันใหม่ก็เห็นอัญญาภานารีเตรียมสำรับอาหารให้กับเขาเรียบร้อย ให้เดานกยักษ์สาวคงรีบไปหาน้ำแร่ให้เขาเป็นแน่“เจ้าค่ะ ข้าจักรีบไปรีบกลับ ท่านต้องกินอาหารในสำรับให้หมดหนาเจ้าคะ”“อืม เจ้ารีบไปเถิด” เพลิงพันจักรพยักหน้าทั้งอมยิ้มมุมปากน้อยๆ เขามองตามหลังนกยักษ์สาวด้วยสายตามีเลศนัย ให้หลังอัญญาภานารี เสืออาวุโสก็ลุกขึ้นยืนไปยกสำรับขึ้นมากินอาหารด้วยท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษอัญญาภานารีออกไปยืนที่ริมหน้าผาสูง เธอยืนดูราดราวลู่ทางการเดินทางครู่หนึ่ง เมื่อมั่นใจในตำแหน่งของเป้าหมายที่จะบินไปยังยอดเขานั้น อัญญาภานารีก็เริ่มสยายปีกแล้วบินขึ้นท้องฟ้าไปในทันทีปีกสีขาวสยายลู่กับลมโฉบไปมาอยู่ครู่ใหญ่ จากท้องฟ้าที่เปิดโล่งก็ค่อยๆ กลับกลายเป็นส่ามีม่านหมอกมาบังสายตาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อผ่านม่านหมอกนั้นไปได้นกยักษ์สาวก็บินอยู่กับที่ เธอมองจ้องภาพเบื้องล่างด้วยสีหน้าฉงน เพราะตอนนี้ภาพนั้นช่างแตกต่างจากภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่มากพอสมควร จากยอดเขาที่เปิดโล่ง กลับกลายเป็นมีต้นไม้ขึ้นหนาบดบังวิสัยทัศน์“แล้วเช่นนี้จักเห็นบ่อน้ำแร่ได้อย่างไร” อัญญาภานารีเริ่มแบ่งพื้